คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1 ชีวิตก่อนตาย
นายกริฟฟิน เวลล์ ลูกครึ่งหนุ่มกำพร้า พอจำความได้ก็รู้ว่ามีเพียงชื่อเท่านั้นที่พ่อแม่ตั้งให้ ส่วนที่เหลือนั้นก็ไม่ได้สัมผัสจากคำว่าพ่อแม่อีกเลย เขาโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เนื่องจากเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่เคยโกรธหรือไม่พอใจในโชคชะตาของตัวเอง จึงทำให้สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบมาได้จนอายุ18ปี และถึงเวลาที่ต้องออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองลำพัง
เขาบอกลาบ้านเด็กกำพร้าออกมาด้วยดี ซึ่งเป็นเวลา5ปีแล้ว เขาจบเพียงมัธยมปลายจึงไม่สามารถทำงานที่เงินเดือนสูงได้ เขาหางานทำในโรงงานแปรรูปอาหารแห่งหนึ่ง และเนื่องจากเป็นคนยิ้มง่าย เข้ากับคนเป็นจึงทำให้เป็นที่ยอมรับในความสามารถในหลายๆ ด้าน จนเมื่อทำงานมา3ปี หัวหน้าก็เลื่อนขั้นเขาไปทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ ไม่ต้องลงแรงทำงานเพียงเดินตรวจงานคนงานแทน แต่เงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่มมากมาย แต่ก็พอมีชีวิตสบายได้ ไม่ลำบากเหมือนก่อนและงานก็เบาขึ้น
กริฟฟินใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ถึงที่ทำงานจะมีเพื่อนเยอะ แต่พอเลิกงานก็กลับมาอยู่คนเดียว อาจจะเป็นเพราะการที่อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อนก็ได้ แต่ที่นั่นก็สอนหลายๆ สิ่งให้เขาสามารถนำมาเป็นสกิลใช้ในชีวิต
ยามเย็นหลังเลิกงาน วันนี้เลิกงานช้ากว่าปกติสองชั่วโมง เพราะมีโอที เขาจึงพาตัวเองมายังตลาดกลางคืนที่จะมีอาหารพร้อมทานให้ เขาเดินผ่านมาในโซนร้านขายของใช้ ทำเพียงมองดูไม่คิดจะซื้ออะไร เพราะตัวเขาก็ไม่อยากเสียเงินไปกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น ยิ่งพึ่งเจอเหตุการณ์คนล้วงกระเป๋าเอาทั้งกระเป๋าและเงินเขาไปหมด เขาวิ่งวุ่นอยู่หลายวันทั้งแจ้งความทั้งอายัดบัตร
“นี่พ่อหนุ่ม สนใจกระเป๋าทำมือสวยๆ ไหม ยายทำเองทุกใบเลยนะ มีใบเดียวเท่านั้นไม่ซ้ำใคร”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกหันมองไปทางร้านขายกระเป๋า เขาฟังเสียงของคนขายที่มีอายุแล้ว แต่ไม่ขนาดจะเป็นยายได้ แต่เธอคนนั้นแทนตัวเองว่ายายจึงดึงดูดความสนใจจากเขาไปได้ เขามองสำรวจร้านที่เป็นเพียงผ้าปูกับพื้นแล้วมีกระเป๋าหลากหลายแบบวางอยู่ มีทั้งแบบสะพายข้าง แบบกระเป๋าถือ กระเป๋าเงิน มีหลายขนาดตั้งแต่ใหญ่ถึงเล็ก เขานับดูคร่าวๆ ด้วยสายตาได้ประมาณสิบกว่าใบ แต่มีเพียงใบเดียวที่ดึงดูดสายตาเขาให้จับจ้องได้ มันเหมือนกับว่าบริเวณรอบข้างกลายเป็นสีเทา แต่กระเป๋าใบนั้นเป็นใบเดียวที่มีสีสันสวยงาม มันเป็นกระเป๋าผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่ใหญ่มากประมาณฝ่ามือของเขา มีสีน้ำเงินเข้มไปทางสีกรมมีลายดอกไม้ปักอยู่ เขาแปลกใจนิดหน่อยที่ทำไมเขาจะต้องสนใจกระเป๋าใบนี้ด้วย เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาสนใจมัน อยากจะได้มัน มันเหมือนกระเป๋าผ้าใส่ของจุกจิกของผู้หญิงมากกว่า แต่ถ้าผู้ชายแมนๆ ตัวใหญ่ถึกอย่างเขาเอามาใช้คงตลกน่าดู แต่เขาก็ไม่สามารถละความสนใจไปจากมันได้เลย
‘เอาว่ะ ใช้แบบนี้ก็ดีจะได้ไม่มีใครกล้าขโมย’
กริฟฟินหยิบกระเป๋าใบนั้นที่เขาหมายตาไว้ขึ้นมาดูทันที เขามองรอยยิ้มบนใบหน้าของคนขายที่ดูยิ้มแย้มมากเป็นพิเศษ แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจคงดีใจที่จะขายของได้
“สนใจใบนี้หรือจ๊ะพ่อหนุ่ม"
“ใบนี้เท่าไรครับ”
“ใบนี้หรือ หนึ่งร้อยบาทจ้ะ”
กริฟฟินถึงกับมือสั่นเมื่อได้ยินราคาของกระเป๋าที่อยากได้ กระเป๋าใบเล็กแค่นี้ขายตั้งหนึ่งร้อยเลย แต่ว่าตอนนี้เขาเหลือเงินอยู่สองร้อยเอง อีกสองวันเงินเดือนถึงจะออก เขาควรซื้อมันไหม
“พ่อหนุ่มอาจจะคิดว่ามันแพง แต่เชื่อยายเถอะ มันมีใบเดียวในโลก และเมื่อใช้มันถึงอย่างไรมันก็คุ้มค่า”
ชายหนุ่มคิดตามคำพูดของคนขาย ตอนนี้ใจของเขาถูกบังคับเทไปทางซื้อ70เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลืออีก30เปอร์เซ็นต์ก็คือคิดอยู่สองเรื่อง คือ หนึ่งเหลือเงินเพียงสองร้อยในตัวแล้วตอนนี้ สองอีกสองวันเงินเดือนถึงจะออก
“จะซื้อไหมพ่อหนุ่ม เดี๋ยวยายลดให้20บาท”
“ซื้อครับ”
ปากที่ไวมากกว่าความคิดพูดออกไปทันทีที่ได้ยินว่าจะลดราคาให้ กริฟฟินอยากจะตบปากตัวเองแต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะคนขายยิ้มดีใจมากที่ขายของให้เขาได้สำเร็จ เขาจึงทำเพียงยิ้มตอบแล้วหยิบเงินแบงก์ร้อยออกมาสองใบ ส่งใบหนึ่งให้คุณป้าคนขาย เหลืออีกหนึ่งใบในมือใบสุดท้ายที่เขาใช้อย่างประหยัดมาหลายวัน เขายื่นเงินไปให้คนขายแล้วส่งกระเป๋าให้คนขายใส่ถุงให้เขาเพราะเขาจะยังไม่ใช้มัน แต่คนขายที่หยิบเงินทอนใส่ไปในกระเป๋าแทนส่งให้เขา กริฟฟินเงยมองหน้าของคุณป้าก็พบเจอรอยยิ้มที่ยังคงความดีใจอันมากล้นอยู่
“ใช้เลยละกันนะพ่อหนุ่ม ยายเอาเงินทอนไว้ในนี้นะ ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัย”
กริฟฟินที่ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เขาเพียงนึกในใจว่าถึงยังไงก็ต้องใช้อยู่ดี เดี๋ยวเงินนั้นก็เอาไปซื้อข้าวกินอยู่ดี ใส่ไว้แป๊บหนึ่งคงไม่เป็นไร เขารับกระเป๋ามาแล้วใส่แบงก์ร้อยใบสุดท้ายในมือลงไปในกระเป๋า คนขายที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มแป้นออกมามากกว่าเดิม
“ขอบคุณครับ”
กริฟฟินเอ่ยขอบคุณตามความเคยชินของปาก ที่มักได้ของจากใครก็จะพูดขอบคุณ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้คนที่ทำงานเอ็นดูเขาด้วย และไม่มีใครดูถูกที่เป็นลูกครึ่ง
“ยายก็ขอบใจมากๆ เหมือนกันจ้า”
กริฟฟินยิ้มรับแล้วลุกเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเงินใบแรกในชีวิตที่สวยเกินผู้ชายจะใช้ เป็นใบแรกที่อยากได้โดยไม่ทราบสาเหตุ และเป็นใบที่แพงมากๆ ด้วย เขาก้าวเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง จึงไม่เห็นว่าบัดนี้ร้านขายกระเป๋าที่เขาพึ่งเสียเงินซื้อมานั้น หายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน
ชายหนุ่มที่ได้กระเป๋าเงินใบใหม่มาแล้วเขาเดินไปซื้อข้าวแกงหนึ่งถุงและข้าวเปล่าอีกหนึ่งถุง ใช้เงินไปสี่สิบบาท ถือว่าราคาโอเคสำหรับพนักงานเงินเดือนอย่างเขา เขาจ่ายด้วยแบงก์ร้อยแล้วเก็บเงินทอนเข้าไปในกระเป๋าที่พึ่งซื้อมาแล้วเดินตรงกลับห้องพักของตัวเอง เขาทำกิจวัตรเหมือนเดิม กินข้าวพร้อมดูทีวี ดึกหน่อยก็อาบน้ำ เตรียมตัวเข้านอน แต่ก่อนนอนก็เล่นโทรศัพท์ดูนู่นนี่ไปเรื่อย จนถึงเวลานอนก็ปิดไฟนอน
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
เสียงนาฬิกาปลุกยามเช้าเป็นประจำทุกวัน ปลุกให้คนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นมาอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน กริฟฟินอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มีเวลาทานมื้อเช้าก่อนเข้าทำงาน ซึ่งที่หน้าโรงงานก็มีอาหารเช้าง่ายๆ ราคาถูก เช่นหมูปิ้ง ให้เขาซื้อกินได้
ชายหนุ่มยืนต่อแถวซื้อหมูปิ้งด้วยความง่วงที่ยังพอมีเหลืออยู่แบบทุกวัน เมื่อถึงคิวเขาสั่งจำนวนที่ต้องการแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายป้าคนขาย เมื่อหยิบถุงหมูปิ้งมาแล้ว กำลังจะเดินจากไปก็ถูกเรียกไว้ก่อนจึงหยุดรอว่ามีอะไร
“เดี๋ยวก่อน เงินทอนจ้าพ่อหนุ่ม”
“หือ ครับ?”
กริฟฟินครางให้คอ พร้อมกับส่งเสียงย้ำอีกรอบว่าไม่เข้าใจให้กับป้า เพราะเขาจำได้ว่าในกระเป๋ามีแต่แบงก์ยี่สิบซึ่งพอดีกับราคาหมูปิ้งที่เขาซื้อ แล้วจะมีเงินทอนได้ไง
“นี่จ้าเงินทอน80บาท”
ป้าคนขายยื่นเงินทอนมาให้เขาที่ยืนงงมองเงินในมือป้าสลับกับหน้าป้าด้วยความแปลกใจ
“ผมให้แบงก์ยี่สิบไม่ใช่หรอครับ”
“เปล่านะ พ่อหนุ่มให้แบงก์ร้อยป้ามา เนี่ยป้ายังถืออยู่เลย”
กริฟฟินมองตามมืออีกข้างของป้าที่ยังกำแบงก์ร้อยอยู่จริงๆ เขายังยืนงง แต่ป้าไม่ได้คิดอะไรจึงยัดเงินทอนใส่มือเขาแล้วกลับไปขายหมูปิ้งต่อ ชายหนุ่มเดินมองมือตัวเองที่กำเงินไว้ตลอดทาง จนถึงโต๊ะทำงานเขาก็ยังมองเงินทอนที่วางอยู่บนโต๊ะสลับกับกระเป๋าใบใหม่ของเขา จนเพื่อนที่ทำงานเดินมาทักทาย เขาจึงหลุดออกจากความคิดตัวเองได้ เขาโยนเรื่องเงินทอนทิ้งไป เก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม แล้วกินอาหารเช้าจนหมด เมื่อได้เวลาทำงานก็ลงไปตรวจงานตามปกติ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงเย็น เพื่อนที่ทำงานคนอื่นกลับไปหมดแล้ว กริฟฟินมองสำรวจซ้ายขวาไม่เจอใครจึงหยิบกระเป๋าใบใหม่ของเขาขึ้นมา ถ้ามองจากภายนอกมันก็เป็นกระเป๋าผ้าธรรมดาๆ ใบหนึ่งไม่มีอะไรแปลก จะแปลกก็คือการที่เขาเอามันมาใช้
เนื่องจากโรงงานแปรรูปเป็นโรงงานขนาดกลางๆ และแผนกที่เขาอยู่ไม่ใช่แผนกสำคัญเช่นการเงินจึงไม่มีกล้องวงจรปิดข้างใน มีเพียงตรงพื้นที่ตอกบัตรเข้าทำงานเท่านั้น เขาจึงสามารถทำสิ่งที่ไม่อยากให้ใครรู้ได้
ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นมาสำรวจดูอย่างละเอียดภายนอกไม่มีอะไร ยังเหมือนเดิมตอนที่เขาดูที่ตลาด เขาจึงสนใจภายในแทน เขาอ้ากระเป๋าออกเพื่อดูภายใน แต่สิ่งที่แปลกก็คือภายในมีเพียงความมืดที่ไม่สามารถมองเห็นของข้างในได้ เขาลองยื่นมือเข้าไปข้างใน เขาสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า มีเพียงความเย็นวูบเล็กๆ ที่มือ เขาดึงมือออกมาดูก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร เขาจึงทำการทดสอบอีกรอบ แต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิม คือ เขานึกถึงเงินแบงก์ร้อย เขายื่นมือเข้าไปในกระเป๋าและเพียงเสี้ยววินาทีมือเขาก็สัมผัสกับบางสิ่งที่เหมือนกระดาษมันลื่น เขาจับมันแล้วดึงออกมา เขามองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างไม่เชื่อสายตา ที่มือของเขาตอนนี้มีเงินอยู่จริงๆ ตามที่เขาคิด เขาวางเงินลงบนโต๊ะแล้วทำซ้ำอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขานึกถึงแบงก์ยี่สิบ และผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม มีเงินตามที่เขานึกออกมาจริงๆ
กริฟฟินแทบจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น เขาคิดว่าเขาฝันอยู่รึเปล่า คิดมากเรื่องเงินมากไปจนเก็บมาฝัน แต่พอหยิกแขนดูก็ปรากฏว่าเจ็บ ร่างกายมีความรู้สึกไม่ใช่ความฝันแน่นอน เขาจึงทดลองต่อโดยนึกถึงสิ่งอื่นบ้าง อย่างเช่นแบงก์พัน แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้ เขาจึงคิดปะติดปะต่อเรื่องราวดู
‘หรือว่า จะเรียกได้แต่ของที่เคยใส่ลงไป’
กริฟฟินคิดประกอบเรื่องราวต่างๆ จนพอสรุปได้มาข้อเท็จจริงหนึ่ง แต่เขาก็ไม่หยุดทดลอง เขาลองทำซ้ำหยิบของเดิมที่เขาหยิบออกมาแล้วอย่างเช่น แบงก์ร้อย และเขาก็สามารถทำสำเร็จ เขาเปรียบเทียบแบงก์ร้อยสองใบบนโต๊ะทันที
จากการสังเกตปรากฏว่า ทั้งสองใบมีค่าเงินเท่ากัน รูปเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือตัวเลขแสดงลำดับการผลิต ซึ่งเรียกความแปลกใจให้กับเขามาก เขาลองทำแบบอื่นบ้างโดยใช้สิ่งของบนโต๊ะทำงาน ตั้งแต่ปากกา กระดาษ หลายๆ อย่างที่สามารถเอาเข้ากระเป๋าได้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เข้าไปในกระเป๋าแล้วจะสามารถหยิบออกมาได้ไม่มีวันหมด
‘แล้วถ้าลอง แบงก์ร้อยหนึ่งร้อยใบ…..โอ้ พระเจ้า’
กริฟฟินพูดและนึกในใจด้วยการทดลองครั้งสุดท้ายแล้วก็จะตัดสินใจเกี่ยวกับกระเป๋าใบนี้ เขามองปึกเงินในมือที่กำลังสั่นไหวไปมา
“บ้า นี่มันบ้าเกินไปแล้ว”
กริฟฟินรีบเก็บมันลงไปในกระเป๋าเหมือนเดิม แล้วรีบออกจากที่ทำงานไปยังตลาดเดิมที่เขาไปมาเมื่อคืน เขาตรงไปยังช่องเดิมที่เขาซื้อกระเป๋าใบนี้มาแต่ว่าไม่เจอสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งก็คือร้านขายกระเป๋า เขาต้องการคืนกระเป๋าใบนี้ไป ถึงจะไม่ได้เงินคืนก็ไม่เป็นไร เขาโอเค แค่ตอนนี้เขาไม่อยากเก็บกระเป๋าใบนี้ไว้ มันน่ากลัวเกินไป
กริฟฟินเดินครบทุกช่องก็ไม่พบร้านขายกระเป๋านั่นเลย เขามองกระเป๋าที่อยู่ในมืออย่างหวาดกลัว เขาไม่ได้กลัวความวิเศษของมัน แต่สิ่งที่เขากลัวก็คือตัวเอง ความโลภในจิตใจมนุษย์นั้นมีสูงมากและเขาไม่ไว้ใจตัวเอง รวมทั้งคนอื่นๆ ที่รู้ถึงความวิเศษของมัน
ชายหนุ่มเดินกลับห้องอย่างเหม่อลอย เขาไม่สามารถนำมันไปคืนได้ งั้นเขาจะใช้มันอย่างเกิดประโยชน์ที่สุด เขาโทรศัพท์เข้าไปลางานกับหัวหน้าแผนกว่าเขาไม่สบาย ไม่แน่ใจว่าจะไปทำงานได้ไหม หัวหน้าจึงให้เขาลางานไปเลย เพราะเดือนนี้ก็ยังไม่ได้หยุด โควต้าลาก็ยังมีอยู่ เขาวางแผนว่าพรุ่งนี้เขาจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสามแห่งที่อยู่ในเมืองนี้ มีที่หนึ่งเป็นที่ที่เขารู้จักดีเพราะเขาอยู่ที่นั่นมา10กว่าปีและเขาจะได้ตอบแทนบุญคุณที่เป็นที่พักพิงให้เขามา
เช้าวันถัดมากริฟฟินแต่งชุดธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดทำงาน เขาออกเดินทางไปยังบ้านเด็กกำพร้าทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าเขาเดินไปบริจาคเลยตรงๆ จะต้องมีคนถามแน่ว่าเอาเงินมาจากไหน จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปร้านขายของกิ๊ฟช็อปแทน เขาเลือกซื้อกล่องกระดาษที่เป็นเหมือนกล่องของขวัญ การ์ดและซองจดหมายมาอย่างละสามชุด เขาจะทำเป็นเหมือนกับว่าเป็นของขวัญจากผู้บริจาคนิรนาม
ชายหนุ่มหยิบเงินออกมาสามปึก แบงก์ร้อยปึกละหนึ่งร้อยใบ เขาใส่ไปในกล่องพร้อมจดหมายอธิบายว่าคือเงินบริจาคจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามและไม่อยากให้เป็นข่าวดัง เขาติดการ์ดส่งถึงผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างชัดเจน แล้วนำไปฝากไว้กับเด็กในบ้านโดยให้เด็กไปส่งให้ผู้ดูแลอีกทีพร้อมกับให้ขนมตอบแทนไปด้วย
สถานที่สองแห่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะอยู่ไกลกันไม่มาก และสถานที่สุดท้ายตอนนี้กริฟฟินกำลังยืนอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ยังไม่เจอใครที่จะไปส่งต่อให้เขา
"พี่ชายๆ พี่ชายมาหาใครหรอครับ"
แรงดึงชายเสื้อของกริฟฟินที่มาพร้อมกับเสียงใสของเด็กชายวัยประมาณห้าขวบ ทำให้ชายหนุ่มที่สูงเกือบร้อยแปดสิบย่อตัวลงนั่งคุยกับเด็กน้อยหน้าตาน่ารักด้วยรอยยิ้ม
"อ๋อ พี่มาหาซิสเตอร์น่ะ เธออยู่รึเปล่า"
"ซิสเตอร์ๆ ซิสเตอร์อยู่ครับ"
"ถ้างั้นพี่ฝากของขวัญไปให้ซิสเตอร์ได้ไหม พี่ต้องรีบไปทำงานแล้ว"
"ได้ครับ ไว้ใจผมได้เลย"
เด็กชายพูดพร้อมยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะเรียนแบบทหารกำลังรับคำสั่ง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากกริฟฟินได้ เขาจึงส่งกล่องของขวัญใบสุดท้ายไปให้เด็กชาย เขามองดูจนเด็กชายเดินเข้าไปในบ้านลับสายตาไป เขาจึงหันหลังเพื่อจะเดินจากไป แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ พอเขาหันหลังออกเดินมาไม่ไกลสติของเขาก็ดับไป ร่างกายล้มลงไปนอนกับพื้น ผู้คนที่เดินผ่านไปมารีบเดินเข้ามาดูร่างที่สลบไปทันที
"พ่อหนุ่มๆ เป็นอะไรไหม ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที พ่อหนุ่มคนนี้เป็นลมไปแล้ว"
ผู้คนเกือบสิบคนเดินเข้ามาดูชายหนุ่มนิรนามที่อยู่ๆ ก็ล้มลงไปนอนกับพื้นทันที แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เห็นก็คือ ร่างโปร่งแสงที่ลอยอยู่ข้างๆ พวกเขาด้วย
กริฟฟินยืนมองร่างของตัวเองที่นอนอยู่กับพื้น ส่วนเขาลอยอยู่เหนือร่างไม่ไกล
'ฉันตายแล้วหรอ'
วิญญาณชายหนุ่มมองสำรวจร่างที่โปร่งแสงของตัวเอง ตัวเขาไร้ความรู้สึกใดๆ แม้แต่คนเดินผ่านร่างเขาไปก็ไม่รู้สึกสิ่งใดเลย
'ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำไปแล้ว'
เขาพูดปลงกับตัวเอง ไม่เสียใจที่ตัวเองตาย เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ญาติพี่น้องก็ไม่มี ไม่มีคนให้ห่วงอยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มไม่ได้ไปไหนเขายังรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา ไม่นานกู้ภัยก็มาถึง ทีมแพทย์เข้าตรวจร่างกายของเขาทันที และเริ่มทำการช่วยชีวิตเบื้องต้น
"ไม่มีชีพจร เขาตายแล้ว"
***************************************
ความคิดเห็น