ตอนที่ 50 : 48 - ความลับในลิ้นชักแดง
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
48 – ความลับในลิ้นชักแดง
สดับฟังถ้อยคำ พลันเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบิดอวัยวะภายในช่องท้องของเยว่ถิง
ความหนักใจเปลี่ยนเป็นโล่งอก แล้วร่วงดิ่งสู่ความหนักใจเช่นเดิม อารมณ์ที่ผันแปรรวดเร็วเกินไปทำให้อาการปวดจี๊ดพุ่งขึ้นสู่ขมับจนต้องขมวดคิ้ว
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
เยว่ถิงกระซิบเสียงเครียดขณะเพ่งมองรอยพิรุณสีแดง ชิวหยางถอนใจแผ่วเบา
“สำหรับผู้ฝึกฝนปราณมาเป็นอย่างดีเช่นข้า ยามเส้นลมปราณถูกสกัดกั้น ไยจะไม่รู้ ตอนที่เจ้าหลับไป ข้าเองได้ลองวิชากับอวิ๋นหลานและเสวี่ยจินแล้ว ปรากฏว่ามิมีสิ่งใดหลงเหลือ”
เอื้อมมือไปแตะรอยเข็มทั้งเก้า ปฏิเสธไม่ได้ว่างดงามขับผิวชิวหยางให้น่ามองและดูเหมือนไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทางกาย ทว่าผลของมันช่างน่าชิงชังกว่านั้นหลายเท่า
“ข้าเอง... ไม่อยากพูดให้เจ้าคิดมากตอนเจ้ายังไม่หายดี แต่หากให้เจ้ารอต่อไป ข้าก็ทนเห็นความตัดพ้อลึกๆ ในสายตาเจ้าไม่ได้”
ชิวหยางเอ่ยเรื่อยช้า น้ำเสียงมิได้โกรธเกรี้ยวเคียดแค้นแต่อย่างใด ผิดจากนิสัยตามปกติไปเป็นคนละคน
“ข้าไร้พลังยุทธ์แล้วอย่างไร ในเมื่ออ้ายอ๋องตายแล้ว โจวหวู่เองก็มิมีทางรอด ขั้วอำนาจเก่าของแคว้นอ้ายถูกลบล้าง หมอเทวดายังบอกว่าอาการของเจ้าจะทุเลาในอีกไม่นาน ทุกสิ่งที่เจ้าเพียรทำมาหลายปีสุดท้ายสัมฤทธิ์ผล จะมีเรื่องใดน่ายินดีกว่านี้อีก”
ถ้อยคำเหล่านี้บริสุทธิ์ใจไร้คำประชดประชัน แต่เยว่ถิงที่ได้ฟังกลับรู้สึกได้ถึงกระแสความไม่พึงใจที่พุ่งริ้วของตน
“ชิวหยาง แล้วท่านจะอยู่เช่นไรหากไร้พลังยุทธ์”
บุรุษตรงหน้าได้ยินก็หัวเราะหึออกมา “ไยถามข้าเช่นนั้น เจ้าเองยังเป็นขอทานตาบอดเร่ร่อนในยุทธภพมาได้ถึงสิบหกปี...”
“ข้าสัญญาแล้วว่าจะไม่โทษตนเอง เช่นนั้นข้าก็จะไม่โทษตนเอง” เยว่ถิงใช้มือทั้งสองจับไหล่ของอีกฝ่าย เงยหน้าขึ้นสบตา “แต่ท่านไม่จำเป็นต้องกลบเกลื่อนความโศกเศร้าแล้วแสร้งว่าไม่เป็นไรเพื่อข้า ท่านไม่จำเป็นต้องทำ”
เขาจะมิพูดถ้อยคำตอกย้ำอีกฝ่ายเลย หากมิใช่ว่าเห็นดวงตาหม่นแสงคู่นี้ก่อนหน้า
แม้นพวกเขาจำต้องพรากจากกันหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเมื่อดวงใจเชื่อมกันด้วยพู่หยกคู่พระจันทร์ในฝันได้แล้ว เรื่องความรู้สึกอันรุนแรงนี้ไม่อาจเล็ดลอดสัมผัสของเยว่ถิง
“...”
“ผู้ใดเอ่ยต่อข้าว่าคนทุกคนต่างต้องมีด้านหนึ่งที่อ่อนแอ เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไยท่านพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา”
มือกำแน่นลงบนไหล่แข็งแรงของอีกฝ่าย ครานี้ถึงพบว่าซูบผอมไปอย่างสัมผัสได้ เพียงสีหน้าสดใสนั้นเหมือนจะเป็นเพราะปกปิดบางสิ่ง รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป กลับกลายเป็นดั่งเมฆหมอกคืบคลานเข้ามา
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร? ร่ำไห้ให้เจ้าปลอบโยนหรือ ที่ข้าต้องรู้อยู่แก่ใจ ว่าไม่คู่ควรและไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก!”
น้อยนักจะเห็นชิวหยางเกรี้ยวกราดเช่นนี้ แต่เยว่ถิงยังไม่ผละถอยห่าง
“หากท่านทำแล้วสบายใจขึ้นเพียงนิด ข้าก็ยินดีวิงวอนขอให้ท่านทำ” ความร้อนผะผ่าวของพิษไข้เหมือนมารวมสุมอยู่ยังดวงตา “ท่านทำเพื่อข้ามามากเพียงนี้ เรื่องยินดีหรือไม่ยินดีกับความสำเร็จของข้าไม่สำคัญ”
“เจ้า...”
อีกฝ่ายเอ่ยเสียงดุเคร่งได้เพียงเท่านั้น เยว่ถิงก็ออกแรงทั้งหมดโถมตัวเข้ากอด ซบศีรษะกับไหล่กว้าง
“ข้ารู้ว่าท่านโกรธเกรี้ยว เศร้าเสียใจ ผิดหวัง และลึกๆ แล้วยังหวาดกลัว” เมื่อกระพริบตา กลับมีหยาดน้ำหยดหนึ่งเกลือกกลิ้งตามแนวแก้มลงมา
“ข้าเองก็เป็นเหมือนท่าน ทั้งข้าและท่านต่างรู้ดี ว่าในอนาคตมิมีสิ่งใดง่ายดาย ดีไม่ดีจะยากยิ่งกว่ายามยังไม่โค่นล้มอ้ายอ๋อง ข้าและท่านเองก็รู้ดี ว่าพิรุณชาดเก้าเข็มของคนเช่นโจวหวู่ ฝังไว้เพื่อสิ่งใด”
การฝึกฝนในบึงตำหนักเร้นลับกับไป่ฮูหยินที่มีสมญาจอมนางมารเหยียบหล้า ทำให้เยว่ถิงได้ศึกษาถึงศาสตร์ต้องห้ามต่างๆ หนึ่งในนั้นมีศาสตร์สะกดปราณนี้รวมอยู่ด้วย รู้ว่าเป็นอวิชชาที่ใช้ฆ่ายอดยุทธ์ให้ตายทั้งเป็น มีเพียงผู้ฝังคำสาปนี้เท่านั้นที่จะแก้ไขได้
เช่นนั้น หากตัดสินใจจบเรื่องแล้วประหารโจวหวู่ไป ชิวหยางเองก็จะไม่สามารถใช้ปราณได้ตลอดชีวิต
คนผู้หนึ่งตรากตรำผ่านสนามรบฝึกฝนจนเป็นจอมอสูรพันศพ ต่อมาเอาชนะฝ่ายธรรมะได้ขึ้นเป็นประมุขหนึ่งในเจ็ดพรรคอธรรมอันยิ่งใหญ่นามสะบั้นสวรรค์ ทั้งยังถูกอ้ายอ๋องเคี่ยวกรำได้ดำรงยศแม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้าย
และคนผู้นี้ ยังได้สัญญาไว้ว่าจะปกป้องคุ้มครองผู้ก่อการที่กำลังจะขึ้นเป็นอ๋องแห่งแคว้นคนใหม่ด้วยชีวิต
ทว่าบัดนี้ กลับถูกเข็มเก้าเล่มทำให้กลายเป็นคนไร้ยุทธ์ในเพียงชั่วข้ามวัน หากยังมิบรรลุธรรม ไหนจะทานทนได้
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นกอดกระชับเยว่ถิงไว้ในอ้อมแขน กอดแน่นจนเหมือนจะไม่ปล่อยให้จากไป
“ธรรมดา... เจ้ามักเอ่ยให้ข้าสงบใจ บัดนี้ข้าสงบใจแล้ว แต่เจ้ากลับบอกให้ข้าว้าวุ่น”
คำพูดกระแทกกระทั้นจนเยว่ถิงรู้สึกเจ็บไม่น้อย แต่หัวใจสองดวงที่เต้นสะท้านอยู่ข้างกันกลับทำให้รู้สึกร่วมกันจนแทบจะเป็นคนเดียว
“เพราะข้ารู้ดี ว่าการฝืนทนเก็บความรู้สึกโดยแสดงออกตรงข้ามมันทรมานเช่นไร”
สองร่างมิได้พูดสิ่งใดต่อกัน ปล่อยให้ความเงียบเอ่ยวาจานับร้อยพันแทน
ราชวังอันโอ่อ่ารโหฐานกลับกลายเป็นซากปรักหักพังสีดำ กลิ่นไหม้และกลุ่มควันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนไม่อาจเข้าใกล้หากไม่ใช้ผ้าปิดจมูก ร่างไร้วิญญาณมากมายนอนกองอยู่ด้วยสรีระอันบิดงอผิดรูปตามพื้น บางร่างยังพอโชคดี ได้มีใบหน้าสิ้นลมประหนึ่งกำลังนอนหลับใหล
แม้ได้รับชัยชนะอยู่ในกำมือ ทว่าไม่อาจปฏิเสธว่าเบื้องหน้าเป็นดั่งกลียุคมากกว่าศักราชใหม่ที่จะรุ่งโรจน์
เยว่ถิงผ่านเหตุการณ์ชีวิตมามาก ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ มิใช่ชายหนุ่มไร้เดียงสาที่จะไม่เข้าใจความเป็นไปของโลก
มีเกิด มีดับ มีรุ่งโรจน์ มีตกต่ำ มีเจริญก้าวหน้า มีเสื่อมถอย เป็นธรรมดาสามัญของโลก
ทว่าแม้เข้าใจแต่ยังรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย ทำได้เพียงทอดถอนใจ ออกคำสั่งแก่ผู้พยุงกายแล้วติดตาม
“ฝังศพคนทุกผู้อย่างมีเกียรติ หากสามารถหาญาติมิตรผู้ใด ก็จงหาเท่าที่จะหาได้มารับศพไป ส่วนราชวังแห่งนี้จำต้องบูรณะขึ้นใหม่...”
เยว่ถิงเอ่ยยังไม่จบความก็จำต้องหยุดชะงักเพราะยังอ่อนเพลีย สององครักษ์แซ่เฟยรีบเข้ามาประคอง
“ไม่ ข้าไม่เป็นไร”
หลังจากเพิ่งร่างไข้เพียงไม่นาน เยว่ถิงก็ร้อนใจเกินกว่าจะนอนพักอยู่บนเขาหลวนซาน ผู้ตรวจการเฟยซึ่งบัดนี้กุมอำนาจแห่งแคว้นอ้ายรองจากเยว่ถิงรับคำ ก่อนว่าขึ้น
“ระหว่างท่านรักษาตัวข้าได้ใช้วังอัสดงสราญรมย์เป็นที่ว่าราชการก่อน ขุนนางและทหารทั้งหมดล้วนสวามิภักดิ์ต่อท่านแล้ว ทว่าเหล่าประชาชนยังแตกตื่นอยู่ บัลลังก์แห่งแคว้นอ้ายจึงไม่อาจว่างเว้นได้นาน องค์จักรพรรดิยังทรงมีพระราชโองการอีกว่า ให้แต่งตั้งชุนอ๋องขึ้นเป็นอ๋องครองแคว้นให้เร็วที่สุด”
หัวใจเยว่ถิงโหวงเหวงขึ้นมา เมื่อครู่ยังบอกสององครักษ์ว่ายังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้กลับเผยสีหน้าเหนื่อยอ่อนออกมา
“ข้าต้องการให้ท่านดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนก่อน การขึ้นสู่ตำแหน่งเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ยามนี้กลัวว่าร่างกายของข้าจะยังอ่อนแอ”
“ในเมื่อท่านเอ่ยเช่นนั้น ข้าจะทูลความถึงองค์จักรพรรดิให้”
ผู้ตรวจการเฟยเหยาเองมองเรื่องราวทะลุปรุโปร่ง เพียงครั้งนี้เหมือนยังเห็นใจเขาอยู่บ้างจึงยังไม่บังคับฝืนใจ เยว่ถิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอบคุณ
หลังจากดูความเสียหายที่ราชวังแห่งแคว้นอ้าย เยว่ถิงจึงตัดสินใจเข้าพบนักโทษคนสำคัญ
คุกคุมขังเป็นคุกเก่าแก่ที่อ้ายอ๋องตั้งแต่รัชสมัยแรกๆ สร้างขึ้น ต่อมาบูรณะขึ้นให้ยิ่งกว้างขวางและยากแก่การหลบหนีมากขึ้นโดยอ้ายอ๋องหลี่ถัง เพียงก้าวเข้าไปก้าวแรกก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไออันตรายที่ชวนให้อยากหันหลังกลับไป
ผู้ติดตามเยว่ถิงเข้ามายังคุกด้านในสุดมีเพียงสี่คน นั่นคือ ชิวหยาง อู่เสวี่ยจิน ไป่อวิ๋นหลาน และผู้ตรวจการเฟยเหยา
เบื้องหลังซี่ลูกกรงโลหะแน่นหนา โจวหวู่นั่งขัดสมาธิพิงกำแพงอย่างเฉยเมย ประดุจว่าตรวนหนักที่ล่ามยังลำคอและข้อมือข้อเท้ามิต่างจากเครื่องประดับ ยามเมื่อเห็นผู้มาเยือน ดวงตาเรียวเล็กเยี่ยงจิ้งจอกก็มีประกายยินดี
“กำหนดวันประหารข้าได้แล้วหรือ”
น้ำเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่ให้คนมีโทสะ เยว่ถิงก้าวนำออกมาจากคนผู้อื่น กระทั่งเขาเองยังควบคุมอารมณ์ได้ยาก
“เจ้าต้องการสิ่งใดแลกกับการคลายวิชาสะกดปราณของชิวหยาง”
โจวหวู่เลิกคิ้ว มีสีหน้าประหลาดใจเต็มประดา เสเอ่ยวาจาไปอีกเรื่อง “ได้ข่าวว่าท่านฆ่าอ้ายอ๋องได้ ใครจะคาดว่าชุนอ๋องที่เพิ่งรับยศจะได้เลื่อนเป็นอ้ายอ๋องในเวลาไม่ถึงปี หากข้าไม่คำนับอ๋องคนใหม่คงเสียมารยาท ขอทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี หมื่นๆ ปี”
ชิวหยางคล้ายจะอดกลั้นต่อไม่ไหว เอ่ยเสียงกรรโชกกดต่ำ “หากปราณข้าแลกกับชีวิตไอ้สารเลวต่ำช้าผู้นี้ได้ ที่จริงแล้วไม่มีอันใดต้องเสียดายเพียงนิด นี่มิใช่สนทนาไปก็เปลืองน้ำลายหรือ!”
เยว่ถิงยกมือขึ้นห้าม ก่อนหันไปเอ่ยกับโจวหวู่อย่างใจเย็น “เจ้าต้องการให้ข้าปล่อยเจ้าไปใช่หรือไม่”
“ข้ากำลังคิดว่ากินนอนในคุกก็ไม่เลว”
อีกฝ่ายมีท่าทีได้เปรียบ สนทนากับคนผู้เอาความสะใจเข้าว่าเห็นจะไม่ได้อันใดในยามนี้ เยว่ถิงเองยังรู้สึกคลื่นไส้จะอาเจียน ศาสตร์วิชาเข็มนี้ไม่ทราบมีความพิสดารร้ายแรงอันใดแฝงอยู่อีก พลันเยว่ถิงคิดถึงสิ่งหนึ่งที่จะดับรอยยิ้มของจิ้งจอกทองผู้นี้ได้
“เจ้ายังคลั่งแค้นมารดาของข้าที่สิ้นไปแล้ว... ขนาดว่ายอมถูกคุมขังตลอดชีวิตหรือ”
ทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวถึงอดีตคนรัก ใบหน้าที่เหยียดยิ้มก็บิดเบี้ยว ดวงตาเรียวกลิ้งกลอกเบิกโพลงขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากจะส่งเสียงหัวเราะเสียดแทง
“ถ้าอยากรู้นัก ก็ให้แม่ทัพของเจ้าเผาเจ้าทั้งเป็นแล้วไปแต่งงานกับองค์หญิงแห่งวังหลวงสิ! บางทีเจ้าอาจจะโชคดีตายไป หรือบางทีอาจโชคร้ายไม่ตายเช่นข้า แม้นคนผู้นั้นตายไปแล้ว แต่ไยบาดแผลจะถูกลบเลือน!!”
เยว่ถิงมิอาจทนฟังเสียงหัวเราะวิกลจริตเหล่านั้นต่อ จึงตัดสินใจหันหลังกลับจากคุมหลวง ระหว่างทางมิมีผู้ใดปริปาก ด้วยสิ่งที่โจวหวู่เอ่ย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้แล้วเรื่องราวเป็นเช่นไร
“ท่านคงเหนื่อยมากแล้ว เชิญกลับไปพักผ่อนเถิด”
เฟยเหยาเสนอ เยว่ถิงพยักหน้าเนือยช้า ก่อนผละจากกลุ่มคณะไปพร้อมชิวหยาง
“ระหว่างที่ข้ายังสามารถผ่อนผันเรื่องตำแหน่งได้ ข้าต้องการรู้เรื่องราวที่แท้จริงระหว่างมารดาข้ากับโจวหวู่”
“เช่นนั้น เจ้าต้องการไปที่ใด”
ชิวหยางยังคงติดตามเยว่ถิงอยู่ข้างกายประหนึ่งองครักษ์ แม้ไม่มีพลังปราณแล้ว แต่ยังมีทักษะความคล่องตัวและสัมผัสละเอียดอ่อนกว่าคนปกติ ยิ่งในเวลานี้ เยว่ถิงเองก็ไม่ต้องการผู้ใดมากไปกว่าคนผู้นี้
“ข้ามีสถานที่หนึ่งในใจ”
ลงจากเกี้ยวแล้วเอ่ยปากกับบ่าวไพร่หน้าประตูว่ามาถึง ยังมิทันได้กวาดสายตาสำรวจรอบบริเวณ เหล่าผู้คนภายในก็แทบพายกขบวนกันออกมาต้อนรับทั้งเรือน
“ข้าเพียงมาเยียมเยือนเท่านั้น ท่านตาไม่ต้องมากพิธี”
“ชุนอ๋องช่างมีเมตตา ข้านั้นซึ้งใจนัก... เร็วเข้า! รีบไปเตรียมของต้อนรับท่านอ๋อง!!”
เสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นอ้าย หรือผู้นำตระกูลหวังผู้นี้มีศักดิ์เป็นตาแท้ๆ ของเยว่ถิง เขาเป็นชายในวัยเดียวกับเสนาบดีอู่ชิงเจียหรือบิดาของชิวหยาง แต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เสนาบดีหวังมีรูปร่างสูงแต่อ้วนท้วม อาภรณ์ผ้าไหมปักลายสวยงามปริตึงไปทุกส่วน ดวงหน้าที่เอิบอิ่มสมบูรณ์เหมือนคนกินดีอยู่ดีทุกมื้อไม่มีขาด ส่วนภริยาที่ยืนนอบน้อมอยู่เคียงข้างนั้นคือต้นกำเนิดความงามของเหล่าสตรีตระกูลหวัง ใบหน้าดวงตายังคงมีเสน่ห์ฉายชัดแม้มีอายุ หากนับตามศักดิ์แล้วนางก็คือยายของเยว่ถิง
ด้วยภารกิจวุ่นวายก่อนหน้า ทำให้มีโอกาสมาเยือนคฤหาสน์ตระกูลหวังเพียงสองครา แต่ละครั้งก็รีบมารีบกลับ มิได้สังเกตสิ่งใดหรือพูดคุยเรื่องนอกเหนือจากธุระสำคัญ ที่แห่งนี้จึงยังนับว่าเป็นสถานที่ที่เขายังไม่คุ้นเคย
เยว่ถิงและชิวหยางถูกเชื้อเชิญให้เข้ามายังห้องรับแขก น้ำชาที่ดีที่สุดในแคว้นอ้ายถูกยกมาต้อนรับ
“ท่านอ๋องคงเหนื่อยมาก แต่อย่างไรก็กำจัดทรราชย์หลี่ถังไปได้แล้ว เมื่อท่านอ๋องขึ้นครองแคว้นอ้าย...”
บุรุษตาสีฟ้าไม่ใคร่จะได้ฟังคำเยินยอและคำแนะนำเรื่องการบุกเบิกศักราชใหม่ของแคว้นอ้ายมากนัก เขาเหม่อมองน้ำชาหอมกรุ่นที่หมุนวนในมือขวาที่สั่นน้อยๆ อยู่เนื่องๆ
“ยังมีการค้าขายในเขตหนาน ข้าเห็นว่าหากเราบุกเบิกการค้าผ้าไหมและใบชา...”
เยว่ถิงวางถ้วยชากระเบื้องเคลือบลงยาอย่างดีลงบนโต๊ะ สีหน้าของเขาคงมีความนิ่งขึงไม่น้อย เสนาบดีขวาจึงหยุดคำพูดลงในที่สุด
“ที่ท่านตาพูดมาล้วนมีประโยชน์ ข้าขอขอบคุณ”
ผ่านเรื่องราวมากมาย มองคนผิดคนถูกมาก็มาก เสนาบดีหวังผู้นี้ไม่ใช่คนลึกซึ้ง พบหน้าเขาครั้งแรกก็ประจบเอาใจ เล่าถึงบุญบารมีของพระปิตุลาเฉิงกงโดยมิได้เอ่ยถึงเรื่องราวของมารดาเขาสักครึ่งคำ นอกจากกล่าวว่าเป็นความผิดของนางที่ดันทุรังกลับมาคลอดที่บ้านเกิด ทำให้เรื่องราวมากมายต้องยากลำบาก
“ข้าเพิ่งไปพบโจวหวู่มา คนผู้นั้นทำร้ายข้าไว้มาก ท่านเห็นว่าลงโทษอย่างไรจึงจะเหมาะสม”
เสนาบดีหวังตบฉาดที่เขาอย่างมีอารมณ์ “คนสารเลวเช่นนั้นสมควรถูกโบยตีแล้วเอาน้ำเกลือราดแผล ปล่อยทิ้งไว้สามวันไม่ให้ตายแล้วเผาทั้งเป็น ให้สาสมกับที่หาญกล้าไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ!”
เยว่ถิงพยักหน้า “ยังมีเรื่องที่ข้าได้ยินมา แต่เดิมโจวหวู่ยังเคยล่อลวงมารดาข้าและมีความสัมพันธ์รักกันหรือ”
ใบหน้าอวบท้วมหายใจแรงจนแก้มและลำคอกระเพื่อม ดวงตาฉายแววเกรี้ยวกราดขึ้น
“อย่าได้เอ่ยว่าเป็นสัมพันธ์รักเลย คนต่ำทรามผู้นั้นต่างหากที่กล้าล่อลวงบุตรสาวข้า ยามนั้นนางยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสานัก หากมิได้พระปิตุลาช่วยไว้ ตระกูลหวังของเราคงต้องเสื่อมเสียแน่แท้”
“ข้ารู้มาว่าพระปิตุลาได้หมั้นหมายกับมารดาข้าและกลับไปจัดงานวิวาห์ยังแคว้นหลวง แล้วหลังจากนั้นท่านทำเช่นไรกับโจวหวู่หรือ”
“ตระกูลหวังของเราทำอย่างสุดความสามารถเพื่อกำจัดเภทภัยเช่นโจวหวู่ มิคาดว่ามันจะเป็นยิ่งกว่าต้นหญ้าที่ใช้ไฟเผาก็ยังไม่ตาย ต้องขออภัยท่านอ๋องที่ข้าไม่รอบคอบ ปล่อยให้สร้างความลำบากแก่ท่านมาจนถึงตอนนี้”
แสงเงาหนึ่งตกกระทบบนเสี้ยวใบหน้าของผู้ฟัง ผู้ดำรงยศอ๋องหรี่ตาลง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนาไป
สนทนาถึงเรื่องราวต่างๆ ภายในแคว้นอ้ายไม่ว่าจะเป็น เรื่องขั้วอำนาจ เรื่องตระกูลขุนนางเก่าแก่ ตลอดจนเรื่องทั่วไปเช่นสถานที่งดงามในแคว้นอ้าย บางครั้งคำถามถูกโยนไปยังชิวหยางที่นั่งเงียบให้เอ่ยตอบบ้างนานๆ ครั้ง จนเมื่อดวงอาทิตย์คล้อยลง เยว่ถิงจึงลุกยืนขึ้น
“ก่อนกลับ ข้าใคร่ดูห้องของมารดาสักหน่อยได้หรือไม่”
“ข้ายินดียิ่ง เชิญท่านอ๋องทางนี้”
เรือนไม้สักหลังหนึ่งตั้งปลีกแยกตัวออกจากตัวเรือนอื่นๆ ในคฤหาสน์ตระกูลหวัง รอบเรือนรายล้อมด้วยสวนดอกเหมยและน้ำพุจำลอง มีปลาโค่ยมากมายแหวกว่ายอยู่ ลำตัวสีขาวอวบอ้วนและจุดสีแดงจัดจ้านที่หัวช่วยทำให้ธารน้ำใสสะอาดมีชีวิตชีวามากขึ้น
เรือนหลังนี้แม้ร้างลาเจ้าของมานาน แต่กลับถูกดูแลรักษาอย่างดี เสนาบดีฝ่ายขวาอธิบายความอย่างภาคภูมิใจว่า
“แม้มี่อิงจะสิ้นไปนานแล้ว แต่พระปิตุลามักจะมาพำนักที่นี่ยามมาเยือนแคว้นอ้าย ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของจ้าวบ้านเช่นข้าที่ต้องรักษาเรือนแห่งนี้ให้งดงามอยู่เสมอ เชิญท่านอ๋องเข้าชมด้านใน”
สายลมเย็นพัดแผ่ว เส้นผมยาวปลิวผ่านแนวไหล่ เยว่ถิงรู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายจะเป็นที่พำนักของสตรีผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมได้เลย
เยว่ถิงเข้าไปภายใน ยังมีเหล่าบ่าวไพร่คอยให้การต้อนรับอย่างดี ไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น ภายในเองก็จัดแต่งไว้ดูอบอุ่นละมุนตา
ผ้าม่านบังตาสีอ่อนพลิ้วปลิวเผยให้เห็นผืนผ้างานศิลป์มากมายแขวนไว้ตามผนัง บ้างเป็นภาพวาดจากปลายพู่กัน บ้างเป็นลวดลายผ้าปัก ส่วนมากมักเป็นภาพทิวทัศน์ธรรมชาติอันแสดงถึงความสงบปลอบประโลมจิตใจ
นอกจากงานฝีมือของกุลสตรี ยังมีมุมหนึ่งตกแต่งไว้แตกต่างด้วยตู้ไม้โบราณสีดำสลักลวดลายกิเลนและเมฆหมอก ภายในเก็บรักษากระบี่ มีดสั้น คันธนู และศาสตราต่างๆ แม้จะแผ่ไอรังสีดูน่าเกรงขาม ทว่ายังถูกออกแบบให้แฝงไปด้วยความแช่มช้อย มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าผู้ครอบครองต้องเป็นสตรี
ฮูหยินไป่ได้กล่าวว่ามารดาของเยว่ถิงเป็นจอมยุทธ์หญิงด้วย... สตรีผู้มีรูปโฉมเป็นทรัพย์ทั้งยังสมบูรณ์แบบทั้งบุ๋นและบู๊ผู้นี้ มิทราบมีความลับอันใดซุกซ่อนอยู่ภายในห้องหอกันแน่
“ข้าอยากสัมผัสบรรยากาศภายในเรือนตามลำพัง ท่านคงไม่ว่ากระไร?”
“เชิญท่านอ๋อง ข้ายินดียิ่งนัก ยิ่งท่านพำนักค้างแรมข้ายิ่งยินดี”
อีกฝ่ายเสนอเช่นนั้น เยว่ถิงจึงตอบตกลง อย่างไร สิ่งที่เขาต้องการค้นหาก็ไม่แน่ว่าจะพบเจอหรือไม่
รับประทานสำรับค่ำเรียบร้อย เยว่ถิงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมเข้านอน ส่วนชิวหยางเองอยู่ในชุดลำลองหลวมๆ สาบเสื้อเผยให้เห็นช่วงอกที่ซูบผอมลงอย่างชัดเจน จนผู้เฝ้ามองอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่วเบา
“ข้าเห็นท่านทานได้น้อย เป็นผลจากพิรุณเก้าเข็มด้วยหรือไม่”
ชิวหยางส่ายศีรษะ ขยับมือดึงอาภรณ์ให้มิดชิดขึ้น
“ตัวข้าเองไม่รู้สึกอยากทานสิ่งใดเป็นพิเศษในช่วงนี้”
เยว่ถิงกำลังจะเอื้อนเอ่ยคำ แม่ทัพเอกกลับตัดบทด้วยรอยยิ้มบางเสียก่อน
“แต่หลังจากได้เห็นสีหน้าของเจ้ายามเข้ามาในเรือน ข้าก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นเล็กน้อย ไม่เห็นหรือว่าข้าทานสำรับค่ำจนหมด”
“มิใช่ท่านเลือกทานแต่อาหารอ่อนหรือ” คำปลอบใจทำให้ผู้ฟังหลุดหัวเราะกึ่งตำหนิ
“ทานหมดก็คือทานหมด” ชิวหยางว่าอย่างดื้อรั้น คิ้วเข้มที่เลิกขึ้นพลันน่าเอ็นดูและคลายความตึงเครียดอึดอัดไปได้บ้าง “ข้าจะไปพักยังเรือนรับรอง คืนนี้เจ้าเองก็อย่าหักโหมแล้วกัน”
อีกฝ่ายผละไป ทิ้งให้เยว่ถิงตกอยู่ในกลิ่นอายของบรรยากาศที่คุ้นเคยอย่างประหลาดเพียงลำพัง
เขาเดินสำรวจเรื่อยเปื่อย ไม่มีข้าวของสิ่งใดถูกนำมาวางไว้ให้เตะตาเป็นพิเศษ หรือหากคิดตามจริง ในที่ที่พระปิตุลามาพักเป็นประจำเช่นนี้ หากจะมีร่องรอยของโจวหวู่จริง ก็คงต้องหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ลับ
ขณะที่เยว่ถิงกำลังตรวจดูแท่นฝนหมึกบนโต๊ะในห้องอักษร พลันได้กลิ่นหอมประหลาดพัดผ่านจมูก
‘...ในที่สุดเจ้าก็มา’
ฉับพลัน ชายผ้าต่วนสีชมพูอมม่วงหนึ่งพลิ้วไหวผ่านปลายหางตา เยว่ถิงสะบัดศีรษะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
...พบเพียงความว่างเปล่า
ทว่ายังมีกลิ่นหอมละมุนของบุปผาหนึ่งลอยอวลอยู่ในอากาศ
กลิ่นนี้เหมือนกับกลิ่นในตำหนักห้องหอของโจวหวู่ที่ใช้กักขังเขายามถูกเข็มทองแทง แท้แล้วเป็นกลิ่นของดอกหลันฮวาป่า (กล้วยไม้ป่า)
“ท่าน... แม่?”
ถ้อยคำหลุดจากริมฝีปากโดยมิได้ตั้งใจ สองเท้าก้าวตามทิศทางของสายลมหอมหวนในยามราตรีไป
เยว่ถิงคุกเข่าลงยังเบื้องหน้ากระจกบนตั่งโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน พบลิ้นชักสีแดงเล็กๆ ที่ลั่นแม่กุญแจเอาไว้ คล้ายมีบางอย่างดลใจให้เขาพลิกกระจกทองเหลือง ด้านหลังมีช่องเล็กๆ อยู่ เมื่อใช้นิ้วสะกิดกลับมีบางสิ่งตกลงมา
กุญแจขนาดเล็กผูกพู่สีแดงปรากฏแก่สายตา ยามหยิบขึ้นมาหัวใจของเยว่ถิงเต้นโครมคราม
สอดลูกกุญแจลงยังแม่กุญแจได้พอดี หมุนเพียงนิดก็เกิดเสียงดังคลิก
ภายในลิ้นชักสีแดงมีกล่องไม้สีอ่อนกล่องหนึ่ง ฝุ่นที่เกาะจับอยู่ทำให้รู้ได้ว่าไม่มีผู้ใดสัมผัสมาเป็นเวลานาน
เยว่ถิงเปิดกล่องไม้ออกเชื่องช้า ภายในปัจจุบันเครื่องประดับสตรี แต่สิ่งที่โดดเด่นเตะตาที่สุดก็คือปิ่นประดับสีทองที่มีลักษณะคล้ายเข็ม ดูแล้วมิอาจเป็นเครื่องประดับที่สตรีใช้กัน
เบื้องล่างเครื่องประดับเหล่านั้นเป็นจดหมายมากมายพับวางทับกันอย่างเป็นระเบียบ เยว่ถิงกลั้นหายใจขณะเอื้อมหยิบแผ่นที่อยู่ด้านบนสุดขึ้น
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้น สีหน้าของเยว่ถิงเปลี่ยนไปจากยามแรกที่เยื้องย่างเข้ามายังที่แห่งนี้โดยสิ้นเชิง
100%
ในที่สุดก็จบตอนแล้ววว ฝากนักอ่านที่รักที่อยากติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดกดไลค์แฟนเพจด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/ybyxiaoai/
ยิ่งกด See first ยิ่งดี เพื่อที่จะได้ไม่พลาดเผื่อมีอะไรเซอร์ไพรซ์ XD ยิ่งช่วงนี้พี่มาร์คเขารณรงค์ลดโพสต์การตลาดอยู่ด้วยย
PS.1 คำผิดนี่ลายตามากๆ //มีผิดคำตลกๆ กับประโยคแปลกๆ เยอะด้วยสิ เดี๋ยวจะต้องแก้แน่นอนค่า
PS.2 อัพต่อจากนี้ จะยังพูดว่าห้ามพลาดและเกาะขอบสนามอย่างใกล้ชิดไปทุกตอนค่ะ อีกนิดน่า ฮึบบบ 555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพราะตระกูลหวังไม่ชอบโจวหวู่เลยวางแผนให้ผิดใจกัน ถูกม้ะะะะ
ลุ้นๆๆๆ
ความจริงจะเปิดเผยแล้ววว