ตอนที่ 5 : 5 - พิธีตีตรา (1) re3/9/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
5 – พิธีตีตรา (1)
การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าพลันสะดุด ได้ยินความวุ่นวายโกลาหลภายนอกเล็ดลอดเข้ามา ก่อนความสนใจของเยว่ถิงจะถูกดึงกลับไปด้วยเสียงคำรามหงุดหงิดใจของประมุขมาร บุรุษที่กอดรัดรอบตัวเขาก้มลงกัดที่ยอดอกแรงๆ หนึ่งทีอย่างระบายความคับแค้นใจจนเขาน้ำตาซึมทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย
“อะไรกันหนักหนา”
ตามด้วยคำสบถหยาบคายแสดงแรงอารมณ์ ร่างแข็งแกร่งอุ้มเขาขึ้นจากน้ำด้วยท่าที่ดีขึ้น กำลังภายในร้อนผ่าวเป่าร่างให้แห้งชั่วพริบตา แต่ไม่รู้ทำไมไม่เผื่อแผ่ระบบซักแห้งอัตโนมัติมาให้เขาด้วย เยว่ถิงจึงยังคงเปียกโชกทั้งอาภรณ์แนบผิวอยู่ในอ้อมกอดประมุขมารเช่นนั้น จามออกมาเบาๆ สองครั้งติดทว่าไม่เป็นที่ใส่ใจ
จอมอสูรพันศพเคลื่อนกายออกไปจากห้อง สองแขนแข็งแรงยังไม่ยอมปล่อยร่างเขาราวกับว่าจะหลุดหนีไปได้
“รายงานท่านประมุข เสียงเมื่อครู่เกิดจากผู้อาวุโสเจิ้งและผู้อาวุโสมู่ประลองฝีมือกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ที่แท้เป็นการวิวาทนี่เอง แต่เสียงสนั่นลั่นโครมนั่นบอกได้ว่าต้องมีส่วนหนึ่งสถานที่ใดพังเสียหาย
ความพยายามผ่อนหนักเป็นเบาของผู้มารายงานหรือลมหนาวที่เริ่มพัดพามาไม่ได้ลดอุณหภูมิปรอทในตัวผู้ฟัง ยามประมุขพรรคเอ่ยเสียงกดต่ำว่า
“ที่ใด”
“บริเวณใกล้หออักษรเล็กขอรับ”
การเหินทะยานรวดเร็วจนคล้ายล่องลอยไป ครู่เดียวก็เข้าใกล้จุดที่กลุ่มก้อนของความวุ่นวายรวมกัน ฝ่าเท้ายอดยุทธ์แตะพื้นค่อนข้างแรงจนร่างเยว่ถิงสะเทือนไปทั้งร่าง เมื่อจอมอสูรปรากฏตัวขึ้น เสียงพูดคุยเหล่านั้นก็เงียบลงกลายเป็นเสียงคำนับแล้วคุกเข่าพร้อมกันอย่างหวาดเกรง
จากเสียงคำนับ สองร่างคุกเข่าเบื้องหน้าจอมอสูรคงเป็นจำเลยทั้งคู่นั่นเอง ความหวาดกลัวในใจผู้กระทำความผิดดูจะน้อยกว่าเหล่าคนในพรรคที่เข้ามาดูสถานการณ์เสียอีก กระแสความขุ่นเคืองใจระหว่างกันยังชัดแจ้งมิสร่าง จะว่าสำนึกกับสิ่งที่ทำลงไปก็เอ่ยได้ไม่เต็มปาก เพียงแต่เกรงใจต่อประมุขพรรคมารผู้นี้นี่เอง
“เป็นเพียงการประลองฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ขออภัยที่ทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต” เจิ้งซื่อเอ่ย เขายังคงความสุขุมสงบใจได้ เว้นแต่มีอาการหอบแฮ่กปนมาด้วย และจากการน้ำเสียงลักษณะการพูดคงบาดเจ็บที่ปาก
“เป็นเหตุให้ในพรรควุ่นวาย ข้ายินดีรับโทษตามกฎ” มู่อวิ้นหลงเองนั้นไม่ได้ต่างกัน อาจกดอารมณ์เกรี้ยวกราดได้ไม่ดีเท่าไหร่แต่ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอกว่าคู่กรณี
“ดี ดีมาก” จอมอสูรเค้นเสียงลอดไรฟัน ทำให้ผู้คนรอบกายเสียวสันหลังวาบโดยทั่วกัน “ข้าเองก็มีกิจธุระของข้า แต่ต้องละมาดูพวกเจ้าที่ต่อยตีกันเหมือนเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
จอมอสูรเน้นคำว่ากิจธุระเสียมาก แรงที่จับตัวเยว่ถิงเพิ่มขึ้นตามคำกล่าวทำให้ใบหูของเด็กหนุ่มแดงเรื่อขึ้นมา ด้วยคงรู้กันหมดแล้วว่ากิจที่ว่านั่นคืออะไร ถึงจอมอสูรไม่รู้สึกรู้สา ทว่าเขายังละอายแก่ใจเป็น จึงเบือนหน้าหนีผู้คนเข้ายังแผ่นอกกว้างนั้นแทน สภาพยามนี้จึงเหมือนกับลูกลิงมุดอกแม่ก็ไม่ปาน
ไม่ทราบคิดไปเองหรือไม่ คล้ายจู่ๆ จอมอสูรก็อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังเขม่นเข่นเขี้ยวต่อคนสนิททั้งสอง
“คนหนึ่งก็ตัวช้ำ ปากบวมเจ่อ คนหนึ่งก็กำเดาไหล ตาคล้ำเขียว ไม่ต้องนับหลังคาและหน้าต่างหอตำราของข้า ผู้อาวุโสทำผิดกฎวิวาทกันเสียเองเช่นนี้ ใครมันจะเอาเป็นตัวอย่างได้ ไม่ต้องก้มหัวขอโทษ หุบปากแล้วฟังข้า เงินเดือนตลอดหกเดือนต่อไปของพวกเจ้าไม่ต้องรับ แล้วต้องชดใช้ค่าเสียหายหอตำราคนละครึ่ง”
หลายเสียงถอนใจโล่งอก แสดงว่าการลงโทษเพียงเท่านี้นับว่าเบากว่าที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะทั้งคู่คือคนโปรด ทั้งยังเคยได้ยินมาว่าการใช้ข้ออ้างประลองฝีมือในพรรคมารสามารถถือได้ว่าเป็นการขัดเกลาฝีมือซึ่งกันและกัน หากไม่ถึงตายหรือก่อให้เกิดความเสียหายมากก็ไม่ต้องรับโทษหนักหนาอะไร
“พรุ่งนี้มีเรื่องมากมายให้สะสาง วันนี้ข้าจะยังไม่เอาเรื่อง แต่อย่าคิดว่าโทษทัณฑ์มีเพียงเท่านี้เท่านั้น พวกเจ้าที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไปทำธุระของตนซะ”
ชาวพรรคสะบั้นสวรรค์รีบสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เจิ้งซื่อและมู่อวิ้นหลงโขกศีรษะขอบคุณในความเมตตา จอมอสูรพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าที่คาด เยว่ถิงที่เปียกโชกจึงสั่นสะท้านทุกครั้งยามลมพัดมา ผิวที่โดนน้ำและอาภรณ์เฉอะแฉะเริ่มเย็นชื้นขึ้นไม่สบายตัว
“ลุกขึ้น ไหนๆ ข้าก็หมดอารมณ์แล้ว เจิ้งซื่อ เจ้าจงนำกระต่ายของข้าไปเรือนเร้นจันทร์แล้วจัดการให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้ ส่วนอวิ้นหลง เจ้าจงตามข้ามา”
เยว่ถิงถูกโยนเหมือนกระสอบข้าวให้เจิ้งซื่อรับ ปราชญ์อธรรมมีรูปร่างสูงโปร่งดั่งบัณฑิตอย่างที่เขาคาดไว้ แต่แขนเรียวนั้นกลับรับเขาไว้อย่างมั่นคง เยว่ถิงอยากเอ่ยว่าตนเองเดินเองได้ ทว่าเมื่อคิดอีกที แกล้งทำเป็นง่อยไปเสียน่าจะมีประโยชน์กว่าจึงปล่อยร่างไร้เรี่ยวแรงเกาะไหล่บางๆ ได้รูปนั้นไป
ฝีเท้าของประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์และมือซ้ายห่างไกลออกไปอีกทาง เจิ้งซื่อส่งเสียงซี้ดเบาๆ ขณะอุ้มเยว่ถิงตากลมหนาวเดินไปด้วย กลิ่นกายของบุรุษผู้นี้เหมือนกลิ่นต้นไผ่ยามถูกฝนทำให้รู้สึกสงบใจ ไม่เข้ากับความร้ายกาจที่มีเลย
ด้วยเพราะบรรยากาศรอบตัวไม่รุนแรงชวนให้ตัวแข็งเช่นจอมอสูร เยว่ถิงจึงสามารถสำรวจปราชญ์อธรรมผู้นี้ได้ดั่งใจแม้บัดนี้เจิ้งซื่อจะยังคงอารมณ์ไม่ดีนักหลังการวิวาท เยว่ถิงแอบทำเป็นเผลอแตะโดนยังนิ้วที่อุ้มโอบรอบหลังเขาไว้ ปรากฏว่าหักไปถึงสองนิ้ว
สัมผัสต่อไปก็พบว่าผิวบวมปูดช้ำหลายที่ เหลือเชื่อที่ขนาดนิ้วข้างขวาก็หักไปอีกสามนิ้วแล้วยังอุ้มเขาได้ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากเริ่มคลำหาความเสียหายเพลินโดยที่เจิ้งซื่อเงียบกริบ นิ้วมือของเยว่ถิงก็ไล่ละไปเรื่อยยังแขนและไหล่ จนจู่ๆ เจิ้งซื่อก็หยุดเดินชะงักกึกเสียดื้อๆ
“กระต่ายเจ้านายคิดยั่วยวนข้าด้วยหรือไร?”
น้ำเสียงนั้นติดจะกรุ่นๆ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด เยว่ถิงสะดุ้งรีบชักมือเปื้อนโลหิตออก ส่ายหน้าดิกๆ
“เอ่อ ผู้น้อยเพียง... เพียงอยากรู้ว่าท่านบาดเจ็บแค่ไหน” เผื่อจะได้หนีได้ นี่คือสิ่งที่เยว่ถิงคิดต่อในใจ อย่างไรเจิ้งซื่อก็ไม่ใช่สายบู๊อยู่แล้ว ปราชญ์อธรรมคงเลิกคิ้วอยู่ ก่อนส่งเสียงหึในลำคอออกมา
“สอดรู้เกินไปย่อมไม่ตายดี”
คำข่มขู่นับว่าได้ผล เยว่ถิงจึงนิ่งเรียบร้อยว่าง่ายไม่ซุกซนอีก จนเมื่อมาถึงสถานที่ที่น่าจะเรียกว่าเรือนเร้นจันทร์ กลิ่นไม้หอมอ่อนๆ และความอบอุ่นจากตะเกียงโดยรอบทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ทั้งสองเข้ามาในห้องไม้ที่อากาศวนเวียนอับชื้นเล็กน้อย แต่ก็โชคดีที่ปราชญ์อธรรมจุดเครื่องหอมสมุนไพรไล่ไป ก่อนเยว่ถิงจะถูกวางไว้บนเตียงนุ่มสี่เสาที่มีม่านผูกหลังหนึ่ง
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้หรือไม่”
เยว่ถิงพยักหน้า เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกโยนลงมาให้บนตัก ขณะที่เขากำลังจะปลดชุดออกเลื่อนลงจากหัวไหล่ เด็กหนุ่มจึงสำนึกได้ว่าเจิ้งซื่อยังอยู่ด้วย เขากะพริบตาสองสามที แสร้งมองไปอย่างไร้ทิศทาง
“อ่า ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่”
“สบายใจได้ ข้าไม่พิศวาสร่างกายบุรุษด้วยกัน” เจิ้งซื่อเอ่ยปัดอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก ดูเหมือนสนใจกับสิ่งที่ส่งเสียงเคร้งๆ ที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งมากกว่า ใจเยว่ถิงเสียววูบขึ้นอีก อย่าบอกนะว่านั่นจะเป็น...
เยว่ถิงจำต้องฝืนใจเปลี่ยนชุดอย่างกระอักกระอ่วน จนในที่สุดก็สวมใส่เสื้อผ้าแห้งอุ่นสบายเนื้อดีชุดใหม่เรียบร้อย เจิ้งซื่อจึงเดินมาหาเขาพร้อมกับสิ่งที่เป็นโลหะในมือ
“เนื่องจากการหลบหนีของกระต่ายตัวที่แล้ว ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้” ตรวนโลหะถูกล่ามลงยังข้อเท้าของเยว่ถิง พันธนาการแน่นหนาหนักเช่นนี้ เขาไม่มีทางหนีรอดไปได้
เจิ้งซื่อใช้นิ้วชี้เรียวยาวเชยคางเขาขึ้น
“ข้าไม่คิดว่าท่านประมุขจะถูกใจเจ้า มิฉะนั้นคงปล่อยไปแล้ว อย่างไรก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้อย่าตายเร็วแล้วกัน”
นิ้วเรียวให้สัมผัสเหมือนสตรีลากขึ้นยังปลายจมูก ก่อนจะบีบเบาๆ อย่างติดจะหยอกล้อ
“พรุ่งนี้เป็นพิธีตีตรา เจ้าจะเป็นสมบัติของท่านประมุขอย่างแท้จริงนับจากนี้เป็นต้นไป การหนีจากที่นี่มีเพียงความตายเท่านั้น แล้วก็อย่าแตะต้องตัวชายอื่นโดยมิได้คิดอีก มิฉะนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน ขอให้โชคดี”
เยว่ถิงคิดว่าตนจะนอนไม่หลับตลอดคืน เพราะจู่ๆ เกิดเรื่องมากมายถาโถมจนสมองสับสน จากนอนริมทางเฉยๆ กลับกลายมาเป็นนายบำเรอให้แก่ประมุขพรรคมารเสียอย่างนั้น แต่เพราะความเหนื่อยอ่อนทำให้เผลองีบหลับไปเมื่อไหร่ไม่ทราบ
รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นจากความรู้สึกว่ามีอะไรทับเบียดเสียดอยู่ข้างกายทั้งๆ ที่เมื่อคืนเตียงนอนนี้ออกจะกว้างขวางและว่างเปล่า เยว่ถิงครางอือเบาๆ พลิกตัวหนีไปอีกทาง
ขอทานตาบอดเช่นเขาเพิ่งได้นอนบนที่นอนสบายเช่นนี้จึงยังเมาขี้ตา แม้มีโซ่ล่ามข้อเท้าแต่ก็มิได้เป็นปัญหาเท่าใด เพราะเขาเคยกระทั่งถูกส่งเข้าไปนอนในคุกขี้ไก่ข้อหาขโมยของซึ่งเรื่องกลับกลายเป็นว่าจับผิดตัว คืนนั้นนอนทั้งตรวนบนข้อมือและข้อเท้ากับฝูงไก่จอมเอะอะทั้งคืน ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีแต่ก็เพิ่มภูมิต้านทานในการนอนง่ายอยู่ง่ายมากกว่าเดิม
ทว่าความหนักนั้นก็ตามมาแนบชิดด้านหลังอีก เยว่ถิงมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยดึงผ้าห่มแพรมาคลุมปิดร่างตน ทันใดนั้นถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือใหญ่มาตะปบลงยังส่วนต้องห้ามยามเช้าของบุรุษ ผีอำร่างสูงใหญ่ยังเอาใบหน้ามาซุกไซ้ซบเข้ายังลำคอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากลิ่นกายและลักษณะหื่นกามเช่นนี้คือใคร
“นายท่าน” เยว่ถิงครางเสียงแหบ รู้สึกตื่นเต็มตาทันควัน พยายามใช้มือผอมแห้งของตนดึงรั้งมือใหญ่กว่าออกไป น่าโมโหนักเมื่อจอมอสูรยังมีทีท่าทำเป็นว่าละเมอไม่รู้สึกตัว คางได้รูปเกยบนหัวไหล่ เส้นผมยาวสุขภาพดีกระจัดกระจายบนบ่าลงมาถึงหน้าอกเยว่ถิง นอกจากมือที่คลำด้านล่างยังไม่หยุดลูบขึ้นลง มืออีกข้างยังแทรกเข้ามาในสาบเสื้อ
“นายท่าน ผู้น้อยหนัก” เยว่ถิงดิ้นรนแต่เหมือนคนขยุกขยิกตัวมากกว่า เมื่อถูกขาแข็งแรงด้วยกล้ามเนื้อพาดทับดั่งคนก่ายหมอนข้าง นี่เขาตื่นมาต้องเจออะไรแบบนี้เลยหรือ ชีวิตน่าเศร้าอะไรปานนี้ ตกลงพิธีตีตราที่ว่าจะได้ทำไหม
เยว่ถิงรับรู้ได้ว่าจอมอสูรคงแกล้งหลับตาแล้วทำเป็นหายใจสม่ำเสมอ แสร้งไม่รู้สึกตัวอะไรแบบนั้น
“ท่านประมุข” นายบำเรอจำเป็นส่งเสียงดังขึ้นอีก
คราวนี้ออกอาการสะบัดร่างเมื่อมือนั้นสอดเข้ายังอาภรณ์ไปสัมผัสเม็ดบนอกแล้วลูบไล้ มือด้านล่างราวกับจะปลุกเร้าให้เขาเสร็จสม แถมเจ้าน้องชายทรยศยังดูจะเริ่มโอนเอียงเห็นชอบ ไม่สิ มันคือธรรมชาติของผู้ชายสุขภาพดีทุกคนที่จะยืนตรงทุกเช้านั่นแหละ เพียงแค่อย่าเพิ่งมายุ่งก็จะเอนกลับเข้าที่เอง ในกรณีนี้ถ้าจอมอสูรไม่หยุดก็คงย่ำแย่แน่
“ท่านประมุข”
เสียงเจิ้งซื่อจากด้านนอกราวกับเป็นเสียงสวรรค์ซึ่งพร้อมมาเสียงนกร้องยามเช้า เขาได้ยินเสียงถอนใจแรงๆ ข้างหูก่อนบุรุษผู้ถูกเรียกจะลุกขึ้นนั่งจนฟูกยวบ น้ำเสียงทุ้มตอบรับอย่างเหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน
“เจ้าผอมไปหน่อย วันหลังจะขุนให้มีเนื้อมีหนังกว่านี้” จอมอสูรว่าออกแนววิจารณ์ขณะปลดตรวนยังข้อเท้าเขา เยว่ถิงที่ยังคงกรุ่นๆ ด้วยความโมโหจะไม่ตอบก็ไม่ได้ อย่างน้อยประตูหลังเขาก็ยังไม่เจ็บไม่ปวดและการทำลายอารมณ์ดีของคนผู้นี้ในวันที่เขาจะถูกตีตราไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก
“ขอบคุณนายท่านที่เมตตาขอรับ” แต่คราวหน้าอย่าแอบย่องขึ้นเตียงเขาจะได้ไหม แน่นอนว่าท่อนหลังได้แต่คิดในใจ
จอมอสูรราวกับอ่านความคิดแลน้ำเสียงของเขาออก ยิ่งหัวเราะหึๆ ก่อนจะสะบัดชายเสื้อคลุมเดินออกไปสนทนากับเจิ้งซื่อ มีสาวใช้สามคนเข้ามาแทนที่ จากฝ่ามือและน้ำเสียงคือบรรดาป้าที่แปลงโฉมเขานั่นเอง
ยามนี้ก็ถูกพาไปอาบน้ำพรมน้ำหอมอีกรอบ แต่งกายด้วยอาภรณ์หลายชั้น แถมมีป้ายผูกเอวและเครื่องประดับเพิ่มเติมอีกด้วย แค่นายบำเรอคนหนึ่งจำเป็นต้องมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ พอเอ่ยปากถาม ก็ได้ความว่า “ธรรมดาก็ไม่มากถึงเพียงนี้หรอกเจ้าค่ะ ท่านประมุขคงโปรดปรานท่านจริงๆ นะเจ้าคะ”
“แล้ว ไม่ทราบว่ากับนายบำเรอคนก่อน...”
“โอ๊ย บ่าวพูดไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ คุณชายอย่าได้ถามเรื่องเขาให้ลำบากใจเลย”
“งั้น... พิธีตีตรานี้เป็นอย่างไร”
“พวกเราเสียใจที่ต้องให้ท่านเผชิญเองตามกฎเจ้าค่ะ มิอาจตอบได้ก่อน”
เมื่อเป็นเช่นนี้เยว่ถิงจึงเลือกจะไม่ถาม พยายามหาสิ่งที่เขาจะถามได้แทน
“ผู้น้อย...”
เหล่าคุณป้าหัวเราะพออกพอใจ “ผู้น้อยอะไรกัน คุยกับบ่าวไพร่คนรับใช้เช่นพวกเรา ต่อให้คุณชายเป็นนายบำเรอก็ถือว่ามียศสูงกว่า อย่างว่า แต่ก็มิได้หมายความว่าจะชอบให้ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่างเช่น... อะแฮ่ม กล่าวง่ายๆ คือท่านแทนตัวเองว่าข้าจะเหมาะสมกว่าเจ้าค่ะ”
เยว่ถิงขัดเขินเล็กน้อย ฐานะแต่เดิมอย่างไรเขาก็เป็นเพียงขอทาน “แต่ท่านอาวุโสกว่า เอ่อ ข้า?”
“มิเป็นปัญหา ถ้าว่าถึงอายุพวกเราสามคนรวมกันคงหลายร้อยปีแล้วเจ้าค่ะ แทบอาวุโสกว่าใครในที่นี้” เยว่ถิงเผลอหลุดยิ้มออกมา เหล่าสตรีแม่ยกเหล่านี้ถึงกับกรี๊ดกร๊าดประหนึ่งเขาคือไอดอลเกาหลีอย่างไรอย่างนั้น
“ไหนท่านลองยิ้มใหม่ซิ มิน่าท่านประมุขถึงได้ชื่นชอบ ขนาดดูผอมบางแต่ยิ้มแล้วน่ารักน่าชังอะไรเช่นนี้”
เยว่ถิยิ่งยิ้มประจบประแจง เอ่ยเสียงนอบน้อมนุ่มนวล
“ข้าขอถามอีกข้อได้หรือไม่”
“แน่นอน สิ่งใดเราตอบได้เราก็จะตอบท่าน”
“นายท่าน เอ่อ ท่านประมุข ชื่นชมในบุรุษ” เยว่ถิงเว้นเล็กน้อย ดูท่าทางผู้ฟัง เมื่อไม่ถูกขัดก็เอ่ยต่อไป “มีความชอบบุรุษตั้งแต่ต้นหรือท่านป้า” ถึงกระนั้น เอ่ยตามตรงเขาเองก็ไม่เชื่อเจิ้งซื่อเท่าไหร่ว่าประมุขมารจะรุนแรงขนาดฆ่าคู่นอนขณะร่วมรักได้
“อืม” เหล่าสตรีสูงวัยกว่าเขาส่งเสียงครุ่นคิด ปรึกษาซุบซิบกันเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่เป็นไรกระมัง”
“รู้แล้วก็เงียบไว้นะท่าน อย่าได้เอ่ยปากเชียว” หนึ่งในนั้นป้องปากกระซิบเสียงแผ่วเบา
“ท่านประมุขได้สัญญาว่าจะรักสตรีผู้หนึ่งไปตลอดชีวิตที่หลงเหลืออยู่ ดังนั้นเมื่อยามมีอารมณ์ของบุรุษเพศจึงใช้บุรุษด้วยกันระบายความใคร่ มิยอมใช้สตรีคนอื่นให้แปดเปื้อนคำสัญญา”
ที่แท้เป็นอย่างนี้ ประมุขมารคงมั่นใจมากว่ามิมีทางหลงใหลรักใคร่บุรุษด้วยกันนั่นเอง เพื่อมิให้บรรยากาศเคร่งเครียดจริงจัง ท่านป้าทั้งสามก็เปลี่ยนไปเป็นคุยเรื่องเครื่องแต่งกายบนตัวเขาอีกครั้ง
ท่านป้าเหล่านี้ดูหัวสมัยใหม่มากที่ยอมรับเรื่องเพศระหว่างชายชาย แถมยังหัวร่อต่อกระซิกเลือกของมาทดลองประดับเขาราวกับเด็กสาวเล่นตุ๊กตา จับหน้าเอียงซ้ายทีขวาที ทว่าคิดในแง่ดีอย่างน้อยก็ยังดีที่มีคนในพรรคมารเอ็นดู
เส้นผมของเขาถูกแปรงอย่างประณีตบรรจงแล้วเกล้าขึ้น เหล่าท่านป้าถกเถียงกันว่าใช้ปิ่นที่เสียบจะเป็นแบบใดดี
“ปิ่นกระจกมีตุ้งติ้งระย้าสิถึงจะถูกต้อง”
“ไม่ เจ้าตาฝ้าฟางแล้ว ปิ่นหยกสิถึงจะดูงดงาม”
“ข้าว่าปิ่นทองคำสิถึงจะดูสง่า”
เยว่ถิงได้แต่นั่งกะพริบตา ปล่อยให้ทั้งหมดโต้แย้งหารือกันไป จนในที่สุดก็เสียบลงสักปิ่นลงบนผมเขา ยามทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เอ่ยชื่นชมปลาบปลื้มในผลงาน เด็กหนุ่มขอทานยิ่งรู้สึกเหมือนแต่งงานเข้าไปอีกเมื่อได้ยินว่าเขาสวมชุดแดงอีกด้วย
ประตูห้องเปิดเข้ามา สามสตรีวัยกลางคนตรงปรี่เข้าไปคำนับผู้มา นักปราชญ์อธรรมเงียบนิ่งไปยามสังเกตเขา ก่อนเอ่ยชื่นชมด้วยถ้อยคำที่เยว่ถิงไม่รู้ว่าควรดีใจที่ได้ยินหรือไม่ “ข้าเป็นบุรุษแท้ๆ ยังคิดว่าเจ้าดูดีมาก เอาเถอะ ถึงเวลาขึ้นเกี้ยวแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นพิธีตีตรา”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่าพึ่งปล่อยใจไปรักอีตาประมุขนะอาถิง รักมั่นขนาดนี้ ต้องทำให้สยบแถบเท้าถึงจะดียิ่ง!
ฮือออ ประมุขรักใครคะ แล้วมานางคนนั้นตายแล้วหรอหรือยังไง
น้องต้องเป็นโฉมสคารญเเน่ เเต่คือเเกอีตาอสูรนั่นมีคนในใจเเล้วเหรอ