ตอนที่ 48 : 46 - สวรรค์ร่วงหล่น
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
46 – สวรรค์ร่วงหล่น
ในรั้วสูงแห่งราชวังแคว้นอ้ายอันยิ่งใหญ่โอ่โถง ห้องหนึ่งประดับด้วยสีทองเรืองรอง เครื่องเรือนทำจากไม้หอมแกะสลักหายาก แจกันประดับลงลวดลายปลามังกร กระทั่งผ้าม่านยังถักทอจากไหมที่ละเอียดอ่อนประณีตที่สุดในแคว้นอ้าย
เวลานี้ราตรีกาลคล้อยคลุม ทั่วทั้งห้องประดับด้วยโคมสว่าง เล่นล้อกับสีทองระยับจับตา
ห้องเปรียบเหมือนสรวงสวรรค์อันวิจิตร ผู้ได้มาเยือนย่อมรู้สึกประหนึ่งเทพเซียน ทว่ายามนี้ กลับมิมีผู้ใดคิดว่าตนเป็นเทพเซียน และไม่มีผู้ใดสนใจกับความสวยงามรอบกาย
บรรดาขุนนางชั้นสูงก้มหน้านิ่ง แม้แต่เสียงหายใจยังไม่มีหลุดรอดออกมา
บุรุษผู้นั่งยังที่นั่งเอกเลื่อนสายตาอ่านทวนกระดาษสาสน์ลับในมือ ไอเยียบเย็นแผ่ขยายออกจากผิวกาย แสงสลัวสีทองกระทบใบหน้า กลับกสะท้อนผิวซีดจางและสีหน้ากระด้างประดุจหน้ากากหนังมนุษย์
“อ้ายอ๋อง”
ความเงียบถูกทำลาย บุรุษหน้าตาเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกก้าวพรวดเข้ามาภายในห้อง สีหน้าน่าหวาดหวั่นด้วยขี้ผึ้งซึ่งฉาบทับบนใบหน้าขมวดเครียดผิดรูป ดวงตากลิ้งกลอกแพรวพราวในยามปกติกลับกลายเป็นแตกร้าวแดงก่ำ
“เป็นความผิดของข้า”
โจวหวู่คุกเข่าวาดมือโขกศีรษะ อ้ายอ๋องหลี่ถังละสายตามาจับจ้องยังเขา “ลุกขึ้น”
ผู้ขอขมาค่อยๆ ลุกขึ้น ประมุขแห่งแคว้นอ้ายยื่นกระดาษในมือสู่เปลวเทียนบนตั่งโต๊ะสลักรูปมังกรเจ็ดตัว
เปลวไฟลามเลียเนื้อกระดาษเชื่องช้า กลิ่นไหม้ลอยม้วนเอื่อยไปในอากาศ
แสงเทียนสะท้อนประกายลุกโชนในดวงตาคมกริบ อ้ายอ๋องรอจนกระดาษแผ่นนั้นกลายเป็นเถ้าธุลีจนหมด ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ
“สองพี่น้องแซ่อู่ทรยศข้า ชุนอ๋องระงับสงครามที่วูซาได้ ข่าวลือเรื่องจดหมายไม่เป็นจริง ตัวประกันเองก็ถูกช่วยออกไปได้ สามเดือนนี้ เป็นเราเดินหมากผิดพลาด”
เสียงเอ่ยราบเรียบ แต่ผู้รับใช้ใกล้ชิดล้วนรู้ดี ว่าแฝงด้วยโทสะอันโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด
ดูได้จากศีรษะและแผ่นหนังซึ่งถูกแยกออกจากตัวของคนถ่อยที่ปล่อยให้หวู่อ๋องและมารดาอนุถูกพาตัวออกไปได้ บัดนี้ยังคงเสียบประจานอยู่ให้อีกาจิกกิน ณ บริเวณนอกเขตราชวัง
“อีกไม่นานจะถึงวันเกิดท่านอ๋อง และชุนอ๋องจะกลับมาก่อนหน้านั้น เขาคงใช้โอกาสนี้ลงมือ อ้างความเป็นธรรมของโอรสสวรรค์และจดหมายของหวู่อ๋องมาเปิดโปงท่าน”
โจวหวู่เอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“พวกเขาวางแผนมาเป็นอย่างดี... และยาวนานกว่าหนึ่งปี มิฉะนั้นพระปิตุลาเฉิงกงคงไม่มาพำนักที่แคว้นถึงสามเดือนในเวลานี้”
พระปิตุลาเฉิงกง... บุรุษผู้ถือตราอำนาจรองจากองค์จักรพรรพดิ ถึงกับอ้างเรื่องสุขภาพมาพักผ่อนยังแคว้นอ้าย เพื่อบังคับกำลังของอ้ายอ๋องให้ยึดมั่นอยู่ เพราะหากเคลื่อนไหวหมายจะกำจัดชุนอ๋องเมื่อไร พระปิตุลาก็คงจะอาศัยจังหวะยึดครองตำหนักอ้ายอ๋องทันที
บัดนี้พ่อกลับไปแล้ว และลูกชายจะมาแทนที่ อ้ายอ๋องเหยียดยิ้มแสยะออก เงยหน้าขึ้น
“มัจฉาอาจหาญทะยานเป็นมังกร เช่นนั้น ก็ให้พวกมันลิ้มรสชาติดู ว่าค่าของความทะเยอทะยานเกินตัวเป็นเช่นไร”
แม้มิมีผู้ใดอาจหาญกล้าคิดทะยานเป็นมังกรในที่นี้ ทว่าน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ทะลุโสตประสาท ก็ทำให้สั่นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ
บิดากลับไป บุตรชายมาเยือน
แม้พระปิตุลาเฉิงกงจะไม่ได้ยอมรับในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิวหยางอย่างเต็มใจ ทว่านอกจากทำตามสัญญามอบไหมจักรพรรดิห้าสี ยังได้มาเยือนแคว้นอ้ายเพื่อตรึงกำลังอ้ายอ๋อง
เยว่ถิงและชิวหยางพบคุณชายไป่และอู่เสวี่ยจินที่ตำหนักอัสดงสราญรมย์ ทั้งสองเอ่ยว่างานทั้งหมดราบลื่นดี มีอุปสรรคบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่ แล้วนำพาพวกเขาไปพบหวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน
ที่พำนักในยามนี้ของหวู่อ๋องคือเขาหลวนซาน สถานที่ศึกษาวิชาแพทย์ของเยว่ถิง
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หวู่อ๋องหลี่ซื่อหยาง บุรุษกร้านโลกที่มีเสน่ห์แพรวพราวผู้นั้นผ่ายผอมลงมากจนเหมือนหนังหุ้มกระดูก ดวงตาลึกโหล ไม่เหลือเค้าว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นบุรุษตระกูลหลี่รูปงาม แต่นั่นเป็นเพียงภายนอก
“ยังไม่ตาย” เมื่อยามตอบคำ ดวงตาและรอยยิ้มฉายออกมาถึงตัวตน ให้เยว่ถิงที่ขมวดคิ้วแน่นค่อยยิ้มตอบได้
“แต่ก็เกือบตาย”
หมอเทวดาซุ่ยหวางเจียเดินเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง ในมือถือสำรับยาส่งกลิ่นขมคอจนหลายคนในห้องเบ้หน้าแม้ไม่ได้เป็นผู้ดื่มเอง
หลังช่วยเหลือหวู่อ๋องที่อาการสาหัสออกจากคุก คุณชายไป่กับอู่เสวี่ยจินก็ได้เร่งนำเขามารักษาบนเขาหลวนซาน อ้อนวอนขอร้องอยู่นาน สุดท้ายหมอเทวดาที่ออกปากว่าจะไม่ยุ่งเรื่องราวในยุทธภพต้องรับคนไข้อาการร่อแร่ผู้นี้ไว้
หลวนซานอยู่ใต้การคุ้มครองของอ้ายอ๋อง การเปลี่ยนอำนาจย่อมส่งผลกระทบ มิใช่ตัวอาจารย์ของเขาจะไม่รู้
แต่นอกเหนือจากข้อนี้ ดูเหมือนยังเป็นอาจารย์ของเขาเองที่ใจอ่อน หลังจากดูแลอดีตองค์จักรพรรดิจนสิ้นลมแล้ว คงไม่แคล้วได้ฟังถ้อยคำมากมาย จึงบ่นพึมพำขณะเยว่ถิงอาสาไปช่วยต้มยาอยู่หลังเรือน
“เป็นจักรพรรดิแล้วอย่างไร เกิดตายก็เหมือนกัน จะจากไปแล้ว ยังบ่นพร่ำถึงลูกชายลูกสาวไม่ต่างจากตาเฒ่าคนหนึ่ง มิได้เอ่ยถึงสมบัติบัลลังก์สักคำ”
หากนับตามศักดิ์แล้ว อดีตองค์จักรพรรดิแห่งเจ็ดแคว้นชางเหอเท่ากับเป็นลุงของเขา เยว่ถิงรู้สึกสะทกสะท้อนใจไม่น้อย ยามนี้ที่คิดว่าต้องฟาดฟันสายเลือดเดียวกันเอง เพื่อแย่งชิงสิ่งสูงสุดแห่งแคว้นอ้ายมา
“องค์จักรพรรดิตรัสกับท่านว่าอะไรหรือท่านอาจารย์”
“ก็เพ้อเจ้อเพราะพิษไข้” เห็นแผ่นหลังที่เริ่มงองุ้มก้มยกหม้อยาขึ้นลงจากเตา น้ำเสียงเรื่อยเอื่อยเหมือนสายธารที่ไหลจนเจนจัดกับเส้นทางน้ำ “ข้าเองเป็นแค่สามัญชน ไม่รู้เรื่องอำนาจการปกครอง ไหนเลยจะเข้าใจ”
ด้วยเพราะอยู่ด้วยกันใกล้ชิดถึงสองปี ถ้อยคำนี้เหมือนจะส่งถึงเขาด้วย เยว่ถิงถอนใจ
“...ข้านั้นคิดว่าอำนาจเป็นสิ่งน่าหวาดหวั่น กุมไว้กับตัวนานเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งดี”
เห็นดวงตาชราคู่นั้นเหลือบมอง “นั่นแล้วแต่เจ้าจะคิดเลือก”
“แล้วท่านยังเชื่อในตัวข้าหรือไม่”
“ข้าเคยไม่เชื่อด้วยหรือ”
ผู้รั้งยศชุนอ๋องหลุดหัวเราะโล่งใจออกมา “ข้าโชคดีที่ได้ท่านเป็นอาจารย์”
“ส่วนข้าโชคร้ายที่ได้เจ้าเป็นศิษย์”
รอยยิ้มหายากปรากฎอยู่บนใบหน้าดุจเทพเซียนผู้ชรา ประหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังดึงสติของเยว่ถิงให้กลับมาไตร่ตรองกับตนเอง
หลังจากนำยามาให้หวู่อ๋องดื่มแล้วพยุงร่างกายซูบผอมขึ้นพิงผนักเตียง การประชุมครั้งสำคัญก็ได้เริ่มขึ้น
จดหมายลับของอ้ายอ๋องแท้แล้วเก็บอยู่ยังทหารคนสนิทของหวู่อ๋อง ผู้ที่ร่วมขี่ออกจากป่าไผ่เงินเมื่อสี่ปีก่อนด้วยกัน จำต้องทนมองนายตนคุมขังเพื่อเฝ้ารักษาสมบัติชิ้นนี้เทียบเท่าลมหายใจ จนบัดนี้จึงได้นำออกมาใช้ในที่สุด
ส่วนเรื่องกองกำลัง บัดนี้มีทั้งกองกำลังเดิม กองกำลังเสริมจากพระปิตุลาเฉิงกง และกองกำลังของตระกูลเสนาบดีแซ่หวังที่ถือข้างเยว่ถิง ชายฉกรรจ์ล้วนผ่านการเคี่ยวกรำอย่างเข้มข้น พร้อมต่อการสู้รบปะทะ
ตัวประกันเองก็ถูกช่วยออกมาหมดสิ้น อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของอ้ายอ๋อง นับว่าเป็นเวลาที่เหล่าขุนนางจะต้องไปรวมตัวกันที่ราชวังร่วมเฉลิมฉลอง ถือเป็นฤกษ์ดีที่สุด
แผนที่ถูกกางออกบนโต๊ะ สายตาแต่ละคู่ของเหล่าบุรุษภายในห้องคมปลาบยิ่งกว่ากระบี่ที่ถูกหินลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคำพูดทุกถ้อยคำล้วนก้องอยู่ในหูของคนทุกผู้ ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวถูกจดจำในจิตวิญญาณ
แพรพรรณพระราชโองการมังกรห้าเล็บเจ็ดตัวขององค์จักรพรรดิไท่เหวินหวงตี้ถูกส่งมาถึง อยู่ในกำมือของชุนอ๋องหลี่เยว่ถิง
เวลานี้เป็นฤดูสารท ใบไม้ร่วงปลิวผ่านหน้าต่าง กลิ่นอายของพายุฝนกำลังมาเยือน
วันหนึ่ง เยว่ถิงนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องที่ตำหนักอัสดงสราญรมย์ตามลำพัง พลันได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาก็สะดุ้งลุกตกใจ ปัดกาน้ำชาหล่นลงพื้น เศษแก้วบาดยังฝ่ามือขวาเป็นแผล โลหิตซิบไหลหยดลงตามนิ้ว
ผู้เข้ามาคือชิวหยาง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้แม่ทัพแห่งแคว้นอ้ายที่ไม่เคยเชื่อโชครางมากมายกลับไม่สบายใจอย่างยิ่ง จนเยว่ถิงต้องเอ่ยย้ำว่าเป็นเพราะเขาไม่ระวังเอง
ไม่ระวัง...
ปากเอ่ยอย่างนั้น แต่ภายในปั่นป่วนอยู่ไม่น้อย
อดีตวิศวกร เจ้าของร้านขายกาแฟ ขอทาน นายบำเรอ แพทย์ ท่านอ๋อง เป็นมามากเท่านี้ ไยจะเป็นผู้ก่อการอีกไม่ได้
สุดท้ายจึงเอ่ยกับตนเอง
“ขึ้นธนูจนสุดสาย จะไม่ยิงได้อย่างไร”
ใบไม้สีเขียวสดพร้อมใจกันเปลี่ยนสี ยิ่งเป็นเหล่าพรรณไม้มงคลสวยงามที่ปลูกประดับอยู่ยังวังของประมุขแห่งแคว้นอ้าย เมื่อกลายเป็นสีแดง ส้ม เหลืองและน้ำตาลแล้ว ยิ่งงดงามจับตา
ทุกปี วันเกิดของอ้ายอ๋องหลี่ถังนับว่าเป็นวันเฉลิมฉลองใหญ่ของแคว้นอ้าย ไม่เพียงแต่ที่ตำหนัก บ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างโดยรอบยังประดับตกแต่งไปด้วยกระดาษแก้ว ธงแห่งแคว้นอ้าย ระฆัง และสิ่งของมงคลต่างๆ
ถนนแห่งนครหลวงแคว้นอ้ายคึกคัก สองฝากฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ผู้คนหลั่งไหลกันมาคับคั่ง เพราะตลอดเวลาเก้าวันก่อนและหลังวันสมภพจริง นับว่าเป็นช่วงเวลาของงานเฉลิมฉลอง ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับการทำมาค้าขายและเที่ยวชมงานแสดงที่อ้ายอ๋องเลือกจัดให้แก่ราษฏร
ในวังหลวงแห่งแคว้นอ้ายเต็มไปด้วยวุ่นวาย เพราะไม่มีครั้งไหนที่งานเฉลิมฉลองนี้จะไม่ใหญ่โตหรูหรา บรรดาขุนนางฝ่ายต่างๆ ต่างพากันทุ่มทรัพย์สินเพื่อเลือกของกำนัลหายากราคาแพงเพื่อให้ต้องตาต้องใจผู้เป็นประมุขแคว้นมากที่สุด
ชุนอ๋องหลี่เยว่ถิงเองก็เลือกของกำนัลแล้ว เป็นของกำนัลชิ้นเอกที่ตรึงตาตรึงใจกว่าของกำนัลชิ้นไหนแน่นอน
ยามเช้าตรู่ของวันเกิดอ้ายอ๋องหลี่ถัง มีพิธีการบวงสรวงเพื่อความเป็นสิริมงคลยังลานหน้าราชวังนอกเมือง เหล่าประชาชนทั้งชาวบ้าน วานิช หรือบัณฑิตมารับชมแน่นขนัด กลิ่นธูปหอมลอยอบอวลให้รู้สึกถึงมนต์ขลัง ทว่าสายตาของเหล่าขุนนางชั้นสูงกลุ่มหนึ่งที่มองต่อกันกลับลึกลับมากกว่า
จบพิธีบวงสรวง จึงเป็นการเคาะระฆังเอาฤกษ์บนหอสูงระฟ้าซึ่งมีเพื่อสังเกตการณ์และเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ของราชวงศ์ชั้นสูง สตรีงดงามมากหน้าหลายตายืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านข้าง มีเพียงสตรีผู้หนึ่งที่ยืนเคียงข้างเสมออ้ายอ๋อง
พระชายาเอกมิได้มีรอยยิ้มยามเคียงคู่สามี นางสวมใส่อาภรณ์หงส์งดงามหรูหราเข้ากับฤดูสารทอันสุขุม แต่กลับขาดความสะพรั่งสาว แตกต่างจากเหล่าสนมที่แต่งกายสีสดใส ดวงหน้ากระจ่าง นัยน์ตาเป็นประกายแจ่มชัด เหมือนบุปผาแรกแย้มที่บานสะพรั่งในวสันตฤดู
เยว่ถิงเพิ่งเคยเห็นบรรดาภรรยาของอ้ายอ๋องเป็นครั้งแรก เขาคำนับตามมารยาท มองสตรีเหล่านั้นแล้วจำต้องหลุบนัยน์ตาลงมองเหล่าฝูงชนเบื้องล่างแทน
“ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ดีกว่าปีไหน” อ้ายอ๋องเดินมาเคียงข้างเขา “เพราะปีนี้ เจ้าได้กลับสู่ตำแหน่งมาช่วยเหลือข้า เรื่องราวต่างๆ ในแคว้นถึงได้ราบลื่นขึ้นมาก”
เยว่ถิงเปิดยิ้ม สบตาที่มากความหมายคู่นั้น “ข้าเองก็ยินดีที่สามารถช่วยท่านได้”
บุรุษในอาภรณ์มังกรยิ้มกว้างขึ้น แต่เป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
“เช่นนั้น ก็มาช่วยข้าแจกเงินมงคลเถอะ”
ข้ารับใช้นำเงินกำนัลที่ถูกห่อด้วยผ้าแดงอย่างดีมาให้ เยว่ถิงและอ้ายอ๋องหยิบเงินขึ้นแล้วโปรยลง สีแดงที่ปลิวไปในอากาศเหมือนกับใบไม้หลุดร่วง เหล่าประชาชนต่างเริ่มส่งเสียงเบียดเสียดเข้ามารับเงิน เพราะแม้มีมูลค่าไม่มาก ทว่าเป็นความเชื่อของชาวแคว้นอ้ายว่าหากผู้ใดได้รับเงินมงคลจากอ๋องแห่งแคว้นจะร่ำรวยไปตลอดปี
สีสันมากมายและสรรพเสียงเซ็งแซ่พาให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื้อตัน เหล่าทหารและขุนนางรอบกายที่รายล้อมหน้าหลังมากกว่าปกติพาให้ตึงเครียดกว่าครั้งไหน กลิ่นน้ำหอมของบรรดาสาวงามก็คล้ายจะทำให้วิงเวียนหน้ามืด
สัมผัสเหรียญในมือแล้วปาออกไปในอากาศ ห้วงหายใจของเยว่ถิงลึกยาว ในอกบีบรัด
ขบวนเหล่าผู้สูงศักดิ์จึงกลับไปยังราชวังแห่งแคว้นอ้าย แม่ทัพเอกและหัวหน้ามือปราบแต่งกายเต็มยศควบอาชานำพาทหารอารักษ์คุ้มกันแน่หนา เหล่าขุนนางเองก็เต็มไปด้วยคนสนิทข้างกายที่มิเคยมีผู้ใดเห็นหน้าค่าตา แม้สวมชุดเรียบง่าย แต่ก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเป็นยอดยุทธ์มากฝีมือที่ถูกจ้างมาคุ้มครองตามค่าเงิน
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการในช่วงกลางวันทั้งหมด ยามค่ำจึงเป็นเวลาสำหรับเลี้ยงฉลองที่แท้จริง
เข้ายังโถงใหญ่แห่งราชวัง อ้ายอ๋องนั่งลงยังบัลลังก์เอก เหล่าชายาที่นานวันพันปีจะได้ออกมากรีดกรายอวดโฉมต่างนั่งลงเบื้องหลัง รอฟังคำสรรเสริญอวยพรสวามีและเฝ้าดูของกำนัลที่เหล่าผู้คนจะสรรหามา
ภายในโถงที่ยามปกติงดงามอยู่แล้วยิ่งถูกประดับประดาให้สวยงามราวสรวงสวรรค์ มีสำรับอาหารอันมิอาจหากินได้ง่ายในแคว้นอ้ายตั้งอยู่พร้อมสุราที่เลิศรสที่สุด ม่านโปร่งบางและโคมเลื่อมทองถูกแขวนตกแต่งไว้ ด้านซ้ายมือยังมีวงดนตรีคอยขับกล่อมบรรเลง
ทั้งผู้คนในที่นี้ล้วนแต่งกายเต็มยศด้วยอาภรณ์และอัญมณีอันเลอค่า บัดนี้มองไปแล้วราวกับเป็นสวรรค์บนดิน
บุรุษรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาเป็นสีฟ้าแปลกตา ดวงหน้าขาวดั่งหยกกระเบื้องยากแฝงด้วยรังสีกรุ่นไอบางอย่าง ลำคอและแผ่นหลังตั้งตรงเสริมอาภรณ์เต็มยศอ๋องให้สง่างามเป็นผู้แรกตามบรรดาศักดิ์ที่ควรมอบของกำนัล
เยว่ถิงเยื้องย่างออกไป วาดแขนก้มคำนับ ก่อนจะนำสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
ทุกสายตาจับจ้องอยู่ยังม้วนแพรพรรณ ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก เสียงพูดคุยหายไปราวกับไม่เคยมี เหลือเพียงเสียงดนตรีจากผู้ที่ไม่รู้ความนัย
“อ้ายอ๋องหลี่ถัง คุกเข่าน้อมรับพระราชโองการ”
ลวดลายผ้าแพรเอ่ยทุกอย่างแทนคำพูดอย่างแจ่มชัด อ้ายอ๋องยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาเย็นชามืดดำ
“เนื่องจากอ้ายอ๋องหลี่ถัง แม้ดำรงยศถึงอ๋องแห่งแคว้นอ้าย ทั้งยังเป็นพระอนุชาขององค์จักรพรรดิ แต่กลับมีใจโหดเหี้ยมทะเยอทะยาน โลภโมโทสัน ยักยอกทรัพย์สินแคว้นเข้าเป็นของตน ทั้งยังคิดก่อการกบฏ จึงสมควรให้โทษประหารชีวิต”
เยว่ถิงเว้นวรรค หรี่ตาประสานกับอ้ายอ๋องก่อนเลื่อนมายังโจวหวู่ที่นั่งอยู่ไม่ไกล ตามด้วยเสนาบดีอู่บิดาของชิวหยาง
“พร้อมด้วยเหล่าขุนนางชั่วช้าที่ยุยงส่งเสริมสร้างความเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้า ทว่า... อ้ายอ๋องยังมีคุณความดีในอดีตอยู่บ้าง จึงลดโทษเป็นคุมขังตลอดชีวิต ส่วนเหล่าขุนนางชั่วช้านั้น ให้คุมขังไว้ก่อน แล้วพิจารณาโทษอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง”
มือขวาคลี่จดหมายการฉ้อฉลที่มีตราประทับหยกของอ้ายอ๋องชัดเจนอยู่ ความตระหนกแผ่กรจาย เสียงพูดคุยดังไม่หยุด เหล่าสตรีงามหน้าซีดเผือดหันหากัน ยามอ้ายอ๋องเริ่มขยับตัว ทุกเสียงจึงเงียบลงพร้อมกัน
ผู้กุมอำนาจเหนือแคว้นอ้ายลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วคุกเข่าลงเชื่องช้า ก่อนค่อยๆ ก้มคำนับ
เพล้ง!
เสียงสิ่งของแตกดังลั่น พลันได้ยินเสียงเฮและฝีเท้าที่วิ่งโถม เหล่าทหารอารักษ์ฝั่งหนึ่งเริ่มเข้าจู่โจม เข็มทองยาวเท่าฝ่ามือวิ่งเข้าใส่ใบหน้าเยว่ถิงให้ต้องชักกระบี่ที่ซ่อนไว้ออกมาปัดป้อง
“ฆ่ากบฏ!!”
โจวหวู่ลุกขึ้นตะโกนก้อง พลันเปลี่ยนสวรรค์ให้กลายเป็นแดนสงคราม
แท้แล้วไม่ได้มีเพียงกองกำลังของเยว่ถิงที่หลบซ่อน ยังมีกองกำลังของอ้ายอ๋องที่แฝงตัวอยู่ด้วย เหล่าทหารในชุดเกราะสองฝ่ายต่างถาโถมฟาดฟันกันอย่างไม่คิดชีวิต มวลผู้คนจำนวนมหาศาลทำให้เกิดคลื่นแห่งความโกลาหลลูกยักษ์ท่ามกลางยามค่ำคืน
เยว่ถิงได้กำชับหนักแน่นว่าอย่าได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพราะคิดว่าขุนนางที่มิรู้ความและมิคิดขัดขืนรวมถึงข้ารับใช้คงพอปล่อยผ่านไปได้ แต่ยามนี้มีบรรดาสนมและผู้คนที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว กลับกลายเป็นความยากลำบากอย่างยิ่ง
มิคาด... นี่เป็นแผนการของอ้ายอ๋อง!
ปล่อยเหล่าคนรับใช้และทหารจากตำหนักในออกมาทั้งหมด ซ้ำยังให้ชาวเมืองผู้มีฐานะหน้าตาในนครหลวงเข้ามารออยู่ยังลานกว้างหน้าตำหนักหลัก
เมฆเคลื่อนคล้อยเข้าบดบังจันทราให้มืดดับ แค่เพียงมองเห็นผู้ใดเป็นผู้ใดยังยาก เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วพร้อมกับเสียงข้าวของแตกและเสียงศาสตรา
“ตัดหัวชุนอ๋อง!”
เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น คุณชายไป่อวิ๋นหลานที่ตามเป็นองครักษ์ของเยว่ถิงเร่งเข้าช่วยเหลือ แต่แม้เป็นยอดยุทธ์ ครั้งนี้กลับไม่ง่ายดาย เมื่อฝั่งศัตรูก็มิมีมีเพียงทหารอ่อนแอดังคาด ได้ยินเสียงไป่อวิ๋นหลานตะโกนก้อง
“กองโจรภูตทมิฬ!?”
กองโจรภูตทมิฬ เป็นกองโจรขนาดใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วชางเหอ รับทำงานผิดกฎหมายทุกชนิด เป็นดั่งตำนานปรัมปรามาช้านานว่า ไร้สังกัด ไร้นาย ไร้ร่องรอย ทั้งยังมีวิชากระบี่บิดเบือนพิสดาร ว่ากันว่าเป็นกลุ่มของคนเดนตายโฉดชั่วที่สังคมไม่อาจยอมรับได้ จึงจำต้องเร้นกายอยู่ในเงา
สี่องครักษ์แซ่เฟยจำต้องสู้รบกับเงาร่างที่มีพลังปราณกล้าแข็งกว่าผู้คนทั่วไป คุณชายไป่เองถูกรุมล้อมสกัดกั้นด้วยคนมากมาย ส่วนอู่เสวี่ยจินมิทราบว่าอยู่ที่ใด
“เยว่ถิง!”
ได้ยินเสียงชิวหยางดังลั่น แสงไฟวูบวาบฉายให้เห็นเสี้ยวหน้าของแม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้าย เพียงครู่เดียว อาภรณ์องอาจสง่างามกลับแปดเปื้อนโลหิตสาดกระเซ็น
เยว่ถิงที่ไม่อาจลดกระบี่ลงแม้เสี้ยววินาทีหันไปตะโกนลั่น “ไม่ต้องห่วงข้า ท่านตามอ้ายอ๋อง ส่วนข้าจะตามโจวหวู่!”
“ระวังตัวด้วย”
ชิวหยางมิมีเวลาเอ่ยสิ่งใดมาก ได้แต่เพียงเอ่ยเร็วๆ ก็ต้องหมุนตัวสะบัดกระบี่ เหล่าผู้คนแตกตื่นต่างเบียดเสียดไม่คิดชีวิต บ้างหลบพ้นคมดาบ บ้างมิอาจหลบพ้น ร่วงหล่นกองเป็นศพไร้วิญญาณแทบเท้า
ทหารของเยว่ถิงมิฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่ทหารของอีกฝ่ายหรือกระทั่งทหารของตระกูลหวังกลับไม่ได้ถูกสอนสั่งมาเช่นนั้น ใจเยว่ถิงยิ่งปั่นป่วนเมื่อเห็นเหล่าสตรีรับใช้กรีดร้องยามถูกจ้วงแทงอย่างไร้ความปราณี เนื่องจากไปกีดขวางวิถีกระบี่เข้า
“ปิดประตูทางออกทั้งหมด เผาทรราชย์ให้สิ้น!!”
เสียงคำสั่งดังมาอีกครา พลันกลุ่มกองเพลิงถูกจุดขึ้นทั่วสี่มุมของราชวัง
กลายเป็นมังกรจนตรอกก็จริง แต่ไยทำตัวเช่นสุนัขขี้ขลาด!
“บัดซบ”
เยว่ถิงคำรามลั่น ไฟลุกโชนโหมท่วมขึ้นอย่างรวดเร็วดั่งต้องเชื้อไฟชั้นดี ไล่ไปไต่ตามความวิจิตรงดงามของอาคารก่อเป็นกลิ่นไหม้ผลาญจมูก ลมกรรโชกยิ่งพัดรุนแรง เป็นใจให้กองเพลิงกลายเป็นอสุรกายยักษ์ตะกละตะกลามที่กลืนกินทุกสิ่ง โอบล้อมสภาพรอบกายไว้ในในร่างสีแดงส้มเจิดจ้า
“ดับไฟ!”
ผู้ตรวจการเฟยเหยาตวาดลั่น มิมีผู้ใดคาดว่าอ้ายอ๋องจะยอมเผาสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่สุดของตนและปล่อยให้บรรดาสนมรักถูกแผดเผาทั้งเป็นเช่นนี้
มิมี... แม้กระทั่งผู้นำการก่อการเช่นเยว่ถิง
มือกำรอบด้ามกระบี่แน่น ความวิบัติสะท้อนในดวงตา ผู้คนทั้งหลายกรีดร้อง โลหิตและอัคคีระอุลุกเต้นปนผสมกัน ม้าเตลิดไปตามที่ทาง เป็นดั่งวันอวสานของโลก
แม้อยากหยุดยั้งเพียงใด ผู้รั้งยศชุนอ๋องกลับจำต้องทิ้งสวรรค์ที่ร่วงหล่นแล้วไว้เบื้องหลัง
ก้าวเข้าสู่มุมอับมุมหนึ่ง เยว่ถิงหลับตาตั้งสมาธิ สัมผัสค้นหาสายปราณที่ล้ำลึกกว่าปราณใดๆ ปรากฏมีปราณอันอำมหิตมืดดำกว่ามนุษย์ธรรมดาอยู่สองสาย แยกไปทิศเหนือและใต้
ชิวหยางยังมิได้ขยับเคลื่อนจากไปจากตำแหน่งการต่อสู้เดิมเท่าไหร่ เป็นเขาที่ต้องเลือกก่อน ทางทิศใต้มักมีประตูลับที่ถูกสร้างขึ้นให้เหล่าราชวงศ์หลบหนีหากเกิดเหตุร้าย เยว่ถิงจึงตัดสินใจมุ่งไปยังทิศเหนือหวังติดตามโจวหวู่
วิชาตัวเบาที่ร่ำเรียนฝึกฝนได้นำออกมาใช้ เยว่ถิงทะยานไปตามหลังคาด้วยหัวใจที่ร้อนระอุไม่ต่างจากสมรภูมิรอบกาย กระบี่ในมือหมุนปัดคนที่ขวางหน้าให้พ้นทาง
พลันกระโดดข้ามรั้วสูงที่ตั้งตระหง่าน เบื้องหลังกลับเป็นป่าไผ่มืดมิด เงาสูงชะลูดของต้นไผ่เอนไหวดังเงาของผีสาง
นายทหารกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาหมายจับกุมเขา เยว่ถิงเสียเวลาไม่นานก็จัดการได้ ก่อนช่วงชิงอาชามาจากฝ่ายศัตรูคนหนึ่ง ความพุ่งพล่านของโลหิตที่ไหลเวียนทำให้ถีบอีกฝ่ายติดพื้น ใช้เท้ายันหน้าอกพร้อมกับชี้ปลายกระบี่คมปลาบที่มีลวดลายเมฆสลักลึกในโลหะยังดวงตาที่แทบถลนออกจากเบ้า
“โจวหวู่อยู่ที่ใด ตอบมา มิฉะนั้นข้าจะควักลูกตาเจ้า”
นายทหารโชคร้ายผู้นั้นหน้าไร้สีเลือด “ตะ ใต้เท้าโจวไปยังป่าไผ่...”
แน่แล้วว่าโจวหวู่ไปยังป่าไผ่
เยว่ถิงใช้สันกระบี่เคาะศีรษะคนผู้นั้นจนหมดสติไป เหวี่ยงขาขึ้นอาชาแล้วควบทะยานเข้าไปในความมืด
หากปล่อยให้โจวหวู่หลบหนีไปได้อีก มิใช่ว่าสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดต้องเสียเปล่าหรือไร
คนผู้นี้มากเล่ห์ ตัวเขาเองพลาดท่ามาหลายครั้ง คราวนี้หลบหนีเข้าป่าไผ่ที่ซึ่งเขามีความหลังอันเจ็บปวดเหมือนจะเย้ยหยัน แต่ไยตัวเขาจะไม่กล้ารับคำท้า
ชุนอ๋องกระตุกบังเหียน เตะข้างตัวอาชาให้เร่งความเร็วขึ้น กระแสปราณตรงหน้ายิ่งเข้มข้น
เยว่ถิงคาดหวังว่าที่แห่งนี้จะมีเหล่านักฆ่าลอบเร้นหรือไม่ก็ซ่อนกับดักอันตรายไว้อยู่ เร่งปราณที่ห่อหุ้มร่างกายตนไว้เข้มข้น ทว่ารอบข้างกลับเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหวีดหวิว
รอบข้างรายล้อมไปด้วยต้นไผ่มากมาย พลันเยว่ถิงดึงอาชาให้หยุดชะลอ
ลานโล่งปรากฏต่อสายตา แสงจันทร์ทะลุม่านเมฆกระทบพื้นป่าให้เห็นเป็นใบไผ่มากมายตกทับถมกัน บุรุษในอาภรณ์สีแดงทองยืนอยู่ตรงกลางลาน ศีรษะสวมกวานทองปักปิ่นประดับทับทิม เส้นผมที่รวบขึ้นอย่างดีหลุดรุ่ยลงบางส่วน เลือดสีแดงคล้ำเปรอะเปื้อนตามใบหน้าและคมกระบี่ในมือ
รอยหยักยิ้มอ่อนจางเผยขึ้น ดวงหน้านั้นแม้รูปงามคมคาย แต่กลับไม่น่าดูแม้แต่น้อย
“...อ้ายอ๋อง”
100%
ร่วงจริงๆ เสี่ยวอ้ายนี่แหละร่วง55
ขอบคุณที่ติดตามกันค่า อย่าเพิ่งห่างหายไปไหน
อีกหน่อยก็จะถึงบทสรุปของหทัยจอมอสูรกันแล้ว!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องถิงตกหลุมพรางมันแล้ว พี่หยางมาช่วยเมียเร็วเข้า!!!!!!
เราแอบคิดอยู่เหมือนกันจะมีวิธีไหนให้อ้ายอ๋องรอดตัวได้เสียหมากหมดกระดานขนาดนี้ สุดท้ายต้องล้มกระดานมันเลย
งงว่าแผนของน้องคือกะจะประกาศกลางงานที่คนเยอะๆ แล้วคิดว่าอ้ายอ๋องจะยอมให้จับแต่โดยดีโดยไม่มีการต่อสู้กันหรอคะ เรางงแผนฝั่งน้องมากจริงๆ แล้วองค์จักรพรรดินั่นหลังจากช่วงนั้นก็หายไปเลย ไม่คิดมาช่วยกำจัดคนที่คิดจะก่อกบฏด้วยตัวเองหรือยังไงคะ ส่งมาแต่ราชโองการ?? งงอ่ะแม่
สู้เขานะเย่วถิง
ชั่วช้า! เยว่ถิงจะไหวมั้ย สู้เค้านะ