ตอนที่ 44 : 42 - ผสานรักษา re26/12/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
42 – ผสานรักษา
หลังจบบทสนทนากับชิวหยาง เจิ้งซื่อได้บอกกับเยว่ถิงว่า
“ตัวข้าคงมีความสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมท่านประมุขเพียงเท่านี้ ท่านประมุขรักท่านมาก เชื่อว่าอย่างไรต้องเข้าใจท่านสักวัน”
“ขอบคุณท่าน ท่านเองก็ขอให้คิดทำสิ่งใดๆ สมปรารถนา หากมีโอกาสคงได้พบกันอีก”
ทั้งสี่ล่ำลากัน สองบุรุษสูงศักดิ์ก้าวเดินออกจากวัด ปรากฏว่าจากที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนคล้ายจะมีพายุ กลับกลายเป็นว่ามีแสงแดดสว่างส่องไปทั่ว ถูกต้องตามคำโบราณที่ว่าฟ้าดินมักเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน
เจ้าของยศอ๋องแหงนหน้ามองแสงสว่างจ้า ใช้มือหนึ่งบังดวงตาไว้ เงาสกุณาบินถลาเคียงคู่เกี้ยวพากันไป ริ้วเมฆสองสายเป็นดั่งคล้ายจะเปรียบเปรยถึงบางสิ่ง
พบพานลางร้ายมามากนับ บางทีสิ่งเหล่านี้อาจจักเป็นลางดีให้แก่เขาก็เป็นได้
หลายวันต่อมา ขบวนชุนอ๋องเดินทางมาถึงเขตสุ่ยหนาน หนึ่งในเขตการค้าที่ใหญ่และมีความเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของแคว้นอ้าย โดยสิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดคืออาหารรสเลิศ
เยว่ถิงพอจำได้คร่าวๆ ว่ายามตาบอดได้มาเยือนสองครา มักมีผู้ใจบุญมาทิ้งอาหารเหลือไว้แทนเศษเงิน ทว่าสำหรับขอทานแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดล้วนรสชาติประเสริฐ ถือเป็นความทรงจำที่ประทับใจเท่าที่ขอทานคนหนึ่งจะมี
คิดย้อนไปแล้ว ชีวิตเขาพลิกแปรผันไปจนยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง
ยื่นใบผ่านทางให้ทหารเฝ้าเมืองแล้วนำขบวนเคลื่อนสู่ความพลุ่งพล่านมีชีวิตชีวา เห็นความเจริญ เห็นผู้คนมากมายและบ้านร้านค้าสูงใหญ่ด้วยสองตา ทว่าแทนที่จะตื่นเต้นตื่นตา สิ่งหนึ่งกลับแทรกซ้อนเข้ามาในความคิด
‘ที่สุ่ยหนาน ข้าไปสังหารผู้คน ไปเจรจาธุระกับพวกลิ้นสองแฉก ไปฝึกฝนเพิ่มกำลังปราณ ข้าคือประมุขแห่งสะบั้นสวรรค์ มิได้ว่างหายใจไปวันๆ เช่นเจ้า’
‘บัดนี้ใบหน้าเจ้าอัปลักษณ์นัก ยิ่งประดับด้วยรอยยิ้มโง่งมยิ่งไม่มีสิ่งใดน่ามอง ร่างกายผอมแห้งคล้ายจะเป็นซากนั่นก็ราวกับจะเปราะหักได้ทุกเมื่อ ทว่ากระทั่งในยามราตรี ภาพที่เจ้าจะตายกลายเป็นศพเน่ากลับตามไปหลอกหลอนข้าในความฝัน ทำให้ข้ามิอาจนอนหลับสนิทให้สบายใจสักคืน’
เป็นเสียงของชิวหยางยามที่จับเขาเข้าไปในห้องอาบน้ำขณะเป็นนายบำเรอ เยว่ถิงอดไม่ได้ให้หลุดยิ้มบางๆ ออกมา
บัดนี้หน้าตาของเขามิได้อัปลักษณ์อีกต่อไป แต่ไม่ทราบว่ารอยยิ้มโง่งมนี้ยังจะติดตรึงเหมือนในใจเช่นยามนั้นหรือไม่
เวลารับประทานกลางวัน เยว่ถิงนึกอยากกินเต้าหู้ขึ้นมา จึงสั่งให้ขบวนหยุดยังร้านค้าหนึ่งที่มีผู้คนอยู่มากมายแม้เป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่นัก แต่คาดว่าน่าจะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งของเขตสุ่ยหนาน
หญิงสาวคนหนึ่งรีบก้าวเข้ามาต้อนรับ เยว่ถิงรู้สึกคุ้นหน้านางไม่น้อย พอนางสบตาเขาและหันมองชิวหยางจึงสะดุ้งตกใจ
แท้แล้ว นางคือสาวใช้ในเรือนเร้นจันทร์ที่เคยมาพูดคุยกับเขาว่ามีมารดาตั้งร้านเต้าหู้อยู่ยังสุ่ยหนานนั่นเอง
“ข้ามาในฐานะแขก มิใช่ประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์” ชิวหยางเอ่ย อดีตสาวใช้ที่หน้าซีดขาวค่อยมีสีเลือดขึ้น นางยังคงดูลุกลนสับสน แต่ก็มองเยว่ถิงด้วยสายตาชื่นชมและติดจะเอียงอาย
เยว่ถิงส่งยิ้มให้นาง นางสะดุ้งไหวไหล่แล้วก้มหน้างุดลง พอพวกเขาสั่งอาหารเสร็จ เฟยอวี่และเฟยเทียนได้ขอตัวออกไปด้วยธุระ ความประจวบเหมาะทำให้บนโต๊ะเหลือเพียงเยว่ถิงกับชิวหยางอีกครั้งนับจากวันที่วัดดอกเหมย
ความเงียบตกลง เยว่ถิงเองมิคิดจะเอ่ยปากเซ้าซี้ก่อนจึงนั่งอย่างสงบ ไม่คิดว่าชิวหยางจะเป็นผู้เอ่ยขึ้นมาก่อน
“อาหารมาแล้ว เชิญท่านทานก่อน”
ไม่ทราบเหตุใด ถ้อยคำนี้ไม่เหมือนกับการประชดประชัน
“เชิญท่านทานพร้อมกันเถอะ”
สองบุรุษจับตะเกียบขึ้นแล้วทานอาหาร ท่ามกลางผู้คนมากมายและสรรพเสียงรอบกาย โลกใบนี้คล้ายจะหดเล็กลง
“มิใช่นางเป็นสาวใช้ยังเรือนเร้นจันทร์หรือ” เยว่ถิงเหลือบมองแผ่นหลังบอบบางของนางกำลังขะมักเขม้นทำงาน ชิวหยางตอบด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาอารมณ์
“หลังจากข้าลงจากตำแหน่งประมุขสะบั้นสวรรค์ ก็ได้ทุบเรือนเร้นจันทร์ทิ้งแล้ว บรรดาบ่าวไพร่แต่เดิม หากไม่ต้องการทำงานต่อก็ได้รับอนุญาตให้ออกไป”
“เป็น... เช่นนั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น”
“แล้วสิ่งของในเรือนเร้นจันทร์...”
ชิวหยางหันไปยกกาสุรารินให้แก่ตนเอง
“ข้ามิได้เก็บไว้ ผู้ใดปรารถนาจะนำไปก็นำไป”
หัวใจเยว่ถิงหล่นวูบลง ผ่านมาสี่ปีแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขายังคอยฝันถึงบ้างนอกจากชิวหยาง “เยว่หยางเล่า...?”
ลูกแมวสีขาวที่เขาปีนต้นไม้ขึ้นไปช่วยยามมีพายุฝน มิทราบบัดนี้เป็นเช่นไรบ้าง
แม่ทัพเอกกระดกจอกสุราขึ้น เยว่ถิงร้อนใจขึ้นมา ถึงรู้ว่าตนจะผิดต่อลูกแมวน้อยนั้นมากเหลือเกิน ทว่ายามนี้หากสามารถรับมาดูแลได้เขาก็พร้อมจะทำ
“ท่าน... ยังมิได้ทิ้งมันไปใช่หรือไม่?”
กึก!
จอกสุราเปล่าถูกวางบนโต๊ะค่อนข้างแรง
“มันตายแล้ว”
ลมหายใจของเยว่ถิงสะดุด สบตาคู่นั้นเห็นเปลวไฟหนึ่งปะทุอยู่ พลันขอบตาของเขาก็ร้อนผ่าวไปด้วย
“ท่านยังสนใจมันด้วยหรือ”
วาจานั้นบาดลึกราวมีดกรีดแหวกอกออก ทำได้เพียงเงียบอึ้งวางตะเกียบลงอย่างอ่อนแรง
“...เสียใจกับท่านด้วย ยามนี้ข้าอยากออกไปสูดอากาศสักครู่ ขอตัวก่อน”
ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบรับ ร่างสูงโปร่งก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วสาวเท้าเดินออกจากร้านทางด้านหลัง
สองเท้าพาเดินไปไร้จุดหมาย เวลานี้มิสามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายต่อ จนในที่สุดเมื่อคล้ายจะหมดแรงจึงหยุดฝีเท้า รอบกายกลายเป็นสุสานรกร้างแห่งหนึ่ง ตัวเขาไม่ทราบว่าผ่านผู้คนหรือสิ่งก่อสร้างใดมาบ้าง หรือเดินมาที่นี่ได้อย่างไร มีเพียงความมึนงงอ่อนล้าที่กัดกร่อนร่างกายและจิตใจ
แม้นตั้งปณิธานกล้าแกร่งว่าจะเข้มแข็งเพียงใด แต่เขาก็มิอาจทำได้ดั่งหวัง
ตลอดเวลาหลายวัน เยว่ถิงมีแสงหนึ่งเป็นความหวังในใจ กระทั่งได้ยินเรื่องของเรือนเร้นจันทร์และเยว่หยาง กำแพงแห่งความอดกลั้นก็ไม่อาจต้านคลื่นความเจ็บปวดที่โถมทับมาได้
ของเหลวร้อนไหลลงตามริมแก้มสู่ปลายคางกลางความเงียบงัน
น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งแล้ว ไม่ทราบกลั่นออกมาจากที่ใดได้อีก
ดวงตาสีฟ้าหลับลง หว่างคิ้วขมวดแน่น ริมฝีปากยิ้มเยาะตนเอง
ทันใดนั้น พลันมีเสียง ‘วูบ’ แหวกอากาศพุ่งซัดเข้าใส่ เยว่ถิงกระตุกกระบี่ขึ้นปะทะ เบี่ยงวิถีมีดบินให้กระเด็นไป
กลุ่มคนปกปิดใบหน้าเห็นเพียงดวงตาพุ่งออกมาจากรอบข้าง ดูท่าคงรอคอยโอกาสนี้มานาน นักลอบสังหารทั้งเก้าคนไม่พูดพล่าม พุ่งเข้ามาพร้อมศาสตราแหลมคมครบมือ
รังสีเข่นฆ่าฉายชัด ถึงปกปิดพรรคสำนักแต่ก็รู้ได้ว่าฝึกฝนการลอบสังหารมาเป็นอย่างดี
ในอดีตหากเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงหน้าซีดตัวและสั่นกลัวแล้วพยายามเอ่ยเจรจา แต่บัดนี้กาลเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว
เส้นแสงกระบี่วาดไหววูบ ปัดเอากระบี่สามในสี่ที่จู่โจมเข้ามาสะท้อนออก ร่างนักฆ่าผงะถอย คมกระบี่ของเยว่ถิงไม่โดนตัว ทว่าร่างเหล่านั้นกลับทรุดลงจุกแน่นจนสูญเสียการทรงตัว ไม่อาจลุกขยับได้อีก
เยว่ถิงก้าวหลบคมศาสตราอีกหนึ่ง ใช้สันฝ่ามือผลักข้อมืออีกฝ่ายให้กระบี่หมายสังหารหลุดลอย แววตามองมือสังหารเบิกกว้างราวไม่เชื่อสายตา
ผู้รั้งบรรดาศักดิ์กวาดกระบี่เป็นรัศมีโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยวโดยแรงและเร็ว กระบี่ที่ยังอยู่ในฝักมีอานุภาพแรงกล้า เหล่ามือสังหารล้มหมอบลงยามถูกปะทะ ต่างสบถงุนงงสับสน
ระหว่างต่อสู้ นักฆ่าอีกหนึ่งอาศัยจังหวะซัดเข็มพิษเข้าใส่ เยว่ถิงหักข้อมือหมุนกระบี่ปัดป้อง เกิดช่องว่างให้มีดบินอีกอันหนึ่งพุ่งตรงมายังลำคอ
มิอาจเบี่ยงตัวหลบในขณะเดียวกัน เยว่ถิงสะบัดแขนเสื้อข้างซ้ายอย่างแรง มีดจึงหมุนคว้างกระเด็นไปปักยังต้นไม้
“เยว่ถิง!!”
เสียงคำรามอย่างลืมตนดังขึ้น แม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้ายถลาเข้ามา มือสังหารคนหนึ่งยังล้มลุกคลุกคลาน ชิวหยางเงื้อกระบี่ผงาดดั่งเพชฌฆาต
“ช้าก่อน!”
เยว่ถิงร้องห้าม กระบี่ยมทูตคู่สีดำมะเมื่อมหยุดชะงัก กลุ่มมือสังหารทั้งหลายที่หนีไม่รอดแล้วต่างอาศัยจังหวะพร้อมใจกันกัดลิ้นสังหารตนเองทันที
“ไอ้บัดซบ” เห็นคนฆ่าตัวตายหนีความผิดต่อหน้า ผู้มีหน้าที่อารักขาไม่อาจหักห้ามใจได้อีก ศีรษะคนผู้นั้นได้หายไปต่อหน้าเยว่ถิง เห็นอีกครั้งก็ยามที่ตกลงห่างออกไป พร้อมกับกายไร้วิญญาณล่วงหล่นลง
“เจ้าปลอดภัยใช่หรือไม่”
ชิวหยางมิมีท่าทีเหินห่างไว้ยศศักดิ์แต่เดิม ดวงตาสีทับทิมสำรวจทั่วใบหน้าเขาอย่างร้อนใจ
“ข้าปลอดภัย...”
ฉับพลัน ร่างของเขาได้ถูกดึงเข้าในอ้อมกอดจากเบื้องหลัง บัดนี้ความรู้สึกตอบโต้ด้านชา ได้อีกเยว่ถิงจึงไม่ได้แม้แต่ออกเสียงร้อง ทว่าต่อมากลับสัมผัสได้ถึงความเย็นและความแข็งแกร่งของโลหะจากแขนข้างซ้ายที่สัมผัสดวงตา
กลิ่นอายที่โหยหาและยังจดจำได้ชัดเจนกรุ่นในจมูก เป็นกลิ่นแห่งความลึกลับและอันตราย ทว่าอบอุ่นยามได้อยู่ใกล้กว่ากลิ่นใดทั้งมวล
“อย่าอยู่ห่างสายตาข้าอีก”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังข้างหู รู้สึกได้ถึงกระทั่งลมหายใจที่แนบสัมผัส มือขวาของอีกฝ่ายเลื่อนไปแนบยังบริเวณหัวใจ ซึ่งยิ่งเต้นเร็วและหนักแม้มีอาภรณ์กั้นระหว่างกัน
“เข้าใจหรือไม่”
อ้อมกอดกระชับแน่น ความชิดใกล้ทำให้เส้นผมของผู้โอบกอดตกลงบนบ่าร่างเล็กกว่า
น้ำตาซึ่งเหือดหายไปจากการปะทะดุดันหลั่งไหลลงมาอีกครา
“...”
แขนเหล็กจับเอาแขนเสื้อยาวของตนมาเช็ดน้ำตาที่ไหลของเขา
“ถึงละทิ้งตำแหน่งแล้ว ทว่าสมญา ‘จอมอสูรพันศพ’ ยังคงติดตัวข้าจนตาย ผู้ใดในยุทธภพต่างรู้ว่าไร้คุณธรรม หากคิดคลั่งแค้นผู้ใดแล้ว ก็มีแต่จะฆ่าล้างหรือทรมานให้ตายทั้งเป็น”
“...”
“โดยไม่มีข้อยกเว้น”
“...”
“แต่กับเจ้า” ชิวหยางเน้นเสียงเข้ม ก่อนผ่อนลมหายใจยาวแล้วเพิ่มแรงกระชับร่างจนเยว่ถิงรู้สึกเจ็บ “กับเจ้า”
เสียงคำรามทำให้ร่างเยว่ถิงสั่นสะเทือน รับรู้ได้ถึงการตัดพ้อและกระแสอารมณ์ที่ส่งผ่านมาถึง
“ข้าไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายเจ้า ยิ่งเห็นน้ำตาของเจ้า ข้ากลับกลายเป็นคนเลอะเลือนโง่งม”
“จะให้ข้าโกหกสิ่งใดก็ได้ โกหกว่าตนเองคือแม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้าย โกหกว่าเจ้าคือชุนอ๋องหลี่เยว่ถิง โกหกว่าสักวันหนึ่งเราต่างจะแต่งงานกับสตรีที่เพียบพร้อมแล้วสร้างครอบครัว กระทั่งโกหกว่าลูกแมวที่เลี้ยงทะนุถนอมมาอย่างดีตายลง”
ชิวหยางเค้นเสียงหนักหน่วง องคาพยัพบิดเบี้ยว ไม่เคยเห็นคนผู้นี้สูญเสียการควบคุมถึงเพียงนี้มาก่อน
“ทว่า... ข้าไม่อาจโกหกตัวเองว่าไม่รักเจ้า!”
ชุนอ๋องถูกหมุนร่างกลับเผชิญหน้า
“ข้าถามตนเอง เหตุใดถึงโง่งมไม่อาจตัดใจ เหตุใดถึงเฝ้ารอคอยทั้งๆ ที่ไร้ความหวัง ทั้งๆ ที่ข้าเพิ่งสำนึกได้ว่าเจ้าเองไม่เคยเอ่ยสักครั้งว่าลึกๆ แล้วเจ้ารู้สึกเช่นไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงข้าที่ทุรนทุรายน่าสมเพชใช่หรือไม่”
“ไม่”
เยว่ถิงยกสองมือขึ้นแล้วโถมร่างกอดอีกฝ่ายตอบ
“ข้าเองก็รักท่าน ข้าคะนึงหาท่านทุกเมื่อเชื่อวัน ได้ยินหรือไม่ชิวหยาง”
ราวกับเสียงของตนก้องสะท้อนในศีรษะไปมา เยว่ถิงสลัดหน้ากากของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์และหยิ่งทระนงอย่างไม่คิดเสียดาย เป็นครั้งแรกที่มิได้คิดรอบคอบว่าจะมีคนของศัตรูลอบมองอยู่ มิได้สนใจว่าสรรพสิ่งในโลกจะเป็นอย่างไร
ความเจ็บปวด ความเหน็ดเหนื่อย ความอดกลั้นฝืนทนใดๆ ล้วนแล้วแต่ถูกปล่อยถาโถมออกมา
“ข้ารักท่านชิวหยาง ข้าจะปกป้องท่านตราบเท่าที่ทั้งชีวิตข้าจะทำได้”
หากยามนี้ถูกตราหน้าว่าไร้ยางอายก็มิได้รู้สึกเสียใจ ถ้อยคำนี้มิใช่เพื่อจะบอกชิวหยางแต่ผู้เดียว ทว่าคล้ายจะบอกกล่าวให้ทั่วทั้งพิภพผืนฟ้า เล่าร้องต่ออุปสรรคใดๆ ให้ได้ยินชัดเจน
คนผู้หนึ่งได้เกิดมาชาติหนึ่ง ได้มีริมฝีปากมีน้ำเสียง หากมิอาจพร่ำบอกคนที่รักถึงความรู้สึกแม้สักเพียงครึ่งคำ เช่นนั้น ต่อให้นั่งบนบัลลังก์ทอง ก็เป็นเพียงแต่หุ่นไม้ไร้วิญญาณ
เยว่ถิงน้ำหูน้ำตาไหล ฝ่ามือกำแน่นจนสั่นบนอาภรณ์อีกฝ่าย ได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ได้สัมผัสกายอบอุ่นที่โหยหามาเนิ่นนาน หัวใจที่แห้งผากได้ถูกชโลมรดด้วยน้ำตาแห่งคลื่นอารมณ์
“ขอบคุณ”
เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ปลดเปลื้องความหนักอึ้งที่กดทับร่างแทบจมดินในเวลาหลายวันที่ผ่านมาไปสิ้น
“และขอโทษ เยว่ถิง ข้าเองควรเข้าใจเจ้า ว่าจำต้องผ่านเรื่องราวยากลำบากเช่นกัน”
“เป็นข้า” เยว่ถิงก็ยังคงพูดไม่เป็นภาษา บัดนี้มิมีเรี่ยวแรงเสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งอีกต่อไป “เป็นข้า... ที่... ต้องขอบคุณและขอโทษท่าน”
“เยว่หยางยังอยู่ดี ข้าสาบาน” ชิวหยางจับตัวเยว่ถิงหันกลับมา เอ่ยขณะจูบซับน้ำตาตามใบหน้าของเยว่ถิงอย่างไม่คิดรังเกียจ “ใจข้าก็ยังอยู่ที่เจ้าดีเช่นกัน”
“ครั้งนี้... ข้ามิได้โกหก”
ดวงตาสีฟ้าสบกับดวงตาสีทับทิม ภาพเบื้องหน้าเห็นเป็นม่านน้ำสั่นไหว ชิวหยางพยักหน้าหนักแน่น แล้วก้มลงมาใช้หน้าผากแนบชิดกับหน้าผากของเขา
“ครั้งนี้ ต่อให้เจ้าโกหก ข้าก็จะเชื่อไปตลอดชีวิต”
เยว่ถิงปล่อยตนเองสะอื้นไห้ราวกับเด็กน้อย เอนอิงพิงแอบร่างสูงใหญ่ที่ไม่ได้สัมผัสใกล้มาเนิ่นนาน แม้นเขาจะปลีกตัวฝึกปรือวิชา แต่ถ้าเทียบกับกายาแข็งแกร่งดุจหินผานี้แล้ว เขาก็ยังคล้ายจะเป็นเพียงต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งเท่านั้น
สองปีแสนยากเข็ญ ต้นกล้าเช่นเขาใคร่จะเติบโตตามลำพัง แต่เมื่อยามเริ่มต้นได้เลือกหยั่งรากแทรกฝังลึกลงแผ่นภูผาเช่นชิวหยางแล้ว ก็ต้องพึ่งเป็นที่ยึดเกาะเติบโตต่อไป มิอาจใช้ดินทรายใดแทนได้อีก
ชิวหยางได้พาเยว่ถิงกลับสู่ร้านเต้าหู้ของสุ่ยหนาน ต้องขอบคุณสององครักษ์แซ่เฟยที่มิได้ถามความมากมาย และตอบรับคำเมื่อแม่ทัพเอกอู่ชิวหยางเอ่ยว่ามีกิจสำคัญต้องสนทนากับชุนอ๋องหลี่เยว่ถิงเพียงลำพัง
เมื่อสำรวจโดยรอบและกะเกณฑ์สถานการณ์ให้ดีอีกครา กลุ่มนักลอบสังหารเห็นจะมิใช่คนของอ้ายอ๋อง ทว่าน่าจะเป็นคนของตระกูลอู่ ชิวหยางเก็บความเดือดดาลไว้ในสีหน้าและดวงตา มิได้เอ่ยสิ่งใดมาก
เยว่ถิงปลอดภัยไร้บาดแผล ตรวจดูกระบี่ของตนก็ยังคงไร้ตำหนิ หารือกันแล้วต่อไปต้องระแวดระวังให้มาก
ภายในของห้องพักแห่งหนึ่ง หลังจากชำระล้างร่างกาย ชายหนุ่มก็ได้แต่งกายด้วยอาภรณ์โปร่งสบายสีฟ้า ทรุดนั่งลงยังขอบเตียง ปล่อยเส้นผมยาวสยายไร้เครื่องประดับ
สายลมโชยพัด เห็นดวงจันทร์แขวนตระหง่านเหนือทิวไม้สุกสกาว
มีเสียงเคาะประตู เยว่ถิงที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งขึ้น รีบเข้าไปเปิดประตู
“สายัณสวัสดิ์”
เป็นชิวหยาง ดวงตาสีทับทิมฉายประกายอ่อนโยนอย่างไม่คุ้นชิน แม้เยว่ถิงจะสูงขึ้นมาก แต่บุรุษผู้นี้ก็ยังสูงกว่าระดับหนึ่ง อาภรณ์สีดำหลังอาบน้ำแหวกออกเผยให้เห็นบริเวณหน้าอกเป็นกล้ามเนื้อกล้าแกร่ง ผิวขาวที่ถูกย้อมไหม้ด้วยแสงแดดเต็มไปด้วยรอยบาดแผลมากมาย สองไหล่ผึ่งผ่ายสง่างามสมบุรุษดุจดั่งหินผาดูมั่นคง
“เชิญท่านเข้ามา”
เยว่ถิงยังคงเคอะเขินอยู่บ้างเมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำไปยามอยู่ในสุสาน จึงก้มหน้าแล้วผายมือเข้ายังห้อง
“มานั่งใกล้ๆ ข้า”
ชิวหยางเดินไปนั่งลงบนเตียงที่เดียวกับที่เยว่ถิงนั่งเมื่อครู่ พร้อมนำมือวางข้างตัว เจ้าของห้องเหลือบสายตาขึ้น ก่อนเดินไปนั่งตามคำว่า
“มิไกลไปหรือไร”
เยว่ถิงเขยิบเข้าหาตามคำสั่ง จนได้กลิ่นหอมสะอาดอ่อนจางจากร่างอีกฝ่าย ใจหนึ่งโล่งใจผสมลิงโลดที่สถานการณ์ระหว่างพวกเขากลับมาเป็นเช่นเดิม แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกหวาดผวาในบางสิ่งที่ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นสิ่งใด
“คืนนี้พระจันทร์งามมาก”
หันตามคำบอกกล่าว พอให้มีสิ่งใดลดความกระดากอายได้บ้าง แต่ดวงตาก็ยังบวมช้ำ เสียงเองก็แหบแห้ง “เป็นเช่นนั้น... !”
ทันใดนั้นร่างสูงสง่าของชุนอ๋องก็ถูกดึงไหล่เบาๆ ให้ล้มลงนอนบนเตียงพร้อมกัน โดยมีแม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้ายแผ่หลาอยู่เคียงข้าง ฝ่ามือหยาบสากที่ผ่านการใช้งานมาหนักหน่วงจับเข้าที่มือของเขา ทว่าชิวหยางมิได้ทำสิ่งใดเกินเลย
“สองปีมานี้... เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
“ค่อนข้างจะลำบากไม่น้อย” เยว่ถิงผ่อนลมหายใจยามคลี่ยิ้มบาง “ท่าน... มิได้ขุ่นเคืองใจต่อข้าแล้วใช่หรือไม่”
“ข้ายังขุ่นเคืองเจ้าอยู่”
“อา...”
“แต่มิได้โกรธเกรี้ยวอีกแล้ว” มือที่จับอยู่บีบแน่นขึ้น “ทว่าตอนนี้ข้าอยากฟังว่าสองปีมานี้เจ้าเผชิญสิ่งใดมาบ้าง”
รอยยิ้มที่จางหายจากใบหน้างามล่มเมืองมานานปรากฏขึ้นจากภายใน เยว่ถิงกระชับฝ่ามือ เล่าเรื่องการฝึกยุทธ์ที่บึงตำหนักเร้นลับกับไป่ฮูหยิน การแบกหามน้ำขึ้นไปยังยอดเขา การใช้กลโกงย่นระยะทาง หรือกระทั่งการไปเยือนยังน้ำชิวหามังกรกับคุณชายไป่
“แล้ววิชาที่เจ้าฝึกเป็นลักษณะเช่นไรกัน”
“ศาสตร์ย้อนปราณคืนกลับ เป็นการใช้ปราณของคู่ปะทะย้อนจู่โจ่มใส่คนผู้นั้นเอง ส่วนวิถีกระบี่ก็เป็นวิธีเบื้องต้นของบึงตำหนักเร้นลับ แต่มิได้มีไว้เพื่อเข่นฆ่า”
“แล้วกระบี่เล่มนั้น...”
“พิรุณในเงาเมฆ” เยว่ถิงเอ่ย “เป็นหนึ่งในกระบี่ที่ตกทอดมาในตระกูลหลี่ ว่ากันว่าทั้งศักดิ์สิทธิ์และอาถรรพ์ หากมิจำเป็นข้าจะไม่ชักออกจากฝัก”
“ดี นับว่าบิดาเจ้ายังไม่ไร้น้ำใจจนเลวทราม”
“เขาเป็นบิดาที่ดีคนหนึ่ง เขารักษาคำสัตย์ ท่านถึงมิได้ถูกลอบสังหารอยู่ทุกวัน”
“ถ้าคิดว่าสังหารข้าได้ ก็อยากให้ลองเช่นกัน”
“ท่านอย่าประเมินพระปิตุลาเฉิงกงต่ำไป” เยว่ถิงยิ้มออกมาได้ ก่อนถามถึงอีกฝ่ายบ้าง เขาเองแม้ได้ยินข่าวเล่ามากมาย แต่มิสู้ได้ยินจากปากเจ้าตัวเอง
“มิได้มีสิ่งใดมาก แค่ตระเวนไปตามสนามรบ ปราบปรามเหล่ากองโจร กลุ่มชนเผ่าและผู้คนที่ไม่ขึ้นกับทางการ คล้ายกับว่าย้อนเวลากับไปอยู่ในอดีตก่อนได้สมญาจอมอสูร”
ชิวหยางปรายตามอง เมื่อเห็นเยว่ถิงหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยจึงลื่นมือขวาจึงมาเล่นศีรษะ เยว่ถิงปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นครู่หนึ่งจึงลุกขึ้น ก่อนจะไปหยิบบางสิ่งที่อยู่ในย่ามสัมภาระที่นำติดตัวมาด้วย ชิวหยางลุกขึ้นมองตาม
เมื่อคลี่ออก ผืนผ้านั้นเป็นรูปวาดของคุณชายไป่ที่อยู่บนเรือในสระกลางภูผา คิ้วเข้มขมวดมุ่นลงทันที
เยว่ถิงหยิบเชิงเทียนมาลนบริเวณใบหน้าของบุคคลในภาพวาด ฉับพลันได้ปรากฏหมึกสีเข้มแผ่กระจายชัดขึ้น แต่งแต้มเครื่องหน้าของบุรุษผู้นั้นให้เปลี่ยนไป
ภาพลายพู่กันที่ใช้การตวัดวาดแปรเค้าโครง เยว่ถิงได้นำไปให้อีกฝ่ายพินิจดูใกล้ๆ
แท้แล้วเมื่อผืนผ้าผ่านไฟ คนผู้นั้น... จึงกลับกลายเป็นชิวหยาง
“ยามนั้น ข้าคิดถึงท่าน อยากให้ท่านอยู่ที่นั่นด้วย จึงมิอาจหักห้ามใจไม่ให้ใส่เล่ห์กลลงในภาพวาด”
ริมฝีปากรูปกระจับไร้ซึ่งคำพูดใด ร่างสูงใหญ่ทำได้เพียงตวัดแขนขึ้นโอบรัดรอบเอวเยว่ถิง ซุกใบหน้าเข้าหา ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัวก็ถูกจับเหวี่ยงหวือลงบนเตียง โดยมีผู้มีศักดิ์เป็นแม่ทัพเอกคร่อมอยู่ด้านบน ส่วนภาพวาดได้ตกลงอยู่เคียงข้าง
“อีกทั้ง ข้าทำพู่หยกคู่พระจันทร์แตกร้าว”
มือใหญ่กว่ากำรวบทั้งหยกและมือเขา
“มันจะไม่แตกร้าวอีก”
บดเบียดจุมพิตเข้ามา เมื่อเรียวลิ้นตักตวงลิ้มรสในริมฝีปากมากเกินพอ จึงผละไปกระซิบยังใบหูของผู้ที่หอบสะท้านด้วยความวาบหวาม อากาศในห้องคล้ายจะบ่งบอกถึงอารมณ์อันอ่อนไหวกว่าครั้งไหนที่แนบชิดใกล้
“ไม่ต้องกลัว”
“ข้ามิได้กลัว”
“แล้วเหตุใดจึงสั่นด้วยเพียงจุมพิตเดียว?”
ปากเอ่ยว่าไม่กลัวก็จริง แต่ดวงตาสีฟ้าที่แดงช้ำหลุบหลบสายตา ร่างที่อยู่ด้านบนคล้ายเข้าใจจึงก้มลงจูบบนหน้า ก่อนจะลากปลายจมูกคลอดเคลียอยู่ข้างผิวแก้ม
สัมผัสเบา อ่อนโยน แต่กลับก่อให้เกิดความร้อนแทบไหม้ ทั้งที่อากาศเย็นฉ่ำ
“เยว่ถิง”
เสียงเบาแหบพร่าดังขึ้นริมหู อารมณ์นานับจะกล่าวพานพาให้ร่างใกล้ระเบิดออก เยว่ถิงพยายามผ่อนลมหายใจ
ความเสน่หา ความเศร้า ความทุกข์ ความสุข สิ่งใดๆ ต่างปนเปกันจนแทบแยกไม่ออก
ฝ่ามือบนแผ่นหลังกำอาภรณ์อีกฝ่ายแน่น ในเวลานี้ไม่อาจไม่มองหน้าอีกฝ่ายที่ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงลมหายใจ
“ระ รับปากข้าสิ่งหนึ่ง”
“ว่าอย่างไร”
ทว่าผู้ที่อยู่ด้านบนกลับทำให้เยว่ถิงรู้สึกพ่ายแพ้อับจนปัญญา เสียงที่ออกมาจึงกลายเป็นเสียงกระซิบเบาหวิว
“อ่า ช่างเถอะ จากนี้... ข้าตามใจท่าน”
ริมฝีปากชิวหยางหยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มจากหัวใจที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน ความคะนึงหาก่อให้เกิดความอิ่มล้น บรรเทาอาการเกร็งจนสั่นทั่วร่างให้คลายลง
ยามนั้น ฝ่ามือร้อนได้สอดเลื่อนเข้ามาในอาภรณ์ลูบผ่านผิวเรียบเบาๆ
100%
ใกล้แล้ว มันใกล้แล้ว!!!!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เค้าจะได้กันแล้วววว
กรี๊ดดดดดตกใจไม่คิดว่าจะมา ในที่สุดเค้าก็ดีกันแล้วนะคะ ฮือออ ว่าแต่ไม่ต้องคอยระวังสายสืบแล้วรึ ท่านจะทำในโรงเตี๊ยมที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารเลยรึ ใจเย้นนนนน
ฮึ่ยย! ชิวหยางท่านไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือไร ข้าบอกให้ท่านเล่นตัวอ่ะเล่นตัวอีกนิด อีกนิดๆน่อยๆทำไมไม่ทำห๊ะ ท่านช่างใจง่ายเสียจริง