ตอนที่ 40 : 38 - ประกาศสงคราม re25/12/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
38 – ประกาศสงคราม
ความรู้สึกประหนึ่งนกหวนคืนถิ่นแผ่เข้ามาในหัวใจ อีกทั้งยังคิดถวิลหาไปถึงคนที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน
ทว่าเขาไม่อาจพบเจอชิวหยางได้ยังวังอ้ายอ๋อง เมื่อตำแหน่งหน้าที่เปลี่ยนไป ทำให้อีกฝ่ายมิได้อยู่ประจำการยังแคว้นอ้ายในเวลานี้
สองปีแห่งการตรากตรำจะว่ายาวนานก็ยาวนาน แต่พอเมื่อได้เหยียบย่างบนแผ่นดินแคว้นอ้ายอีกครั้ง ก็คล้ายกับว่าเรื่องราวมากมายเพิ่งเกิดขึ้น
บุรุษผู้เพิ่งถูกแต่งตั้งให้รั้งบรรดาชุนอ๋องหลี่เยว่ถิงก้าวเข้าสู่ตำหนักอัสดงสราญรมย์ พื้นที่กว้างขวางที่แต่เดิมมีตัวตำหนักหนึ่งที่โดดเด่นถูกบูรณะเป็น ‘วังอัสดงสราญรมย์’ ให้สมเกียรติโอรสของพระปิตุลา
มีตำหนักและเรือนน้อยใหญ่เพิ่มมากขึ้น มีอุทยานน้ำตกที่อุดมไปด้วยพรรณไม้หลากสี มีเรือนพักเหล่าทหาร โรงฝึกและคอกม้าที่ขยายเพิ่มเติมจนโอ่อ่า พานพาให้ชื่นชมตระการตา
เยว่ถิงมองสิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้าที่บิดาคงเป็นผู้บันดาลให้หลังจากที่เขาไปรับไหมห้าสีจักรพรรดิ ด้วยเงื่อนไขข้อตกลงทั้งหมดเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
นี่คือสิ่งตอบแทนความเหนื่อยยากและการตัดขาดจากผู้เป็นที่รัก น่าแปลก ในใจเพียงชื่นชมว่าสร้างได้อย่างมีชั้นเชิงและตั้งใจ แต่กลับมิได้รู้สึกภาคภูมิใจเมื่อได้ครอบครอง
ภายในโถงใหญ่ตกแต่งพร้อมครบครันยิ่งกว่าครั้งแรกที่เขามา พร้อมมีบรรดาข้ารับใช้ชายหญิงมากมายรอคำนับต้อนรับกลับให้สมกับบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์ พร้อมกับมีสมบัติล้ำค่ามากมายหลายสิบหีบที่ตั้งเรียงกัน
เยว่ถิงรับฟังรายนามผู้ส่งมา ก่อนโบกมือให้คนนำของไปเก็บ แล้วนั่งลงจิบน้ำชาเพื่อพักผ่อน ขณะสนทนาถึงความเรียบร้อยกับองค์รักแซ่เฟยอีกสองคนซึ่งทำหน้าที่ดูแลตำหนักตลอดเวลาที่เขาจากไป
มีบ่าวไพร่เข้ามาแจ้งว่ามีผู้มารอเยี่ยมเยียนอยู่เรื่อยๆ แต่เจ้าของตำหนักโบกมือปฏิเสธเสียทุกครั้ง กระทั่งได้ยินนามของผู้หนึ่งจึงอนุญาต
แขกผู้ได้รับเกียรติจากอ๋องคนใหม่แห่งแคว้นอ้ายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหัวหน้ามือปราบแห่งแคว้น
“อู่เสวี่ยจินคำนับชุนอ๋อง”
สองปีผ่านไป สัดส่วนร่างกายของใบหน้าของอู่เสวี่ยจินไม่เปลี่ยนไปมาก ยังคงความเป็นประมุขธรรมมะแห่งพรรคสุริยันพันแสงอยู่ เขาแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินปักลวดลายกิเลนสีทองทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ ประดับปิ่นหยกหินดำและป้ายห้อยเอวดูแปลกตาไปจากอาภรณ์ประมุขพรรคสีขาวพลิ้วพราย
“คำนับใต้เท้าอู่” เยว่ถิงขมวดคิ้วเอ่ยตอบ สายตาเย็นชาและท่าทีห่างเหินของอู่เสวี่ยจินทำให้เขาไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
ถึงรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนขององค์จักรพรรดิ หรือไม่ก็บิดาเขาแต่เยว่ถิงต้องการความเป็นส่วนตัว เหล่าบ่าวไพร่จึงออกไปเว้นแต่สององครักษ์แซ่เฟย
“สองปีนี้ ข้าต้องขออภัยต่อพวกท่าน แม้มิมีข้อแก้ตัวใดก็ตาม”
“ขออภัยอันใด?”
เรื่องราวที่เยว่ถิงไปยังแคว้นป๋อและข้อตกลงของพระปิตุลานั้นมีเพียงไป่อวิ๋นหลาน ผู้ตรวจการเฟย และองครักษ์แซ่เฟยทั้งสี่เท่านั้นที่ล่วงรู้ อู่เสวี่ยจินจะมีท่าทีเช่นนี้นับว่าไม่แปลกเลย
“เรื่องที่ข้าจากไปโดยมิได้ติดต่อกลับมา ทั้งยังทิ้งเรื่องที่แคว้นอ้ายให้พวกท่านรับผิดชอบ อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณด้วยที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน”
“ข้าคงมิกล้าติเตียนท่านอ๋อง”
อู่เสวี่ยจินเองคงมีความขุ่นเคืองแก่เขาไม่น้อย จึงส่งคำประชดประชันไม่เว้น แต่ก่อนที่เยว่ถิงจะพยายามตะล่อมกล่อม บุรุษสามคนก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่เอ่ยขออนุญาต โดยมีเสียงคนผู้หนึ่งลอยเด่นออกมา
“มีธุระอะไรก็รีบพูดอย่าอ้อมค้อม ใช่ว่าพวกข้าจะมีเวลาทั้งวัน!”
เป็นไป่อวิ๋นหลานที่ยังคงท่าทีโผงผางไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้างามดูกร้าวกระด้างขึ้นไม่น้อยจากการฝึกปรือวิชา แต่ยังคงเห็นได้ว่าเป็นบุรุษที่งดงามอย่างไม่ธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อเจ้าตัวก้าวพรวดเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับอู่เสวี่ยจิน ก็พบว่าคุณชายไป่เองก็เติบใหญ่ขึ้น แม้จะยังร่างเล็กกว่าบุรุษที่เข้าไปหาเรื่องอยู่ดี
“ข้าเพียงมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบตามหน้าที่และหารือเรื่องแผนการ ส่วนธุระอื่นคงมีผู้อื่นอยากเอ่ยมากกว่า”
คำเน้นจงใจเอ่ยถึงชิวหยาง แต่เยว่ถิงไม่เพียงฝึกปรือฝีมือมา ดูเหมือนความหนาบนหน้าเองก็เพิ่มขึ้นมาก หากเป็นเมื่อก่อนคงรีบค้อมหัวสำนึกขออภัย แต่ในยามนี้เขากลับเพียงทอดถอนใจ
“บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร”
“ข้าได้ติดตามโจวหวู่ไปยังเขตสุ่ยหนาน ได้ความว่าอ้ายอ๋องส่งเขาไปดูสถานการณ์บางอย่าง จนสืบได้ว่าอ้ายอ๋องวางแผนจะก่อศึกของสองชนเผ่าซ่งหู่และฟูซียังลุ่มน้ำวูซาเพื่อขอตรารวมกำลังรบ หากมีมูลเหตุเช่นนี้ ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิแล้ว หากถูกอ๋องหลายแคว้นกดดันสุดท้ายอาจต้องจำยอม”
ศึกระหว่างชนเผ่าซ่งหู่และฟูซีไม่ใช่เรื่องเล็กในแคว้นอ้าย ด้วยเพราะเมื่อสี่ปีก่อน องค์จักรพรรดิครั้งยังเป็นหวงไท่จื่อยังต้องมาปราบปรามด้วยตนเอง กระทั่งสุดท้ายผู้ห้าวหาญเช่นนั้นยังถอยก้าวหนึ่งด้วยการเจรจา
สองชนเผ่านี้นับว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของแคว้นอ้ายแต่โบราณกาล มีวัฒนธรรมและธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นฝีมือในการทำศึก การศึกสัตว์และเลี้ยงสัตว์ ที่กระทั่งพรรคสำนักต่างๆ หรือทางการยังมิกล้าจะเข้าไปล่วงล้ำเข้าไปยังเขตลุ่มน้ำวูซามาก แม้ว่าจะมีทรัพยากรที่มีคุณค่าแค่ไหนก็ตาม
อีกทั้ง สองชนเผ่ายังขัดแย้งเป็นอริต่อกันมาตลอดสร้างความเดือดร้อนให้ผู้สัญจรยังลำน้ำวูซา จนในที่สุดพ่อค้าหรือคนเดินทางส่วนมากมักเลือกจะเลี่ยงเส้นทาง หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็ต้องเตรียมของกำนัลไว้เป็นค่าผ่านทางจำนวนมาก
“ขอบคุณท่าน แล้วโจวหวู่ได้กระทำสิ่งใดไปหรือยัง”
“เห็นว่าไปยุยงหัวหน้าเผ่าทั้งฝากฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำ อีกไม่นานคงเกิดศึกแน่”
สมกับเป็นคนผู้นั้นที่มีปากเป็นอาวุธ เยว่ถิงระคายเรื่องนี้มาสักพักแล้วในที่สุดก็เป็นจริง
“กลับมาครานี้ ข้าจะแตกหักอย่างที่สุดกับชิวหยางเพื่อลวงอ้ายอ๋อง ก่อนอาสาไปจัดการเรื่องที่ลุ่มน้ำวูซา ส่วนองครักษ์เฟยทั้งสองข้าใช้ให้เขาเริ่มกุเรื่องถึงจดหมายกบฏที่หายไปของหวู่อ๋องให้เข้าหูโจวหวู่ ดึงความสนใจโจวหวู่ไปจากลุ่มน้ำ ชิวหยางจะเป็นผู้อาสาไปลอบสังหารข้า ซึ่งที่นั่นเราจะรวมกำลังกันยุติศึกสองชนเผ่า”
เยว่ถิงประสานมือบนโต๊ะน้ำชา กวาดสายตามองรอบโต๊ะ
“อีกประการ ได้ยินว่าอ้ายอ๋องกำลังลุ่มหลงสนมนางหนึ่งอยู่ในเวลานี้ วังหลังกำลังแย่งชิงอำนาจ เป็นโอกาสอันดีของเรา หากสบโอกาส เราจะนำตัวท่านแม่ของชิวหยางและหวู่อ๋องออกมา”
เมื่อฟังจบ อู่เสวี่ยจินจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ท่านจะแตกหักกับเขาอย่างไรถึงจะทำให้อ้ายอ๋องหลงเชื่อได้”
“เรื่องนั้นข้าได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขอท่านอย่าห่วง”
เมื่อมีการรับตำแหน่งใหญ่ ก็ไม่อาจเลี่ยงงานเลี้ยงฉลอง
งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ วังของอ้ายอ๋องในยามเย็น มีทั้งการกล่าวยินดีต่อชุนอ๋ององค์ใหม่แห่งแคว้นอ้าย มีอาหารสุรารสเลิศและการแสดงร่ายรำของเหล่าสตรีงดงามแช่มช้อย
ชายหนุ่มผู้เพิ่งได้รับยศศักดิ์ชุนอ๋องใช้ปลายนิ้วดึงม่านผ้าไหมตำหนักรับรองของอ้ายอ๋อง แล้วลอบสังเกตเบื้องล่าง เหล่าขุนนางต่างทยอยกันมาเบื้องหน้าประตู ใบหน้ายิ้มแย้มเหล่านั้นดูราวกับเป็นสหายกันมาสักสิบปี ส่วนของกำนัลนั้นก็ไม่มีผู้ใดไม่นำมา เพียงแต่จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไปตามฐานะ
เยว่ถิงปิดม่านลง หันตัวกลับไปเจอคนผู้หนึ่งที่ลอบเข้ามาโดยไร้สุ้มเสียง
ไป่อวิ๋นหลานที่แต่งกายด้วยชุดองครักษ์หัวเราะหึๆ หลังจากมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า อาภรณ์ของเยว่ถิงในวันนี้เป็นสีดำและสีคราม มีลวดลายปักประณีตรูปนกกระเรียน ส่วนผมสีดำสนิทถูกรวบเก็บอย่างดีแล้วใช้กวานและปิ่นสีเงินปัก
“ว่าแต่เมื่อไหร่ท่านอ๋องจะออกไปต้อนรับแขกเล่า หรือกลัวจะพบหน้าใคร”
“มิได้...”
ไป่อวิ๋นหลานเลิกคิ้ว ยิ้มหยันๆ ขึ้น “เจ้าตัดสินใจทำสิ่งใด ต้องแน่ใจว่าจะสามารถรับผลที่ตามมาได้ อย่าลืม”
อันที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมา ไป่อวิ๋นหลานเองเหน็บแนมเขาอยู่เรื่อยไป
“ข้าทำเพื่อแคว้นอ้ายและจักรวรรดิชางเหอ”
ไป่อวิ๋นหลานยักไหล่ นำหน้ากากผิวเรียบไร้ลวดลายที่ปิดบังดวงหน้าในลักษณะเฉียงขึ้นมาสวม ก่อนจะกระชับกระบี่ตะวันในเงาธารายังเอวแล้วเดินนำออกไป เยว่ถิงมองใบหน้าตัวเองในกระจกทองเหลืองอีกครา
แววตาสีฟ้าสะท้อนความว่างเปล่าหนึ่ง แม้รูปลักษณ์ในอาภรณ์ท่านอ๋องสูงศักดิ์นี้จะไร้ที่ติ แต่บางครากับยิ่งรู้สึกว่าเยียบเย็นจับต้องไม่ได้
เอื้อมมือแตะยังอก ยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจเต้นที่เต้น ยังรู้สึกได้ถึงความอุ่นของร่างกายที่ส่งผ่านมา
‘เกรงว่าข้าคงกลายเป็นอสูรมิมีวันกลับเป็นมนุษย์อีก’
ผู้มีสมญาจอมอสูรพันศพได้กล่าวกับเขายามเห็นเศษเล็บและเส้นผมของเขาในความฝันแห่งพู่หยกคู่ ยามนั้นเขาตอบกลับไปว่า
‘แต่ท่านก็ยังเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ยังมีหัวใจโดยสมบูรณ์ มิฉะนั้นคงมิกอดข้าอยู่เช่นนี้’
แล้วบัดนี้เล่า ชุนอ๋องหลี่เยว่ถิงผู้นี้ จะยังมีหัวใจโดยสมบูรณ์หรือไม่?
เยว่ถิงออกไปต้อนรับเหล่าขุนนางที่มาถึง รอยยิ้มเคลือบบนใบหน้าไม่จางหายไปไม่ว่าจะเอ่ยกับผู้ใด บทสนทนาถูกเสกสรรปันแต่งขึ้นถึงเรื่องราวภูมิฐานว่าเขาเป็นบัณฑิตตกยากอยู่หลายปีจนได้รับฐานะคืน ผู้คนต่างแสดงความปลาบปลื้มอัศจรรย์ใจแล้วจบด้วยเสียงหัวเราะรวมถึงท่าทางนอบน้อมเคารพนับถือ
อีกทั้งยังไม่ผิดจากที่คุณชายไป่ทำนายไว้นัก เหล่าขุนนางที่มาต่างพาบุตรีพร้อมทั้งภริยามาด้วยถ้วนหน้า หากให้เปรียบเปรยกับโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เยว่ถิงรู้สึกว่าอยู่ท่ามกลางตัวแทนขายประกันนับสิบที่นำเสนอข้อเสนอพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“ท่านอ๋องรูปสง่างามโฉมสะดุดตา ผู้น้อยของเสียมารยาทถามว่าท่านมีคนรักหรือยัง คิดจะตบแต่งผู้ใดไว้ปรนนิบัติหรือไม่เจ้าคะ”
“ฮูหยิน!” เจ้ากรมการคลังผู้มีแซ่เหยียนหันไปปรามภริยา ก่อนรีบเอ่ยขอโทษแก่เขา “ท่านอ๋อง ขออภัยที่ฮูหยินของข้าเอ่ยวาจาล่วงเกินท่าน กลับไปข้าจะอบรมนางให้ดี”
เยว่ถิงมองทั้งสองสามีภรรยาแซ่เหยียนในชุดหรูหราอู้ฟู่โดดเด่นกว่าผู้อื่น ภริยาท่าทางจัดจ้านนั้นออกจะไม่เก็บอาการ ด้วยนางคงมั่นอกมั่นใจในรูปโฉมที่เยว่ถิงก็ไม่ปฏิเสธว่างามสะพรั่งหากเทียบกับอายุ เมื่อชายหนุ่มออกปากว่าไม่เป็นไร นางจึงหันไปยิ้มอย่างเหนือกว่าใส่สามี รีบเอ่ยต่อ
“นี่คือบุตรีของผู้น้อยเจ้าค่ะ ซิ่วซิ่น รีบคำนับท่านอ๋องเร็ว!”
“ซิ่วซิ่นคำนับท่านอ๋องเจ้าค่ะ ยินดีกับตำแหน่งใหม่ของท่านด้วย”
เหยียนซิ่วซิ่นเป็นดรุณีน้อยยังเยาว์ที่ถอดแบบความงามมาจากมารดา กิริยาท่าทางเหมือนดั่งบุปผาอ่อนน่าทะนุถนอม ส่วนอาภรณ์ไม่สวมใส่มากเกินหรือน้อยเกินไป ดูงดงามสมวัยประมาณสิบเจ็ดไม่ขัดตา นัยน์ตากระจ่างใสดุจธารบริสุทธิ์ที่มองเยว่ถิงเหมือนเป็นเทพเซียน
กำลังจะเอ่ยปากตอบรับ ก็ได้มีเสียงคนผู้หนึ่งพูดแทรกขึ้น
“เป็นดรุณีน้อยงดงามน่ารัก เพียงยืนคู่กับชุนอ๋องก็เหมาะสมราวกับภาพวาด ขอให้มีข่าวดีระหว่างตระกูลหวังและตระกูลเหยียนในเร็ววัน ข้ายินดีจะเป็นประธานพิธีวิวาห์ให้”
อ้ายอ๋องหลี่ถังพร้อมขบวนผู้คนปรากฏตัวขึ้น เยว่ถิงปั้นหน้านอบน้อมรับไว้อย่างไม่เสียจังหวะ “คำนับอ้ายอ๋อง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าไยจะกล้าทำให้คุณหนูเหยียนเสียเกียรติกัน”
“ชุนอ๋องถ่อมตัวเกินไป สตรีใดได้ตบแต่งกับท่านย่อมเป็นเกียรติมากกว่า ใช่หรือไม่แม่ทัพอู่”
รอยยิ้มของเยว่ถิงค้างอยู่บนใบหน้า
บุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาข้างอ้ายอ๋อง รูปร่างสูงล่ำสันขึ้นหลายส่วน ผิวขาวถูกแดดเผาทำให้ดวงหน้ายิ่งคมเข้ม ดวงตาสีแดงทับทิมและเส้นผมสีดำสนิททำให้โดดเด่นจากบรรดาขุนนางอื่นในบริเวณ แม้จะใส่อาภรณ์เรียบๆ สีอ่อนก็ไม่อาจดึงสายตาผู้คนไปจากแขนเหล็กหนึ่งข้างที่สวมใส่ไว้ทดแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
“คำนับชุนอ๋องหลี่เยว่ถิง ที่อ้ายอ๋องเอ่ยย่อมถูกต้องแล้ว สตรีใดได้แต่งงานกับผู้สมบูรณ์พร้อมเช่นท่านนับว่าโชคดี”
ถ้อยคำเอ่ยเช่นนั้น แต่รอยยิ้มเย็นๆ ที่เผยขึ้นทำให้บรรยากาศรอบข้างคล้ายอบอ้าวขึ้นมา พลันเยว่ถิงยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติให้กับบุรุษที่อยู่ในความคิดมาตลอดสองปี ขณะประสานสายตาล้วนเก็บอารมณ์ทั้งมวลไว้ก้นบึ้งจิตใต้สำนึก
“คำนับท่านแม่ทัพอู่เช่นกัน เคยได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว พบท่านวันนี้นับว่าดียิ่ง ช่างมีบุคลิกสง่างามน่าเลื่อมใสนัก”
“ท่านก็เช่นกัน ขนาดแม่ทัพที่กรำศึกทุกค่ำวันเช่นข้ายังมีเสียงเล่าลือมากมายถึงท่านมาแตะหู พอพบตัวจริงกลับยิ่งมีรัศมีโดดเด่นยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีก สมญานามชุน(ฤดูใบไม้ผลิ)คงไม่อาจเหมาะกับใครมากกว่าท่านอีกแล้ว”
“ปกติแม่ทัพอู่ไม่ช่างเจรจาหรือชมเชยใคร คงถูกชะตากับท่านแน่แท้ ดี! ภายภาคหน้าคงร่วมกันช่วยนำแคว้นอ้ายเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าแคว้นใด”
อ้ายอ๋องเอ่ยขึ้น หากฟังเผินๆ ก็ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก แต่จะมีผู้ทราบความนัยที่แท้จริงอยู่ก็เพียงสามคน จากสีหน้าถ้อยคำที่แสดงออก... รวมทั้งรอยยิ้มเชือดเฉือนบนริมฝีปากรูปกระจับ ถือว่าเขาประเมินความโกรธเกรี้ยวของชิวหยางผิดไป
สองบุรุษมีถ้อยคำต้องการเอ่ยต่อกันมากมายนับพันทว่ามิอาจกล่าวสิ่งที่คิดออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ
อัสดงย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงอมม่วงสวยงาม เหล่าขุนนางจึงนั่งประจำที่ยังลานภายนอกกว้างใหญ่ ส่วนบรรดาภริยาและบุตรีถูกจัดรับรองอยู่ยังในห้องโถง โคมไฟหลากสีสว่างไสวในความสลัว สำรับอาหารถูกยกมา ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารเลิศรสและสุราดีทั้งสิ้น
อ้ายอ๋องหลี่ถังนั่งอยู่ยังบัลลังก์เอกสูงสุดตามบรรดาศักดิ์ โดยมีเยว่ถิงนั่งอยู่ข้างๆ ยังที่ต่ำลงมา ส่วนชิวหยางเป็นแม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้ายได้นั่งลดหลั่นลงมา
เยว่ถิงรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาอยู่ตลอดจนแทบไม่มีสมาธิกับการร่ายรำของสาวงามตรงหน้า แต่ก็ยังบังคับตัวเองให้อยู่เพียงอาหารและสาวงาม คล้ายจดจ่อจนไม่สนใจสิ่งอื่นใด
เสียงดนตรีรื่นเริงปลุกเร้า สุราในกระแสเลือดไหลเวียน เยว่ถิงตั้งใจดื่มเพียงเล็กน้อย กลับเป็นดื่มมากกว่าที่คิด โชคดีที่ยังคุมสติตัวเองแล้วไปง่วนกับการคีบกับแกล้มเข้าปากตนเองได้
“อาหารเลิศรสสุราดีเยี่ยมสาวงามชวนตราตรึง”
อ้ายอ๋องเปรยขึ้น ยกจอกสุราขึ้นดื่มและคีบกับแกล้มขึ้นทาน ส่วนเยว่ถิงเอ่ยบอกให้คนในโรงครัวเปลี่ยนทุกอย่างเป็นของที่เขานำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะสำรับไปถึงน้ำดื่ม
“อ้ายอ๋องเมตตาข้าถึงเพียงนี้ ข้าทราบซึ้งใจยิ่งนัก”
“สาวงามแต่ละคนองค์เอวอ่อนอกอวบอัดได้รูป ยิ่งยามเคลื่อนไหวยิ่งชวนฝัน หากท่านถูกใจก็สามารถเลือกได้ทุกคน”
“ตัวข้าเพิ่งได้รับตำแหน่ง ใช้อำนาจมากไปเห็นจะไม่ดี”
อ้ายอ๋องเลิกคิ้วสูง ใช้มือหมุนเล่นสุราครึ่งจอกเล่น บังเกิดรอยยิ้มแสลงตาขึ้น
ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ดังกลบเสียงพูดคุย มีเพียงในระยะใกล้เท่านั้นที่ได้ยิน อ้ายอ๋องยื่นหน้ามาใกล้เบื้องหน้าเขา
“หรือว่า... ชุนอ๋องจะไม่พึงใจในสตรีกันหนอ?”
นิ้วได้รูปจรดปลายคางเขาขึ้นแล้วลูบผ่านริมฝีปากแผ่วเบา เวลานี้ไม่มีผู้ใดสนใจมองสิ่งอื่นนอกจากนางงามที่สะบัดชายผ้าวับแวม เยว่ถิงหรี่ตา แต่ก่อนจะได้เอ่ยสิ่งใดเสียงจอกสุราแตกก็ดังขึ้นพร้อมกับมือของอ้ายอ๋องที่ชักกลับไป
ยามเมื่อหันไป เป็นชิวหยางที่ยกมือขึ้นขออภัยแก่อ้ายอ๋องแล้วหันไปก้มลงต่ำต่อผู้คนในงาน
“ขออภัย อาจเป็นเพราะฤทธิ์สุราทำให้มือไม้อ่อนไป เกรงว่าข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
จากนั้นจึงหันมาทางเยว่ถิง เขาไม่กล้าสบตาคู่นั้นนาน เหลือบไปทางอื่นพลางพยักหน้า ชิวหยางลุกขึ้นแล้วผละออกไป แผ่นหลังกว้างแต่ดูเปล่าเปลี่ยวนั้นทำให้เยว่ถิงอยากลุกวิ่งตามไปแล้วอ้าแขนโอบกอดนัก
แต่สิ่งที่เขาทำคือนั่งอยู่ยังที่เดิม ถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยกับบรรดานางรำและคณะดนตรีให้ร่ายรำขับขานต่อไป อ้ายอ๋องเพียงถดตัวกลับไปแล้วยิ้มกริ่ม มิได้สนใจจะทำรุ่มร่ามกับเยว่ถิงอีก
เยว่ถิงดื่มสุราเพิ่มเติมเข้าไป หวังลบความรุ่มร้อนในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่ารังแต่จะเพิ่มกองไฟในใจให้มอดไหม้ กระนั้นคราวนี้กลับเป็นการเมามายที่คล้ายจะมีสติแจ่มชัด ด้วยมีความตั้งใจแต่แรกว่าจะเอ่ยบางสิ่งต่อหน้าผู้คน ผิดแต่จากที่ควรเป็นท่าทางสงบเยือกเย็นกลับเป็นท่าทางร้อนเร่ามีความรู้สึกแรงกล้า
“เนื่องในวันเฉลิมฉลองรับตำแหน่ง ข้าชุนอ๋องหลี่เยว่ถิง มีสิ่งหนึ่งที่อยากเอ่ยแก่ท่านทั้งหลาย ไว้เป็นข้อเตือนใจในการทำงานร่วมกัน หวังว่าท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายคนไม่ขัดใจและคิดว่าเป็นถ้อยคำด่าทอไร้เหตุผล”
เยว่ถิงยืนขึ้นหลังปรบมือดังๆ เมื่อการแสดงจบ เหล่าขุนนางต่างชมดูเขา ใบหน้าแต่ละคนค่อนข้างแดงในระดับหนึ่งไม่เว้นแม้แต่อ้ายอ๋อง ทุกสายตามองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว
ดวงตาสีฟ้าสบกับดวงตาผู้อยู่บัลลังก์เอก ก่อนเอื้อนเอ่ยคำ
“แจวเรือน้อยสู่สระปทุมมาลย์กว้างใหญ่
มองเพลิดเพลินใจกลีบช้อยไหวหลากสี
ผู้ชุมนุมต่างพำนักพักใจให้เปรมปรีดิ์
มาตรแม้นสายนทีจะดำคล้ำไม่นำพา
อันโคลนตมซมเซาเน่าจากซากสัตว์
ส่งกลิ่นโชยพัดคละคลุ้งแสนหมักหมม
ทว่าเมื่อบัวงามจึงชมบัวไม่ตรอมตรม
คนโง่งมไยจะชมสิ่งเที่ยงแท้แต่ไม่งาม”
เสียงสายลมพัดหวีด ความเงียบตกลง เยว่ถิงหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยต่อ
“ใจความของกลอนบทนี้ คือหากต้องการนำพาแคว้นอ้ายไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ย่อมมิอาจมองแต่สิ่งสวยงามแล้วทำเป็นมองไม่เห็นถึงสิ่งเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ได้ หากท่านมิใช่คนโง่งม คงทราบความในใจของข้า”
นี่เป็นการท้าทายอ้ายอ๋องและประกาศสงครามซึ่งหน้า ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มจอมปลอมของอีกฝ่ายเองก็บอกได้ว่าจะไม่ปล่อยเขาไว้ให้ระแคะสายตาอยู่นาน
100%
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่เลือกที่จะทำร้ายจิตใจคนรัก ซ้ำๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพลีย
คือคนที่มันไม่รู้อะไรมันก็โครตจะเจ็บชิบหายเลย//อินเว่อร์55555
อึดอัดอ่ะแม่ ฮือ
น้องถิงกลับมาคราวนี้ห้าวมากลูก
ท่านชิวหยางน่าสงสารเลยอ่า แงงงง
ถึงจะเป็นแผนแต่คนโดนมันเจ็บปวดนะ แงงง ถิงต้องง้อเลยง้อแบบฟลูออพชั่น ให้เตียงหักไปเลย #ทีมชิวหยาง 55555