ตอนที่ 34 : 32 - ร่ำสุราใต้เเสงจันทร์ re7/12/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
32 – ร่ำสุราใต้แสงจันทร์
วิกาลคล้อยต่ำลง สายลมบูรพาพัดพากิ่งหลิวไกวโอนเอน พาให้ใบหลิวหลุดร่วงจากแหล่งสู่ผิวน้ำ เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกแผ่วเบา
สองบุรุษในอาภรณ์ลำลองนั่งอยู่ยังศาลาหนึ่ง เป็นศาลาเล็กมิได้ประดับตกแต่งตระการตา ทว่าเมื่อประกอบกับบุรุษที่รูปโฉมเหนือธรรมดา ก็ทำให้ทัศนียภาพพลอยงดงามขึ้น
“ข้าเข้าใจว่าเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ทว่าจะดื่มอย่างเดียวมิเอ่ยสิ่งใดเลยหรือไร”
ชิวหยางจดจ้องผู้กระดกจอกเบื้องหน้า ท่านั่งเรียบร้อยสุภาพในตอนแรกของเยว่ถิงเปลี่ยนเป็นชันขึ้นข้างหนึ่ง กอปรกับดวงหน้าแดงเรื่อจึงบอกได้ว่าสุราดีเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“ฮ่าๆ ขออภัย ข้าเองมัวเพลิดเพลินกับรสสุรา มิคาดว่าการร่ำสุรากับยอดดวงใจเช่นท่านจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”
“อย่าได้ดื่มสุรากับผู้ใดที่มิใช่ข้า”
ผู้ฟังได้แต่ระอาใจพึมพำเบาๆ เยว่ถิงยังมิวายยกมือตบบ่าคนเคียงข้างปั่กๆ
“หืม! หยางเอ๋อร์ นี่นินทาข้าซึ่งหน้าหรือไร บัดนี้ร่ำสุราสบายใจแล้ว จะสิ่งใดย่อมพูดได้ทั้งสิ้น!”
หยางเอ๋อร์...
ส่วนคนพูดก็ยังคงไม่รู้เรื่อง ยังมีหน้ามาหัวเราะคิกคัก มันน่าจับลงโทษให้หนักเสียจริงๆ
“...ข้าว่าเจ้ากลับเรือนพำนักก่อนดีกว่า”
“เจ้านี่กระไร? เมื่อครู่บอกให้ข้าเอ่ยสิ่งใดบ้าง บัดนี้กลับบอกให้ไปนอน”
ดวงหน้างามละมุนละไมยากจะละสายตาขึ้นสีเรื่อน่าดูชม ผิวกายขาวสะอาดต้องแสงจันทร์ดั่งหยกกระเบื้องล้ำค่าไร้ตำหนิ บาดแผลอัปลักษณ์ที่เคยเห็นอยู่จางหายไปจนมิเหลือร่องรอยว่าครั้งหนึ่งกินลามพื้นที่ตั้งแต่แก้มจรดปลายคาง
เวลาเพียงสองปีไหนเลยจะสรรสร้างความงามล่มเมืองขึ้นมาได้จริงสมดั่งคำทำนายของหวังอิงเอ๋อร์ ช่างน่าอัศจรรย์และน่าคับแค้นใจพอๆ กัน
ส่วนเรือนร่างองค์เอวนั้น แม้เติบใหญ่ขึ้นบ้างแต่ก็ยังคงบางอ่อนชวนกระหวัดกอดรัด อาภรณ์แบบบุรุษเรียบง่ายสวมอยู่อย่างหลวมๆ
สายตาลามเลียจากริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างลงไปยังลำคอ คิดได้ว่าเคยถูกบุรุษอื่นขบกัดไว้เป็นร่องรอย ช่างน่าโมโหไม่น้อย
นึกคิดไปแล้วก็หวนถึงเรื่องราวมากมาย หูเป่ยซงดับดิ้นสมใจแล้ว แต่ศัตรูผู้อื่นกลับปรากฏตัว ทั้งยังเป็นถึงอ๋องครองแคว้นที่ร่วมมือกับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น ที่มีมารดาของเขาเป็นตัวประกัน มิหนำซ้ำยังนำตัวโจวหวู่ไปและรู้ฐานะแท้จริงอันแสนสูงส่งของเยว่ถิง
พระโอรสเพียงองค์เดียวของพระอนุชาแท้ๆ ขององค์จักรพรรดิแห่งชางเหอ... หนึ่งในเชื้อพระวงศ์ไม่กี่คนที่ได้รับพระราชทานสกุลหลี่
ไยเจ้าเด็กขอทานตาบอดในวันนั้นจะมีสายเลือดสูงส่งเพียงนี้ มิคาดสายเลือดบุตรอนุของเฒ่าบัดซบคนหนึ่งจะมิอาจทัดเทียมได้แม้แต่น้อย
ชิวหยางยกจอกขึ้นดื่มอีก ครั้งนี้เต็มจอก รสร้อนแรงซาบซ่านทำให้ร้อนผ่าวทั่วลำคอ
ทว่า... ตั้งแต่คิดเข้าสู่ฝ่ายอธรรม เขาก็ได้ละทิ้งความเคารพในลำดับชนชั้นเช่นนี้มานานแล้วมิใช่หรือไร
“ชิวหยาง! ฟังข้าอยู่หรือไม่!”
ได้ยินเสียงเรียกจึงค่อยหลุดจากภวังค์ เยว่ถิงเปลี่ยนบุคลิกไปอีก ขณะนี้หน้างามๆ นั้นแดงก่ำ แต่ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นผิดวิสัย
“บัดซบ! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าบิดามารดาทำอะไรไว้ ยามนั้นยังเป็นวุ้นอยู่เลยกระมัง เหตุใดถึงต้องรับกรรมก็มิทราบ โอรสของพระปิตุลาก็พระปิตุลาเถอะ ข้าสบายใจจะเป็นขอทาน มิต้องการคืนตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น”
“จริงรึ”
“แน่นอน ฮ่า! เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนไม่ประสางั้นสิ มา! ข้าจะเล่าให้ฟัง แค่วิเคราะห์โครงสร้างก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ยังมีการบอกว่าให้ลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้กำไรสูงสุด ความปลอดภัยของคนอยู่อาศัยเล่า เอาจรรยาบรรณไปยัดก้นไว้หรือไง ไหนจะมีปัญหาเรื่องค่าภาษีอีก นี่คิดว่านายช่างเป็นนักบัญชีด้วยหรือไร”
นี่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังเอ่ยพล่ามถึงสิ่งใดแล้ว
“ยังไม่พอ ยังมีการแย่งชิงสัมปทานกับนักการเมืองท้องถิ่นอีก กล้าดียังไงส่งคำขู่ฆ่ามาถึงสองครั้ง หากเวลานั้นมีวิชายุทธ์กำลังภายในรับรองจะจัดการให้ลุกมาทำกร่างไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สอง”
เยว่ถิงที่ว่าอย่างมีอารมณ์ยกมือตบเปรี้ยงลงบนโต๊ะเตี้ย อยู่ดีๆ ก็มีโทสะในเรื่องที่มิได้เกี่ยวกับสถานการณ์ในยามนี้ขึ้นมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ได้
“ครั้งที่ได้รับเชิญเป็นวิทยากรชั่วคราวก็ด้วย เจ้าเด็กหัวโตเหล่านั้นแค่หาสมการของคานยังไม่เป็น ที่เรียนนั่นเสียค่าเทอมไปนั่งหลับหรือยังไง? ชิวหยาง เจ้ายังรู้เลยใช่หรือไม่ว่าการเขียนแผนภาพ Influence line ของคาน Statically indeterminate เพื่อหาค่าสูงสุดของแรงและโมเมนต์ต่างๆ ที่จุดใดจุดหนึ่งบนคานมีประโยชน์อย่างไร”
คำพูดและภาษาอันไม่เคยได้ยินพรั่งพรู เอ่ยไปก็ยกมือกุมหน้าผากสีหน้าแลดูสติแตกยิ่งนัก
“ชิวหยาง! รู้ไหมทำไมข้าถึงออกจากงานวิศวะทั้งๆ ที่เรียนถึงปริญญาเอกแล้วมาทำร้านกาแฟ?”
“กา... อะไรนะ?”
“กาแฟ! คอฟฟี่ไง! มีทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้า”
“มันเป็นวิชายุทธ์อะไร ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เป็นวิชายุทธ์ทำให้ตาค้าง ไม่ง่วงนอน กระตุ้นให้เจ้ามีเรี่ยวแรงฮึกเหิมสุดๆ ทั้งยังหอมกรุ่นและรสชาติดี ใครได้ลิ้มลองเป็นต้องเสพติด” เยว่ถิงว่าอย่างผู้รู้ พลางกระดกนิ้วชี้หน้าเขา
“นี่ ข้าเคยถูกคนขู่คุกคามถึงว่าจะเอาชีวิตครอบครัว จำต้องเสียสัมปทานให้พวกคนชั่ว โครงการก่อสร้างหนึ่งมิใช่หยวนสองหยวน ข้าถึงได้ลาออกเพื่อรับผิดชอบ แต่คนก็เอาไปพูดต่างๆ นานาว่าข้าไม่อดทน”
“เหอะ การยอมหักไม่ยอมงอนี่แหละจึงทำให้อยู่ยาก ว่าไหมชิวหยาง ข้ายังเสียดายมิหาย...”
“ข้าว่าคืนนี้พอก่อนดีหรือไม่ ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าเอ่ยสักนิด”
เยว่ถิงเรอออกมาเสียงดังอย่างไม่อับอาย พูดด้วยเสียงที่เริ่มอ้อแอ้อ่อนแรง ตาเองก็ฉ่ำปรือ “พอทีเรื่องราวก่อนเก่า นี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว จะไปเอ่ยถึงทำไม จงฟังข้าร่ายกลอนให้สบายใจดีกว่า”
“ร่ายกลอน?”
ร่างโปร่งยืนขึ้นโงนเงน ยกจอกสุราขึ้นเหนือศีรษะ แสงจันทร์กระจ่างฉายทาบลงสะท้อนเป็นภาพที่ชวนดึงลมหายใจ
คนเมามายจนหน้าแดงผมกระเซิงไหนเลยจะงดงามได้ดั่งเทพเซียน พาให้คิดว่าดวงตาของตนช่างลำเอียงอคติไม่น้อย
“เป็นกลอนไร้สัมผัส นาม ‘คิดคำนึง’ มิแน่ใจผู้ใดแต่ง แต่มีเนื้อหากินใจยิ่ง”
“จันทรายามนี้เป็นเช่นไร ยกจอกถามนภาฟ้ากระจ่าง
มิล่วงรู้ถึงสวรรค์ มิล่วงรู้ถึงกาลเวลาราตรีใด
ใคร่ตามลมหวนพัดกลับ แต่หวั่นเกรงแดนสรวง ช่างเหน็บหนาวสูงล้ำเหลือประมาณ
จึ่งจำร่ายรำใต้เงาจันทร์ไสว ปล่อยสรรพสิ่งอื่นใดในโลกมนุษย์ให้เป็นไป
แสงเลือนคล้อยเลื่อนลับผ่านตำหนักหอ ใจอาวรณ์มิอาจหลับใหล
ไยเล่ามีความโกรธเกลียดสุมอก แม้นมิสมหวังดังเดือนเพ็ญ
คนมีสุขทุกจำพรากจาก เดือนมีขึ้นลับสลับ ยากสมสมปรารถนาแต่กาลก่อน
ทำได้เพียงขอสัมพันธ์นี้ยั้งยืนนาน จนสุดขอบฟ้ากระทั่งจันทร์ขึ้นใหม่อีกครา”
มิทราบคนเมาที่ยังพูดจาไม่รู้ความเมื่อครู่ไยสามารถเอ่ยสัจธรรมลึกล้ำผ่านบทกลอน คนผู้นี้ช่างมีหลายสิ่งมากมายที่เขายังมิได้ค้นหานัก เยว่ถิงค่อยๆ ทรุดนั่งลง คล้ายกับว่าใช้เรี่ยวแรงในการร่ายกลอนไพเราะนั่นเมื่อครู่ไปสิ้น
“ชิวหยาง”
“ว่าอย่างไร”
“หนาว”
จู่ๆ บทจะออดอ้อนขึ้นมาก็เป็นเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตอนแรกปฏิเสธเสื้อคลุมห่มอีกชั้น คนฟังกลอนขยับถอดเสื้อคลุมของตนแล้วห่มคลุมร่างเล็กกว่านั้นไว้ รวบดึงร่างเข้ามาในอ้อมแขน เยว่ถิงพึมพำตาใกล้ปิด
“กลัวหรือไม่?”
“กลัวสิ่งใด”
“ทุกสิ่ง” เอ่ยเบาๆ ก่อนที่จะเสริมต่อ “ข้าเป็นพระโอรสของพระปิตุลาของหวงไท่จื่อจริงหรือ?”
ไม่คล้ายกับคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นการย้ำเตือนกับตน ชิวหยาง ใช้ปลายคางวางบนศีรษะ สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มและกลิ่นสุราร้อนผ่าวรุนแรงอบอวล
“ข้าเป็นพรรคฝ่ายอธรรม มิได้สนใจยศศักดิ์ในราชสำนักหรือเชื้อพระวงศ์แห่งชางเหอ อย่างไรเจ้าก็คือเยว่ถิงของข้า”
ส่งเสียงในลำคอคล้ายรับรู้อยู่ครึ่งหนึ่งก่อนที่จะหันใบหน้าเข้าหาแขนขวาของเขา ดวงตาตอนนี้ปิดสนิทแล้ว “มารดาของข้ากระทำเรื่องเลวร้ายแก่โจวหวู่จริงหรือ?”
“สิ่งใดเกิดแล้วก็ย่อมเกิดแล้ว มิอาจแก้ไข สิ่งที่สมควรทำคือการทำใจยอมรับ”
“ยามอยู่ยังเขาหลวนซาน ข้าได้เอ่ยกับสายลม ว่าให้นำข้อความไปบอกท่านว่า ข้าจะเป็นแขนให้ท่าน”
“เจ้าเป็นทั้งชีวิตของข้า”
“จะรับตำแหน่งราชการแล้วทิ้งตำแหน่งประมุขสะบั้นสวรรค์หรือไม่?”
“...”
“ในที่สุด ปัญหาจะคลี่คลายหรือไม่?”
เสียงค่อยๆ แผ่วเบาลงจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ แทน ดวงตาสีแดงทับทิมเลื่อนลง ก่อนที่จะค่อยโน้มใบหน้าลงจุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปากนั้น
“จะต้องคลี่คลายอย่างแน่นอน”
ฤทธิ์สุรามอมเมาให้จมลงสู่ห้วงนิทรา ทว่าแม้เหนื่อยอ่อน กลับไม่ได้หลับสนิทดั่งที่ต้องการ
ในความพร่ามัว ความรับรู้แสนเลือนรางล่องลอย ถึงไม่อาจแน่ใจ แต่ความรู้สึกหวนระลึกถึงและความห่วงหาอาวรณ์บอกว่าเป็นนี่เป็นความฝันถึงอดีตชาติสมัยเป็นวิศวกร
ราวกับว่าเป็นอดีตอันไกลแสนไกล... สับสนอยู่บ้างว่าสิ่งใดคือจริงหรือฝัน
ผู้คนในฝันก็มีหลายคนที่ใบหน้าถูกกลืนไปกับแสงสีขาว เสียงพูดคุยแว่วไปมาดังมาจากสถานที่แสนไกล เหตุการณ์ต่างๆ หมุนไปดั่งเร่งความเร็วภาพยนตร์ มีที่ช้าบ้างหากเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำ
เยว่ถิงไม่ได้ฝันถึงอดีตชาติมานานแล้ว ยิ่งความรู้สึกที่เคยเป็นนายช่างยิ่งเลือนราง เมื่อเขาไม่ได้มีความสุขกับมันมากนัก กลิ่นกาแฟและความผ่อนคลายในร้านเล็กๆ ข้างไร่องุ่นนั้นยังน่ารำลึกถึงมากกว่า
แต่ต่อมาภาพอดีตกลับแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพยามเกิดใหม่และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ จนเมื่อสุดท้ายเป็นภาพมือทั้งสองที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ครั้งนี้อาจได้รับชัยเหนือจิ้งจอกผู้บ้าคลั่ง โจวหวู่ แต่ร่องรอยจากความสูญเสียยังหลงเหลือ
มือขวาของเยว่ถิง... ไม่อาจใช้งานได้ดังเดิม
แค่ลองจรดพู่กันลงเขียนหนังสือ ตัวหนังสือยังบิดเบี้ยวจนอ่านไม่ได้ความ โชคดีที่มือนี้ยังสามารถทำงานหยาบๆ เช่นหยิบจับของได้บ้าง แต่สิ่งซับซ้อนมากที่สุดที่ทำได้คือการจับตะเกียบทานอาหาร
วิชาฝังเข็ม วิชาปราณเชื่อมต่อ หรือกระทั่งศาสตร์ที่เรียนรู้มาเพื่อต่อแขนที่สูญเสียของชิวหยางกลับคืนกลับกลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อีกครั้ง
เขายังมีชิวหยางที่ต้องรักษาแขนซ้าย มีคุณหนูหวังอิงเอ๋อร์ที่อาการยังน่าเป็นห่วงอย่างมาก ทั้งหวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางยังหายตัวไป ไม่แน่อาจจะบาดเจ็บกลับมาก็เป็นได้
อีกทั้งยังมียศศักดิ์โอรสของพระปิตุลาค้ำคอ ทำให้ไม่อาจเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอ๋องผู้ครองแคว้นอ้ายที่ทะเยอทะยานหวังในอำนาจ ตัวเขาเองไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์ใดติดตัว คิดร่ำเรียนแต่วิชาแพทย์เพื่อช่วยรักษาผู้อื่นเท่านั้น มาบัดนี้วิชาที่ภูมิใจนักหนากลับเป็นเช่นนี้อีก
อาจเพราะกลัวตนจะไร้ค่ากระมัง จึงได้หวนนึกถึงอีกสิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ในศีรษะ ศาสตร์วิศวกรรมทันสมัยที่เขายังคงศึกษาเรื่อยมาเพื่อช่วยประยุกต์ร่วมกับการแพทย์ เพราะหากรื้อฟื้นสิ่งนี้ขึ้นมา อาจจะสร้างประโยชน์ทดแทนได้ไม่มากก็น้อย
เสียงเปิดประตูจากห้องเบื้องนอกดังขึ้นเบาๆ เยว่ถิงลืมตาขึ้นในความมืด พบว่ามือขวาสั่นๆ ของตนกำลังจิกผ้าปูเตียงไว้แน่น
ชิวหยางคงเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้ารวมถึงแบกเขาเข้ามาในห้องนอนนี้ ความมืดทำให้เห็นมองเห็นรอบตัวไม่ชัด แต่อย่างน้อยอาการแฮงค์จนศีรษะร้าวก็ชัดแจ้ง ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ คลายมือขวาออกแล้วหันใบหน้าทิศทางของเสียง
“เจ้ามีธุระอะไร” เสียงกระซิบแต่แฝงความกระด้างเป็นของชิวหยาง
“ข้ามีเรื่องที่พูดคุยกับเจ้า”
ได้ยินเสียงขยับเก้าอี้ จากนั้นความเงียบน่าอึดอัดจึงโรยตัวลงมาจนเยว่ถิงยังแอบเผลอเกร็งร่างไปด้วย เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่ง ในที่สุดประมุขสุริยันพันแสงก็เป็นผู้เอ่ยปากก่อน
“เจ้ายังคงโกรธแค้นข้า”
“มีสิ่งใดก็รีบพูดมา”
อู่เสวี่ยจินมิได้โต้ตอบ เพียงว่าเสียงสงบนิ่ง “มีเรื่องขุ่นเคืองใจประการแรกที่ข้าต้องชี้แจง เป็นเรื่องจริงที่ข้าแตะต้องคนรักของเจ้า แต่มิมีสิ่งใดเกินเลยไปนอกจากรอยฟัน”
“เจ้าจะมายั่วโมโหข้าหรือยังไง”
“นั่นมิใช่เจตนาของข้า”
“ในการต่อสู้ มิเห็นหรือว่ากระบี่ของข้านั้นหวังฟันถึงตาย” คำเอ่ยของชิวหยางเหยียดหยาม “แต่เพราะเยว่ถิง เจ้าถึงยังได้นั่งอยู่ตรงหน้าข้า”
“ข้าเข้าใจถึงความขุ่นเคืองนั้น...”
“หากต้องการพูดเพียงเท่านี้ก็ออกไปซะ”
“เจ้าคงมิเชื่อ” อู่เสวี่ยจินถอนใจเบาๆ “งั้นจงดู”
ได้ยินเสียงสะบัดแขนเสื้อขึ้น กระแสอารมณ์จากอีกห้องแปรเปลี่ยนไป
“ปะทะกันครั้งนี้ เจ้ามิสังเกตหรือว่าข้ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง”
“เจ้า...”
“ขณะดำรงฐานะประมุขพรรคสุริยันพันแสง ข้าได้ฝึกคัมภีร์ลับ ‘ตะวันทองพิสุทธิ์’ สำเร็จ นับตั้งแต่มีประมุขสุริยันพันแสงมาเก้ารุ่น มิมีผู้ใดฝึกได้มาก่อน รูปดวงตะวันสีทองนี่เป็นสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นหลังสำเร็จวิชา”
“เช่นเดียวกับคัมภีร์ลับ ‘พันวิญญาณหนึ่งอสูร’ ของเจ้า เคล็ดวิชานี้มีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน... นั่นคือต้องถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต หากตระบัดสัตย์ รอยตะวันทองที่ข้อมือนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ กลืนกินผู้เป็นเจ้าของ หากมิตายก็วิกลจริต ดังนั้นเจ้าเข้าใจผิดมาตลอด”
สิ้นคำชี้แจง ความเงียบระลอกที่สองก็ตกลง แต่ครานี้มิใช่ความเงียบหนักอึ้ง เป็นความผ่อนคลายที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
เยว่ถิงเองพลอยโล่งใจไปด้วย อีกใจหนึ่งก็อดตำหนิชิวหยางไม่ได้ที่คิดไม่เชื่อคำพูดของเขา
ฉับพลันเยว่ถิงได้ยินเสียงครึกครืดยังหน้าต่างของห้องนอน เงาวูบสายหนึ่งกระโจนเข้ามา ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงจนขยับชนหัวเตียงเสียงดัง จะเอ่ยปากร้องตะโกนแต่กลับถูกมืออุดปากเอาไว้แน่น
ชิวหยางคล้ายลุกพรวดขึ้น เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
กลิ่นผลท้ออ่อนๆ โชยมา แท้แล้วผู้บุกรุกกลับเป็นคุณชายไป่อวิ๋นหลาน เจ้าตัวยกนิ้วชี้อีกมือขึ้นแตะริมฝีปาก สีหน้าเคร่งเครียดจนชายหนุ่มต้องพยักหน้าตามอย่างช่วยไม่ได้
ชิวหยางเดินไปสักครึ่งทาง คุณชายไป่ก็ส่งเสียงกรนดังออกไปอย่างชำนิชำนาญ หากไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นคนกำลังหลับจริงๆ
ว่าแต่ให้เขากรนดังลั่นขนาดนั้นจะดีหรือ ประเดี๋ยวจะได้ฉายา ‘ท้องร้องสิบเรือนกรนสิบหลังคา’ พอดี
อย่างไรก็ตาม ชิวหยางยังอุตส่าห์รอบคอบพอที่จะเดินต่อเพื่อเข้ามาดู ตรวจตราดูรอบเตียง ก่อนจะก้าวมาจัดผ้าห่มคลุมร่างเขาให้เรียบร้อย ยังโน้มตัวลงจุมพิตยังหน้าผากเบาๆ ก่อนออกไป
เยว่ถิงที่แกล้งหลับแก้มร้อนขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ ชะโงกมองอีกหนึ่งบุรุษที่โผล่ศีรษะขึ้นจากข้างเตียงช้าๆ
แสงจันทร์เร้นลอดเข้ามากระทบใบหน้าไม่สบอารมณ์แต่มีองคาพยัพน่ามอง อ่านริมฝีปากเล็กบางได้ว่า
“เจ้าพวกนี้แอบมาคุยกันโดยไม่มีข้า”
ไป่อวิ๋นหลานลากเยว่ถิงย่องไปลอบฟังใกล้ประตู ส่งกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำชนิดหนึ่งให้ เมื่อจรดริมฝีปากแล้วดื่มแล้วเยว่ถิงพบว่าเป็นน้ำชาช่วยให้สร่างเมา จึงส่งยิ้มเก้อๆ แล้วค้อมศีรษะให้ อีกฝ่ายโบกมือไปมาอย่างไม่ถือเป็นบุญคุณ
“แล้วเรื่องราชโองการของอ้ายอ๋องหลี่ถัง เจ้าคิดจะทำอย่างไร” อู่เสวี่ยจินเปิดประเด็นขึ้น
“ข้ามิคิดจะทำอะไรทั้งสิ้น แม้เยว่ถิงจะมีฐานะเป็นถึงพระโอรสของพระปิตุลาของหวงไท่จื่อ แต่ถ้าเขามิสมัครใจจะไปไหน ใครหน้าไหนก็บังคับเขามิได้”
“เจ้าอยู่ในเหล่าอธรรมมานานเกินไป เรื่องราวมิได้ง่ายเพียงนั้น... ไหนจะมารดาของเจ้าอีกเล่า?”
“หลายปีก่อน ข้าคิดว่านางคงตายไปแล้วจริงๆ มิคาดกลับไปอยู่ที่จวนของตาเฒ่านั่น... แม้ข้ามิใคร่จะมีสัมพันธ์กับนางดีนัก แต่ข้าก็ไม่อาจทอดทิ้งนาง ฉะนั้นคงต้องลอบชิงตัวนางกลับมา”
“เสนาบดีอู่ชิงเจียเป็นขุนนางใหญ่ เป็นคนสนิทของอ้ายอ๋อง เจ้ากับข้าต่างรู้ดีว่าเขามีอำนาจแค่ไหน การชิงตัวนางกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งเจ้าไม่กลัวเกิดเรื่องไม่ดีกับพรรคสะบั้นสวรรค์ของเจ้าหรือไร”
“หากทางการคิดกวาดล้างสะบั้นสวรรค์จริงๆ เจ็ดพรรคอธรรมแห่งชางเหอก็คงไม่ไว้หน้าเขาเช่น”
“...บางครั้งข้าก็กลัวความกล้าได้กล้าเสียของเหล่าอธรรมนัก”
“แล้วเจ้าจะสิ่งใดต่อไป”
“ชีวิตข้าทำสิ่งผิดพลาดมากมาย ทั้งต่อเจ้า รุ่ยเซียง อิงเอ๋อร์ ท่านอาจารย์ หรือกระทั่งต่อพรรคสุริยันพันแสง ข้าไม่มีหน้าไปพบท่านอาจารย์ในปรภพหากยังดำรงตำแหน่งประมุขพรรค”
น้ำเสียงของประมุขสุริยันพันแสงเด็ดเดี่ยวแต่ก็แฝงด้วยความปลดปลง
“จากนี้ ข้าคิดสละตำแหน่งประมุขพรรค จากนี้คงมิอาจข้องเกี่ยวกับทางโลกยุทธภพอีก”
จู่ๆ คนข้างตัวเยว่ถิงก็ยกเท้าขึ้นเตะประตูดังโครม บานประตูไม้กระเด็นลอยผ่านศีรษะคนทั้งสองไปที่นั่งสนทนากันกลางห้องไป แสงสว่างจากเปลวเทียนจากอีกห้องแผ่เข้ามา สองพี่น้องหันควับด้วยท่าเตรียมพร้อมสู้
“ข้าเบื่อจะลอบฟังแล้ว”
ไป่อวิ๋นหลานเอ่ยเสียงเย็นแล้วกระตุกยิ้ม ตวัดกระบี่ตะวันในเงาธาราชี้หน้าบุรุษผมเงิน
“ละทางโลกรึ? น่าขำ! หากจะละก็ย่อมได้ แต่ต้องละทิ้งชีวิตเจ้าผ่านคมกระบี่ของข้าก่อน”
100%
I'm backkkkkk
สอบเสร็จแล้วค่ะ TT
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ประมุขอู่ถือพรมจรรย์จริงดิ่..งี้ก็อดได้เมียน่ะซิ อุ้บบ
เกรี้ยวกราดแท้!
โอ้ยย คุณชายไป่นี่เกรี้ยวกราดเหลือเกิน เขาจะคู่กับหัวหน้าพรรคธรรมมะใช่ไหมนิ