ตอนที่ 33 : 31 - ปัดเป่าตะกอน re7/11/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
31 – ปัดเป่าตะกอน
*ตอนนี้มีการรีไรต์สำนวนภาษา ไม่ต้องอ่านใหม่ก็ได้ค่า*
สองประมุขไล่ล่าจิ้งจอกทองจากไปท่ามกลางกลุ่มควันตลบฟุ้ง
มู่อวิ้นหลงบังคับอาชาอยู่เบื้องหลัง มิได้มีสีหน้ายินดียินร้ายแต่อย่างใด ดวงตายังแฝงเพลิงเกรี้ยวกราดไว้ บ่งบอกว่าโลหิตที่เดือดพล่านจากการสัประยุทธ์ยังมิได้คลายความฮึกเหิมลง สมกับสมญานามยกย่องว่าขุนพลพิฆาตกิเลน
สองแขนเต็มไปด้วยเส้นเลือดโอบล้อมจากด้านหลังสองด้านเป็นดั่งป้อมปราการ ให้รู้สึกปลอดภัยอยู่สักหกส่วนจากเสียงอื้ออึงของการฟาดฟันท่ามกลางทุ่งร้างนี้
รอบบริเวณมีการต่อสู้ฟาดฟันกันอยู่ในสมรภูมิ ขุนพลพิฆาตกิเลนยกทวนในมือขึ้นสู่ฟ้า แสงแห่งอโณทัยสาดส่อง ผ่านเงาเมฆเกิดเป็นภาพสง่างามองอาจ เสียงกู่ร้องคำรามของเสนาธิการซ้ายแห่งพรรคสะบั้นสวรรค์ปลุกขวัญเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา กระทั่งเยว่ถิงยังรู้สึกเลือดร้อนไปด้วย
การปะทะถาโถมรุนแรง แต่ฝั่งฝ่ายของเขามีกำลังพลมากกว่าจึงกำชัยในเวลาต่อมา เวลาผ่านจากรุ่งสางมาสู่ยามสาย ทั้งทุ่งร้างก็คล้ายจะอยู่ในการควบคุมของผู้อาวุโสมู่แห่งพรรคสะบั้นสวรรค์และมือปราบเฟย
เหล่าเชลยศึกผู้รอดชีวิตนั้นถูกจับมัดคุกเข่าบนพื้น หมดสิ้นซึ่งความหวัง แม้บางคนยังมีดวงตาดุกร้าวคุโชนอยู่ก็ตาม
มู่อวิ้นหลงควบม้ามายังเบื้องหน้าเหล่าเชลยและรับฟังรายงานสถานการณ์จากลูกพรรค
เยว่ถิงมิได้ฟังเท่าใด เพราะยังตราตรึงกับเหตุการณ์ปะทะ
เพลงทวนของบุรุษผู้นี้นับว่าเด็ดขาดและมักปลิดชีพศัตรูหลายศพในกวัดแกว่งครั้งเดียว เป็นดั่งพายุสลาตันที่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เยว่ถิงที่เห็นภาพใกล้ชัดระดับ4k จำต้องจดบันทึกไว้ในใจว่าไม่ควรไปมีเรื่องผิดใจกับคนผู้นี้หากไม่จำเป็น
คิดเช่นนี้ ก็อดนึกถึงบุรุษคู่ปรับอีกคนไม่ได้ เยว่ถิงเงยหน้าขึ้นจะเอ่ยปากถาม แต่ต้องชะงักไว้ เพราะยังมิใช่เวลา
หลังจากกวาดตาตรวจความเรียบร้อยในฝั่งอธรรม ขุนพลหนุ่มจึงกระตุกอาชาเข้าหามือปราบเฟย รอยอิดโรยเหน็ดเหนื่อยทำให้บุรุษผู้นี้แก่ชราลงหลายปีนับจากที่พบกันเมื่อสองปีก่อน คงต้องผ่านเรื่องราวมามากมายจริงๆ
"คำนับผู้ตรวจการเฟยแห่งแคว้นอ้าย"
แท้แล้วยศของเฟยเหยาหาใช่มือปราบดังที่เขาคิดมาตลอด แต่กลับเป็นถึงผู้ตรวจการแห่งแคว้นอ้าย
ตำแหน่งผู้ตรวจการคือตำแหน่งของผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดราชโองการขององค์จักรพรรดิให้แก่เหล่าขุนนางระดับสูงหรืออ๋องผู้ปกครองแคว้นอื่นๆ นับว่าเป็นตัวแทนขององค์จักรพรรดิในการควบคุมและช่วยเหลือการทำงานของขุนนางและพระญาติ และยังมีหน้าที่หลักๆ คือการป้องกันการคิดกบฏ
บุรุษวัยกลางที่เคยหัวเราะล้อเลียนเล่นหัวเขาในเขาหลวนซานมิได้มีบุคลิกเช่นเดิมอีก ยกมือรับคำนับของผู้อาวุโสมู่ด้วยท่วงท่าสุขุมน่านับถืออย่างที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งควรมี
"เป็นเกียรติที่ได้พบท่านเช่นกัน ตอนแรกมิเชื่อว่าอดีตแม่ทัพเอกมู่แห่งแคว้นอ้ายจะเป็นคนเดียวกับขุนพลพิฆาตกิเลนแห่งพรรคสะบั้นสวรรค์"
มู่อวิ้นหลงขยับยิ้มแข็งๆ ตามมารยาทแวบหนึ่ง แท้แล้วบุคลิกสง่างามองอาจของขุนพลผู้นี้แท้แล้วมีภูมิหลังมาจากการเป็นแม่ทัพเอกแห่งแคว้นอ้ายจริงๆ
"มิได้ บัดนี้ข้าคือมู่อวิ้นหลง มือขวาแห่งประมุขสะบั้นสวรรค์ ส่วนยศศักดิ์เก่านั้นได้ละทิ้งไปนานแล้ว"
"น่าเสียดาย…"
"มิมีสิ่งใดน่าเสียดาย" มู่อวิ้นหลงเอ่ยหนักแน่น เหลือบมองธงอ้ายอ๋องเบื้องหลัง ไม่คิดจะเก็บความเคลือบแคลงไว้จากสีหน้า "ขอขอบคุณอีกครา แต่มิคิดว่าจะรบกวนถึงท่านอ๋อง"
"ข้ามีเรื่องต้องสนทนากับบุรุษดวงตาสีฟ้าผู้นั้น"
จู่ๆ เป้าหมายการสนทนาก็ถูกเปลี่ยนมายังเยว่ถิงที่นั่งตัวลีบอยู่ ดูท่าการพยายามทำตัวให้จืดจางกลืนไปกับตัวอาชาเฟิงยี่คงไม่ได้ผลเอาเสียเลย
"เกรงจะมิได้ ท่านประมุขมิต้องการให้เขาพบบุรุษคนใดสองต่อสอง นอกจากข้าที่เป็นผู้ดูแล"
คนพูดพูดเสียเสียงดังอย่างไม่เก้อกระดากจนได้ยินกันทั่วบริเวณ เยว่ถิงเสียอีกที่ต้องก้มหลบกระแอมไอแทน ผู้ตรวจการณ์เฟยชะงักไป ก่อนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
"มิต้องกลัวข้าจะทำสิ่งใดประหลาด เพียงแค่สนทนาเท่านั้น"
"ข้าคงต้องยืนยันคำเดิม"
"หวงไท่จื่อมีพระประสงค์ให้ข้าสนทนาความกับเขา"
เฟยเหยาเน้นชัดคำว่าหวงไท่จื่อ สีหน้ามู่อวิ้นหลงไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
"ข้าขออภัยต่อท่าน แต่นายเหนือของข้ามีเพียงท่านประมุขเท่านั่น ดังนั้นคำสั่งท่านประมุขจึงนับเป็นที่สุด"
"ตอบสมกับที่เป็นพรรคอธรรม"
เฟยเหยาหัวเราะออกมา ก่อนจะกระตุกยิ้ม "หากเอ่ยด้วยปากแล้วไม่ได้ ก็คง-!"
ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งพุ่งวูบเข้าใส่ ผู้ตรวจการแคว้นชักกระบี่ปัดป้องเร็วแทบมองไม่เห็น ให้สิ่งนั้นกระเด็นตกไปอีกทาง
"ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ท่านมีธุระอะไรก็พูดมาตรงนี้"
หันไปมองยังทิศทางที่สิ่งของถูกเขวี้ยงอย่างไม่ยั้งไมตรี คุณชายไป่ร่อนลงแตะพื้นด้วยวิชาตัวเบาอย่างนุ่มนวล ผิดกับสีหน้าไม่สบอารมณ์และโลหิตที่อาบย้อมคมกระบี่ตะวันในเงาธาราจนเปลี่ยนสี
วัตถุที่ถูกเขวี้ยงมาคือลิ้นที่ถูกตัดออกสดๆ น่าสยดสยอง ผู้มาถึงพยักเพยิดไปทางกองซากศพกองหนึ่งที่ล้วนสวมชุดพรางร่างอยู่ตามก้อนหินใหญ่ห่างออกไป น่าเป็นจะเป็นนักลอบสังหารที่ถูกจ้างมาเผื่อสถานการณ์พลิกเปลี่ยน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่หมดลมหายใจนอนกองทัพกันเหนือโลหิตเจิ่งนอง
"ปล่อยข้าให้จัดการพวกสุนัขลอบกัดอ่อนแอ ส่วนเจ้าสองพี่น้องนั่นก็ไปหาความสำราญล่าจิ้งจอกกัน ช่างน่าโมโหนัก"
"อย่าพูดดีไป ดูสภาพตนก่อนกล่าวสิ่งใดด้วย"
เสียงนิ่งขึงหนึ่งดังขึ้น ร่างบุรุษสองร่างในอาภรณ์ที่แตกต่างไปจากผู้อื่นล่องลอยก่อนก้าวแตะลงบนพื้น อู่เสวี่ยจินมองมาด้วยสายตารำคาญใจ แต่ผู้ถูกกระทบกระทั่งกลับลอยหน้าลอยตาไม่สนใจจะพูดคุยด้วย
เมื่อสบตากับดวงตาสีแดงทับทิมดุจอัญมณี หัวใจเยว่ถิงก็เกือบกระโดดเด้งออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดที่ผิดเวลา ชิวหยางในระยะใกล้นี้ชวนจะให้คิดว่าไปภาพหลอนไปเสียทุกครั้ง อีกฝ่ายมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเหวี่ยงคนผู้หนึ่งในกำมือลงยังพื้นอย่างแรง
สภาพของสองพี่น้องตอนนี้ยับเยินกว่าเวลาที่เพิ่งต่อสู้กันเสร็จ แต่เบื้องหน้ามีหนึ่งบุรุษที่สาหัสสกรรจ์กว่า โจวหวู่ถูกจับกุมมัดด้วยโซ่ตรวนแน่นหนา ดวงหน้าเคลือบด้วยขี้ผึ้งปูดบวมเต็มไปด้วยบาดแผลปกช้ำและเลือดเกรอะกรังจนบูดเบี้ยว
ถึงบาดเจ็บหนักเพียงนี้และอยู่ต่อหน้าความตายเพียงนี้กลับไม่ส่งเสียงร้อง ไม่แม้แต่จะสะดุ้งหวาดกลัวสักนิด หรือคนวิกลจริตจะไร้ซึ่งความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน?
เยว่ถิงถูกส่งตัวจากมู่อวิ้นหลงมาอยู่เคียงข้างชิวหยาง ร่างอยู่ใกล้กินจนแขนแตะสัมผัส ไม่ทราบเหตุใด เยว่ถิงกลับไม่กล้าสัมผัสหรือกระทั่งเหลือบมอง ทำได้เพียงกำมือแน่น ผ่อนลมหายใจเข้าออก
เขากลัวว่าถ้าหากแตะหรือมองนานเกินไป อาจพินิจได้ว่าไม่ใช่เรื่องจริงแล้วสะดุ้งตื่นจากฝัน แค่คิดก็รู้สึกผิดหวังอย่างมิอาจบรรยายได้ หรือแท้แล้วฤทธิ์แห่งพู่หยกคู่พระจันทร์ใต้เสื้อจะบันดาลให้เขาแยกแยะจริงปลอมไม่ออกกัน?
ภาพเหตุการณ์เจ็บปวดทรมานฉายเข้ามาในความทรงจำ ไม่อาจห้ามไม่ให้ความคลั่งแค้นไหลทะลักออกมาจากใจ สรรพเสียงพูดคุยหายเหือดไปเมื่อจดจ่ออยู่กับบุรุษปิ่นทองผมหลุดลุ่ยที่ก้มหน้านิ่ง พลันความรู้สึกรุนแรงนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสะใจ ก่อนสุดท้ายไม่อาจเหลือสิ่งใดนอกจากสมเพชเวทนา
ชีวิตบุรุษคนหนึ่งพังทลายเพราะความคลั่งแค้น สภาพตอนนี้ไม่ต่างจากซากศพที่ยังลืมตาอยู่ มองแล้วน่าอดสูยิ่งนัก เช่นนี้ เขายังสมควรให้ความคลั่งแค้นเผาผลาญใจตนเองอีกหรือ
ฉับพลันอาการเจ็บแปลบยังมือและเล็บทั้งห้าสะท้านขึ้น
แต่นี่มิใช่ว่า... เรื่องราวจะง่ายดายเกินไปหรือไม่
หวู่อ๋องคงแฝงตัวอยู่สักที่ในทุ่งร้างแห่งนี้ ตอนนี้งานสำเร็จแล้ว ไยไม่เผยตัวหรือส่งสัญญาณใดมาสักนิด หรือมีสิ่งใดผิดพลาดกัน...
เยว่ถิงหลุดจากภวังค์ความคิดด้วยน้ำเสียงของประมุขอู่เสวี่ยจิน
“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้แผนการในวันนี้ลุล่วง ส่วนนักโทษผู้นี้เป็นคนของสุริยันพันแสง ข้าในฐานะประมุขพรรคจะเป็นผู้จัดการเอง”
"มันคือนักโทษของข้า เสวี่ยจิน!"
"มิได้ คนผู้นี้..."
เสียงเอ่ยโต้ตอบยังดังมิทันจบ กลับถูกเสียงป่าวประกาศเคลื่อนขบวนดังกลบหมดสิ้น ดึงสายตาของคนทุกคนหันไป
ขบวนเสด็จใหญ่โตเอิกเกริกมาถึงโดยมิมีผู้ใดคาดถึง เคลื่อนออกจากซอกเขาลงสู่สมรภูมิที่เพิ่งสงบลงได้ไม่นาน
ในบรรดาขบวนที่ประดับประดาด้วยธงและนักรบในเกราะสีเงิน บุรุษบนอาชาขาวเบื้องหน้าขบวนที่มีรูปโฉมโดดเด่นที่สุด
ดวงหน้านั้นกลับคุ้นตาแม้เยว่ถิงจะแน่ใจว่ามิเคยพานพบมาก่อน รูปร่างผึ่งผ่ายสวมอาภรณ์มังกรสี่เล็บมิใช่อาภรณ์ปุถุชนทั่วไปจะสวมใส่ได้ กวาน(เครื่องประดับครอบมวยผม)สีทองคำประดับด้วยไพลินก็ยิ่งทำให้กรอบหน้านั้นดูยโสโอหังขึ้น
"ในฐานะอ๋องแห่งแคว้นอ้าย นักโทษผู้นั้นจำเป็นต้องถูกไต่สวนด้วยคดีพิเศษ ณ จวนของข้า"
ท่ามกลางปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ละใบหน้ารอบข้างฉายแววฉงนสนเท่คาดไม่ถึง อ้ายอ๋องมิได้รอให้ผู้ใดก้มลงคุกเข่าคำนับก็กล่าวต่อไปขณะควบเหยาะย่างอาชาพ่วงพีสีขาวปลอดเข้ามา
"แจ้งความต้องการข้าแก่บุตรทั้งสองของท่านด้วย เสนาบดีอู่ชิงเจีย"
เบื้องขวาของอ๋องผู้ครองแคว้นอ้ายเป็นชายสูงอายุทว่าบุคลิกงามสง่า แผ่นหลังตรงดั่งไม้บรรทัด เส้นผมแซมด้วยสีเทาเข้ม ไว้หนวดเคราตัดแต่งอย่างดี ส่วนดวงตานั้นคมเข้ม ริ้วรอยแห่งกาลเวลาไม่อาจลบพิมพ์ประพายคล้ายกันที่ถ่ายทอดมายังประมุขพรรคสองพี่น้อง
เพียงแค่มอง เยว่ถิงก็สันนิษฐานได้ว่า คนผู้นี้คือเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งแคว้นอ้าย บิดาของประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์และสุริยันพันแสงทั้งสองคน
“จงคุกเข่ารับราชโองการของท่านอ๋อง”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเย็นชา ไม่อาจฟังว่าเป็นคำเอ่ยของบิดาต่อบุตรไปได้ อู่เสวี่ยจินมองอย่างเคลือบแคลงใจที่สุด ทว่าด้วยมีฐานะประมุขพรรคสุริยันพันแสงฝ่ายธรรมะก็จำต้องยินยอมสะบัดแขนเสื้อและชายอาภรณ์ก่อนคุกเข่าลง มือทั้งสองยกขึ้นในท่วงท่าสง่างาม
“แล้วเหตุใดเจ้ายังมิคุกเข่า?”
ผิดกับอู่ชิวหยางเจ้าของสมญาจอมอสูรพันศพ ไม่เพียงไม่คุกเข่า ยังมีสีหน้าและแสดงรังสีแห่งความเป็นปรปักษ์ชัดเจน ริมฝีปากที่แตกและช้ำเหยียดยิ้มเล็กน้อย มือขวาก็กวาดวาดกระบี่ไปในอากาศ ให้เหล่าทหารที่มีทีท่าจะเข้ามาชะงักงัน
“มิเคยได้ยินหรือว่าบ้านเมืองมีกฎหมาย ยุทธภพก็มีกฎของยุทธภพ”
“เป็นเพียงประมุขพรรคเถื่อนพรรคหนึ่ง ไฉนยโสโอหังเพียงนี้!”
อ้ายอ๋องหลี่ถังยกหัตถ์เบื้องหน้าเสนาบดีอู่ชิงเจีย ที่ไม่ทราบเกิดมีความพึงพอใจอันใด จึงมีจุดรอยยิ้มเล็กๆ ยังมุมปาก
“เชิญท่านเสนาบดีอู่อ่านคำสั่งของข้าเถอะ”
เสนาบดีอาวุโสค้อมศีรษะลง คลี่ม้วนกระดาษคำสั่งซึ่งเห็นเบื้องหลังเป็นผ้าปักอย่างดีออกแล้วประกาศเสียงดัง
“เนื่องด้วยอู่เสวี่ยจิน ประมุขแห่งพรรคสุริยันพันแสง และอู่ชิวหยาง ประมุขแห่งพรรคสะบั้นสวรรค์ มีความดีความชอบในการระงับสงครามระหว่างพรรคทำให้แคว้นอ้ายมิตกอยู่ในความปั่นป่วน อ้ายอ๋องหลี่ถังจึงมีประสงค์ที่จะแต่งตั้งมอบยศขุนนางระดับสูงในยศตั้งแต่ขั้นที่สามขึ้นไป และยกเว้นความผิดใดๆ ที่เคยก่อต่อบ้านเมืองทั้งหมด”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงคำสั่งนี้ บรรยากาศแห่งการตกตะลึงจึงแผ่กระจาย
“โดยจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่จวนท่านอ๋องในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ยามเฉิน(เจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า) ในเวลาเจ็ดวันขอให้สละตำแหน่งประมุขพรรคและมิข้องเกี่ยวกับกิจการในพรรคอีก”
จบคำสั่งแต่งตั้ง อู่เสวี่ยจินมิได้ขานรับ ผิดกับน้องชายที่แค่นเสียงเฮอะทันที
“นี่มิใช่การบังคับที่เกินเลยไปหรือ?” ประมุขผมเงินเอ่ยถามช้าๆ
“แม้ในคำสั่งเอ่ยเช่นนั้นแต่คนทุกผู้ในที่นี้ล้วนรู้ดีว่าสงครามวุ่นวายเกิดจากอะไร ทางการล้วนมีอำนาจเต็มที่ในการจัดการ นี่ถือว่าเป็นทางออกที่ประนีประนอมอย่างที่สุดแล้ว”
ถ้อยคำโต้ตอบเย็นชาดังจากเสนาบดีแห่งแคว้นอ้าย
อะไรที่ทำให้อ้ายอ๋องหลี่ถังกล้าเสนอสิ่งเหล่านี้ มิหนำซ้ำยังจะนำตัวโจวหวู่กลับไปอีก แม้นมีขบวนเสด็จกับกองกำลังที่ถือธงของมือปราบเฟย หากแต่ปะทะกันด้วยกำลัง ก็มิใช่ว่าจะได้รับชัยโดยง่าย มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
“มิต้องจัดสิ่งใดให้มากความ ข้ามิคิดใคร่เหยียบเข้าไปในที่เช่นนั้น ทางการมิยุ่งกับยุทธภพโดยตรงมานาน ก็นับว่าดีอยู่แล้ว มิฉะนั้นความเสียหายต่อจากนี้คงไม่อาจประมาณได้”
คำกล่าวของจอมอสูรพันศพชัดเจน ทว่าอ้ายอ๋องหันมองยังเยว่ถิงแวบหนึ่ง เพียงแค่สบตาครู่เดียวเท่านั้นแพทย์หนุ่มแห่งหลวนซานยังอดรู้สึกหนาววูบไม่ได้
“ผู้ตรวจการเฟย ไม่ทราบเรื่องที่พระเชษฐากำชับท่าน ไม่ทราบเตรียมพร้อมถึงไหนแล้ว”
“เรื่องอันใด?”
“เรื่องพระโอรสของพระปิตุลาของหวงไท่จื่อ จะมิคืนฐานะให้ทั้งๆ ที่พบหลักฐานพิสูจน์ตัวตนแล้วหรือ?”
คลื่นความตกตะลึงครอบคลุมอีกครั้ง คนที่เยว่ถิงรู้สึกได้ถึงกระแสปั่นป่วนของอารมณ์มากที่สุดนั้นอยู่เคียงข้าง เยว่ถิงสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาขอโทษและรู้สึกผิด
“เรื่องนั้น... ต้องดำเนินไปตามขั้นตอน อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ จะผิดพลาดไม่ได้”
เฟยเหยาตอบอย่างสงบที่สุด อ้ายอ๋องหลี่ถังยิ้มกว้างขึ้นอีก รอยยิ้มนี้ดูแสลงสายตานักแม้จะอยู่บนดวงหน้าดูดีตามแบบฉบับของบุรุษตระกูลหลี่ทั้งหลาย
“รบกวนท่านแล้ว ทว่าที่นี่คือแคว้นอ้าย ยามนี้พระเชษฐาเองก็กำลังยุ่งกับเรื่องราวมากมาย ตามอำนาจหน้าที่แล้วอ๋องเช่นข้าสมควรช่วยเหลือด้วย”
คนผู้นี้มิใช่จะรับมือง่าย ดีมิดียากยิ่งกว่าโจวหวู่เสียอีก
ในความคิดที่ปั่นป่วน เยว่ถิงคิดขึ้นได้ หรือว่า... โจวหวู่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดแล้วแก้ตัวในการที่เก็บเขาในพรรคสุริยันพันแสง ฉะนั้น สถานการณ์นี้ก็มิใช่ความบังเอิญที่จู่ๆ อ๋องครองแคว้นจะปรากฏตัวท่ามกลางสนามรบ
มวลอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นควันกลับหนาวเย็นขึ้นมา อ้ายอ๋องหันมาเปรยแก่ชิวหยางก่อนจะชักอาชาหันกลับ
“มีอีกสิ่งหนึ่ง ฮูหยินน้อยมารดาของท่านยังมิได้สิ้นใจอย่างที่ท่านคิด นางได้กลับไปอยู่ยังจวนเสนาบดีอู่ช่วงเวลาหนึ่ง ข้าเกรงว่ามารดาท่านย่อมอยากเห็นท่านรับราชการรับใช้ประเทศมากกว่าตั้งเป็นพรรคอธรรมกระมัง เช่นนี้คงพอเชิดหน้าชูตาให้เป็นที่น่าเคารพของคนทั่วไป แม้จะเป็นเพียงบุตรอนุ”
ประโยคนี้หากฟังผ่านๆ แล้วอาจมิได้มีสิ่งใด แต่เยว่ถิงที่เหลือบเห็นดวงตาปะทุและเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นยังขมับของชิวหยาง การที่มารดาที่เข้าใจว่าสิ้นแล้วกลับไปอยู่ยังถิ่นศัตรู อย่างไรนี่ก็เป็นการข่มขู่ที่อยากแก่การปฏิเสธอย่างยิ่ง
ขบวนเสด็จจากไปพร้อมกับตัวโจวหวู่โดยมิอาจมีผู้ใดขัดขวางได้ ผู้ตรวจการเฟยเองก็ต้องตามเขาไปก่อนในยามนี้ด้วยเพราะอ้ายอ๋องยังมีอำนาจเหนือกว่า ส่วนผู้อาวุโสมู่อวิ้นเอ่ยว่าจะนำคนและนักโทษกลับพรรคสะบั้นสวรรค์ไปก่อน
ทว่าก่อนขุนพลพิฆาตกิเลนจะนำพลพรรคกลับ อู่เสวี่ยจินได้ถามถึงเจิ้งซื่อที่ไม่ทราบเป็นตายร้ายดีอย่างไรขึ้น
เยว่ถิงลอบสังเกตเห็นสีหน้ามู่อวิ้นหลงซึ่งเข้มคล้ำขึ้นขณะกระตุกบังเหียนแรงกว่าปกติ ชิวหยางจึงเป็นผู้ตอบคำแทน
“เขาทรยศต่อพรรคสะบั้นสวรรค์อย่างจงใจ ทั้งมิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องราวเคล้าน้ำตาที่เจ้าเล่ามา ฉะนั้นจำต้องลงโทษตามสมควร”
“หากจะฆ่าเขา อย่าทรมานเขาจนเกินไป”
“หึ เจ้าไม่ต้องเดือดร้อนแทนให้มาก สะบั้นสวรรค์มีวิธีสำเร็จโทษคนทรยศอย่างสมน้ำสมเนื้ออยู่แล้ว”
ด้วยสถานการณ์ที่ยังคงสับสนวุ่นวาย ประมุขอู่เสวี่ยจินจึงออกปากเอ่ยเชิญเยว่ถิงและชิวหยางไปยังพรรคสุริยันพันแสง แต่ระหว่างทาง แขกไม่ได้รับเชิญอย่างคุณชายไป่ก็ยังตามมาโดยมิได้สนใจสีหน้าเจ้าบ้าน
มีเพียงหวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางเท่านั้น ที่บัดนี้ไม่รู้หายไปอยู่ที่ใด เยว่ถิงเหลือบหันซ้ายขวากระสับกระส่าย จนค่อยรู้สึกตัวยามมีมืออบอุ่นเกาะกุมยังมือตน
กายคนผู้หนึ่งชิดใกล้ กลิ่นโลหิตจากบาดแผลมากมายลอยแตะจมูก เยว่ถิงเงยหน้าขึ้น พบรอยแตกช้ำบนใบหน้าหล่อเหลาหลายจุด ถ้อยคำจุกในลำคอยากจะเอื้อนเอ่ย พอพยายามเค้นวาจาก็ถูกกระซิบตัดบทเสียก่อน
“อย่าเพิ่งเอ่ยสิ่งใด”
มือขวาเพียงหนึ่งของชิวหยางกระชับแนบแน่นจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างผิว สัมผัสได้ถึงรอยแตกและโลหิตที่ไหลโชก เยว่ถิงไม่กล้าจะจับแรงเพราะกลัวว่าจะทำให้แผลยิ่งเปิด แต่ดูท่าไม่อาจคลายจากมืออบอุ่นจนร้อนนี้
เสื้อผ้าอาภรณ์ขาดวิ่น การสัประยุทธ์นำพาความเหน็ดเหนื่อยมาสู่กายมากมายแล้ว มิคาดว่าเหตุการณ์กับสิ่งที่ได้ยินมากมายจะทำให้บุรุษผู้เคียงข้างต้องเหน็ดเหนื่อยทางใจอีกมากเท่าใด
ตัดสินใจวางสายตาเบื้องหน้า เก็บกลั้นความอ่อนแอไว้ เห็นคุณชายไป่กระโดดเตะประมุขอู่เสวี่ยจินก็หลุดขำออกมาเบาๆ เหล่าคนในพรรคพากันเข้าห้ามก็กระเด็นออกไปทุกราย
กว่าจะเดินทางไปถึงโถงกลางพรรคสุริยันพันแสงก็ต้องเสียเวลาทะเลาะจิกกัดกันไปตลอดทาง สังเกตส่วนสูงของบุรุษทั้งสองก็ชวนคิดไปว่าคุณชายไป่ช่างมีพิษสงมากกว่าขนาดตัวนัก
หิมะตกโปรยปรายลงอีกครา ท้องฟ้าสีฟ้าเทาเวลานี้ค่อนข้างกระจ่าง ห้องโถงประชุมกลางพรรคกว้างขวางตกแต่งอย่างสว่างไสวสวยงามด้วยสีขาวและสีโทนเย็น เหล่าสมาชิกพรรคในอาภรณ์สีขาวเปื้อนโลหิตและคราบดินหลังจากการต่อสู้ยืนเรียงแถวกันอยู่เบื้องล่าง แม้ผู้คนหายไปจำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่ทำให้ที่แห่งนี้ว่างเปล่าจนเกินไป
บัลลังก์หินอ่อนสูงยกระดับที่พวกเขากำลังเดินขึ้นเป็นที่สำหรับหัวหน้าพรรค อู่ชิวหยางชะงักหยุดฝีเท้า ดึงร่างให้เยว่ถิงหยุดด้วย ส่วนคุณชายไป่ที่เดินตามมาเองก็เบิกตากว้างกวาดมองลงเบื้องล่างอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าคิดเล่นกลอันใดอีก?”
“ทารกผู้นี้คือใคร ไฉนปากดีเพียงนี้!”
ผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่ง ชายชราแต่ร่างกายยังแข็งแรงดูอายุมากกว่าไป่อวิ๋นหลานหลายรอบนัก อู่เสวี่ยจินยกมือปรามเขา ก่อนผ่อนลมหายใจยาว ก้าวไปยังเบื้องหน้าผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายแล้วประสานสายตา
ประมุขแห่งพรรคสุริยันพันแสงยกแผ่นหนังที่เยว่ถิงค้นพบขึ้น ก่อนอ่านเล่าความจริงเพื่อย้ำให้แก่เหล่าคนในพรรค
เห็นสีหน้าสำนึกเสียใจแต่ไม่ตระหนกแล้ว คาดว่าคงได้รับฟังมารอบหนึ่งแล้ว บัดนี้ทุกเนื้อความชัดเจนและกระจ่าง ยิ่งเมื่อมีเพียงเสียงของเจ้าของสมญาจอมเทวะตะวันก้องแต่เพียงผู้เดียว
“สุดท้าย...ข้าได้กระจ่างแจ้งแก่ความจริงในอดีต ดังนั้น บัดนี้ขอให้เจ้าโปรดรับการคารวะขออภัยจากข้าด้วย ชิวหยาง”
เส้นผมและอาภรณ์สีเงินที่แม้เปรอะเปื้อนด้วยเลือดและฉีกขาดไปบางส่วนกลับยิ่งส่องประกายเฉกเช่นตะวันสีเงินงดงามยามเอ่ยถ้อยคำกังวาน ก่อนขยับคุกเข่าลง
“ได้โปรดรับการคารวะขออภัยจากเรา”
เหล่าผู้คนเบื้องล่างที่เคยสร้างความเกลียดชังคุกเข่าก้มลงตามประมุข
เป็นภาพอันทรงพลังเหลือประมาณ ผู้ใดจะคิดว่าบุรุษถือศักดิ์ศรียิ่งเช่นจอมเทวะตะวันจะคำนับแทบเท้าจอมอสูรพันศพ มิหนำซ้ำยังนำพาคนในพรรคธรรมะสุริยันพันแสงก้มลงนอบน้อมพร้อมกัน
เป็นเวลากี่ปีที่รบรากัน เป็นเวลากี่ปีที่ถูกความแค้นอันเกิดจากความผิดใจสุมสร้างในอก
ดวงพักตร์คมคายปรากฏความรู้สึกมากมายเกินหยั่งถึง ริมฝีปากรูปกระจับเผยอออกเล็กน้อยก่อนจะขยับเม้มกล้ำกลืนวาจา ดวงตาสีแดงทับทิมอ่อนแสงลงยามทอดมองลง ให้เห็นแววสั่นไหว
จอมอสูรพันศพผู้นี้ฆ่าคนนับพัน ตระเวนร่อนเร่ไปบนสนามรบนับไม่ถ้วน กระทั่งสำเร็จวิชามารขึ้นเป็นประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์ เหตุผลที่ยังมีลมหายใจคือรอวันชำระล้างความแค้นต่อพรรคธรรมะจอมปลอมที่เป็นแหล่งพักพิงยามเยาว์
มาบัดนี้ เหตุผลเหล่านั้นกลับอันตรธานหายไปกว่าครึ่ง ศัตรูที่คิดล้างผลาญใช่เหล่าคนตรงหน้าที่ฟาดฟันกันมาในอดีตหรือ ในเมื่อยอมจำนนขออภัยเพียงนี้
หัวใจเคยแบกรับยึดติดอยู่กับอารมณ์อาฆาตที่หยั่งฝังรากลึก พอปลดเปลื้องถอดถอนย่อมเป็นดั่งปลดปล่อยวิหกออกจากกรง
วิหคที่ถูกกักขังมาแรมปี ยามได้รับอิสระให้โบยบินไป ไยจะไม่รู้สึกงุนงงสับสนทิศทาง อู่ชิวหยางเองก็มิต่าง ได้แต่เพียงยืนนิ่งเงียบไร้คำพูดใด
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งยังมิมีผู้ใดเงยหน้า สีหน้าของชิวหยางแปรเปลี่ยนเป็นคลายลงหลายส่วน แวบหนึ่งเห็นความสะทกสะท้อนใจคล้ายกับนักโทษประหารที่กลับได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เสี้ยวหนึ่งของความโล่งใจ ยังประกอบด้วยความโหวงเหวงเคว้งคว้าง อันเป็นเหตุว่าการสิ่งที่เพียรกระทำมาครึ่งค่อนชีวิตคล้ายจะปลาสนาการหายไปในยามนี้ จะว่าเบาก็คงเบา แต่คงเสียสมดุลจากการยกหินหนักอึ้งที่ถ่วงอยู่มิใช่น้อย
“อึ่ก!”
ร่างสูงแข็งแกร่งทรุดคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เยว่ถิงเร่งเข้าพยุงทันที “ชิวหยาง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เหล่าผู้คนในพรรคสุริยันพันแสงเร่งลุกขึ้น อู่เสวี่ยจินเอ่ยตะโกนตามแพทย์ให้แก่น้องชาย
“ในการจับกุมโจวหวู่เจ้าเองได้รับบาดแผลไม่น้อย เกรงว่า...”
“ไม่ต้อง” แม้นสีหน้าเจ็บปวดแต่มิคิดจะรับการช่วยเหลือแม้กระทั่งการพยุงจากบ่าวไพร่หรือสหาย กลับหันหาเยว่ถิงที่อยู่ข้างตัว เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาเว้าวอน “ขอให้เจ้าช่วยพาข้าไปล้างแผล... ได้หรือไม่”
“ได้ ท่านก็จงแข็งใจไว้ด้วย”
ชิวหยางคงอดทนมากเพื่อยืนหยัดกายมาอยู่ได้ เยว่ถิงรู้สึกรุ่มร้อนในใจ แต่ด้วยความที่เป็นแพทย์ อากัปกิริยาที่แสดงออกมาจึงยังมีสติครบสมบูรณ์
สาวเท้าเร็วมาจากเหล่าพรรคธรรมะและคุณชายไป่ที่ฝากฝังเขาไว้แล้ว ชิวหยางคล้ายโถมกายใหญ่โตเข้าเอนพิงเยว่ถิง แขนขวาแข็งแรงกระหวัดโอบรอบคอของเขา ให้ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายเขาช่างเล็กจ้อย
“ให้ข้าพยุงท่านเพียงคนเดียวย่อมเดินเหินได้ช้านัก เหตุใดถึงดื้อดึงมิให้คนอื่นช่วยเล่า”
ยิ่งมอง โลหิตและบาดแผลเหล่านั้นยิ่งทิ่มแทงสายตา ถึงเขาจะมองบาดแผลฉกรรจ์บนร่างกายมนุษย์มาหลายร้อยพันครั้ง แต่มิมีครั้งใดที่จะเจ็บแปลบยังผิวดั่งเช่นมองบาดแผลบนตัวบุรุษผู้นี้
ศีรษะชิวหยางก้มต่ำ มิได้เอ่ยสิ่งอันใดอีก กัดฟันกรอดเพื่อระงับความเจ็บปวด หัวใจเยว่ถิงร้อนแทบไหม้ แผลเหล่านี้คงจำต้องพาไปยังเรือนพำนักหนึ่งแล้วให้นอนลงก่อนใช้ผ้าชุบน้ำ
ผ่านเรือนสระสรงน้ำ เยว่ถิงรวบรวมแรงฉุดดึงรั้งร่างอีกฝ่าย ยามนี้บ่าวไพร่ของพรรคเองก็ยุ่งเหยิงกับการจัดการหลังศึกครั้งล่าสุด ทั้งถูกชิวหยางถลึงตามองเมื่อครู่จึงมิมีผู้ใดกล้าตามมา เดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะชิวหยางหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะให้ใครเห็นตนในสภาพเช่นนี้
ทว่า... นั่นเป็นความคิดที่ผิดไปถนัด
ก้าวถึงประตูเรือนอาบน้ำ เยว่ถิงกระซิบปลอบชิวหยางที่ส่งเสียงโอดโอยเบาๆ ว่าอีกไม่นานก็ถึงห้องพำนักที่ใกล้กับห้องยา พลันเสียงประโลมปลอบกลับเปลี่ยนเป็นร้องเสียงหลง ยามจู่ๆ จอมอสูรที่หมดสภาพฉุดรั้งดึงร่างเข้าไปในห้องอาบน้ำ
ไอควันแห่งน้ำอุ่นร้อนอบอวล บริเวณนี้เป็นห้องอาบน้ำพิเศษที่ถูกสร้างไว้เพื่อประมุขพรรคสุริยันพันแสง จึงได้สิทธิในการสร้างทับน้ำพุร้อนธรรมชาติ คนป่วยที่สมควรคอพับหมดสภาพกลับเป็นฝ่ายดึงจับตัวเขาลงสระน้ำดังโครมพร้อมกัน
“ฮ่า! ชะ ชิวหยาง! ที่แท้ท่าน...!”
เยว่ถิงตะกายอ้าปากหายใจ เส้นผมและอาภรณ์เปียกลู่แนบร่างไปหมด ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิดอยู่ข้างหูขณะที่ถูกลากขึ้นยังหินที่นั่งในน้ำได้
“ก็บอกจะล้างแผลให้มิใช่หรือไร”
จะโมโหแต่ภาพอดีตก็ย้อนมาขัดจังหวะ สถานการณ์นี้ช่างคุ้นเคยนัก
ดวงตาสีฟ้าลืมขึ้น เห็นคนที่จะเป็นจะตายเมื่อครู่กับนั่งเอนหลังพิงขอบสระหินไม่รู้สึกรู้สา อดไม่ได้ให้เอ่ยเสียงดังกว่าปกติ “เหตุใดเสแสร้งใส่ข้า รู้หรือไม่...อุบ!”
พลันริมฝีปากนุ่มก็ฉกฉวยดูดกลืนถอยคำ ก่อนถอนออกไป เยว่ถิงอ้าปากมองคนขโมยจุมพิตหนีความผิด แต่ยังมิอาจหยุดคำพูด “ข้าเป็นห่วงท่านแทบ...อื้อ!”
ครานี้มิใช่ประกบเพียงไม่นาน กลับเป็นการดึงรั้งใบหน้าเข้ามาแล้วใช้เรียวลิ้นร้อนควานหาความอุ่นชิดสนิทแนบอย่างละโมบ พาเอาอุณหภูมิร้อนเริ่มกระจายทั่วใบหน้า
เยว่ถิงที่ตามอารมณ์ตัวเองไม่ทันถึงกับมึนงงไปต่อไม่ถูก ด้วยเมื่อครู่ยังโกรธขุ่นเคืองอยู่ แต่เมื่อได้รับสัมผัสที่มิได้รับมาเนิ่นนาน จำต้องปล่อยร่างกายให้โอนอ่อนตามอย่างช่วยไม่ได้
ฝันหวานล้ำปานใดก็ไม่อาจสู้ความเป็นจริง ถึงจะได้ลิ้มรสขมปร่าจากโลหิต แต่ความคะนึงหาเป็นดั่งยาพิษให้รับรสไม่ต่างจากน้ำผึ้งอุ่นร้อนเลิศรส
ริมฝีปากโหยหากอบโกย รสจูบของชิวหยางปานจะกลืนกินเขาทั้งเป็นแม้จะใช้มือเดียวกระหวัดกอดไว้โดยมิได้ปลุกเร้า
ภายในของเยว่ถิงกลับปั่นป่วนดั่งเรือน้อยในมหาสมุทรบ้าคลั่ง โลหิตไหลสูบฉีดขึ้นยังทั่วไปหน้าและหน้าอก
ไม่อาจสู้แรงปรารถนาและคะนึงหา เยว่ถิงค่อยๆ หลับตาอีกครั้ง พยายามหายใจด้วยปลายจมูกที่แนบชิดแก้มอีกฝ่าย เพราะมิอยากให้ความชิดใกล้จบลงด้วยความไม่ประสา สองมือเกาะเกี่ยวรั้งยังบ่าแน่นด้วยกล้ามเนื้อ ลิ้นรุกรานสอดผ่านเรียวฟันไล่ต้อนให้จำนน ขณะเดียวกันก็ล่อลวงกอดพันดั่งมังกรร่อนรำในฤดูจับคู่
มือใหญ่แข็งแกร่งสอดแทรกเข้าในกลุ่มเส้นผมแล้วดึงท้ายท้ายที่จะถอยห่างให้เข้าหาอีก ราวกับไม่ต้องการให้ริมฝีปากคู่นี้ผละออกจากกันชั่วนิจนิรันดร์ ก่อนจะไล้ไต่ลงยังลำคอ สองมือเล็กกว่าจิกลงจากความวาบหวามเกินทานทนที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมา ก่อนที่จะกำอาภรณ์อีกฝ่ายจนยับยู่
ถ้อยคำนับร้อย ความคะนึงหานับพัน ดั่งบรรจุอยู่ในจุมพิตที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนี้ ในที่สุดเยว่ถิงก็ถึงขีดจำกัด แม้จะทำลายสถิติการจุมพิตที่เคยมีมาก่อนหมดสิ้นก็ตาม ชิวหยางค่อยๆ ผละออกอย่างเสียดาย ไม่วายขบเม้มเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างที่ถูกความโหยหาทำให้บวมเจ่อนั้นเบาๆ
หยาดน้ำใสไหลลงข้างริมฝีปากอย่างไม่อาจห้าม เยว่ถิงเองก็ไม่มีแรงจะยกมือเช็ดในทันที หอบหายใจนำอากาศเข้าปอด ดวงหน้าแดงก่ำ หัวสมองขาวโพลน เมื่อครู่พูดคุยสิ่งใดก็จำไม่ได้ไปขณะหนึ่ง
ชิวหยางจ้องมองมา ก่อนที่จะเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ กดปลายจมูกลงยังข้างแก้มเขาหนักๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่ พลางคลอเคลียไปมา
“ท่าน... ท่านมิสมควรหลอกลวงข้า” จนหาเสียงและสติกลับคืนได้ เยว่ถิงจึงได้แต่ก้มหน้าตำหนิเบาๆ
“เพียงต้องการหลีกหนีสถานการณ์วุ่นวายมากความนั้น ผิดด้วยหรือ?”
มิรู้ไปร่ำเรียนพัฒนาเสียงนุ่มทุ่มยามกระซิบเบาข้างหูแบบนี้มาจากที่ใด ให้เยว่ถิงรู้สึกสยิวกายและขวยเขินกว่าเดิม ยิ่งสภาพนี้เปียกโชกไปทั้งคู่แถมนั่งหันหน้าเข้าหากันจนแทบแนบชิด ยิ่งทำให้เขาประหม่าอย่างมาก
“เอ่อ มะ ไม่ผิด แต่ท่านก็ควรบอกข้าดีๆ”
“เจ้าหลบตาข้า หรือชิวหยางผู้นี้มิได้น่ามองอีกแล้ว”
เยว่ถิงจำต้องช้อนตามอง ดวงตาสีแดงทับทิมคู่นั้นเป็นดั่งอัญมณีวาวแสง บัดนี้มีแววตัดพ้อสมจริง มิรู้สิ่งใดทำให้เทพประยุทธ์กลางสนามรบร้างผู้น่าหวาดกลัวกลับกลายเป็นแมวยักษ์ช่างออดอ้อนขึ้นมาได้
“รูปลักษณ์ข้าเปลี่ยนไปเพราะการฝึกฝนวิชา แต่มิต้องห่วง มิใช่วิชาพิสดารเกินไป เพียงแต่ฝึกพลังปราณอย่างเคร่งครัด มิคาดพลังหยินมีมากเกินไปหรือไร จึงรีดเร้นออกมาในลักษณะนี้”
“...”
“ทว่าข้ามิได้หล่อเหลาโดดเด่นขึ้นดั่งที่เจ้างดงามขึ้น คงไม่น่ามองพอกระมัง”
“ในฝัน ข้ามองท่านจนมิรู้จะมองอย่างไรแล้ว”
คนพูดขยับยักยิ้มขึ้นมุมปาก ดูร้ายกาจและเย้ายวน เส้นผมสีดำสนิทแนบใบหน้าที่พร่างพราวด้วยหยดน้ำ “ยามนี้ตัวจริงอยู่เบื้องหน้าแล้ว ไยต้องเขินอาย มิทราบเยว่ถิงที่แสนยั่วยวนบนตัวข้านั้นในฝันได้หายไปที่ใด?”
ชิวหยางเวอร์ชั่นกวนอารมณ์นี้หายากนัก นับเป็นคนละคนกับบุรุษอารมณ์ร้อนในฝัน แต่แบบนี้ถือว่ารับมือยากกว่าในความรู้สึกของเขา “ยังจำยามที่เจ้าขยับ...”
เยว่ถิงยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายอย่างอดรนทนไม่ไหว ภาพที่ขึ้นทาบทับบดเบียดเอวลงไปนั้นฉายแวบเข้ามา คนหน้าบางเช่นเขาไหนเลยจะทนฟังได้อีก “ไว้หน้าข้าบ้างเถิด! หรือท่านจะฆ่าข้าให้ตายด้วยความเขินอายกัน”
“เจ้ากับข้าถือว่าเป็นคนเดียวกัน มีสิ่งใดต้องเขินอาย”
เยว่ถิงจำนนจะเถียง ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะใช้มือจับตามบาดแผลบนใบหน้าอีกฝ่าย รอยช้ำบนริมฝีปากยิ่งชัดเจนเมื่อเพิ่งใช้งานอย่างไม่เกรงใจ
“บาดแผลเหล่านี้ อย่างไรก็ต้องรีบรักษา ไม่นับตามส่วนอื่นของท่านอีก”
“นี่ยังน้อยนักหากเทียบกับมือเจ้า ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เยว่ถิงยกมือขวาที่เล็บงอกขึ้นครบสมบูรณ์ทั้งหมดแล้วขึ้น มีเพียงรอยแผลเป็นจางๆ อยู่ยังกลางหลังมือเท่านั้น ชิวหยางคว้าไปสำรวจใกล้ๆ ก่อนที่จะก้มลงจุมพิตยังบาดแผลเป็นนั้น
“ตราบที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต”
ถ้อยคำหนักแน่นจริงจัง สองสายตาประสานกัน ความอบอุ่นที่โอบล้อมมิได้มาจากเพียงสายน้ำอุ่นที่ไหลเวียนอยู่ แต่เป็นความอบอุ่นสายหนึ่งที่เกิดจากหัวใจและวิญญาณ
“ข้าเองก็เช่นกัน”
ชิวหยางขยับยิ้มบาง ก่อนที่จะถอนใจออกมาเมื่อคำนึงคิดได้ “แม้นข้าอยากให้ห้วงเวลาที่อยู่กับเจ้ามิต้องคิดถึงเรื่องอื่นให้วุ่นวายใจนี่ยาวนานมากเพียงไร แต่นั่นมิอาจเป็นไปได้...”
“นั่นเป็นสามัญของโลก เพียงสวรรค์ปรานีให้ข้าพบท่านอีกครา ก็นับว่าดีมากแล้ว”
“...”
“มิอยากเอ่ยถึง แต่มิเอ่ยถึงมิได้ คาดว่าท่านกับข้าคงมีคำถามมากมาย มีเรื่องเล่ามากมาย มีข่าวสารมากมาย และสิ่งสำคัญ... ที่มิได้บอกกล่าวต่อกันมากมาย”
สิ่งสำคัญที่มิได้บอกกล่าวนั้นคือฐานะที่แท้จริงของเขานั่นเอง ชิวหยางคงตระหนักรู้ถึงความลำบากใจที่แสนหนักอึ้งนี้ จึงมิได้คาดคั้นเอาความตอนนี้ กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สร้างความสบายใจระคนปลอบโยนขึ้น
“หากเจ้าสบายใจขึ้นเมื่อไร ค่อยพูดคุยกัน...”
“ข้าต้องการบอกทุกเรื่องแก่ท่าน คืนนี้ไปร่ำสุราใต้แสงจันทร์พลางสนทนากันจะเป็นไร?”
ชิวหยางพยักหน้า ก่อนเอียงศีรษะซบลงบนบ่า เยว่ถิงยกมือขึ้นกอดร่างสูงใหญ่ไว้ สายตามองไปเบื้องหน้าอย่างคิดคำนึง อย่างน้อยปัญหาระหว่างพรรคและพี่น้องตระกูลอู่ก็ได้คลี่คลายลง หูเป่ยซงจ้าวตำหนักสามคนทรยศก็สิ้นแล้ว
แต่ตัวการสำคัญอย่างโจวหวู่กลับถูกอ้ายอ๋องหลี่ถังนำพาลอยนวลไป หวู่อ๋องเองก็หายไปที่ใดมิทราบ อีกทั้งฐานะของเขาเองยังถูกเปิดเผย ยังไม่นับที่ชิวหยางและอู่เสวี่ยจินถูกขู่บังคับให้รับตำแหน่งที่ไม่น่าไว้วางใจ
สถานการณ์ในยามนี้เปรียบดั่งตะกอนขุ่นในน้ำที่ถูกปัดเป่าไปส่วนหนึ่ง แต่มิอาจสูญสลายไปจนหมด
100%
มีคนบอกให้สรุปตัวละครให้ฟังอีกรอบ555555 ตามนี้เน้อ
หวู่อ๋อง หลี่ซื่อหยาง – ปลอมตัวเป็นแพทย์ชรา ช่วยเยว่ถิงวางแผนการ ขัดแย้งกับอ้ายอ๋อง ตอนนี้หายไปไหนไม่ทราบ
อ้ายอ๋อง หลี่ถัง – ปรากฏตัวในตอนนี้ แต่มีพูดถึงมานานว่าเป็นคนที่ฉ้อฉล หวู่อ๋องไปพบจดหมายหลักฐานเข้าจึงขัดแย้งกัน อ้างอิงจากหวู่อ๋อง อ้ายอ๋องวางแผนกบฏต่อบังลังก์จักรวรรดิชางเหอโดยใช้ศึกระหว่างพรรคชักนำ วางแผนจะร่วมมือกับโจวหวู่(จำนน?)และหูเป่ยซง(เดี้ยงไปแล้ว) ทั้งยังเป็นคนส่งนักฆ่ามาจัดการเยว่ถิงที่เขาเบิกฟ้าซึ่งโดนไป่อวิ๋นหลานเก็บไป แต่ในการรบกันคราวนี้กลับส่งคนมาช่วยฝ่ายเยว่ถิงแทน
เสนาบดีอู่ชิงเจีย – พ่อชิวหยางกะอู่เสวี่ยจิน(คนละแม่) เป็นเสนาบดีซ้ายตระกูลอู่ ขัดแย้งกับเสนาบดีตระกูลหวังฝ่ายขวาที่นับว่ามีศักดิ์เป็นตาของเยว่ถิง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ไว้ใจอ้ายอ๋องเลย ต้องมีแผนชั่วๆอีกแน่นอน
เป็นห่วงผอวส.เจิ้งด้วย
ประมุขหลอกน้อง!!! แหมมมม ว่าแต่หวู่อ๋องหายไปไหน.....
ยังมีอีก เฮ้ออออออออ เหน่ย เหน่ยมากๆ ชิวหยางกับน้องถิงช่วยเยียวยาใจพิที