ตอนที่ 28 : 26 - ห้วงคะนึงหา re29/10/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
26 – ห้วงคะนึงหา
การปรากฏตัวขึ้นโดยฉับพลันเหนือความคาดหมายไปมาก หวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางขยับยิ้ม ก่อนจะโยนรับหยกครึ่งเสี้ยวที่ยังคงสมบูรณ์ไม่บุบสลายในมือ
เป็นหยกสีเขียวกระจ่างครึ่งวงกลมที่มีรอยตัดแยกคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว หากประกบครบส่วนก็คงจะเป็นดวงจันทร์เต็มดวง ผูกด้วยไหมสีแดงสด แม้ไม่หรูหราแต่คล้ายมีอำนาจลึกลับประหลาดแฝงอยู่
ชายหนุ่มอยากกระโจนเข้าไปแล้วกระชากคว้ามานัก สองปีนี้เขาเฝ้าตามหามันมาตลอด บัดนี้กลับมาอยู่ตรงหน้าอย่างง่ายดาย ทั้งยังอยู่ในมือของคนที่ไม่น่าไว้ใจผู้ที่มีสมญาว่า ‘จิ้งจอกข่าว’
“หรือข้ามาขัดจังหวะอะไร?”
หมอแห่งหลวนซานเหลือบสายตาไปยังประตู อ๋องแห่งแคว้นหวู่จึงไขข้อข้องใจให้ “วางใจได้ ในเวลาสองยามจะไม่มีผู้ใดมารบกวนแม้กระทั่งรองประมุขโจว เมื่อบัดนี้เขากำลังติดพันภารกิจวุ่นวายอยู่”
ดวงตาสีฟ้าของเยว่ถิงยังไม่อาจคลายความเคลือบแคลงใจ คุณหนูหวังเองก็ใช้ดวงตาเขม็งจ้องมองหวู่อ๋องอย่างระแวดระวัง ท่านอ๋องสูงศักดิ์คล้ายเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าผากขึ้น เผยผิวเรียบไร้ร่องรอยปักเข็มทอง รวมถึงเอี้ยวตัวหันเปิดท้ายทอยให้เห็นว่าเขามิใช่หุ่นชักใยของโจวหวู่
เยว่ถิงเบาใจได้ประมาณหนึ่ง แต่ยังคงรักษาระยะห่างและระวังคำพูด “...คำนับท่านอ๋อง ไม่ทราบเหตุใดท่านถึงมาอยู่ยังที่แห่งนี้”
“เจ้านี่ใจเย็นจนน่ากลัว ทั้งๆ ที่ผ่านเหตุการณ์ชวนเสียขวัญและได้รับรู้เรื่องราวมามากมาย” หวู่อ๋องมิทราบประชดประชันหรือชื่นชมเขา ยากจะตีความ แต่เยว่ถิงคาดเดาเอาว่าคนผู้นี้คงรู้ทุกอย่าง ดีไม่ดีจะรู้มากกว่าเทพธิดาพยากรณ์และเจิ้งซื่อ รวมถึงโจวหวู่ “เอาเถอะ ดีแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อนำเจ้าออกไป”
“เป็นพระบัญชาของหวงไท่จื่อหรือ”
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ก็ไม่” รอยยิ้มบางลบเลือนไป หวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางมีดวงหน้าคมสันชัดสมชายชาตรี ปกติดวงตามักพราวด้วยประกายแห่งเล่ห์กล ดูเป็นบุรุษเจ้าเสน่ห์กร้านโลกคนหนึ่ง หากมองผ่านๆ ไม่นับว่าคล้ายหวงไท่จื่อเท่าใด แต่เมื่อพินิจให้ดีก็ยังมีเค้าลางสง่างามสูงส่งอยู่บ้างยามมีสีหน้าสุขุมจริงจัง
เยว่ถิงอดคิดนอกเรื่องไปไม่ได้ว่า ในเมื่อตัวเขาเองมีสายโลหิตเชื้อพระวงศ์ตระกูลหลี่อยู่ครึ่งหนึ่ง เหตุใดรูปร่างหน้าตาถึงไปคล้ายเหล่าคนงามแซ่หวังเสียหมด น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย
“เรื่องนี้ไม่ควรบอกเล่าแก่คนนอก แต่ในเมื่อคนฟังเป็นสตรีไม้ใกล้ฝั่ง อีกหนึ่งก็เป็นบุตรชายที่สูญหายของพระปิตุลา คงถือว่าผ่อนปรนได้... ความจริงก็คือ หวงไท่จื่อได้เสด็จกลับแคว้นชางไปแล้วเมื่อสามวันก่อน”
นี่นับเป็นข่าวร้ายได้หรือไม่ เยว่ถิงยิ่งรู้สึกงงงวย ยามสถานการณ์อึมครึมเช่นนี้ เหตุใดจึงเลือกเสด็จกลับ ทั้งยังมิทิ้งข้อความใดไว้สักนิด
“เรื่องในแคว้นอ้ายนี่นับเป็นเรื่องเล็ก หากเทียบกับเรื่องที่องค์จักรพรรดิแห่งเจ็ดแคว้นชางเหอกำลังจะเสด็จสวรรคตในอีกไม่นาน แม้หมอเทวดาซุ่ยหวางเจียก็เอ่ยเองว่าหากมีพระอาการเช่นนั้น ให้เขาไปก็เสียเวลาเปล่า”
ที่แท้เป็นเรื่องใหญ่มากเช่นนี้...!
“เช่นนั้น... เหตุใดท่านไม่กลับไปยังแคว้นชางด้วยเล่า”
การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะคิดอธิบายได้ ยิ่งกับแผ่นดินที่รวบรวมได้ถึงเจ็ดแคว้นไว้เป็นจักรวรรดิเดียวเช่นชางเหอ
แม้เยว่ถิงได้รู้เค้าลางของเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนถึงอาการประชวรที่รักษาไม่หายขององค์จักรพรรดิ แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวทั้งหลายจะมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้
“แต่เดิม องค์จักรพรรดิประกาศพระราชโองการลงโทษให้ข้าอยู่แต่ในตำหนักแคว้นหวู่ ซึ่งบัดนี้พระองค์ก็ยังไม่ได้พระราชทานอภัยโทษ ไหนเลยข้าจะบากหน้าไปแคว้นชางแล้วเข้าเฝ้าได้... ดังนั้น เจ้าคงเข้าใจว่าเหตุใดหวงไท่จื่อได้ทรงฝากฝังเรื่องที่นี่ให้ข้าจัดการ”
“อีกทั้ง... ถ้าหากแคว้นอ้ายสงบเรียบร้อยดีจนกระทั่งพระเชษฐาสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบลื่น ข้าก็อาจจะได้รับการยกเว้นโทษที่ฝ่าฝืนราชโองการของเสด็จพ่อ อีกทั้งถ้าหากสร้างความดีความชอบบางอย่างเช่นนำโอรสของพระปิตุลากลับไปได้ พระเชษฐาที่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิอาจเป็นผู้ยกเลิกราชโองการเก่าให้ข้า”
ฟังจากคำพูดของหวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางแล้ว หวงไท่จื่อกับพระปิตุลา... บิดาที่แท้จริงของเขาน่าจะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมากกว่าแก่งแย่งชิงอำนาจ เยว่ถิงยิ่งรู้สึกหนักใจ เหลือบมองคุณหนูหวังเบื้องหลัง
เขาช่างเกลียดความคิดว่าตนเองเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หนักหนาสาหัสเรื่องหนึ่ง จนปัญหาในปัจจุบันคล้ายจะเหมือนมดไรขึ้นตอมอย่างไรอย่างนั้น
“งั้นยามนี้... ท่านจะนำนางออกไปด้วยหรือไม่”
“เกรงว่าจะไม่ได้” หวู่อ๋องตอบในฉับพลัน “แต่หากเจ้าไปโดยดี เรื่องราวคงยิ่งง่ายดายขึ้น จงออกไปกับข้า แล้วข้าจะนำกลับสู่ที่ปลอดภัย”
“แล้วท่านจะพาข้าไปหาชิวหยาง... จอมอสูรพันศพงั้นหรือ”
เท่าที่ฟัง ต่อให้ออกไปจากที่แห่งนี้ได้ เกรงว่าโอกาสพบชิวหยางอีกครั้งก็แทบจะเป็นศูนย์เช่นกัน
“ข้าไม่อาจยืนยันอะไรให้แก่เจ้าในตอนนี้ ทว่าการอยู่กับคนวิปลาสบ้าคลั่งเช่นนั้นคงมิใช่ทางเลือกที่เจ้าพอใจ”
เยว่ถิงถอนหายใจออก ก่อนเอ่ยตอบด้วยเสียงแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
“เกรงว่าข้าจะไปไม่ได้”
หวู่อ๋องเบิกตาอย่างประหลาดใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนาง แต่อย่างไรคนเป็นก็สำคัญกว่าคนตาย... หรือคนกำลังจะตาย”
“ท่านว่ามีเวลาถึงสองยาม ฉะนั้นข้าคงมีเวลาสนทนากับท่านได้ ท่านคงทราบว่าเล็บและผมของข้าถูกโจวหวู่เก็บไว้ หากเขาส่งให้แก่ชิวหยางนั้นข้าไม่อาจเดาได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งสถานการณ์ของทั้งสองพรรคยามนี้ไม่รู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด ถึงท่านนำข้าออกไป ขู่คุกคามชิวหยาง สะบั้นสวรรค์ไม่บุกสุริยันพันแสง โจวหวู่ก็จะหาเหตุให้สุริยันพันแสงบุกสะบั้นสวรรค์อยู่ดี คาดว่าอาจใช้การตายของคุณหนูหวังกับเจิ้งซื่อชักนำประมุขพรรค”
“หรือหากท่านนำข้าให้ชิวหยาง ท่านก็คงรู้ว่าเขาจะไม่ปล่อยข้าให้ไปยังแคว้นชางโดยง่าย”
“...”
“ท่านหลบหนีมาจากแคว้นของท่าน ย่อมมิอาจมีกำลังมากพอห้ามสงครามได้ หากอ้ายอ๋องที่ร่วมมือกับโจวหวู่และจ้าวตำหนักสามต้องการจะให้มี”
เยว่ถิงสบกับตากร้านโลกคู่นั้น
“และ... หากเกิดสงครามขึ้นจริงระหว่างที่หวงไท่จื่อเถลิงราชย์ ไม่ทราบว่าเป็นท่านหรืออ้ายอ๋องที่จะต้องรับผิดชอบ?”
หลี่ซื่อหยางจ้องเยว่ถิงด้วยดวงตาทะลุทะลวง ก่อนจะสรวลออกมาอย่างพอใจ
“เจ้านี่... ฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ก็ได้! อ้ายอ๋องหลี่ถังเป็นมนุษย์หน้าไหว้หลังหลอกคนหนึ่ง หากตนเองได้ผลประโยชน์ก็จะยินดีกับทุกฝ่ายทั้งสิ้น คราแรกก็เป็นเขาที่ให้ที่พักพิงแก่ข้า แม้รู้อยู่แก่ใจว่าขัดพระราชโองการ”
“แต่ต่อมาข้าค้นพบว่า เขาต้องการแบ่งแยกแคว้นอ้ายจากชางเหอ กำลังกระทำการก่อกบฏอย่างลับๆ แม้ข้อมูลบางเบาที่ข้าได้มาเป็นหลักฐานคือจดหมายแผ่นหนึ่ง ทว่าเขาถึงกับส่งคนตามฆ่าข้าในป่าไผ่เงิน โจวหวู่ก็คือคนที่รับเรื่องไป เขาเป็นเจ้าของเข็มทองที่สั่งการตุ๊กตาสังหารเหล่านั้น หากเจ้ายังจำได้”
เยว่ถิงอดไม่ได้ที่จะยกมือกุมขมับ หลับตาแล้วพึมพำ
“...ข้าจำได้ จำได้ดี”
หวู่อ๋องยังคงเกลี้ยกล่อมอย่างประนีประนอม “อย่างไรก็ตาม ทางเลือกเจ้าไม่ได้มีมากมาย จะอยู่ที่นี่พบความทรมาน หรือจากไปกับข้า”
“นิมิต...” จู่ๆ อดีตเทพธิดาพยากณ์ในร่างหญิงชราก็เอ่ยขึ้นเรื่อยช้าคล้ายเลื่อนลอย ดึงสายตาบุรุษสองคนให้หันไป “...ไม่ว่าอย่างไรก็จะเกิดขึ้น ข้าลองใช้ศาสตร์รู้ฟ้าหยั่งชะตาดินมองอีกสองครั้ง อย่างไรก็เห็นเป็นภาพเดิม”
ภาพนั้นคือภาพชิวหยางกับประมุขสุริยันพันแสงห้ำหั่นกันโลหิตท่วมร่าง... โดยมีเยว่ถิงอยู่ตรงกลาง โดยมิมีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว
หวู่อ๋องขมวดคิ้วแน่น กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ “ท่านไม่เคยทำนายพลาดใช่หรือไม่”
“ข้าจ่ายค่าตอบแทนมากมายด้วยพลังชีวิตเพียงนี้ ฟ้าดินคงไม่กลั่นแกล้งกระมัง” นางเหยียดยิ้ม แล้วหลับตาเหนื่อยอ่อน “พอเถอะ ไม่เพียงสังขาร ใจข้าก็โรยราเช่นสตรีที่ผ่านแปดสิบหนาวมาแล้ว หากตายวันนี้... ก็คงไม่มีอะไรต้องห่วงหาอีก”
“ท่านจะยังไม่ตายวันนี้” เยว่ถิงเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านอ๋อง เส้นปราณของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังคงไม่สมานดี แต่ข้ามีวิชากระบี่ติดตัวโดยที่ไม่ต้องใช้พลังชี่ปราณ เจ้าถามทำไม”
”ท่านสามารถลอบเข้ามาที่นี่ได้อีกหรือไม่”
หวู่อ๋องหน้าตึง “ถึงแม้นว่าข้าจะมีสมญาว่าจิ้งจอกข่าวที่เร้นกายไปทุกที่ แต่จะให้เสี่ยงตายหลายๆ รอบก็ไม่ใช่เรื่อง”
“ข้ามีแผนการที่จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย แม้ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จได้หรือไม่ เพียงแต่ต้องขอพู่หยกคู่พระจันทร์ ความร่วมมือเล็กน้อยของท่าน และการที่ให้ข้าอยู่กับคุณหนูหวังต่อในพรรคแห่งนี้ต่อไป”
“แผนการใด?”
“คุณหนูหวัง... ขออภัยที่ข้าอาจต้องให้ท่านรอ” เยว่ถิงค้อมศีรษะ ก่อนเหลือบมองหวู่อ๋อง
“ท่านอ๋อง แม้มือข้าจะไม่อาจทำการรักษาละเอียดอ่อนเช่นฝังเข็มได้ แต่วิชากดจุด นวดเส้น หรือปรุงยาสมุนไพรยังสามารถทำได้ ขอให้ข้าได้ลองและขอให้ท่านเชื่อใจข้า”
หวู่อ๋องมองหน้าเยว่ถิงนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นมา
“...ข้าเคยพบพระปิตุลาอยู่สองครา จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาตีข้าเสียก้นลายที่ไปก่อเรื่องซุกซนในวังของเขา ยังดีที่พระชายา... มารดาของเจ้าได้เอายามาประคบให้ ผู้คนในวังต่างรู้ว่านางเป็นสตรีที่จิตใจดีคนหนึ่ง”
“โจวหวู่เอ่ยว่ามารดาข้าได้ทำลายเขาอย่างสาหัสในอดีต ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นจริงหรือไม่”
“ตัวข้ามิได้อยู่ในเหตุการณ์ หากอยากรู้ความจริงเกรงว่าเจ้าต้องค้นหาเอาเอง แต่ข้าบอกเพียงได้ว่า พระชายาไม่เคยมีท่าทีว่าโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนั้น”
หวู่อ๋องยิ้มเบาบางเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ สะบัดแขนเสื้อแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเยว่ถิง ยกแขนให้จับแมะชีพจร
คุณหนูหวังหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและยาระงับความเจ็บปวดที่เยว่ถิงให้ไปเมื่อครู่ ระหว่างนวดเส้นต่างๆ ให้แก่หวู่อ๋อง ชายหนุ่มก็มองไปยังประตูอยู่เรื่อยๆ มิทราบหวู่อ๋องเข้ามาอย่างไรและจะออกไปอย่างไร
“ตอนนี้แม้จอมอสูรจะเหลือเพียงแขนเดียว ทว่าเชื่อหรือไม่ กระทั่งประมุขใหญ่แห่งพรรคมารก็อาจพ่ายแก่เขาแล้ว...”
“เขาคงไม่ได้ฝึกวิชานอกรีตใช่หรือไม่” ได้ยินการกล่าวถึงชิวหยาง เยว่ถิงรีบเอ่ยทั้งที่ผู้พูดยังไม่จบประโยคดี หวู่อ๋องกลอกตาไปมา แกล้งทำหน้าไม่รู้เรื่องจนเยว่ถิงนึกอย่างดึงนิ้วจิ้งจอกตัวนี้แรงๆ
“เล่าแผนการของเจ้ามาก่อน” เยว่ถิงจำต้องทิ้งเรื่องชิวหยางอย่างเสียมิได้ ดวงตาของหวู่อ๋องแพรวพราวจดจ่อขึ้น
“ขอให้ท่านตั้งใจ ข้าไม่มั่นใจว่าจะเป็นไปตามคาดหรือไม่ ทว่านี่คือสิ่งที่ข้าคิดว่าเป็นทางออกสำหรับเรื่องราวทั้งหมด...”
หวู่อ๋องหลี่ซื่อหยางจากไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนยามมา อาการคุณหนูหวังที่อยู่ในห้วงนิทรายังน่าเป็นห่วง ทว่าโจวหวู่ไม่คิดจะให้เขาอยู่ดูแลนางเมื่อเขามารับเยว่ถิงไปยังที่แห่งหนึ่งด้วยตนเอง
แพทย์หนุ่มเพิ่งได้ทราบถึงความเป็นจิ้งจอกของหวู่อ๋องก็คราวนี้ เมื่อเห็นเสี้ยวหยกที่เหมือนกับของเขาไม่ผิดเพี้ยนห้อยอยู่ยังเอวของโจวหวู่ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ระแวงรับรู้ใดๆ
‘ข้าได้ขโมยของจริงมา แล้วนำของปลอมวางไว้ แต่สำหรับคนอย่างโจวหวู่ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องดูออก ขอให้เจ้าดำเนินการใดๆ อย่างระวังด้วย’
ไม่อาจรู้ว่าเสี้ยวพู่หยกคู่ไปอยู่กับโจวหวู่ได้อย่างไร ทว่านอกจากโจวหวู่แล้วคงไม่มีใครให้คำตอบเขาได้
เยว่ถิงถูกนำมายังห้องแต่งตัวที่เต็มไปด้วยตู้เก็บอาภรณ์และเครื่องประดับ รู้สึกหงุดหงิดใจกับรสนิยมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่โจวหวู่บังคับให้เขาสวมใส่ ให้แต่งกายด้วยผ้าต่วนเบาบางสีชมพูและผูกผ้ารัดเอวให้คล้ายสตรีก็น่าเอียนมากแล้ว ยังนำไข่มุกและดอกไม้รวมถึงเส้นผมปลอมที่ยาวถึงกลางหลังมาตกแต่งจนดูคล้ายกับนายโลมก็มิดผิด
กระทั่งเสื้อยังสวมอย่างหลวมๆ เปิดไหล่และเผยลำคออย่างยั่วยวน ส่องในกระจกทองเหลืองแล้วช่างบาดตา
มือทั้งสองของโจวหวู่จับยังไหล่ เยว่ถิงพยายามอย่างมากที่จะทำเป็นนิ่งเฉยเสีย บัดนี้ดวงหน้านั้นกลับมาฉาบด้วยขี้ผึ้งปกปิดรอยแผล แต่อย่างไรก็กลบความวิปลาสไม่มิด
“คืนนี้ แค่เจ้าเหลือบสายตาแล้วแย้มยิ้มก็เพียงพอ แต่อย่าคิดจะทำอะไรโง่ๆ มิฉะนั้นข้าอาจต้อง... จัดการคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าทีละคน โดยเริ่มจากเรือนพำนักทหารผ่านศึกนั่น ข้าจะนำมาถลกหนังต่อหน้าเจ้าทีละคน หากจำเป็น”
วิธีสกปรกเหล่านี้เยว่ถิงรู้สึกชินชา แต่เขาก็ไม่คิดจะขัดใจบุรุษที่บ้าคลั่งผู้นี้อยู่แล้ว จึงพยักหน้ารับน้อยๆ
“ดีมาก” ริมฝีปากกระซิบก่อนแตะยังผิวแก้มแผ่วเบาอย่างหลงใหล เยว่ถิงอยากถอยหนีใจจะขาด แต่ก็ยังนิ่งอยู่ จนโจวหวู่ผละออก แล้วดึงร่างให้เขาลุกขึ้นเดินตามไป
พรรคสุริยันพันแสงช่างตกแต่งได้อย่างสว่างไสวสมชื่อพรรค แม้ยามกลางคืนก็ยังตกแต่งด้วยแสงโคมพร่างพราย เหล่าสาวรับใช้หรือผู้คนในพรรคแต่งกายคล้ายเทพเซียน แต่ไม่อาจไม่เหลือบมองเยว่ถิงได้ เขาจึงจำต้องก้มหน้าแล้วเดินตามโจวหวู่ไป
จนเมื่อข้ามสะพานหินถึงศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระน้ำ ที่แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่เยว่ถิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจ การตกแต่งด้วยเมฆสุริยันและมังกรบนหลังคาแกะสลักอย่างดี ภายในมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังร่ำสุราใต้แสงจันทร์อยู่ลำพัง
เส้นผมและอาภรณ์ล้วนเป็นสีเงินระยับจับตา เมื่อเข้าใกล้จนบุรุษผู้นั้นหันมา เยว่ถิงจึงทราบได้ว่าเหตุใดหวังอิงเอ๋อร์จึงไม่อาจตัดใจได้แม้ใกล้ถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
ใบหน้านั้นคล้ายชิวหยางถึงเจ็ดในสิบส่วน ทำให้คล้ายเห็นภาพลวงตาซ้อนทับบีบรัดหัวใจ พลันเข้าใจเหตุผลว่าทำไมชิวหยางจึงเกิดความชอบพอในตัวเขาที่มีหน้าตาคล้ายกับคนรักเก่าหวังรุ่ยเซียงตั้งแต่แรกพบ
ดวงตาสีอำพันยิ่งให้ความรู้สึกแห่งเทพเซียน บุรุษผู้นี้คงเป็น ‘อู่เสวี่ยจิน’ ประมุขพรรคสุริยันพันแสง ผู้มีสมญาว่า ‘จอมเทวะตะวัน’ พี่ชายต่างมารดาของชิวหยาง แม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์เต็มดวงแห่งราตรีกาล กลับยังเรืองรองเจิดจ้าประดุจตะวันดวงหนึ่ง
ไม่เพียงแต่เขา อีกฝ่ายคล้ายประหลาดใจในรูปลักษณ์ของเยว่ถิงเช่นกัน ก่อนจะวางจอกสุราลง เลื่อนสายตาไปยังโจวหวู่ เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย
“คนผู้นี้คือใคร”
“เรียนท่านประมุข คนผู้นี้คือบุรุษโชคร้ายที่ถูกพรรคสะบั้นสวรรค์จับไปเป็นนายบำเรอให้แก่จอมอสูรพันศพ”
“...คนของชิวหยาง?” คิ้วสีเงินกระตุกขึ้นข้างหนึ่ง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนไปเป็นแผ่วเบาลง “เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”
“โชคดีเขาหนีรอดออกมาแล้วได้คนของเราช่วยเหลือ ข้าจึงนำพาเขามาที่พรรค แต่คาดว่าควรรายงานแก่ท่านก่อน”
“ข้ารู้แล้ว ให้เขาพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะสบายดี ตอนนี้เจ้าจงพาเขาไปได้ ข้าอยากอยู่ลำพัง”
ประสบการณ์แรกพบ จอมเทวะตะวันดูไม่มีเค้าลางของบุรุษขี้ริษยาและหูเบาแต่อย่างใด คล้ายจะเป็นบุรุษเงียบขรึมที่จมปลักอยู่กับตนเองคนหนึ่ง โจวหวู่แอบลอบยิ้มมุมปาก ว่าต่อไปอย่างคล่องแคล่ว “เขาได้เอ่ยกับข้าว่าอยากรินสุราขอบคุณท่านที่ให้ที่พำนักสักจอก ท่านคงไม่ว่ากระไร”
เยว่ถิงอยากจะกลอกตามองบนมากนัก ถ้าไม่กลัวว่าโจวหวู่จะควักลูกตาเขาออกมา อู่เสวี่ยจินเหลือบมองเยว่ถิงอีกครั้งด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ก่อนพยักหน้าน้อยๆ อย่างเงียบงัน “ได้ แต่ไม่นาน”
โจวหวู่ให้เยว่ถิงเดินเข้าไปนั่งลงเคียงข้างอู่เสวี่ยจินแล้วจากไปเหลือพวกเขาแต่เพียงลำพัง แต่เยว่ถิงไม่คิดประมาทขนาดคิดว่าจะรอดพ้นจากการถูกจับตา จึงก้มหน้าอย่างสำรวมแล้วยกกาสุรารินให้แก่อู่เสวี่ยจิน
เยว่ถิงแม้มองแต่ตักตนเอง ก็ทราบได้ถึงสายตาสำรวจจากดวงตาสีอำพันนั้นให้ร้อนๆ หนาวๆ พู่หยกคู่ก็ยังอยู่เสื้อให้รู้สึกอย่างจับแนบกายไว้ในยามอึดอัดเช่นนี้
“เจ้าชื่ออะไร?” น้ำเสียงที่กล่าวกับเขาอ่อนลงกว่าปกติ
“ผู้น้อยมีนามว่าเยว่ถิงขอรับ”
เยว่ถิงอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงชิวหยาง ต้องมุ่นหว่างคิ้วไล่ความวุ่นวายในศีรษะออกไป ทันใดนั้นก็แทบสะดุ้ง ยามมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งถูกห่มลงยังเนื้อหนังที่เปิดเผยอย่างยั่วยุกามารมณ์นั้น
เมื่อเงยหน้ามอง ประมุขสุริยันพันแสงกลับผละออกไปยกสุราขึ้นดื่มรักษาระยะห่าง “ไม่รู้ว่าชิวหยางโหดร้ายกับเจ้าเพียงใด ทว่า อยู่ที่นี่เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตนเป็นนายบำเรอให้ใคร”
สวรรค์
เฮ้อ... ไยพี่น้องต่างกันปานนี้ แสดงว่าหวังอิงเอ๋อร์นั้นชอบผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษ ส่วนหวังรุ่ยเซียงคงชอบผู้ชายดิบเถื่อนปากร้ายใจดี เรื่องราวต่างๆ ถึงได้วุ่นวายไม่ลงตัวเช่นนี้
“อ่า ขอบคุณท่าน” เยว่ถิงใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็ยังมีคนของพรรคธรรมะที่สมกับเป็นฝ่ายธรรมะอยู่ “ผู้น้อยเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน... จึงอยากพบท่านมานานแล้ว”
“เพราะเหตุใด”
“เรื่องราวนั้นพูดลำบากนัก” เยว่ถิงเหลือบสายตามองความว่างเปล่ารอบกาย มีเพียงความงามของดวงจันทร์เต็มดวงที่สะท้อนทอดกายลงยังผิวน้ำ ใจเขาสั่นไหวเมื่อพบว่าคืนนี้คือคืนวันเพ็ญ “หากท่านยินดีให้ข้ามานั่งปรนนิบัติท่านดื่มสุราอีกสักหลายครา ผู้น้อยอาจลดความกระดากใจลงได้บ้าง”
“ถ้ามีเรื่องขอให้ช่วยก็จงพูดมา ข้าประมุขพรรคสุริยันพันแสงแห่งฝ่ายธรรมะยินดีรับฟัง”
เยว่ถิงขยับยิ้มบาง ก่อนจะขยันรินสุราต่อไป อู่เสวี่ยจินเองก็ไม่ติดใจจะถามสิ่งใดอีก ดวงตาสีอำพันครุ่นคิดทอดมองเรื่อยเปื่อย กระแสอารมณ์อันไม่สงบผิดกับท่าทางภายนอกบอกได้ว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาหลายอย่างเช่นกัน
กระทั่งหมดกาสุรา โจวหวู่ก็ปรากฏตัวมารับเขาราวกับนกรู้ สังเกตจากรอยยิ้มปลอมเปลือกบนใบหน้า สามารถคาดเดาได้ว่าพึงพอใจไม่น้อย เยว่ถิงลุกขึ้นคำนับลา ขณะกำลังจะหันหลังจากไป อู่เสวี่ยจินก็เอ่ยทั้งยังไม่ได้หันมา
“คราวหน้าก็จงแต่งกายธรรมดา หากต้องการจะมาร่วมร่ำสุรากับข้าอีกครา”
ถ้อยคำนี้ทำให้โจวหวู่เปลี่ยนใจเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพของเขา จึงให้พำนักในส่วนหนึ่งของตำหนักของตนแทนที่จะออกนอกพรรค ก่อนจากไปยังเหยียดยิ้มกว้างหลอกหลอนและหัวเราะก้อง
“หากเจ้าจะเปลี่ยนใจมารักใคร่ท่านประมุขอู่เสวี่ยจินแทน ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ!”
ชายผ้าของชายตาจิ้งจอกสะบัดลับสายตาไป ทิ้งให้เยว่ถิงอยู่ในห้องนอนที่หรูหราน้อยกว่าในเรือนหอก่อนหน้านี้ แต่ก็นับว่าโอ่อ่าแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มดึงผ้าคลุมไหล่ออก แทบจะถอดเขวี้ยงวิกยาวผมทิ้งลงข้างตัว ถอนหายใจเฮือกแทบหมดปอด
โจวหวู่คิดใช้เขาให้บุรุษสองคนฟาดฟันกันจริงๆ นั่นมันพล็อตละครน้ำเน่าแบบไหนกัน... เยว่ถิงพลิกตัวนอนหงาย มือยกก่ายหน้าผาก เหลือบมองดวงจันทร์กลมโตเบื้องบนนอกหน้าต่างในชั้นสองตัวตำหนัก
‘นี่คือพู่หยกคู่พระจันทร์ ว่ากันว่า เมื่อเจ้าของหยกจำต้องพรากให้แยกเก็บหยกคนละส่วน หากสายสัมพันธ์ผูกพันกันมากพอ ให้วางไว้ใต้หมอนในวันพระจันทร์เต็มดวง แล้วเจ้าของหยกทั้งสองจะสามารถพบเจอกันในความฝัน’
เสียงของชิวหยางดังเข้ามาในความนึกคิด เยว่ถิงดึงพู่หยกนั้นออกมาจากเสื้อแล้วกำไว้แน่นแนบหน้าอก
เขายังผูกสัมพันธ์ไม่แปรเปลี่ยน ได้แต่ภาวนาว่าอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน...
แต่มิทราบตื่นเต้นเกินไปหรือไม่ ปกติไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรในชีวิต เยว่ถิงจะสามารถนอนหลับได้ง่ายดายยิ่งกว่าอะไร ทว่าหลังจากสอดเสี้ยวพู่หยกพระจันทร์ไว้ใต้หมอน เยว่ถิงกลับตาค้างเป็นนกฮูกดั่งดื่มกาแฟมาสิบแก้วก็ไม่ปาน
ดูเอาเถิดคนเรา
ยิ่งบังคับกายใจให้หลับ ยิ่งกลับเป็นกระสับกระส่าย สายลมปลายสารทย่างหนาวเย็นเคลื่อนแตะผิว ผ้านวมหนาก็ไม่อาจให้ความอบอุ่นได้เพียงพอ
ฟากฟ้าคลาคล่ำด้วยเมฆหมอกบดบังจันทราสว่างกลมโต เยว่ถิงที่นอนแข็งทื่อจนตารวดร้าวก็จำต้องใช้ท่าไม้ตาย
ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นมาเล่นโยคะ...
มีบ่าวไพร่มาเคาะประตูถามถึงเสียงประหลาด เยว่ถิงก็ตอบไปว่ากายบริหารเพื่ออบอุ่นร่างกาย จนกระทั่งเส้นยึดตึง กระดูกลั่นเดาะ สุดท้ายคล้ายฟ้าดินเห็นใจหรืออเนจอนาถก็ไม่ทราบ เยว่ถิงจึงได้เข้าสู่ห้วงนิทราสมใจอยาก
ฤทธิ์อำนาจแห่งพู่หยกคู่พระจันทร์มิใช่เพียงเรื่องเล่าร่ำลือ
เยว่ถิงคล้ายกึ่งรู้สึกตัวกึ่งล่องลอย อาการนี้ไม่เพียงเป็นความฝันธรรมดา เขายังสามารถบังคับร่างกายได้ตามต้องการ แม้ที่สวมใส่ยังเป็นอาภรณ์เปิดไหล่สีชมพูและมีผ้าพันแผลอยู่ยังมือขวา ในกลุ่มก้อนหมอกควันขาวรอบตัวมีแสงสว่างจ้าจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นบดบังสายตา
พลันปรากฏภาพทิวทัศน์อันงดงามของทิวป่าที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวเพลิง บางส่วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม และน้ำตาล ไล่สีสวยงามดั่งระบายด้วยพู่กัน ใบไม้แห้งกรอบใบหนึ่งหลุดปลิวออกจากขั้ว ลอยไปในความว่างเปล่า ขณะหนึ่งลอยช้าคล้ายจะร่วงลงสู่พื้นทับถมใต้ต้น แต่แล้วกลับถูกสายลมพาไปอีกเส้นทางหนึ่ง
ใบไม้เปล่าเปลี่ยวไร้ทิศทางพัดไปยังทะเลสาบหินขนาดใหญ่ ไม่ว่าผ่านมาเพียงใดน้ำก็ยังเป็นสีฟ้าระยิบระยับ
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างจนภาพเหล่านั้นสะท้อนภายใน ความสว่างพร่ามัวในดวงตาค่อยลดลง เห็นเงาคนผู้หนึ่งหันหลังอยู่ยังริมทะเลสาบใต้เหมยฮวาที่ผลิบานสะพรั่งทั่วทั้งต้น ทั้งสีชมพูสีขาวพร่างพรายงดงามเกินบรรยาย
เส้นผมสีดำปลิวไปพร้อมกับชายผ้าสีม่วงเข้มคลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีดำ แขนเสื้อยาวข้างหนึ่งว่างเปล่า บัดนี้ข้างเอวคาดกระบี่อยู่เพียงด้ามเดียว และยังมีเสี้ยวหยกคู่อีกครึ่งที่มีประกายวามวับให้เห็น
ความรู้สึกยามนี้ มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้
“ชิวหยาง!!!”
เยว่ถิงตะโกนสุดเสียง กำเสี้ยวหยกแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า
“ชิวหยาง!”
“...!!!”
บุรุษผู้นั้นที่เหม่อมองทะเลสาบหันกลับมา ผ่านไปสองปี เค้าโครงดวงหน้าที่แสนคิดถึงยิ่งทวีความคมคายน่าเกรงขามมากขึ้น ผิวพรรณขาวขึ้นหลายส่วนอาจเพราะไม่ได้ถูกแสงแดดมานาน ทว่าดวงตาคมที่เป็นสีน้ำตาลอบอุ่นและมักมีประกายร้อนแรงกลับกลายเป็นสีแดงทับทิม ภายนอกยิ่งสมญาจอมอสูรและสมเป็นประมุขมารฝ่ายอธรรม
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร เยว่ถิงก็ไม่ลังเลที่จะโผเข้าหาอ้อมกอดนั้น
แม้รับรู้ได้เพียงครึ่งหนึ่งของความเป็นจริง แต่หัวใจของเยว่ถิงกลับคล้ายจะระเบิดออกด้วยความโหยหา สองมือโอบร่างนั้นแนบแน่นราวกับจะไม่ปล่อยไปอีก ชิวหยางตะลึงจนไร้คำพูดไปพักใหญ่ ก่อนที่จะยกมือข้างเดียวแต่แข็งแกร่งกอดตอบ
“เยว่ถิง นี่เจ้าใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่...”
แรงกอดจากแขนข้างเดียวของชิวหยางรุนแรงกว่าเยว่ถิงหลายเท่า แต่เยว่ถิงไม่คิดดิ้นรน พอใจให้อีกฝ่ายกอดเช่นนี้ กลิ่นกายอันแสนคุ้นเคยเบาบางแต่ชัดเจน ความอบอุ่นก็แทรกซึมคลายความคะนึงหา
สองขาเขาแทบอ่อนแรงล้มลง ถ้าหากมิใช่ว่าถูกรั้งร่างไว้
ชิวหยางซบใบหน้าลงกับไหล่เยว่ถิง
“บอกข้าสิ ว่าในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้า แม้จะเป็นเพียงในฝันก็ตาม”
“ท่านได้พบข้าแล้ว ชิวหยาง ท่านได้พบเยว่ถิงแล้ว”
ในสองปีแห่งการคะนึงหารอคอย ทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ความรู้สึกเอ่อล้นเกินกว่าจะเอ่ยคำพูดใดออกมา ได้แต่ซึมซับความอบอุ่นจากกายอีกฝ่ายไว้ให้มากที่สุดก่อนที่จะต้องตื่นจากความฝันอันหวานล้ำนี้
เยว่ถิงแม้อยากอยู่ในสภาพเช่นนี้ให้นานที่สุด แต่เขาจำเป็นจะต้องลืมตาไปเผชิญกับความยากลำบากยามตื่น จึงเป็นฝ่ายออกปากก่อน
“ชิวหยาง ข้าคิดถึงท่าน”
“...”
ชิวหยางหันริมฝีปากเข้าจุมพิตหนักๆ ยังข้างแก้มของเยว่ถิงแทนคำพูด ราวกับประมุขแห่งสะบั้นสวรรค์ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้ตอนนี้จึงใช้ภาษากายบอกกล่าว แม้นรู้สึกได้เพียงครึ่งจากความเป็นจริง เยว่ถิงกลับคล้ายถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกองเพลิงที่ร้อนแรงแต่ก็อบอุ่นยิ่งกว่ากองเพลิงใดๆ ในโลกนี้ ครั้นริมฝีปากทั้งสอบประกบกันอย่างโหยหา เยว่ถิงถึงได้รู้ว่าตนเองคิดถึงชิวหยางเพียงใด
หลังจากหูแดงหน้าแดงและผละออกจากกันด้วยลมหายใจหอบ เยว่ถิงก็ได้สบดวงตาสีแดงทับทิมนั้นตรงๆ
สังเกตเห็นรอยช้ำๆ ยังขอบตาคล้ายอดหลับอดนอน แต่สีหน้ายังกราดเกรี้ยวดุดัน ให้เยว่ถิงโล่งใจว่าคนผู้นี้ยังเหมือนเดิมอยู่หลายส่วน
“รู้หรือไม่เจ้าทำให้ข้าทุกข์ทรมานเพียงใด แล้วบัดนี้เหตุใดเจ้าจึงแต่งตัวเช่นนี้กัน”
ไม่ทราบเหตุใด คำตัดพ้อต่อว่ากลับเป็นดั่งธารทิพย์ชโลมจิตใจเยว่ถิง
“ข้ารู้ ข้าเองก็ทรมานเช่นกัน... แต่มีเหตุให้เสี้ยวพู่หยกสูญหาย ข้าเพิ่งได้คืนมาไม่นาน”
เยว่ถิงมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยอารมณ์เกินต้านทานของชิวหยาง บัดนี้มีเรื่องให้เอ่ยต่อกันมากมายจนไม่อาจเรียงลำดับถูก “แขนท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษต่อท่านจริงๆ ตอนนี้ข้าได้สำเร็จวิชาแพทย์ที่หลวนซานแล้วเพื่อต่อมันกลับให้ท่าน”
ชิวหยางส่ายศีรษะ “ข้าเคยชินกับการไม่มีแขนข้างซ้ายแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล... บาดแผลอัปลักษณ์ของเจ้าหายดีแล้ว ทว่าเหตุใดเจ้าจึงตัดผม และมือเจ้าบาดเจ็บจากอะไรกัน!?”
คำถามสุดท้ายเป็นคำถามที่เยว่ถิงอยากได้ยินน้อยที่สุด ทว่าเมื่อเพิ่งพบกันทำให้เยว่ถิงไม่อยากโกหก ยิ่งเมื่อนัยน์ตาเปลี่ยนสีไป เยว่ถิงยิ่งรู้สึกได้ว่ามันทะลุทะลวงและเปิดโปงความคิดผู้คนได้มากกว่าเดิมนัก
“สัญญากับข้าก่อน ว่าท่านจะต้องสงบนิ่งแล้วค่อยๆ ไตร่ตรองหากข้าบอกสิ่งใดแก่ท่าน”
ชิวหยางมีท่าทีไม่ตกลงปลงใจด้วยอย่างเท่าไร จนเยว่ถิงต้องช้อนตาขึ้นเว้าวอน “ข้าขอร้อง ชิวหยาง”
“ข้าสามารถเมินเฉยต่อคำขอร้องของเจ้าได้ด้วยหรือ?”
แม้ผ่านไปสองปี ชิวหยางก็ยังคงเป็นชิวหยาง เยว่ถิงอดหลุดแย้มยิ้มบางเพราะท่าทีฮึดฮัดคนเจ้าของสมญาจอมอสูรไม่ได้
“ประการแรก ท่านกับผู้อาวุโสมู่จับผู้อาวุโสเจิ้งได้ ส่วนเทพธิดาพยากรณ์หลบหนีไปได้ใช่หรือไม่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“บัดนี้ท่านอยู่ที่ใด” เยว่ถิงมิได้ตอบ เพียงถามกลับแทน
“ข้ากลับมายังพรรคสะบั้นสวรรค์แล้ว” ชิวหยางเอ่ยก็หรี่ตา “เจ้าบอกว่า เจ้าสำเร็จแพทย์หลวนซาน... คงมิใช่ว่าไปอยู่ที่สถานพำนักทหารผ่านศึกในคืนนั้น...”
ต้องยอมรับว่าชิวหยางผู้นี้อ่านเรื่องราวได้รวดเร็วเด็ดขาดยากแก่การโป้ปด เยว่ถิงจึงย้ำอีกครั้ง
“ไปนั่งพักใต้ต้นเหมยฮวากันเถอะ บรรยากาศอาจพาให้ท่านสงบใจขึ้นบ้าง”
เยว่ถิงรู้สึกจำใจที่ต้องเล่าความจริงโดยย่อให้แก่ชิวหยาง หากเป็นตอนใดที่ข้ามได้ก็จะข้าม เขายังคอยสังเกตท่าทีที่มักปล่อยรังสีสังหารออกมา โดยเฉพาะขณะเล่าความที่ว่าโจวหวู่ถอดเล็บและตัดเส้นผมเขา ชิวหยางแทบจะตื่นจากฝันแล้วไปฆ่าโจวหวู่ให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ จนเยว่ถิงต้องยกคำสัญญามาเอ่ยซ้ำ
เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอด ยกเว้นแต่เพียงชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขาและลำดับญาติแสนวุ่นวาย เยว่ถิงเอ่ยกับชิวหยางว่าที่ตนพัวพันกับเรื่องต่างๆ เพราะมีลักษณะเป็นเพียงตัวประกันและชนวนสงคราม รวมถึงที่ว่าต้องการให้พี่ชายต่างมารดาของชิวหยางหลงรักเขาและเข้าห้ำหั่นกันเช่นในนิมิตของคุณหนูหวัง
“ไอ้สารเลวโจวหวู่อยากลนหาที่ตายถึงเพียงนี้ หากมิได้แยกร่างมันเป็นพันส่วน...”
เยว่ถิงใช้แขนแตะผิวชิวหยางแผ่วเบา
“ข้ารู้ว่าท่านแทบคลั่ง ทว่าข้าตั้งใจบอกถึงเพียงนี้แล้ว ได้โปรดอย่าทำให้ความตั้งใจข้าสูญเปล่า อีกทั้งข้ายังอยู่ที่สุริยันพันแสง โปรดให้ท่านเข้าใจ”
รังสีสังหารนี้ทำให้กระทั่งเยว่ถิงยังสะท้าน ไม่เพียงฝีมือ รังสีฆ่าฟันยามเกรี้ยวกราดของชิวหยางก็มากขึ้นเช่นกัน
“แม้นท่านชิงตัวข้ามาได้ แต่ท่านจะไม่มีวันอยู่เป็นสุขอีก...”
เยว่ถิงใช้ทั้งสองมือประคองใบหน้าชิวหยางให้หันมา นับว่าลดความคลั่งแค้นปานไฟนรกให้ดับลงได้ ตาที่สบกันวูบไหว “เหตุใดท่านยังเชื่อว่าข้ามีชีวิตอยู่”
ชิวหยางค่อยผ่อนคลายลง “เจ้าอาวาสแห่งวัดดอกเหมยมาหาข้าหลังจากที่เพิ่งฟื้น เข้ามาถึงในพรรคสะบั้นสวรรค์มาบอกข้าว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นเพียงคำพูดล่องลอยแต่ตัวข้ากลับยึดถือขึ้นใจ”
“ประเสริฐมากแล้ว หากท่านไม่เชื่อ ท่านคงไม่ได้พบข้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม ข้าจำเป็นต้องให้ท่านร่วมมือกับประมุขพรรคสุริยันพันแสง มิฉะนั้นเรื่องราวไม่อาจจะคลี่คลายได้”
ดวงตาคมกริบตวัดมอง เยว่ถิงรู้ได้ทันทีว่าคำพูดนี้สะกิดโดนส่วนต้องห้ามในจิตใจของอีกฝ่ายเข้าแล้ว
“มิใช่เจ้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วหรือ? ทั้งบัดนี้ ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะมิแตะต้องเจ้า หากข้ายังมิรีบนำเจ้ากลับมา”
น้ำคำเย็นชาขึ้นมา ความคลั่งแค้นล้ำลึกมากมายคงสลักฝังเอาไว้ จึงมิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเกลี้ยกล่อมชิวหยาง
เยว่ถิงเหลือบมองฟากฟ้า อีกไม่นานคงเป็นเวลาต้องจากลา กว่าจะเจอกันอีกครั้งก็ไม่ทราบว่าชิวหยางจะกระทำสิ่งใดลงไปบ้าง ชิวหยางอาจฝึกปรือจนเก่งกาจ ทว่าย่อมมีวิธีที่ดีกว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในเมื่อร่างกายต้องเจ็บปวดและสูญเสียไปเพราะเขามากพอแล้ว เยว่ถิงมิอยากทำเช่นนี้ แต่ยามนี้ไม่มีทางเลือกให้มากนัก
ไหนๆ เขาก็อยู่ในอาภรณ์นายโลมยั่วยวน ทั้งนี่ยังเป็นเพียงฝัน คงไม่มีอะไรเสียหาย แค่คิด หัวใจเยว่ถิงก็เต้นดั่งกลองรบ เขาหายใจเข้าออกทำใจอยู่ สัมผัสครึ่งๆ กลางๆ นี้รู้สึกเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น
สองมือประคองใบหน้าชิวหยางโน้มลงมาแตะหน้าผากกับตน เยว่ถิงรู้สึกคล้ายกับจะเป็นไข้ จู่ๆ กลับรู้สึกว่าความฝันนี้สมจริงเกินไป ชิวหยางราวกับฉงนสนเท่ แต่ไม่ได้ผงะออก
“หากท่านไม่อยากให้บุรุษอื่นแตะต้องข้า ก็จงตีตราข้า แม้จะเป็นเพียงในความฝันก็ตาม”
เยว่ถิงหน้าแดงหูแดงลามไปยังลำคอ เกลียดเสียงกระซิบยั่วยวนของตน ก่อนจะค่อยๆ ขึ้นนั่งทับบนตัวชิวหยางที่ตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน เขาค่อยๆ ใช้นิ้วลากอาภรณ์เปิดไหล่เบาบางลงเผยให้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่า ก้มลงกัดริมฝีปากล่างของชิวหยางเบาๆ “ข้าเป็นของท่าน และจะเป็นของท่านคนเดียว”
ต่อจากนั้น เป็นความฝันวาบหวามที่สุดที่เยว่ถิงจะนึกถึงได้ สัมผัสแต่ละสัมผัสเหมือนตรึงผนึกลงในร่าง กระทั่งหยาดเหงื่อที่ตกลงจากผิวสู่ผิวก็เหมือนจริงจนน่ากลัว ความร้อนแรงแทบไหม้ตีตราไว้ทั่วบนเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาในความฝัน
ทุกขณะที่ขยับไหวกายพร้อมกัน ได้ประสานเสียงร้องครางผะแผ่วอย่างรัญจวนใจเกินกว่าจะระงับไว้ได้ ทุกแรงปะทะมีแต่เพียงเสียวซ่าน มิได้มีเสี้ยวความเจ็บปวดหลุดเข้ามาให้รู้สึกอยากถอดถอนกายผละออกจากกัน เล็บกรีดลงยังแผ่นหลังแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ก็โอบประคองเอวไว้ไม่ให้เคลื่อนห่าง
สองใจ สองกาย สองวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง แม้เป็นเพียงจิตนึกคิดของกายละเอียด หัวใจกลับซาบซ่านยากแก่การหยุดยั้งไม่ให้อารมณ์ถูกพัดพาถาโถมไป ผู้ใดได้กล่าวว่าเสพสมราวกับเสพติดก็มิผิด ความเอ่อล้นเอิบอิ่มกวาดซัดพาความวิตกกังวลและปัญหาใดๆ ไปสิ้น เมื่ออารมณ์ทะยานพุ่งขึ้นสู่สุดปลายทางสวรรค์
“ชะ ชิวหยาง ข้า ข้าไม่ไหวแล้ว อ่า”
“เยว่ถิง” เสียงคำรามต่ำดังอยู่ยังริมหู “ข้ารักเจ้า อย่าจากข้าไปอีก”
“ไม่...”
ทว่าคำขอนั้นไม่มีทางเป็นจริง ฉับพลันเยว่ถิงได้ยินเสียงตะโกนหนึ่งดังข้างหู พาร่างสะดุ้งลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก ความฝันมลายหายวับไป พบกับโจวหวู่ที่อยู่ข้างเตียงมีสีหน้าเคร่งเครียดกำลังตวาดใส่บ่าวไพร่
“ตามหมอ!!”
เยว่ถิงทั้งงุนงงทั้งตระหนกจนไม่เป็นอันทำอะไร อารมณ์ที่ค้างคามากมายไหลเวียนอยู่ในตัว บัดนี้เหงื่อเขาไหลโซมกาย เหตุใดโจวหวู่ถึงมาปลุกเขาแล้วเรียกหาหมอให้ตั้งแต่ไก่โห่ ใบหน้าชโลมหน้ากากขี้ผึ้งนั้นหันกลับมา กระตุกยิ้มเย็นบิดเบี้ยว
“เหตุใดเจ้าถึงปิดบังอาการป่วยของตน”
ป่วย? เขาป่วยอะไร
ทันใดนั้นเยว่ถิงก็รับรู้ได้ถึงบางอย่างอุ่นๆ ไหลลงจากโพรงจมูกไปเปรอะเลอะยังคอเสื้อ
อ่า...
นี่มันเลือดกำเดาไม่ใช่เรอะ...
100%
รีไรท์แล้วรู้สึกว่า ดุแค่ไหน โดยยั่วก็เสร็จอยู่ดี 5555
ขอบคุณที่ตามอ่านค่ะ โธ่วนุ้งเยว่เลือดลมสูบฉีดแรงเกิน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

555555 สงสารกับความ ค้าง!!!
5555555555555555 โอยทั้งสงสารทั้งขำ ทำก็ไม่เสร็จ แถมยังฝันจนกำเดาไหล 5555555555555555
แงงงงงงงงง
เลือดกำเดา 5555555555
เดี๋ยวน้องเลือดไหลเพราะอะไรก่อน5555
คงคิดถึงมากๆเลยสินะ ;_; ฉากเอ็นซีบรรยายสวยมาก แงงง