ตอนที่ 21 : 20 - เหมันต์พลัดพราก re22/10/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
20 – เหมันต์พลัดพราก
ตะวันขึ้นสูงถึงกลางศีรษะ อาชาสีดำสนิทควบตะบึงเข้าสู่ป่าไผ่เงินจนใบไม้เบื้องล่างที่ตกยังผืนป่าฟุ้งขึ้นตามรอยทาง อากาศรอบกายยิ่งเยียบเย็นลง ไม่เห็นแม้แดดแผดจ้าเร้นลอดจากแมกไม้สูงชะลูดเบื้องบน มีเพียงมวลเมฆสีเทาลอยคว้างอยู่ มิทราบเป็นลางไม่ดีอันใดหรือไม่
ต้นไผ่ในที่แห่งนี้เป็นสีเงินสมนาม มองดูระยิบระยับจับตาเมื่อโบกไหวเอน ยิ่งเมื่อใบไผ่เรียวยาวปลิดปลิวยิ่งชวนให้ไม่อาจละสายตาไปได้ โลกนี้ยังมีสิ่งงดงามมากมายจนน่าเสียดายในยามตามืดบอดมานาน
เยว่ถิงกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีน้ำตาลแดงให้แนบผิวมากขึ้น ชิวหยางกระโดดลงจากอาชาก่อนแล้วค่อยๆ อุ้มเขาลงตามมา ตัดสินใจจะผูกเฟิงยี่ไว้กับต้นไผ่ใกล้ๆ แต่มันทำท่าประท้วงสะบัดหน้าหนี โดยดวงตาสีแดงมีแววไม่พอใจ ราวกับชิวหยางจะต้องขึ้นควบขี่มันในอีกไม่ช้าอยู่ดี เจ้าของจึงยิ้มออกมาแล้วตบคอมันเบาๆ
“ไม่ผูกก็ไม่ผูก ทว่าอย่าไปไหนไกล”
อาชาส่งลมหายใจแรงเป็นการตอบรับ ใช้เท้าคุ้ยเขี่ยดินแก้เบื่อไปตามประสา ชิวหยางหันมองยังมิพบเงาผู้นัดหมาย จึงก้มลงกระซิบกับเยว่ถิง
“ทราบหรือไม่ว่าผู้ใดจะมารับเจ้าระหว่างการต่อสู้”
“ข้าไม่ทราบ... แต่คาดว่าน่าจะเป็นคนของฝ่ายธรรมะ”
“หากพวกมันคิดเล่นเล่ห์กล ข้าจะสะบั้นหัวให้ขาดทุกคน”
ชิวหยางขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องดวงหน้าเยว่ถิงเหมือนจะจดจำไว้ทุกรายละเอียด คล้ายว่าจิตใจมิได้จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้าที่กำลังจะมาถึงเท่าใดนัก บุรุษองอาจตรงหน้าย้ำกับเขาด้วยน้ำเสียงเข้มหนัก ยิ่งตอกย้ำว่าไม่อาจปลดเปลื้องความห่วงหาในใจ
“ขอให้เจ้าปลอดภัยและห้ามนำหยกห่างตัวเด็ดขาด”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านเองก็อย่าได้เสียสมาธิเพราะเรื่องของข้าเลย คุณชายไป่ผู้นั้นมีปราณอันลึกล้ำนัก...”
“จริงอยู่ที่ไป่อวิ๋นหลานมีปราณหายากและนับว่าเป็นพรสวรรค์ฟ้าประทานมาโดยแท้” ชิวหยางเอ่ย สีหน้าจริงจังขึ้น “ทว่าด้วยความเยาว์จึงยังด้อยประสบการณ์และทระนงในตัวเกินไป อย่างน้อยข้าก็เคยผ่านสนามรบ ผ่านความเป็นความตายมามากกว่านัก ถึงนี่จะมิใช่ศึกเดิมพันชีวิต แต่เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะพ่ายหรือทำให้ทุกสิ่งผิดพลาด”
ได้ยินเช่นนั้นยิ่งเสมือนทำให้ใจอิ่มชื้นขึ้น
“...รบกวนท่านแล้ว”
เยว่ถิงยกมือขึ้นแล้วก้มคำนับเต็มวิธีลงกับพื้น ชิวหยางก้าวมาพยุงเขาให้ลุกขึ้น “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องคำนับ ขอเพียงแค่...”
นิ้วเรียวปัดไรผมปรกยังหน้าผากออก แล้วทัดไว้หลังใบหู ดวงตาไม่ละไปไหนดั่งตั้งใจวางคลองสายไว้แต่เพียงดวงหน้าเขา “...ขอให้เจ้าทำตามสัญญา”
“มิทราบสัญญาสิ่งใดต่อกัน แต่ถ้าพ่ายต่อข้าคงเป็นไปได้ยาก”
เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะ ดึงสายตาให้หันไป บุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้นออกมาจากเงาต้นไผ่ ฝีเท้าเนิบเบาไร้สุ้มเสียงบอกได้ว่ามีวิชาตัวเบาอันฝึกฝนมาอย่างดี ยามพบเจอเมื่อมองเห็น คุณชายไป่อวิ๋นหลานนับว่ามีรูปโฉมอ่อนหวานดั่งสตรี ทว่าสีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจยามยกยิ้มขึ้นยังมุมฝีปาก
ทั้งบัดนี้ยังมีรอยจ้ำเขียวช้ำอยู่ยังดวงตาหนึ่งข้างใหญ่ๆ จนน่าสงสัยว่าใครเป็นผู้สร้างบาดแผลนี้กัน
อย่างไรก็ตาม อาภรณ์ผ้าไหมสีดำสนิทและเส้นผมยาวสยายเบื้องหลังยิ่งขับผิวขาวสุขภาพดีให้เปล่งรัศมีชนชั้นสูง อาจจะเป็นเพราะยังมิได้เข้าสู่วัยหนุ่มแน่นเต็มตัวร่างกายจึงยังโปร่งบางกว่าจอมอสูรหลายส่วน ที่เอวเหน็บกระบี่ยาวกว่ากระบี่ทั่วไปหลายเชียะ ทั้งยังมีปลอกกระบี่สีเขียวมรกตสูงค่า
ท่าทางเพียงยืนเฉยๆ ยังมองได้ว่าคนผู้นี้คือยอดฝีมือโดยแท้ เพราะกระแสปราณอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปล่งออกมาพลันทำให้บรรยากาศป่าไผ่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“อ้าว กระต่ายตัวน้อยมองเห็นแล้วหรือ ยินดีกับเจ้าด้วย ดวงตานั้นยิ่งมองยิ่งงาม” ท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ยนั้นมิทราบจงใจแสร้งยั่วโมโหชิวหยางหรือไม่ บุรุษสมญาจอมอสูรพันศพก้าวเข้าบังเยว่ถิง เอ่ยตำหนิอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“เจ้าคนไม่รักษาเวลา มีธุระอะไรถึงต้องเลื่อนมายามนี้ แล้วแผลนั่นต่อให้ข้าหรือไง”
“บิดาข้าส่งคนมาตอแย เลยได้อบอุ่นร่างกายไปนิดหน่อย”
ไป่อวิ๋นหลานว่า เอี้ยวบริเวณคอไปมาจนได้ยินเสียงกระดูก ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้น
“แต่ไม่ต้องห่วง แผลแค่นี้มิต่างจากมดกัด”
“ก็ดี พอเพลี่ยงพล้ำจะได้ไม่อ้างว่าถูกตัดกำลังมาก่อน”
ประมุขสะบั้นสวรรค์จุดรอยยิ้มยังมุมปากตอบ เยว่ถิงพลันรู้สึกได้ถึงปราณที่รุ่มร้อนซึ่งไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน กระแสสองสายปะทะกันเกิดเป็นลมสลาตันกรรโชกจนต้นไผ่ไหวเอนผิดธรรมชาติ ใบไผ่ยังพื้นป่าพัดหมุนวนขึ้นดั่งมีพายุขนาดย่อมก่อตัว ทั้งยังเกิดอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวพาให้จะจับไข้ตัวร้อน
“อ้า ช้าก่อน” ไป่อวิ๋นหลานยกมือขึ้นหยุดทัพ ทำให้จอมอสูรที่กำลังจะเยื้องย่างเข้าไปชะงัก ว่าเสียงเข้ม
“มีอะไรอีก”
“มัดกระต่ายเจ้าไว้กันหลบหนีด้วย” ไป่อวิ๋นหลานดึงเชือกป่านออกมาจากเสื้อแล้วโยนให้ชิวหยาง ประมุขพรรคสวรรค์คิ้วกระตุกขึ้น มุมปากระตุกลงในทันที เชือกในมือคล้ายจะฉีกขาดด้วยกำหมัดเดียว ทว่าอวิ๋นหลานที่ยังลอยหน้าลอยตากลับเอ่ยตอกกลับ “เวลาเดิมพันใครเขาก็ทำกันเช่นนี้ เจ้านี่ชักยังไงๆ หรือว่า...”
มิทราบเป็นแผนป่วนประสาทของคุณชายผลท้อผู้นี้อีกหรือไม่ ชิวหยางผูกมัดข้อมือเยว่ถิงกับต้นไผ่ด้วยเงื่อนหลวมๆ ใช้แผ่นหลังกว้างใหญ่เบี่ยงบังไป่อวิ๋นหลาน ขณะส่งสายตาแล้วแสดงการกระตุกเชือกที่หนึ่งในหลุดออก เยว่ถิงพยักหน้าเข้าใจ พร้อมส่งยิ้มที่คิดว่าน่าจะเป็นกำลังใจให้อีกฝ่ายได้ดีที่สุด
เจ้าของสมญาจอมอสูรพันศพหันกลับไปด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปสู่คู่ต่อสู้
สองร่างเดินย่างเท้าประจันหน้ากันเป็นวงกลมอย่างแผ่วเบาจนไร้เสียง ดวงตาจดจ้องยังสองเทพยุทธ์ตรงหน้า ครานี้คงหนักหนากว่าการประลองที่ลานหน้าตำหนักจอมอสูรมากนัก
ชั่วพริบตา บุรุษสองคนก็หายวับไปพร้อมกัน
ม่านระย้าของใบไผ่สีเงินค่อยๆ โปรยลงมา คล้ายช้าลงเสี้ยวต่อเสี้ยววินาที
ทันใดในเสียงโลหะปะทะกันก็ดังสนั่นไหว กระแสลมจากพลังการสะบั้นซึ่งกันและกันทำให้เส้นผมเยว่ถิงที่อยู่ห่างออกมาปลิวไปด้านหลัง ใบหน้าชาวาบด้วยกระแสพลังที่ไหลเอ่อล้นทั่วบริเวณ เปลี่ยนป่าไผ่เห็นให้เป็นสมรภูมิขนาดย่อม ยามปรากฏสองร่างยอดยุทธ์ขึ้นในท่วงท่าประสานกระบี่ต่อกันและกัน
กระบี่คู่ของชิวหยางนั้นเป็นกระบี่สีดำมะเมื่อมเงาจับตา ด้ามเป็นสีเงินสลักด้วยลวดลายพิสดารที่ไม่อาจมองเห็นได้ในระยะนี้ ทว่าเมื่อตวัดเฉือนเอียงให้สะท้อนองศา ด้านคมกลับปรากฏเป็นสีม่วงและแดงคล้ำสะท้อนแฝงอยู่ด้วย พู่สีขาวที่ผูกยังปลายซึ่งคล้ายว่าแต้มด้วยสีแดงเข้มที่ติดจนลบไม่ออกนั้นยิ่งเหมือนว่าติดหยดโลหิตที่สาดกระเซ็นใส่
ส่วนกระบี่ของคุณชายไป่ ยามนำออกจากฝักแล้วยิ่งสง่างามหรูหรา ตัวกระบี่สว่างวาบเป็นแสงสีสีทองเรืองรอง ด้ามจับกระบี่เป็นสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับฝัก เปรียบดั่งดวงตะวันส่องแสงยังพื้นน้ำ ด้ามจับเห็นว่าลวดลายวิจิตรเกินธรรมดา เยว่ถิงแม้ไม่มีความรู้ด้านนี้ก็ทราบว่าเป็นกระบี่ชั้นยอดทั้งคู่
เสียงฟาดฟันกันอย่างรัวเร็วทั้งรุกและรับดังประสาน ฟาดฟันหนึ่งคราพาเอาใจเยว่ถิงล่วงหล่นถึงปลายเท้าไปด้วย แม้ว่าที่ขาดจากกันจะเป็นต้นไผ่ก็ตาม
“สมเป็นกระบี่ที่หลอมจากเลือด เนื้อ และกระดูกของมนุษย์และผูกพู่ด้วยเส้นผมอสูร ‘ยมทูตคู่’ ของเจ้ายังสวยและดุดันไม่เปลี่ยนแปลง”
ไป่อวิ๋นหลานเอ่ยชม ลมหายใจหนักขึ้นแต่ยังไม่หอบ แม้จะเคลื่อนไหวเหนือธรรมดาจนเกินกว่าสามัญสำนึกของเยว่ถิงไปมาก
“’ตะวันในเงาธารา’ ของเจ้าก็ยังดูสะโอดสะองและสำอางไม่เปลี่ยน หึ”
เคร้ง!!!
เพลงกระบี่สองสายไหวปะทะดั่งเทพอสูรกำลังคำรามร่ายรำกลางใจกลางพายุ ชิวหยางเคลื่อนครึ่งก้าว กระบี่มือขวาแทงยังอกซ้ายของไป่อวิ๋นหลานอย่างไม่ถนอมน้ำใจ บุรุษดวงหน้าอ่อนโยนละม้ายอิสตรีใช้กระบี่ปัดออก ยมทูตคู่อีกหนึ่งจึงสำแดงเดชจ้วงยังกลางตัว ร่างพลิ้วไหวของคุณชายไป่กระโดดถอยวูบ ทำให้เฉือนโดนเพียงเศษผ้าติดมา
ทว่าขณะถอย ฝักกระบี่สีเขียวได้ฟาดเข้ายังข้อมือของชิวหยางเป็นเหตุใดกระบี่กระเด็นหลุดจากมือเสียทิศทางไป อวิ๋นหลานรีบพุ่งกลับเข้ามาราวบังคับการเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก
ชิวหยางเคลื่อนมือเปล่าข้างนั้นออกไปดุจอสนีบาต พริบตาเดียวเรียวเล็บยาวที่เยว่ถิงเคยสัมผัสก็งอกปรากฏออก ครานี้หากไป่อวิ๋นหลานเอียงศีรษะหลบช้ากว่านี้สักวินาที อาจได้กลายเป็นผีเฝ้าป่าไผ่เงิน สองร่างผละออกจากกันมาคุมเชิงอีกครั้ง
โลหิตเล็กๆ กระเด็นแต้มปลายศาสตรายมทูตจากบาดแผลเฉี่ยวแฉลบยังลำคอเป็นรอยกรีด ส่วนข้อมือของชิวหยางก็บวมช้ำขึ้น ในมือเหลือกระบี่อยู่เพียงหนึ่งเดียว
รังสีกระบี่ครอบคลุม คราวนี้คล้ายจะเป็นการหมายสังหารจนเยว่ถิงขนลุกซู่ แต่ดวงหน้าทั้งสองกลับแสยะยิ้มกว้าง เป็นอีกครั้งที่เยว่ถิงคิดว่า... เขายังไม่รู้จักคนของเหล่าอธรรมดีพอ
ทั้งสองพุ่งเข้าโรมรันอีกครั้ง ชิวหยางวาดกระบี่ดำผ่านชายโครงด้านขวา อวิ๋นหลานยกกระบี่ปัดป้องแล้วแทงสวน หากชิวหยางหนักแน่นดุดันและเกรี้ยวกราดดุจไฟ ไป่อวิ๋นหลานคงว่องไวพลิ้วไหวและร่อนร่ายดุจสายน้ำ เพลงแล้วเพลงเล่ามิอาจตัดสินได้โดยง่าย แม้มีบาดแผลได้เลือดเพิ่มขึ้นทุกขณะ ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอัศจรรย์เกินกว่าจะไม่ชมดู
ทันใดนั้นเยว่ถิงรู้สึกถึงเชือกป่านที่คลายออกยังข้อมืออย่างรวดเร็ว ฉับพลันร่างก็ถูกดึงขึ้นอาชาสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งแล้วห้อตะบึงหลบหนีจากการต่อสู้ อ้อมแขนของคนผู้นี้ให้ความรู้สึกไม่คุ้นชินอย่างมาก เยว่ถิงได้ยินเสียงโลหะกรีดปะทะกันก่อนเสียงร้องตะโกนด้วยความโมโห ใจของเขาปวดหนึบจนร้าวรานไปทั่วทั้งอก
“เจ้าเล่นไม่ซื่อนี่ชิวหยาง”
“บัดนี้เรื่องมันเกินเลยกว่าการเล่นกับเจ้าแล้ว อวิ๋นหลาน”
ไป่อวิ๋นหลานคิดไล่ตามมา ทว่าถูกสกัดระหว่างทางด้วยคมกระบี่และวรยุทธ์ของชิวหยาง เยว่ถิงชะเง้อมองเห็นทั้งคู่เป็นร่างเล็กลงทุกทีด้วยความเร็วของอาชาที่ไม่เกรงว่าจะกระทบกระแทกเพียงใด เขาจึงจำต้องใช้มือรั้งร่างตนกับบุรุษผู้มารับ เมื่อถูกดึงขึ้นมาด้วยท่านั่งหันหน้าเข้าหา
บุรุษร่างแข็งแรงสมส่วน สวมหมวกสานและเสื้อคลุมหยาบตัวโคล่ง สวมผ้าปิดหน้าด้านล่างเห็นเพียงดวงตาดำพร่างพราวกร้านโลก คิ้วเข้มหนาสะบัดเฉียงขึ้นสมชายชาตรี
“จับแน่นๆ อย่าให้ร่วงลงไป”
ทว่าเมื่อเอ่ยออกเสียง เยว่ถิงก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาถึงกับตัวเกร็ง เบิกตาอย่างคาดไม่ถึงมาก่อน “ท่านคือ หวู่อ๋อง... หลี่ซื่อหยาง?”
คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างลำพองใจ
“น่าประทับใจที่เจ้าจำข้าได้”
“ท่านอ๋อง! มีมือสังหารเบื้องหลัง”
พลันเยว่ถิงต้องร้องอย่างร้อนรน ยามเมื่อเห็นว่าทั้งไป่อวิ๋นหลานและชิวหยางกลับมีกลุ่มคนชุดดำมากมายโผล่ออกมาล้อมรอบ มีดบินหมุนคว้างเข้าหมายทำร้ายแต่ถูกปัดป้องไว้ได้ รังสีสังหารคละคลุ้งจนแทบอาเจียนออกมาด้วยความสะอิดสะเอียน
กี่สิบไม่ทราบต่อสอง ทั้งยังอาวุธครบมือ เป็นกลุ่มใดก็มิทราบที่ลอบสังหารชิวหยางหรือไป่อวิ๋นหลาน แต่คงเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้นและมีความแค้นต่อกันรุนแรง
“มิต้องช่วยเหลือพวกเขาหรือไร” เยว่ถิงมิอาจข่มความร้อนรุ่มในใจได้ แม้รู้ว่าตนเองอยู่ในสถานะใดก็ตาม
“ข้ามีหน้าที่ส่งเจ้า ข้าก็ทำเพียงหน้าที่นั้น อีกอย่าง เจ้ากลับไปก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้”
“ข้าขอร้องต่อท่าน...”
“กลับไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าคงได้ยินในวันนั้นว่าข้าถูกตัดสะบั้นเส้นปราณ หากไร้ปราณ การขโมยตัวเจ้าจะเป็นไปได้มากกว่าจอมยุทธ์ ฉะนั้นข้าถึงเข้าใกล้เจ้าโดยที่ไป่อวิ๋นหลานไม่รู้สึกตัว”
เสียงหวู่อ๋องเองก็หนักใจเช่นกัน ราวกับคาดไม่ถึงว่าจะมีสถานการณ์ยุ่งยากเพียงนี้เกิดขึ้น
ริมฝีปากเผยออ้าแต่ไร้คำพูดใดหลุดรอด ดวงตาที่เจ็บปวดเริ่มร้อนผะผ่าวอีกครั้ง เสียงการต่อสู้ดังบาดใจให้เต้นระส่ำยิ่งนัก
ในกรอบสายตา ชิวหยางปรากฏร่างขึ้นอีกครา ทะยานตามมาสุดฝีเท้า สลัดเหล่ากลุ่มคนชุดดำนั้นไว้เบื้องหลัง ทว่าสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่ายทำให้เยว่ถิงใจหล่นวูบ เมื่อการที่ชิวหยางตามมาก็เพื่อปัดป้องกลุ่มมีดที่มาจากคนอีกชุดซึ่งดักซุ่มรออยู่จนหวู่อ๋องมิได้ระแวง
มีดบินกระเด็นส่งเสียงแหลมยามกระทบกับกระบี่ หลายอันบินกลับเข้าสู่ผู้ประสงค์ร้าย ปักเข้าลำคอจนตายสนิท
จอมอสูรที่ปลิดชีพกลุ่มผู้ใช้อาวุธลับจนล่วงจากยอดไผ่พอดีจึงไม่อาจเลือกคุ้มครองตนเองในเวลาเดียวกันได้ ธนูเหล็กพุ่งแหวกอากาศจากทั่วทิศเข้าปักยังร่างแข็งแกร่งนั้นนับสิบดอก จนหยดเลือดสาดกระเซ็น
“ไม่!!”
เยว่ถิงกรีดร้องสุดเสียง มือทั้งสองกำจับเสื้อของหวู่อ๋องแน่นจนยับ
มิใช่กลัวตกอาชา เพียงแต่หัวใจเขาเหมือนตกอยู่ในกลุ่มธนูเหล่านั้นด้วย
ยิ่งเมื่อชิวหยางชะงักร่างแล้วกระตุกทรุดคุกเข่าลงข้างหนึ่งโดยต้องใช้กระบี่ยันไว้ไม่ให้ล้มโครมลง เยว่ถิงยิ่งมิอาจห้ามความร้อนรุ่มที่สุมยังกระบอกตาปานจะคุ้มคลั่งได้
ทว่าอาชาที่นำพาเขาไปเพียงแค่ชะลอลดความ มิยอมหยุดที่จะมุ่งหน้าออกจากป่าไผ่ หวู่อ๋องคำรามในลำคอ เมื่อคล้ายกับว่ายังมีกลุ่มดักซุ่มสังหารโผล่ออกมาทบทวีราวกับไม่หมดไม่สิ้น
ครานี้อ๋องแคว้นหวู่ชักกระบี่บ้าง เส้นปราณถูกตัดสะบั้นก็จริง ทว่าเยว่ถิงสามารถเห็นได้ถนัดว่าการเคลื่อนไหวปราดเปรียวและรวดเร็วพอสกัดกั้นและใช้ชั่วพริบตาเดียวคร่าสังหารถึงจุดตายกับผู้ที่ดาหน้าเข้ามา
คมมีดกรีดสังหาร โลหิตคาวขมคอพุ่งสาด มิอาจไม่กระเด็นถูกตามร่างและใบหน้าของเยว่ถิงได้ ยิ่งนี่มิใช่การฆ่าแบบยั้งไมตรี ทั้งหัวหลุดกระจุย ทั้งถูกแทงทะลุกะโหลก ภาพเหล่านั้นประจักษ์แจ้งแก่สายตาที่เบิ่งกว้าง มิอาจควบคุมร่างกายให้มิสั่นได้
หว่างคิ้วบุรุษสูงยศที่คุ้มครองเครียดเขม็ง แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มบิดเบี้ยว แวบหนึ่งเยว่ถิงอดพรั่นพรึงไม่ได้
“อะไร คิดลากข้าไปตายด้วยรึ”
เสียงกู่ร้องก้องดังปลุกพวกพ้องให้ฮึกเหิมดังมา
“มันใช้วิชากระบี่คู่ บัดนี้มีกระบี่เดียวแถมถูกพิษและธนู บัดนี้เป็นโอกาสของเรา”
“มันมีสิบกลุ่ม ไอ้พวกบัดซบสุนัขลอบกัด!”
“ฆ่ามันให้สิ้น!”
แว่วได้ยินเสียงของไป่อวิ๋นหลานกับคนผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ได้ยินเสียงของประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์ เยว่ถิงแทบไม่อาจหายใจได้ทั่วท้องอีก ต่อให้ไป่อวิ๋นหลานและชิวหยางเป็นยอดยุทธ์แต่นักฆ่ามากมายเพียงนี้ไหนจะต้านทานได้ ทั้งธนูเหล่านั้นไหนเลยจะพลาดไม่อาบย้อมพิษไว้ ร่างชิวหยางบัดนี้เขาก็ไม่เห็นแล้ว เป็นตายร้ายดีอย่างไรมิอาจรู้
เสียงฟาดฟันกันดังลั่นสะทกสะท้านดังมา ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสองต่อจำนวนนับมากมายเท่านั้น ส่วนเบื้องหน้าเยว่ถิงกับหวู่อ๋องเองก็มิได้จะรอดพ้นปลอดภัย เพียงแต่กลุ่มนี้คล้ายมีฝีมือด้อยลงมาจึงทำให้พวกเขาหยุดเคลื่อนที่ได้ แต่ไม่อาจสร้างบาดแผลใด
สถานการณ์กำลังวุ่นวายสับสนอย่างมาก พลันหูเยว่ถิงได้ยินเสียงของคนบางคนที่ไม่คาดว่าจะอยู่ในที่แห่งนี้เวลานี้ได้
“คุ้มกันท่านประมุข!”
เสียงสุขุมลุ่มลึกบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นหนักเข้มและเกรี้ยวโกรธ เจิ้งซื่อมิทราบนำคนมามากมายเพียงใด เยว่ถิงเองเห็นเป็นเงาหลายสายเคลื่อนที่ด้วยความเร็ววูบอยู่ระยะไกล บังเกิดความชุลมุนสัประยุทธ์หนักข้อ ต้นไผ่ต้นแล้วต้นเล่าโค่นล้มลง คราวนี้หยาดโลหิตสีแดงสาดกระเซ็นเปื้อนพื้นเริ่มเจิ่งนอง ศพแล้วศพเล่าร่วงหล่นไร้ค่ามิเป็นที่จดจำ
แม้อยู่ในยุทธภพมาสิบหกปี แต่พื้นฐานความคิดเดิมมาจากอีกภพภูมิหนึ่ง การฟาดฟันทิ้งชีวิตกันอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้ไม่อยู่ในความเป็นเหตุเป็นผล
ทำได้เพียงกัดฟันแน่น สายตามิอาจมีสิ่งใดนอกจากการอ้อนวอน ทว่าตาแววตาสังหารแต่ละคู่ที่จ้องมองมามิได้แปรเปลี่ยน ยังคล้ายเหมือนกับจะเชือดหั่นสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งอย่างไร้ความปราณี จะมีอยู่บ้างก็แค่ความขบขันและเย้ยหยันดูถูก
หวู่อ๋องเองคงมิอาจจะต้านได้นานนัก เริ่มเหนื่อยอ่อนและมีบาดแผลน้อยใหญ่มากมาย ทั้งเลือดไหลซึมออกจากท้องน้อยเป็นวงใหญ่
ทันใดนั้นอาชาที่ควบขี่อยู่จู่ๆ ก็พยศร้องจนควบคุมลำบาก จนเยว่ถิงเกือบพลัดตกลงหากมิใช่ถูกรวบเอวเอาไว้ทันท่วงที
มิอาจสู้คนได้ ก็สู้ล้มม้าเสียดีกว่า ในมุมอับสายตามีดบินอันหนึ่งปักเข้ายังสะโพกของมันจนโลหิตคาวไหลเป็นทาง หวู่อ๋องมิอาจปัดทิ้งได้ทันเมื่อยังวุ่นวายพะวงอยู่กับเยว่ถิงและการใช้กระบี่ปัดอาวุธหอกที่เป็นดั่งกองทหารเดนตายรับจ้าง กระทั่งพวกมันยังมีบางคนที่ใช้อาวุธลับคอยลอบหาช่องว่างของเหยื่อ
“ท่านอ๋อง!”
บุรุษร่างใหญ่ผิวเข้มคนหนึ่งควบตะบึงม้าเข้ามา ปัดปลิวกลุ่มคนมากมายให้กระเด็นดั่งเป็นมด
“รีบไปเร็ว”
หวู่อ๋องไม่เสียเวลาสักวินาที ทันทีเมื่ออีกผู้หนึ่งร้องตะโกนจึงฝืนใจเตะเท้าชักม้าแล้วห้อตะบึงพร้อมฟาดฟันกระบี่มือเดียว ปล่อยความวุ่นวายนองเลือดไว้เบื้องหลัง
ในดวงตาสีฟ้าของเยว่ถิงปรากฏเงาไหววูบของทัศนียภาพอันโหดร้าย แต่เขาเองมิอาจทำสิ่งใดได้
“วันนี้จะไม่มีใครรอดจากที่นี่”
“มี แต่นั่นไม่ใช่พวกแก”
เสียงตะโกนคำรามลั่นดั่งอสูรร้ายและปราณที่ทำให้สรรพางค์เครียดไม่อาจเคลื่อนไหวเป็นของชิวหยาง เยว่ถิงใจชื้นขึ้นบ้างที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่เสียงนั้นเกรี้ยวกราดและอ่อนแรงกว่าปกตินัก เกรงว่าจะบาดเจ็บอย่างมาก
เสียงร้องเจ็บปวดอย่างทรมานดังโหยหวนตามมา คิดจินตนาการไม่ออกว่าเบื้องหลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพต้นไผ่สีเงินต้นแล้วต้นเล่าวิ่งเข้ามาก่อนผ่านไปยิ่งเร็วขึ้น ฝั่งเขาเองก็ยังมีพวกตามมาไม่ลดละบนยอดไผ่ บ้างส่งอาวุธบินมาไม่สิ้นสุด แม้ถูกซัดกลับจนร่วงก็กลับไม่กลัวความตายจนผิดธรรมชาติของมนุษย์
ดวงตาแต่ละคู่ก็เบิกกว้างและมีเลือดโลหิตแตกอยู่ภายใน แม้แต่งกายเป็นดั่งจอมยุทธ์ทั่วไป กลับคล้ายหลอมใบหน้าด้วยหน้ากากขี้ผึ้งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง
“ท่านอ๋องคนพวกนี้ถูกวิชาเข็มควบคุมอยู่ยังท้ายทอยและกลางหน้าผาก!”
บุรุษผู้มาใหม่ตะโกนแจ้งแก่หวู่อ๋อง ในมือมีเข็มสีทองแวววาวบางแต่ยาวเท่านิ้วชี้ มืออีกข้างก็จัดการตัดหัวคนเหล่านั้นที่โถมเข้ามา คล้ายเป็นการบอกวิธีจัดการอย่างไม่ต้องให้ลุกขึ้นมาได้อีก
“เข้าใจแล้ว ข้าต้องคิดบัญชีกับเจ้าของเข็มนั่นอีกหลายสิบเท่าแน่”
หวู่อ๋องยังคงมีรอยยิ้มเบี้ยวๆ อยู่ไม่สร่างหาย ทันใดนั้นทิวป่าไผ่ก็เบาบางลง เริ่มเห็นฟ้าทะมื่นสีเทาชัดแจ้งก่อนที่จะออกสู่เส้นทางชะแง่นผาที่ต้องเลี้ยวขวาก่อนจะเป็นเส้นทางเดินทางต่อไป
มิผิดคาดนักเมื่อยังมีกลุ่มคนยืนอยู่อีก
“เหอะ ที่แท้เป็นแก สุกรทรยศ” บุรุษผิวเข้มผู้พบเข็มร้องเสียงก้อง สองอาชาที่ควบมาต้องรั้งไว้รอท่าที บุรุษที่ยืนหน้าสุดกระตุกยิ้ม ร่างกายใหญ่โตอย่างยักษ์ปักหลั่น ถือขวานขนาดใหญ่ไว้ในมือทั้งสอง
“ท่านอ๋องโปรดส่งตัวกระต่ายมาโดยดี แล้วข้าจะไว้ชีวิต”
น้ำเสียงนั้นเยว่ถิงคล้ายเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะนึกได้อีกครั้งว่าเป็นหนึ่งในน้ำเสียงที่ได้ตะโกนให้ฆ่าเขายังลานในพิธีตีตรา
หัวใจยิ่งดิ่งวูบ นี่คือคนของพรรคสะบั้นสวรรค์
แท้แล้วมีคนทรยศอยู่ข้างกายประมุขมากมายแค่ไหนกันแน่
“เห็นข้าเป็นใคร?”
หวู่อ๋องแค่นยิ้มออกมา อากาศยามนี้หนาวเหน็บ ลมหายใจผู้คนในฉากทั้งหมดเข้าออกเป็นไอควัน ฟ้าสีเทาเริ่มกลั่นเกล็ดหิมะแรกโปรยปรายลงมา ยะเยือกสะท้านถึงกระดูก
“ท่านย่อมไม่จำเป็นต้องลดตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
คล้ายเจรจาและข่มขู่อยู่ในที หวู่อ๋องดูจะเหยียดหยามคนผู้นี้นัก
“เป็นถึงรองเจ้าตำหนักที่สามของพรรคสะบั้นสวรรค์ เสพสุราเคล้านารีเรื่อยไป มิทราบมีสิ่งใดไม่พอใจ”
“ทารกชิวหยางผู้นั้นบังอาจโอหัง คงประจบแต่คุณชายไป่นั่นจนได้ดิบได้ดี ชนะศึกครั้งเดียวไหนเลยมีสิทธิ์เป็นถึงประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์อันยิ่งใหญ่!”
“อ้อ?”
“นี่เป็นเรื่องภายใน ไอ้กระต่ายนั่นก็สมควรตายตามเจ้านายมันไปด้วย มันรู้เรื่องในพรรคมากเกินไป”
“คาดว่ามิใช่แค่เพราะรู้เรื่องในพรรคกระมัง”
หวู่อ๋องผู้นี้ได้สมญานามจิ้งจอกข่าวมีหรือจะไม่รู้ความ เยว่ถิงเองก็พอคาดคะเนได้แล้ว แม้จะไม่แน่ใจว่ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหนเพราะผู้ต้องการเอาชีวิตจอมอสูรพันศพคงมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่คงพอหาความเชื่อมโยงกันได้
ตำหนักที่สามคงมิแคล้วร่วมมือฝ่ายธรรมะ กำจัดชิวหยางอีกคน...
แต่ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจิ้งซื่อซึ่งเป็นฝ่ายธรรมะถึงรีบรุดมาช่วยเล่า?
ยามนี้สมองยังไม่กระจ่าง คิดเหตุผลกลใดมากกว่านี้ไม่ออก เยว่ถิงเองก็ยังพะวงห่วงชิวหยางจนหน้าอกเจ็บราวกับมีคนเลาะกระดูกซี่โครงออกมาทีละชิ้น ร้อนใจอยากไปดูอีกฝ่ายว่ายังมีลมหายใจกับตา
“ท่านอ๋องมีปัญญา ข้าคงไม่ต้องเจรจาให้มากความก็น่าจะเข้าใจความยากลำบาก”
“น่าเศร้า ข้าเองก็ต้องการตัวเขาเช่นกัน”
“งั้นถือว่าท่านเลือกเอง อ๋องนอกรีตตายสักคนที่นี่คงไม่มีใครกล่าวกระไรนัก”
ดูอย่างไร ฝ่ายหวู่อ๋องก็เสียเปรียบอย่างมาก จะถอยกลับเข้าป่าไผ่เงินก็ไม่อาจทำได้ จะเดินหน้าต่อไปต้องฝ่ากลุ่มจอมยุทธ์ของรองเจ้าตำหนักสามแห่งพรรคสะบั้นสวรรค์ ปราณแต่ละคนบอกว่ามิใช่ธรรมดา ไม่เหมือนกับตุ๊กตาสังหารที่ใช้กระบี่เฉือนแล้วตกตายในทีเดียว
แม้คนของหวู่อ๋องเองจะมีฝีมือเยี่ยม แต่ก็น่าจะต้านได้สักหนึ่งต่อห้าหรือหกไม่เกินกว่านั้น แต่นี่กว่ายี่สิบคนพร้อมอาวุธครบมือและสภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อม
“เยว่ถิง!!!”
“ชิวหยาง!!”
พลันเสียงอันคุ้นเคยได้ดังขึ้นตัดบรรยากาศที่เริ่มคุกรุ่น บุรุษฐานะประมุขสะบั้นสวรรค์ชักอาชาสีดำสนิทออกมาด้วยความองอาจ แม้ว่าตามร่างจะมีเศษธนูที่ปักอยู่และบาดแผลฉกรรจ์มากมายจนสีแดงคล้ำอาบท่วมตั้งแต่หัวจรดเท้า
เห็นสภาพนั้นเยว่ถิงแทบเข้าใจว่าเหตุใดคนถึงเป็นลมหากตกใจมากๆ ได้ แค่ชิวหยางเคลื่อนกายเพียงเล็กน้อยก็คล้ายจะล้มลงในสายตาเขาได้ทุกเมื่อ แม้ในความเป็นจริงจะยังทรงตัวบนอาชาได้อัศจรรย์ กระบี่ยมทูตคู่บัดนี้ยิ่งแผ่รังสีสังหารกระหายเลือดเลวร้ายผสมผสานกับปราณที่ทำให้หิมะระเหิดหายเป็นควัน
ทั้งตอนนี้ ยังคล้ายสามารถมองเห็นเงาทะมึนทึบครอบคลุมลงมาทั่วบริเวณ ยิ่งบริเวณที่ชิวหยางอยู่ยิ่งมืดครึ้ม
ดวงตาบัดนี้ไม่ใช่ดวงตาสีน้ำตาลคู่ดุแต่อ่อนโยนอีกต่อไป กลับมีม่านตาสีแดงก่ำ ตาขาวเป็นสีดำดั่งหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง ผมที่มัดรวบอย่างดีหลุดสยายปลิวปรายไป คล้ายครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรไม่ผิดเพี้ยน
ชิวหยางเรียกขานเขา แต่เมื่อมาถึงกับใช้ดวงตาเหนือมนุษย์คู่นั้นจ้องอย่างชิงชังอาฆาตไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า ไม่ได้เหลือบตามามาแต่น้อย
การปรากฏตัวนี้สร้างความตระหนกแตกตื่นแก่บรรดาผู้ทรยศ กระทั่งรองเจ้าตำหนักสามที่ยังมีท่าทีโอหังปากกล้ายังก้าวถอยไปครึ่งก้าว หน้าพลันไร้สีเลือดขึ้นมา เหงื่อไหลหยดลงข้างขมับแม้หนาวจับใจปานนี้
แต่ไม่กี่อึดใจถัดมา รองเจ้าตำหนักแห่งสะบั้นสวรรค์ก็มีสีหน้าเข้าใจถึงชะตากรรม คงจำต้องทิ้งชีวิตแล้วโรมรันเข้าสู้ให้รู้ความไปประการเดียว เมื่อไม่มันก็อีกฝ่ายที่ต้องตาย ไหนคนจะเยอะกว่าและยังสมบูรณ์ดี จึงประกาศปลุกระดมให้ยอดยุทธ์ทั้งหลายวิ่งกราดเข้ามา
“ไป!”
ชิวหยางร้องบอกกับอ๋องแห่งแคว้นหวู่ ยกกระบี่ขึ้นดั่งยมทูตสมชื่อกระบี่คู่มือ กระบวนยุทธ์ที่ใช้กลับยิ่งโหดเหี้ยมและรุนแรงเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าตอนประมือกับไป่อวิ๋นหลานหลายเท่า แต่ยอดยุทธ์ที่จำเป็นต้องแลกเป็นแลกตายก็ยังดาหน้าเข้าหาอย่างหมายจะปลิดชีพให้จงได้
หวู่อ๋องเอ่ยเร็วๆ “ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่าน”
ไม่ให้มีเวลาล่ำรากันอีก อาชาสีน้ำตาลแดงยกขาหน้าขึ้นก่อนคล้ายจะทะยานออกไปอีกครั้ง
หากแต่... มีเชือกหนึ่งพุ่งมาจากที่ใดไม่ทราบ คล้องยังตัวเยว่ถิงแล้วกระตุกดึงขึ้น เป็นวิชาวรยุทธ์เฉพาะที่จู่โจมราวงูฉกเพียงเสี้ยววินาทีที่อาศัยให้คนอื่นละความสนใจ
เยว่ถิงรู้สึกร่างลอยขึ้นอย่างแรงแล้วลอยไปคล้ายว่าวตัวหนึ่ง ภาพแวบหนึ่งในดวงตาคือหุบผาสูงที่เริ่มกลายเป็นสีขาวอย่างช้าๆ แม่น้ำเชี่ยวกราดเบื้องล่าง ป่าที่ต้นไม้เหลือแต่กิ่งก้านว่างเปล่า...
ลมเหมันต์และหิมะกรีดกรายผิว ความตายคงเป็นของเขาแน่แล้วเมื่อถูกเหวี่ยงร่างลงตามแรงโน้มถ่วง
“ไม่!!”
ชิวหยางทนฝืนเตะเท้าใช้แรงดีดอย่างที่สุดพุ่งมาฉุดรั้งมือเขาไว้ไม่ต่างจากฟางเส้นสุดท้าย ไม่สนใจคมดาบหรือกระบี่ที่เข้าปักยังร่างมากขึ้น โลหิตไหลกระอักออกจากริมฝีปากย้อมตามลำคอให้เข้มขึ้นอีก
เยว่ถิงยังจับรั้งไว้ตามปฏิกิริยาตอบโต้ ทว่าแขนอีกข้างของชิวหยางกลับไร้การป้องกันเมื่อจำต้องฉุดรั้งตัวเขาเอาไว้
ทันใดนั้น ขวานใหญ่ก็สับลงยังแขน สะบั้นแขนซ้ายพร้อมกระบี่ออกจากร่างประมุขแห่งสะบั้นสวรรค์จนขาดกระจุย
หิมะแรกเหมันต์โปรยปรายกลบสีเงินของป่าไผ่ บันดาลให้รอบกายให้กลายเป็นสีขาวโพลนบริสุทธิ์ ยามเมื่อโลหิตสาดกระจาย จึงงดงามดั่งบุปผาแดงนับพันผลิบานสะพรั่งขึ้นพร้อมกัน
เยว่ถิงปล่อยมือโดยไม่คิด ร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างราวกับหิมะปลิดปลิว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอยทำไมไม่เป็นอย่างใจคิด😭😭😭
ชั้นไม่กล้าคาดเดาตอนต่อไปว่าท่านประมุขจะมีสภาพเยี่ยงไร
อ่านไปกลั่นหายใจไป นี่มันแผนซ้อนแผนอะไร ของใคร ยังไง? ทำไมมันมากมายขนาดนี้!
นี่มันอะไรมันแมมมมมม่!!! ฮืออออออออออ ไม่นะ