ตอนที่ 17 : 16 - เพิ่มพูน re4/10/60
หทัยจอมอสูร [Yaoi]
16 – เพิ่มพูน
หลังจากเหตุการณ์ยามเช้าบนหลังคากระเบื้อง เยว่ถิงก็ได้กลับคืนสู่เรือนเร้นจันทร์อย่างปลอดภัยไร้โทษทัณฑ์ใดๆ รวมถึงได้ยินเสียงผู้นำพามากำชับกับบ่าวไพร่ให้ดูแลเขาเป็นอย่างดี จากนั้นจึงจากไปโดยต่างคนต่างมิได้เอ่ยถ้อยคำอื่นใด
“มิเคยเห็นท่านประมุขอารมณ์ดีเช่นนี้มาก่อน พอมิได้บึ้งตึงดุดันแล้วช่างหล่อเหลาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะไม่เคยเคลิบเคลิ้มได้ปลื้ม”
“ไม่เพียงแต่เจ้า ข้าที่นิยมชายรูปงามยังไม่เคย ปกติทำหน้าน่ากลัวเช่นนั้นไหนเลยเราจะกล้ามองนาน”
เสียงซุบซิบแสนจะตื่นเต้นและประหลาดใจเต็มประดาของเหล่าสาวใช้ดังเล็ดลอดเข้ามา รู้สึกได้ว่าเรือนเร้นจันทร์มีสีสันขึ้นในทันทีด้วยกระแสความยินดีเจือด้วยอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้น ดุจปักษาน้อยร้องคุยกันยามเช้าก็ไม่ปาน
“หรือมีเรื่องใดดีๆ เกิดขึ้นกัน”
“นั่นสิ หากนายบำเรอผู้นี้เป็นที่โปรดปรานล่ะก็ เราบ่าวไพร่ย่อมได้ดีไปด้วย”
“นี่ท่านประมุขมิใช่บุรุษผู้มองเพียงรูปโฉมภายนอกหรอกหรือ เสียดายนัก หากข้าได้เป็นคนในดวงใจคงดีไม่น้อย”
“เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า ฝันกลางวันแล้ว คนในใจท่านอยู่ในเรือนนี้ต่างหาก”
ว่าแล้วก็หัวเราะคิกคักกัน เยว่ถิงกระแอมไอขึ้นแม้ไร้เสมหะ สองเท้าเดินหนีจากห้องรับแขกสู่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว เกรงว่าจะอยู่ฟังต่อไม่ได้ด้วยเพราะนึกไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ นับเป็นครั้งแรกที่เขายินยอมและรับรู้ได้ว่าเริ่มเกิดอาการสั่นไหวในจิตใจแปลกๆ
เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนหงายบนเตียง เหม่อล่องลอยไปจนรู้สึกว่าไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะหนึ่งคล้ายมือยกขึ้นแตะยังริมฝีปาก
นุ่มนวลและแผ่วเบา...
“คุณชายเจ้าคะ บ่าวนำสำรับเช้ามาให้เจ้าค่ะ”
เยว่ถิงสะดุ้งลุกพรวดขึ้นแล้วรีบตรงไปเปิดประตูห้อง แอบหัวเราะเบาๆ แก้เก้อเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาใคร่รู้ของสาวใช้ สีหน้าเขายามนี้คงน่าขำเอามากเมื่อนางคล้ายอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ครั้งหน้าท่านโปรดบอกนะคะว่าต้องการทานสิ่งใด”
เยว่ถิงขอบคุณสาวใช้ พอนางออกไป เขากลับพุ่งหลาวตรงไปยังเตียงอีกครั้งแล้วใช้หมอนปิดหน้าเอาไว้ พักหนึ่งใหญ่ๆ จึงได้หายแก่ความกระดากใจ เอ่ยพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา
“ชิวหยาง... งั้นหรือ”
หากตีความอักษรไม่ผิด น่าจะแปลว่าดวงอาทิตย์แห่งฤดูใบไม้ร่วง คงเป็นที่มาของคำว่าสุริยันในถ้อยคำที่สักลงบนแขนเขา ส่วนคำว่าดวงจันทร์ทั้งในความหมายของประโยคและชื่อเรือนก็บังเอิญพ้องกับชื่อของเยว่ถิงของเขาพอดี
บางที โชคชะตาก็เกินกว่าจะคาดเดา
ในสำรับได้มีอาหารสมบูรณ์ขึ้นทั้งของคาวของหวานและเครื่องดื่ม รวมถึงมีน้ำแกงกลิ่นประหลาดที่สาวรับใช้บอกว่าเป็นน้ำแกงสมุนไพรบำรุงกำลัง รสชาติและกลิ่นไม่ใคร่ดีเท่าไหร่ แต่เมื่อนางบอกว่าจำต้องดื่มทุกมื้อเมื่อสุขภาพเยว่ถิงจึงหลีกเลี่ยงความหวังดีนั้นไม่ได้
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วในเวลาระหว่างวัน เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบเรือนเร้นจันทร์ดูมีความสุขมากขึ้น เจิ้งซื่อได้ฝากคนนำพิณไม้เก่ามาให้เขา รวมถึงมีข้อความว่าอย่าได้ลืมข้อตกลง ซึ่งเยว่ถิงพลันรู้สึกกระดากอายขึ้นแทนแล้วตอบรับคำให้แก่เจิ้งซื่ออย่างหนักแน่น
พอแอบลอบถามเรื่องหลังจากที่เขาออกมา จึงได้ยินว่าเจิ้งซื่อป่วยเป็นไข้เล็กน้อย อ้างว่าไม่เป็นไรจึงมิยอมให้หมอเข้าดูแต่อย่างใด ส่วนผู้อาวุโสมู่ก็ดูเหมือนจะพักรบชั่วคราวนับจากมีเรื่องบาดหมางกันมานาน
เยว่ถิงได้แอบลอบถามเอาจากสาวใช้ถึงซีหลงอีกเช่นกัน ได้ความว่าเทพธิดาพยากรณ์ที่อาการดีขึ้นดูพึงพอใจที่ได้รับบัณฑิตแพทย์ในคราบนายโลมคนนี้ไว้เป็นบ่าวไพร่และคล้ายจะโปรดกว่าคนอื่นๆ นับเป็นอีกหนึ่งข่าวดีและชวนโล่งใจ แม้ไม่รู้ว่าตัวเขาจะได้มีโอกาสพบพี่ชายดอกเหมยอีกเมื่อไรก็ตาม
อาทิตย์ลับขอบฟ้า สกุณากลางคืนเริ่มร่ำร้องอีกครา จุดสว่างไหวรอบเรือนเร้นจันทร์ไหววูบอยู่ในความมืดดำ เยว่ถิงตัดสินใจออกไปนั่งเล่นในสวนเพื่อสัมผัสลมหนาวให้คุ้นเคย พอเหมันต์มาถึงร่างกายจะได้ปรับตัวทันไม่ป่วยไข้
สาวใช้เริ่มกล้าพูดคุยกับเขาและเปิดเผยอารมณ์ตนเองมากขึ้น นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างมาก
“มารดาบ่าวทำเต้าหู้ขายอยู่ในเขตสุ่ยหนานเจ้าค่ะ เป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่โตอะไร แต่ผู้สัญจรที่ผ่านไปมาล้วนกล่าวว่ารสมือเป็นที่ติดใจจนต้องกลับมาซื้อใหม่อีกหน”
“จริงหรือ มิน่าถึงได้ทำอร่อยนัก หากมีโอกาสข้าเองก็อยากลองไปร้านเจ้าดูสักครั้ง”
เสื้อคลุมขนสัตว์เนื้อดีตัวหนึ่งถูกคลุมลงบนไหล่เยว่ถิงปัดเป่าอากาศเย็นที่พัดผ่านผิวให้ไม่อาจสัมผัสได้ เด็กหนุ่มพลันขมวดคิ้วเมื่อใช้มือลูบผ่านความละเอียดประณีต เหตุใดสาวใช้นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกชั้นดีท่าทางราคาแพงเช่นนี้มาได้ แต่ก่อนจะได้เอ่ยปากก็สัมผัสได้ถึงความร้อนจากกายบุรุษเพศที่ก้มลงแนบชิดด้านหลัง พร้อมเสียงกระซิบข้างใบหู
“งั้นข้าจะพาไป...”
เยว่ถิงสะดุ้งจะลุกขึ้น แต่ถูกสองแขนแน่นด้วยกล้ามเนื้อเอื้อมมายันโต๊ะกักร่างเขาให้นั่งไว้ เยว่ถิงสัมผัสไม่ได้ว่าจอมอสูรลอบเร้นกายมาแทนสาวใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดว่าคงเก็บปราณและร่องรอยเอาไว้อย่างแนบเนียน
พอหายตกใจแล้ว เยว่ถิงจึงเอ่ยซ้ำอย่างไม่แน่ใจในอารมณ์อีกฝ่าย รู้สึกนั่งไม่ติดเก้าอี้เท่าใดเมื่อยังคงเหลือความเก้อกระดากจากเมื่อเช้าอยู่
“เอ่อ ท่านจะพาผู้น้อยไปร้านเต้าหู้ในสุ่ยหนานจริงๆ หรือขอรับ”
เขาเองเคยไปเยือนสุ่ยหนานอยู่สองคราเห็นจะได้ นับเป็นเขตการค้าใหญ่ที่มีทุกอย่างขึ้นชื่อโดยเฉพาะเรื่องอาหารรสเลิศ มีตั้งแต่ราคาไม่แพงจากฝีมือชาวบ้านไปจนถึงร้านใหญ่ราวภัตตาคารที่ต้อนรับเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูง มิคาดว่าเขาจะได้ไปสูดอากาศนอกพรรคสะบั้นสวรรค์อีกครา...
“หืม ข้าบอกว่าแค่จะพาไปในห้องนอนเจ้า”
เยว่ถิงอดไม่ได้ที่จะถอนใจอย่างผิดหวัง ได้ยินเสียงหัวเราะยินดีที่ได้แกล้งเขา ก่อนจะถูกรวบร่างขึ้นอุ้มเข้าห้องนอนตามดั่งว่า
“จะหน้าตึงไปถึงเมื่อไหร่”
จอมอสูรเอ่ยคล้ายจะเหย้าแหย่อีก เยว่ถิงกะพริบเมื่อถูกวางให้นั่งลงยังขอบเตียง “ผู้น้อยไหนจะกล้า”
“ผู้น้อยไหนจะกล้า หึ เจ้าขัดคำสั่งข้ากี่ครั้งแล้ว คงไม่ลืมกระมัง”
ไม่แน่ใจว่าจอมอสูรที่นิสัยหื่นกามคาดเดาไม่ได้หรือจอมอสูรนิสัยกวนอารมณ์จะดีกว่ากัน เยว่ถิงโคลงศีรษะเล็กน้อย ยังไม่แน่ใจว่าฐานะตอนนี้ต่อรองอะไรได้บ้าง ก่อนจะถูกวางบางอย่างไว้บนตักเบาๆ
“ข้ามีงานมากมายต้องทำ เจ้าก็เล่นพิณคลอไปแล้วกัน”
เป็นพิณไม้ของเขานั่นเอง ประมุขสะบั้นสวรรค์เดินไปยังโต๊ะรับแขก ได้ยินเสียงคนนำแท่นฝนหมึก พร้อมด้วยม้วนตั้งกระดาษ ตำรา และพู่กันเข้ามากองใหญ่ๆ กองหนึ่ง จอมอสูรจุดเทียนหอมขึ้นแล้วเริ่มนั่งลงจรดอักษร นับว่าเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเรือนเร้นจันทร์แห่งนี้มาก่อน
“เล่นสิ”
เยว่ถิงรีบค้อมศีรษะให้ แล้วใช้เรียวนิ้วไล่ไปตามพิณ การประกอบอาชีพขอทานของเขานับว่าใช้การลักจำเอาจากสำนักการดนตรีและนักดนตรีต่างๆ จะว่ามีมาตรฐานแบบแผนก็มิใช่ หรือจะว่าสะเปะสะปะฟังไม่รื่นหูก็ไม่เชิง เป็นการผสมผสานระหว่างความคิดของเขาเองกับเนื้อดนตรีที่มีอยู่แล้วปนๆ กันไป
เริ่มต้งได้ยินเพียงเสียงพิณก้องกังวานในความเงียบ จึงเกิดการประหม่าดีดผิดเพี้ยนไปบ้าง ครั้นเมื่อเริ่มเล่นเพลงพื้นบ้านที่มีอยู่ก่อนและเป็นที่รู้จักของแคว้นอ้าย จึงได้ยินเสียงจอมอสูรฮัมเพลงคลอเบาๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคลายความกังวลและปล่อยให้จิตใจนำพาความลื่นไหลดั่งสายน้ำไป
ค่ำคืนนั้นจอมอสูรเพียงจรดอักษรและเขาทำเพียงเล่นพิณอยู่จนตลอดทั้งคืน เยว่ถิงยอมรับว่าหลับไปเมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ แต่ตื่นมาพบว่าตนเองยังกอดพิณอยู่และนอนหนุนหมอนพร้อมมีผ้าห่มคลุม ส่วนบุรุษผู้ที่ทำให้กลิ่นหมึกอบอวลในห้องได้จากไปในยามเช้า
ในคืนต่อๆ มาประมุขมารได้มาหาเขาอีก แต่ละครั้งชอบมาแบบไม่ให้สุ้มเสียงและจะยินดีหากทำให้เขาตกใจได้ แม้ว่าเยว่ถิงจะเริ่มสอดส่องระวังภัยเมื่อยามหัวค่ำมาเยือนก็ตาม จอมอสูรไม่ได้บังคับแตะตัวหรือคิดกระทำล่วงเกินต่อเขาอีก แค่หอบงานมานั่งอ่านและทำในห้องนอนของเขา คั่นด้วยกิจกรรมต่างชนิดกัน
บางทีเป็นหมากรุก บางครั้งเป็นการทดสอบการดีดลูกคิด บางทีเป็นการเล่นหมากล้อมที่จอมอสูรดูประหลาดใจยามเมื่อเขาบอกว่าจำภาพกระดานอยู่ในศีรษะเมื่ออีกฝ่ายขานว่าวางหมากที่ใด หรือบางทีเป็นการร่ายกลอน เอ่ยได้ว่าให้เขาลองทุกอย่างที่ได้เอ่ยกับเจิ้งซื่อไว้ ซึ่งก็โชคดีที่จอมอสูรดูพึงพอใจ
“น่าเสียดายหากเจ้าจะเป็นแค่นายบำเรอ”
ได้ยินอีกฝ่ายรำพึงเบาๆ แต่เมื่อเยว่ถิงถามกลับบอกปัดว่าเอ่ยเรื่องอื่น เด็กหนุ่มจึงมิได้ติดใจเซ้าซี้อีก แต่ถ้าหากที่ได้ยินถูกต้องนับว่าเป็นคำชมที่ทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจไม่น้อย
เวลาผ่านไปรวดเร็วจนรู้สึกว่าเป็นเพียงชั่วหลับตาตื่น รู้สึกตัวอีกทีก็เหลือเพียงสี่วันก็จะถึงวันประลองระหว่างประมุขพรรคสะบั้นสวรรค์และคุณชายไป่
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือน ถึงเขาจะมิได้ก้าวออกนอกเขตเรือนเร้นจันทร์อีก แต่ก็นับได้ว่าจอมอสูรแวะเวียนได้มาหาทุกค่ำคืนไม่มีขาด บางครั้งนำอาหารหาทานยาก เครื่องประดับ หรือกระทั่งอาภรณ์ชั้นดีมาให้ด้วย โดยมักเอ่ยว่าเป็นของที่ไม่ใช้แล้วในตำหนักของตน ซึ่งปรากฏว่าพอดีตัวของเยว่ถิงทุกครั้งที่สวมใส่
ความสนิทสนมและความสัมพันธ์ของเขาและจอมอสูรจึงเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมาก ความตึงเครียดลดหย่อนลงจนกลายเป็นความคุ้นเคย แม้ว่าบางคืนเยว่ถิงจะรับรู้ได้ว่าจอมอสูรได้เข้ามาและออกไปอย่างเงียบเชียบในเวลาอันสั้นก็ตาม
บทสนทนาของพวกเขาส่วนมากมักเป็นเยว่ถิงที่เล่าเรื่องของตัวเอง เรื่องราวนั้นเป็นเรื่องในสมัยอยู่ในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า สมัยเป็นขอทานเร่ร่อนไปในยุทธภพแคว้นอ้าย ปนผสมการโม้เกี่ยวกับชีวิตเก่าว่าเป็นบัณฑิตที่รู้วิชาวิศวกรรมเข้าไปด้วย
จอมอสูรเพียงรับฟังแล้วออกความเห็น แต่มิได้เอ่ยเรื่องของตนแม้เพียงครึ่งคำ มีเพียงเอ่ยถึงความเป็นไปในพรรคและผู้คนบ้างซึ่งมักจะเป็นการบ่นด้วยความเหนื่อยหน่ายจนเยว่ถิงอดยิ้มและหัวเราะตามไม่ได้
เหลือเพียงอีกสี่วันจะถึงคุณชายผลท้อไป่อวิ๋นหลานท้าประลอง จู่ๆ จอมอสูรก็เอ่ยสิ่งหนึ่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เจ้าเคยมีคนรักหรือไม่”
“เคยขอรับ”
เยว่ถิงยอมรับตรงๆ เขาผ่อนคลายตนเองขึ้นมาก ทั้งยังเริ่มติดสบายจากที่เป็นขอทานอดมื้อกินมื้อ
“เล่ามาสิ”
เมื่อฟังแล้วคล้ายชวนคุยทั่วไป มิได้จะหาเรื่องแต่อย่างใด เยว่ถิงจึงตัดสินใจเล่าถึงชีวิตเก่า เพราะตอนเป็นขอทานนั้นเขามิได้สนใจเรื่องความรักแต่อย่างใด ด้วยคิดว่าคงไม่มีสตรีใดร่วมลำบากด้วย
เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ ยามหวนรำลึกขึ้นมา
“นางเป็นสตรีน่ารัก นิสัยร่าเริงและเป็นมิตรกับผู้คนรอบข้าง ผู้น้อยเป็นฝ่ายเกี้ยวนางก่อน จำได้ว่าส่งดอกไม้ให้ไปมากมายในวันเกิดของนาง จากนั้นจึงได้คบหากันช่วงหนึ่ง...”
“คงงดงามมากงั้นสิ เป็นคุณหนูบ้านไหนหรือคณิกากันเล่า” จอมอสูรเอ่ยขึ้นมา ได้ยินเสียงใช้ตราประทับลงยังจดหมายแรงกว่าปกติ
จากเรื่องราวที่ผสมผสานกันให้พอมีเหตุผล จึงตีความได้ว่าแรกเริ่มเยว่ถิงเป็นเด็กกำพร้าที่ยังมิได้ตาบอด แต่โชคดีได้ลักจำวิชาจากสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ก่อนวันดีคืนดีจะตาบอดทำให้ต้องระเห็จระเหินไปในยุทธภพ เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงมีวิชาความรู้มากกว่าที่ขอทานตาบอดควรมี
เยว่ถิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“มีสิ่งใดน่าขำ” น้ำเสียงเรียบๆ แต่สัมผัสได้ว่าไม่พอใจเท่าไหร่ บางครั้งก็อ่านง่ายจนน่าตกใจอยู่เหมือนกัน
“หามิได้นายท่าน” เยว่ถิงพยายามหยุดขำ เมื่อรับรู้ถึงสายตาถลึงมองของอีกฝ่าย “นางเป็นสตรีรูปร่างท้วม มิได้สูงระหงสะโอดสะอง มีกระอยู่ยังสองแก้ม ดวงตาดั่งเม็ดก๋วยจี้แถมยังสายตาไม่ดีอีกด้วย พูดตามตรงว่ามิอาจจะบรรยายว่างดงามได้”
ประมุขมารเงียบคล้ายจินตนาการตามสักพัก ก่อนเอ่ย “นั่นรสนิยมของเจ้ารึ”
“ผู้น้อยเป็นบุรุษ ย่อมชอบหญิงงามเป็นธรรมดา” เยว่ถิงว่า “แต่ในความคิดของผู้น้อย หญิงที่มองเพื่อให้สบายตากับหญิงที่จะมาเป็นคู่เคียงนั้นต่างกัน ยามจะหาใครสักคนอยู่ด้วย ผู้น้อยมองยังจิตใจและเลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจย่อมดีกว่า”
“หืม” จอมอสูรส่งเสียงรับในลำคอ “นั่นย่อมดีแล้ว”
เยว่ถิงผงกศีรษะไปยังอีกฝ่ายที่ท่าทีเปลี่ยนไป ทั้งเมื่อครู่ยังดูราวกับว่าไม่เห็นด้วยอยู่
“งั้นเจ้าอยู่กับข้าแล้วสบายใจหรือไม่”
เยว่ถิงชะงักงัน เหตุใดยามถามน้ำเสียงถึงได้นุ่มขึ้นสักเก้าส่วน พลันเขาเริ่มละล่ำละลักเมื่อหน้าเริ่มขึ้นสี จึงตัดสินใจบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนประเด็นไป “เอ่อ ไม่ทราบว่านายท่านเคยมีคนรักหรือไม่”
แต่มิรู้ว่าที่เอ่ยขึ้นพลาดพลั้งหรืออย่างไร บรรยากาศที่นุ่มนวลอบอุ่นคล้ายเยือกเย็นลดอุณหภูมิลง กระแสความหดหู่และโกรธแค้นพุ่งพล่านอยู่ชั่ววูบ ก่อนค่อยๆ บรรเทาลงยามจอมอสูรน่าจะสังเกตได้ว่าเยว่ถิงหน้าเจื่อนไป
“แน่นอนว่าย่อมเคย แต่อดีตคืออดีต”
ว่าเช่นนั้นเหมือนปัดออกจากหัวข้อสนทนาก่อนจะหันไปประทับตราบนกระดาษอีก
“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้า แต่ข้าเองจำคำตอบเจ้าได้ ว่าคงมิมีบุรุษผู้ไหนพึงพอใจยามเมื่อถูกนำมาเป็นนายบำเรอของบุรุษคนอื่นที่ไม่แม้กระทั่งเคยรู้จัก”
เยว่ถิงอ้าปากจะแย้งว่าเคยเอ่ยเช่นนั้นจริง แต่บัดนี้บางอย่างได้เปลี่ยนไป ทว่าถูกตัดบท
“พรุ่งนี้ข้าจะฝึกที่ลานในตำหนัก จะมารับเจ้าไปตอนเช้า”
ว่าสั้นๆ แล้วเงียบดั่งจะจบบทสนทนาด้วยความอึมครึม หากเป็นยามปกติเยว่ถิงคงมิกล้าเสี่ยงออกปาก แต่ครั้งนี้เขาพูดขึ้นด้วยเสียงจริงจัง
“ผู้น้อยเคยเอ่ยเช่นนั้นจริง ทว่ายามเมื่อได้สัมผัสกับตัวตนท่านอย่างใกล้ชิด จึงรู้ได้ว่ามิได้เหี้ยมโหดดั่งเสียงเล่าอ้างในยุทธภพ ที่ท่านถามว่าสบายใจหรือไม่ หากไม่ ไยผู้น้อยจะนั่งยิ้มหัวเราะอยู่ได้”
“เจ้าแค่มิเคยเห็นภาพข้าที่แท้จริง”
แม้กล่าวเช่นนั้น แต่ยามไปส่งจอมอสูรออกจากเรือนยามใกล้รุ่งสาง สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีอารมณ์ดีขึ้นหลายส่วนทีเดียว เยว่ถิงเดินกลับเข้ามาลำพังแต่มิได้รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ทั้งยังมีรอยยิ้มเบาบางติดอยู่ริมฝีปาก เมื่อคล้ายหมอกควันคราวเคราะห์เสมือนว่าเบาบางลง
ทว่า ฉับพลันร่างกายที่น่าจะแข็งแรงขึ้นจนแทบเป็นปกติกลับรู้สึกวูบลง เข่าอ่อนเซถลาเสียการทรงตัวจนไปชนกับโต๊ะในห้องรับแขก ปฏิกิริยาตอบโต้ใช้มือขวายังค้ำร่างไว้ มืออีกข้างยกขึ้นกำยังอกซ้ายเมื่อพบว่าใจสั่นขึ้นฉับพลัน เหงื่อแตกออกมาราวไหลเทจากทั่วรูขุมขน เยว่ถิงหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนตะโกนเรียกสาวใช้
“ท่านเจ้าคะ!” ได้ยินเสียงเริ่มเอะอะแตกตื่น สติของเยว่ถิงเริ่มเลือนราง ทั้งยังเวียนศีรษะและคลื่นไส้อย่างมากจนต้องอาเจียนออกมา ร่างไหลลงไม่อาจทรงตัวต่อไป ในความรับรู้อันพร่ามัว ได้ยินเสียงสั่นหวาดกลัวดังขึ้น
“ยะ ยาบำรุงที่ดื่มมาหลายวันนั้นมาจากตำหนักเทพธิดาพยากรณ์ มิใช่ข้าตั้งใจใส่ยาพิษลงไป!”
เสียงเอ็ดตะโรโวยวายร้อนรนดังเล็ดลอดเข้ามาในประสาทรับรู้ เปลือกตาเยว่ถิงเริ่มขยุกขยิกเมื่อรู้สึกตัว ขณะนี้ร่างของเขาทอดนอนอ่อนเปลี้ยอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าอย่างแรงตามมาด้วยเสียงหวีดร้องจากอีกห้อง
“เสี่ยวซือ บอกมาเดี๋ยวนี้ ใครใช้ให้เจ้าใช้ยาพวกนี้กัน!”
“ฮือ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ ข้าเพียงแค่นำมาทำตามคำสั่งเท่านั้น”
เยว่ถิงรีบลุกพรวดขึ้น ก้าวลงจากเตียงแล้วสาวเท้ายาวๆ ก่อนเปิดประตูห้องออกไปโดยพลัน อาการมึนศีรษะเล็กน้อยและรสขมปร่าในลำคอยังหลงเหลืออยู่ การเคลื่อนที่ตามทิศทางเสียงจึงทำให้เขาชนโครมเข้ากับเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“หยุดก่อน!”
“คุณชาย! อย่าเพิ่งฝืนดีกว่า ท่านหมอกำลังจะมาแล้ว”
สาวใช้อีกสองสามคนรีบเข้ามาประคองเยว่ถิง เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะเบาๆ ไล่อาการบ้านหมุน หันหน้าไปยังกลุ่มสาวใช้ที่น่าจะมีการสอบสวนกันเองอยู่ ไอออกมาให้โล่งคอ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงแหบๆ “ขอข้าคุยกับนางตามลำพังได้หรือไม่ ทั้งบัดนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ให้ท่านหมอกลับไปเถิด”
“แต่ว่า...”
“ถือว่าข้าขอร้อง”
เยว่ถิงกดหัวคิ้วลง น้ำเสียงเขายังคงไม่ดีเท่าไหร่ แต่ยามนี้มีสติรู้สึกตัวเป็นอย่างดี หากยาบำรุงนี้มาจากตำหนักเทพธิดาพยากรณ์จริง... เขาจำต้องคุยกับสาวรับใช้ผู้นี้เป็นการส่วนตัว
“ท่านอาเจียนออกมาเมื่อครู่ แน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะมิให้ตามหมอ”
“อืม ข้าคงแค่นอนหลับพักผ่อนน้อยจึงอ่อนเพลีย อย่าได้ห่วงเลย ให้ข้าพูดคุยกับนางตามลำพังเถอะ” เยว่ถิงยืนยันอีกครั้ง ความเงียบอึดอัดเข้าปกคลุมบ่งบอกอารมณ์กระอักกระอ่วนใจของบ่าวไพร่ในเรือนได้เป็นอย่างดี พวกนางคงกังวลว่าหากเขาเป็นอะไรไปจอมอสูรคงไม่ยอมนิ่งเฉย เด็กหนุ่มจึงพยายามปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลเป็นปกติขึ้นขณะเอ่ยตะล่อมออกมา
“อย่ากังวลไป ไม่มีอะไรหรอก ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”
เมื่อถูกโน้มน้าวเข้าหลายครั้งพร้อมด้วยรอยยิ้ม แม้มิอาจวางใจก็จำต้องทำตาม แต่ไม่วายกำชับสาวใช้โชคร้ายผู้สะอึกสะอื้นก่อนออกไป “หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่”
หลังผู้คนออกไปจนหมดและมีเสียงปิดประตูไม้ไล่หลัง เยว่ถิงที่เริ่มปรับสมดุลได้แล้วจึงเดินตรงไปลงกลอนไม้ สาวใช้สะดุ้งเฮือก เขารีบเข้าไปทรุดร่างลงนั่งบนปลายเท้าใกล้ๆ ยกมือจับไหล่บอบบางเพื่อปลอบเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำสิ่งใดแก่เจ้า เพียงแค่ต้องการพูดคุยเท่านั้น”
เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างตื่นกลัวและหวาดระแวงยังดังต่อ ทำให้เด็กหนุ่มตาบอดถอนใจ ฝ่ามือลูบหลังปลอบโยน “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ปรุงยานี้”
“ถะ ถ้าข้าตอบท่าน ท่านจะไม่ทำอะไรข้าใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เยว่ถิงรับคำ เสี่ยวซือสูดน้ำมูก พยายามกลั้นสะอึก นางเงียบไปสักพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเยว่ถิงมิมีท่าทีจะโกรธแค้นหรือทำอันตรายใด จึงเอ่ยเสียงสั่นๆ อย่างลังเลใจ
“เป็นยาของนายโลมหลิวซีหลงที่บัดนี้ไปอยู่ตำหนักเทพธิดาพยากรณ์เจ้าค่ะ เขาบอกว่าให้ท่านดื่มเพื่อบำ บำรุงสุขภาพ เหตุใดถึงได้กลายเป็นย่ำแย่ลงได้ ฮึก”
ที่แท้เป็นพี่ชายดอกเหมยจริงๆ เยว่ถิงพลันจิตใจพองโตขึ้น หากเป็นยาพิษป่านนี้เขาคงนอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนเตียงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลข้างเคียงของยาหรือว่าผลผิดพลาดก็ไม่อาจทราบได้ แต่อย่างน้อยเขาน่าจะสามารถติดต่อซีหลงผ่านเสี่ยวซือได้ “เจ้าไม่ต้องร้องไห้ไป ข้าปลอดภัยดี แล้วเขาได้เอ่ยอะไรอีกหรือไม่”
“อันที่จริง หลังจากที่ท่านดื่มยาเสร็จ เขาได้ฝากข้ามาว่า พรุ่งนี้ให้ข้าพาท่านไปยังเรือนเก็บของก่อนตะวันลับขอบเพื่อพบปะกับเขา แต่ข้ายังหาจังหวะบอกมิได้ ท่านก็อาเจียนล้มลงเสียก่อน...”
เสี่ยวซือร่างสั่นดั่งลูกนกตกจากกิ่งไม้ สิ่งที่ซีหลงฝากนางทำนั้นดูมากมายเกินกว่าจะไหว้วานกันธรรมดา แม้เยว่ถิงอยากพบพี่ชายดอกเหมยก็จริง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวซือเป็นสาวใช้ที่ถูกซีหลงขว้างแก้วเฉียดหน้า จึงอดวิตกกังวลไม่ได้ว่านางถูกบังคับขู่เข็ญอะไรมาหรือไม่ เพราะถ้านางถูกพบว่าลอบทำสิ่งเหล่านี้ในพรรคมารเข้าอาจได้รับโทษหนัก
“ข้าเข้าใจแล้ว ทว่า สิ่งที่เขาฝากมานั้นเจ้าถูกข่มขู่หรือไม่ การทำสิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายสำหรับสาวใช้เช่นเจ้านัก”
“เอ่อ ข้า...” เสี่ยวซือตะกุกตะกักขึ้นมา พลันเยว่ถิงสัมผัสได้ถึงอารมณ์แปลกประหลาด เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกลับร้อนรนและ... เขินอาย?
“มิได้เจ้าค่ะ ข้าสะ สมัครใจ อ่า ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ทั้งยาและการนัดพบเป็นเพราะเขาคิดจะช่วยเหลือท่าน”
พี่ชายดอกเหมย... ท่านว่าตัวเองเป็นนักเลงหมากล้อม แต่แท้แล้วคือเสือผู้หญิงใช่หรือไม่
เยว่ถิงยิ้มกระหยิ่ม อดหัวเราะออกมาเบาๆ หนึ่งทีไม่ได้ ยิ่งทำให้เสี่ยวซือบิดม้วนประหม่า ลืมการร้องไห้เมื่อครู่ไปเสียสนิท “งะ งั้นหากไม่มีเรื่องอันใด ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
“ระวังตัวด้วย อย่าเสี่ยงชีวิตเจ้ากับความรักมากเกินไป”
สาวรับใช้ที่คงหน้าแดงก่ำรีบพรวดพราดออกไปโดยไม่หันมาอีก เยว่ถิงส่ายหน้ากับตัวเองทั้งรอยยิ้มบาง พี่ชายดอกเหมยนี่ร้ายนัก มิทราบทำอย่างไรให้สาวใช้ที่ถูกเขวี้ยงแก้วใส่มาหลงใหลตนเองได้ ขนาดมีรูปโฉมดั่งสตรียังหว่านเสน่ห์ถึงเพียงนี้ หากหล่อเหลาสมบุรุษมิต้องเปิดฮาเร็มเลยหรือไร
หลังจากพูดคุยเรียบร้อยก็มีเวลาว่างจนถึงเย็น เยว่ถิงใคร่จะนั่งพักผ่อนตามอัธยาศัยในสวนเล็กจึงบอกกับเหล่าสาวใช้ให้แยกย้ายไปทำงานของตน แม้ว่าจะถูกเอ่ยเตือนเรื่องสภาพอากาศที่ดูเหมือนจะมืดครึ้มและอิ่มตัวด้วยไอน้ำก็ตาม
ครืน
เสียงฟ้าร้องคำราม พาให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่อยู่บนเขาพรรคมารแห่งนี้ยังไม่ได้สัมผัสสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง มีเพียงสายลมแห้งๆ ของลมหนาวพัดพามาเท่านั้น
จอมอสูรว่าจะมาในยามดึก ฉะนั้นหัวค่ำคงไม่ได้แวะมาหาก่อน เยว่ถิงพลันเกิดความคิดประหลาดว่าอยากนั่งตากฝนตั้งแต่เม็ดแรกจนถึงเม็ดสุดท้าย อาจเป็นเพราะหวนให้คิดถึงยามเป็นขอทานร่อนเร่ ยามนั้นเมื่อสายฝนสาดกระหน่ำลงมาแล้วเขายังหาเพิงพักพิงไม่ได้ก็จำต้องตากฝนไปจนชุ่มโชก หลายครั้งในบางทีก็มีคนใจดีนำเสื้อผ้าฟรีมาให้ผลัดเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน
เยว่ถิงหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างไรเวลานี้ควรรักษาสุขภาพไว้ก่อน ทั้งยาบำรุงของพี่ชายดอกเหมยไม่รู้จะมีผลข้างเคียงใดหรือไม่ และพรุ่งนี้จะได้พูดคุยเรื่องแผนการหลบหนีต่ออีกไหม...
ไม่ทราบเหตุใด ยามคิดเรื่องหลบหนี เยว่ถิงกลับรู้สึกสองจิตสองใจขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งๆ ที่คำตอบสมควรชัดเจน
‘งั้นเจ้าอยู่กับข้าแล้วสบายใจหรือไม่’
น้ำเสียงประมุขสะบั้นสวรรค์ดังก้องขึ้นในศีรษะ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเบาๆ ขณะทอดถอนใจออกมาเมื่อรับรู้ว่าตนเองกำลัง... อาลัยอาวรณ์
ที่แห่งนี้มิใช่ที่ของเขาแต่แรก ฐานะนายบำเรอเป็นฐานะที่เขาไม่คาดฝันและไม่คิดฝัน หากเขาไป จอมอสูรอาจโกรธเกรี้ยวพิโรธอยู่บ้าง แต่ไม่นานคงลืมแล้วหานายบำเรอคนใหม่มาแทน ผู้คนในพรรคย่อมยินดีที่ผู้นำพาความตายมาสู่ประมุขจากไป ส่วนตัวเขาได้หวนคืนกลับสู่อิสระ เดินทางไปที่ใดได้ตามใจนึก เป็นเช่นนั้นย่อมดีกว่า
เยว่ถิงนั่งนิ่งงันเหม่อลอยอีกครั้ง เวลาผ่านไป เด็กหนุ่มก็รู้ตัวด้วยหยาดน้ำฝนที่เยียบเย็นซึ่งหยดลงบนผิวแก้ม เขาเงยหน้าและยกฝ่ามือสองข้างขึ้นรับละอองน้ำที่ตกลงมาแช่มช้า สาวใช้รีบกุลีกุจอเข้ามาคล้ายจะพยุงเขากลับเข้าเรือน แต่เยว่ถิงปฏิเสธแล้วบอกว่าสายฝนทำให้เขารู้สึกสดชื่นและนึกถึงสิ่งดีๆ
ได้ยินดังนั้นจึงมิคิดขัดอีกแล้วปล่อยเด็กหนุ่มไว้ลำพังเช่นเดิม ม่านละอองน้ำเย็นชุ่มช่ำสมการรอคอย แต่เหตุใดกลับทำให้คนรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาด้วยอย่างไม่ตั้งใจ
แง้ว
ฉับพลันเสียงหนึ่งดึงเขาออกจากห้วงความคิด เยว่ถิงเงยหน้าขึ้นตามทิศทางของเสียง น่าจะเป็นลูกแมวตัวหนึ่งติดอยู่บนต้นไม้ เขานึกสนุกอยากและต้องการหลุดพ้นการนั่งคิดแล้วจมอยู่กับตัวเอง เยว่ถิงจึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังโคนต้นไม้นั้น ใช้มือจับคลำตามลำต้นแข็งแรง ก่อนบังเอิญพบกับบันไดที่วางพาดทิ้งไว้
จำได้ว่าตอนกลางวันสาวใช้เก็บผลไม้สุกจากต้นนี้มาให้เขา เป็นผลไม้ชื่อประหลาดแต่กลิ่นหอมและรสชาติดีที่ไม่มีในโลกก่อน เยว่ถิงสัมผัสได้ว่าซ้ายขวาไม่มีใครในบริเวณ เสียงลูกแมวร้องถี่ขึ้น เขาจึงว่ากลับเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวข้าจะไปช่วยเจ้า”
หากเขาไม่มีสัมผัสทิศทางที่พึ่งพาได้พอประมาณ การที่คนตาบอดปีนบันไดขึ้นต้นไม้นับว่าอันตรายมาก แต่เยว่ถิงเคยปีนที่สูงๆ มาหลายครั้งในยามเป็นขอทาน ครั้งนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาจัดแจงถอดรองเท้า ถลกแขนเสื้อสองข้างขึ้น ลองดูความแข็งแรงของบันไดแล้วใช้ได้รวมถึงวางในตำแหน่งเหมาะสม
มือจับคั่นบันไดแล้วโหนร่างตนเองขึ้นไป ไม่สูงเท่าไหร่ แต่เยว่ถิงใช้เวลาพอสมควรในการส่งร่างตนเองขึ้นไปยังกิ่งไม้ใหญ่ที่น่าจะมีเจ้าลูกแมวน้อยอยู่
“มานี่สิ” เด็กหนุ่มส่งเสียงจุ๊ๆ พยายามเรียกมันมาหา แต่ลูกแมวตื่นกลัวดูเหมือนจะยังไม่ไว้ใจ มันร้องหนักข้อขึ้น ทว่ายังไม่ยอมเคลื่อนไหว เยว่ถิงจึงขยับเข้าไปใกล้อีก
ซ่า!
ม่านสายฝนเป็นละอองน้ำกลับตกแรงขึ้นไร้สัญญาณเตือนล่วงหน้า ลมแรงโหมมาหอบพัดกิ่งไม้โยกไหว เยว่ถิงเอื้อมมือจับคว้าสิ่งมีชีวิตขนปุยขี้กลัวนั้นไว้ในอ้อมแขนได้ แต่ในจังหวะเดียวกันใบไม้ที่ปลิวไปอย่างแรงกลับทำให้พลาดพลั้งทำบันไดไม้หล่นลงสู่พื้นดังโครม
เยว่ถิงอ้าปากเล็กน้อย บัดนี้กายเปียกโชกทั้งใบหน้าและเส้นผม จำต้องซุกลูกแมวไว้ในเสื้อเพื่อให้พ้นหยาดน้ำฟ้าที่สาดเทลงมา มืออีกข้างและขาเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ที่เอนไหวอย่างน่าหวาดเสียว สองหูได้ยินแต่คำรามลั่นของลมและสายฟ้าดังตีกันอื้ออึงไปหมด
ถ้ากระโดดลงไปคงไม่สูงสักเท่าไหร่... แค่ประมาณสองเมตรกว่าๆ เท่านั้น... แต่ต้องใช้เวลาทำใจสักครู่
เยว่ถิงเฝ้ารอเวลาให้ฝนซาลง จนผ่านไปครู่หนึ่งใหญ่ๆ พายุใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบ เขาจึงกลืนน้ำลาย คิดฝืนใจกระโดดลงไป
พลันได้ยินเสียงอสนีบาตผ่าลงยังเคียงข้างจนสะดุ้ง ไม่ใช่เพียงพื้นที่เคียงข้างแต่เป็นกิ่งไม้ข้างๆ เด็กหนุ่มตกใจยามจู่ๆ ก็ถูกแสงสว่างวาบสาดเข้าใส่ใบหน้าเข้าจนตาพร่ารวมถึงหูดับจากเสียงสนั่นหวั่นไหวพร้อมๆ กัน ทำให้เผลอปล่อยมือทิ้งร่างร่วงหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง
“เยว่ถิง!”
เสียงหนึ่งดังกว่าเสียงสภาพแวดล้อมใดๆ เด่นชัดขึ้นกลางโสตสัมผัส เยว่ถิงที่หลับตาแน่นพบว่าตนถูกรับไว้อย่างทันท่วงทีด้วยอ้อมแขนหนึ่งกลางสายฝน อึดใจต่อมาได้ยินเสียงตะโกนกราดเกรี้ยว กระแสอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงดั่งไฟทำให้ร่างที่เย็นจากเม็ดฝนอบอุ่นขึ้นได้
“ข้ารีบมาก่อนเพราะเห็นว่ามีพายุหนัก หากไม่มาเจ้าคง...”
จากนั้น ด้วยความตกใจหรือเหตุใดไม่ทราบ หูเของเยว่ถิงจึงไม่ได้ยินสิ่งใดไปชั่วขณะ ประสาทสัมผัสชาจนนิ้วกระดิกไม่ได้ มีเพียงที่กระบอกตาเท่านั้นที่ร้อนราวถูกไฟสุม เขาบังเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นในใจ บางอย่างรื้นขึ้นในดวงตาที่ปิดแน่น
หัวใจเต้นแรงจนปวดหนึบ ยามรับรู้ว่าโลกในความมืดของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
เขาหวาดกลัว... การลืมตา
ใช้เวลาทำใจชั่วอึดใจ เปลือกตาบางขยับเปิดขึ้น ทัศนวิสัยมืดครึ้มยังคงพร่ามัวจนต้องกะพริบตาซ้ำแล้วลืมขึ้นใหม่ จนปรากฏเป็นใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ชิดใกล้ ฉากหลังเป็นท้องสายครึ้มสีน้ำเงินเข้มและมีสายฟ้าวูบวาบ
ใบหน้าจอมอสูรพันศพมิได้อัปลักษณ์แต่อย่างใด ออกจะถือได้ว่าเครื่องหน้าเข้มหล่อเหลาสมชายชาตรี แม้ว่าองคาพยพทั้งหมดจะเครียดเกร็งดุร้ายทว่าเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใย แต่มือน้อยๆ ซีดขาวของเยว่ถิงกลับค่อยๆ เอื้อมขึ้นแตะยังผิวแก้มเรียบเนียนและเปียกชื้นจากเม็ดฝนนั้นแผ่วเบา
ประมุขมารชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายกล้าสะท้อนใบหน้าของเยว่ถิงอยู่ภายใน ไม่อาจเห็นชัด แต่เห็นภาพพร่ามัวได้ว่าใบหน้าของเขามีแผลขนาดใหญ่อยู่ที่แก้มภายใต้ผ้าสีขาวซึ่งไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นความอัปลักษณ์ได้หมด
เยว่ถิงเผยอยิ้มออกมาอย่างไร้สติ น้ำอุ่นร้อนไหลจากดวงตาลงสู่ข้างแก้ม เป็นการร้องไห้ครั้งแรกนับแต่เกิดในชีวิตใหม่ ธารนั้นไหลหลากทะลักเกินควบคุม เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาราวกับคนบ้า ทั้งที่มือลูบสัมผัสใบหน้าของจอมอสูรไม่อายฟ้าดินหรือสายตาใคร อารมณ์ความนึกคิดทั้งหมดเอ่อล้นท่วมท้นเหนือสติสัมปชัญญะในเวลานี้
“ใครบอกกันว่าท่านอัปลักษณ์...”
“...นี่เจ้า”
สีหน้าจอมอสูรฉงนและตกใจไปไม่ถูกอย่างมาก บัดนี้หมดสิ้นความโกรธเกรี้ยว กลับกลายเป็นความห่วงใยและบางอย่างที่ลึกล้ำซับซ้อนกว่านั้น
“เจ้า... มองเห็นแล้ว?”
จอมอสูรก้มหน้าลงกระซิบ เมื่อยิ่งดวงหน้านั้นอยู่ใกล้ เยว่ถิงยิ่งมองเห็นภาพสะท้อนใบหน้าของตนเองแจ่มชัดโดยใช้ดวงตาคมเรียวคู่นั้นเป็นกระจก ไม่ทราบว่าด้วยเพราะบรรยากาศน่ากลัวรอบกายที่กลบสรรพเสียงทั้งปวง หรือเป็นความรู้สึกการพบพานโลกที่คิดว่ารู้จักแต่ก็ไม่รู้จักเป็นครั้งแรกทำให้เขายิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตา
ยกมือสอดเข้าไปภายในเส้นผมยาวสีเฉกเช่นเดียวกับดวงตาของอีกฝ่ายแล้วดึงรั้งท้ายทอยอีกฝ่ายเข้ามาช้าๆ
สัมผัสได้ว่าหัวใจสองคู่เต้นกึกก้องดั่งกลองกลางสนามรบท้าทายสภาพอากาศฝนฟ้าคะนอง ไม่มีความคิดจะผละร่างออกจากกัน ปล่อยให้ความอบอุ่นอิ่มล้ำระหว่างอ้อมกอดห่อหุ้มรอบกาย
จอมอสูรมองเขาด้วยดวงตาที่ลึกซึ้งคล้ายจะเผลอไผลเผยอารมณ์ กระแสปราณที่สะท้านเอ่อท่วมอาบไล้ผิวเป็นมากกว่าซึ่งความหลงใหล ความใคร่ หรือความอาดูรสงสารทั้งมวล
พอระยะทางเข้าใกล้ในจังหวะหนึ่ง เยว่ถิงกลับหยุดแล้วดึงมือออก แตะหน้าผากชนกับอีกฝ่าย กระซิบเบาๆ เจือรอยยิ้ม น้ำตายังหลั่งไหลไม่หยุด แม้บาดแผลที่เห็นได้ชัดเพราะผ้าขาวเปียกแนบลู่ไปจะไม่ใช่เรื่องที่เขาสำนึกเสียใจหรือชิงชังตัวเอง
“ผู้น้อยอัปลักษณ์... มากกว่าที่เคยคิดไว้เสียอีก”
“เรื่องนั้นข้ารู้ดีกว่าเจ้าด้วยซ้ำ”
จอมอสูรใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาเด็กหนุ่มออกไป ก่อนจะใช้นิ้วช้อนปลายคางขึ้น
“ในเมื่อรู้แล้ว เจ้าจะร่ำไห้ให้ยิ่งขี้เหร่ทำไม” น้ำเสียงกระซิบไม่เข้ากับคำพูด เยว่ถิงหัวเราะ สองลมหายใจประสานกัน ไม่มีคำถามใดในเวลานี้ มีเพียงบรรยากาศที่ราวกับอยู่ในโลกเพียงสองคน
“ต่อไปเรียกข้าว่าชิวหยาง ไม่ต้องมีนายท่าน ไม่ต้องพูดขอรับ”
มือถูกยกขึ้นสอดประสานแนบแน่นระหว่างนิ้ว
“เรียกข้าสิ”
“...ชิวหยาง”
รอยประทับรางวัลค่อยๆ บดเบียดลงบนริมฝีปากแทนคำสัญญาท่ามกลางสายฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงในค่ำคืนนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มองเห็นแล้วชีหลินเก่งจริงๆ
น้องมองเห็นแล้ว!!!! เอาล่ะ รองานต่างๆที่พร้อมจะงอกได้ตลอดเวลาเลย
ขนาดตาบอด มองไม่เห็นยังซวยไม่เว้นวัน ทีนี้ล่ะซวยกว่าเดิมคูณ 2 แน่นอน 555555
ทำไมมันละมุนขนาดเน้!
หวานนนมากกกกกกก ฮือออ มันอบอุ่นซึ้งใจ น้ำตาปริ่มๆ น้องอย่าไปเลยนะ น้องจะไปจากประมุขไม่ได้นะ แงงงง ต้องรู้ใจตัวเองแล้วนะคะจุดนี้ อย่าไปปปปปป