ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic หัวขโมยแห่งบารามอส ~Innocent eyes~

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2 สู่เอดินเบิร์ก...เปิดเทอม (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 50



    ตอนที่ 2 สู่เอดินเบิร์ก...เปิดเทอม

               ดวงจันทร์สีนวลลอยเด่นอยู่กลางท้องนภาที่ถูกครอบคลุมไปด้วยรัตติกาล ชวนให้นึกถึงใครบางคนที่เป็นผู้ปกครองดินแดนซึ่งเขากำลังบินอยู่เหนือมัน ..เวนอล.. ใครบางคนที่ไม่เคยคิดจะเอามาไว้ข้างกาย และบัดนี้ตัวเขาเองกลับมีหญิงสาวอีกคนที่ไม่ได้คาดคิดเช่นกันว่าจะได้มา นั่งอยู่เคียงข้างเขา หญิงสาวผู้ที่ได้ครอบครองไข่มุกแสงจันทร์ของเขา

    "เดี๋ยวเราจะลงไปหาที่พักข้างล่างก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าจึงจะเดินทางต่อ" โรเวนพูดเสียงอ่อนโยน

    "สุดแล้วแต่เจ้าพี่เถอะค่ะ หญิงยังไงก็ได้" อีกคนตอบเสียงใส

               ใครมาได้ยินคงคิดว่าสองคนคงรักกันมาก แต่สำหรับสองคนที่เป็นผู้พูดต่างรู้แก่ใจดี ..หน้าที่ที่ต้องพึงกระทำ การให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะคู่หมั้น.. ปฏิบัติต่อกันราวกับคู่รักแต่ภายในหาใช่เช่นนั้นไม่..

               หลังจากนำมังกรลงจอดที่โรงเตี๊ยมท่าทางดูดีแห่งหนึ่ง โรเวนก็พามิลเวียนเดินเข้าไปภายใน

    "ขอห้องพักสองห้อง" เจ้าของโรงเตี๊ยมหันมามองแล้วเจอหนุ่มหล่อสาวสวยสองคนก็ทักว่า

    "ทำไมไม่เอาห้องเดียวกันไปเลยล่ะ ท่าทางรักกันมากนะพวกเจ้าน่ะ" เสียงที่ไม่ค่อยเบาเท่าไหร่ทำเอาโรเวนปั้นหน้าไม่ถูก ส่วนมิลเวียนที่ยืนอยู่ข้างๆโรเวนก็รีบถอยห่างออกมาอีกหน่อยก่อนที่ดวงหน้าขาวจะขึ้นสีระเรื่ออย่างไม่ตั้งใจ ทั้งคู่ต่างคิดอวยพรสรรเสริญให้แก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นการใหญ่

               เมื่อเห็นท่าทางของสองหนุ่มสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ไม่พูดอะไร ยื่นกุญแจสองห้องให้

    "ขอบคุณ" โรเวนพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินนำไป

               หลังจากชำระล้างร่ายกายเสร็จแล้ว โรเวนก็นั่งคิดวางแผนการเดินทางใหม่ เพราะครั้งนี้ไม่ได้เดินทางคนเดียวเหมือนตอนมา ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ

               โรเวนเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

    "ขออภัยที่หญิงเสียมารยาทมารบกวนถึงห้อง" เจ้าหญิงมิลเวียนในอาภรณ์ตัวใหม่ที่ดูมิดชิดรัดกุมต่างจากอาภรณ์สวยงามเมื่อสักครู่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่หน้าห้อง

               โรเวนนึกขันอยู่ในใจเมื่อเห็นท่าทางกระดากของอีกฝ่ายที่ตอนแรกเค้าคิดว่ามีความเยือกเย็น มั่นใจไปซะทุกเรื่อง ไม่คิดว่าจะไร้เดียงสาอยู่ขนาดนี้ ..แต่ก็ดี ไม่เหมือนผู้หญิงบางคนที่ดูกร้านโลกและมักสร้างความรำคาญแก่เขาเสมอ

    "ไม่เป็นไรหรอก น้องหญิงเป็นคู่หมั้นของพี่ย่อมมีสิทธิมาหาได้อยู่แล้ว" ยกเว้นเวลาที่หลับไปแล้ว เพราะการถูกปลุกกลางดึกเป็นอะไรที่น่าอารมณ์เสียเป็นอย่างยิ่ง ..อันนี้โรเวนต่อเองในใจโดยไม่ได้พูดออกไป

    "เข้ามาก่อนสิ" โรเวนพูด แล้วขยับตัวให้มิลเวียนเข้ามา

               โรเวนปิดประตู เชิญหญิงสาวนั่งก่อนจะถามว่า

    "หญิงมีอะไรถึงมาหาพี่ถึงที่นี่"

              มิลเวียนทำท่านึกได้ ก่อนจะรีบปลดไข่มุกแสงจันทร์ที่โรเวนเป็นผู้ใส่ให้ตอนหมั้นออกแล้วยื่นคืนแก่ชายหนุ่ม

    "ไข่มุกแสงจันทร์เป็นของหมั้นที่เจ้าชายจะมอบให้แก่หญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ตอนที่เจ้าพี่มอบให้หญิงเป็นเพราะหน้าที่ หญิงเลยคิดว่าจะคืนให้เจ้าพี่ หากวันใดที่เจ้าพี่เจอผู้หญิงที่รักและถูกใจอีกครั้งก็สามารถมอบให้เขาได้ ถึงจะเป็นตอนที่เรายังหมั้นกันอยู่หรือแต่งงานกันไปแล้ว หญิงก็จะไม่คัดค้านว่ากล่าวอะไรเลย"

               โรเวนนิ่งไปกับความคิดของหญิงสาวตรงหน้าที่มักมองการณ์ไกลเสมอ และทึ่งกับความใจกว้างอย่างเหลือเชื่อ อันเป็นลักษณะนิสัยที่คนเป็นเจ้าหญิงไม่น่าจะมีได้

               ..ไม่ใช่เพียงแต่คิดถึงแค่บ้านเมือง หากแต่ใส่ใจต่อทุกคนโดยไม่สนตัวเอง ช่างเป็นผู้หญิงที่หายากนัก..

    "ไข่มุกนี่พี่ได้มอบให้น้องหญิงไปแล้ว ของที่พี่ให้ไปพี่ไม่คิดจะเอาคืน" โรเวนพูดแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

    "แต่ว่า.."

    "น้องหญิงวางใจเถอะ พี่ไม่คิดจะให้มันกับใครอีกแล้วนอกจากน้องหญิง"

               ..ใช่ ไม่มีใครที่จะให้อีกแล้ว หญิงสาวตรงหน้าเมื่อแต่งงานกับเขาแล้วถึงแม้จะเจอชายหนุ่มที่รักแต่ก็ไม่มีสิทธิได้สมหวัง ในขณะที่ตัวเขาเองถ้าเจอหญิงสาวที่รักอีกก็สามารถครอบครองได้ ทั้งๆอย่างนั้นเจ้าหญิงน้อยตรงหน้ากลับคิดถึงตัวเขาโดยไม่คิดถึงตัวเอง แล้วเขาจะเอาเปรียบคนตรงหน้าที่รักเขาหรือก็ไม่..ได้อย่างไร ในเมื่ออีกคนไม่มีสิทธิสมหวังในรักหากแต่งงานกับเขาไปแล้ว เขาก็ไม่ควรมีสิทธินั้นเช่นกัน

               หญิงสาวยังมีท่าทีลังเล โรเวนเลยลุกขึ้นพลางหยิบไข่มุกในมือหญิงสาวขึ้นมาสวมไว้ให้ที่คอระหงใหม่อีกรอบ เป็นอันว่าตอนนี้หญิงสาวไม่สามารถปฏิเสธไข่มุกเม็ดนี้ได้อีก

               มิลเวียนนึกนับถือกับความเป็นสุภาพบุรุษของชายผู้เป็นคู่หมั้น ที่เขาไม่คิดเอาเปรียบเธอ กลับให้เกียรติเสมอกัน จะมีบุรุษใดอีกบ้างที่ทำได้เช่นนี้

    "อ้อ มีอีกเรื่องค่ะ" มิลเวียนพูดขึ้นขณะที่โรเวนยังผูกสายไข่มุกแสงจันทร์ไม่เสร็จ

    "หืม เรื่องอะไรล่ะ" โรเวนถามเสียงอ่อนโยน

    "หญิงคิดว่าเจ้าพี่คงกำลังคิดเรื่องการเดินทางอยู่ หญิงเลยอยากจะเสนอ"

               โรเวนผูกเสร็จแล้วกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะพูดว่า

    "น้องหญิงมีอะไรจะเสนอหรือ"

    "หญิงคิดว่าพรุ่งนี้เราควรออกแต่เช้าเพื่อหาเสบียงและออกเดินทางทันทีโดยไม่หยุดพักจนกว่าจะถึงเอดินเบิร์ก" โรเวนเลิกคิ้วขึ้น

               ลำพังตัวเขาไม่มีปัญหาเพราะตอนมาก็มาแบบไม่หยุดพัก แต่หญิงสาวจิตใจแข็งแกร่งรูปร่างบอบบางแบบนี้จะไหวหรือ

    "พี่เองไม่มีปัญหา แต่น้องหญิงมั่นใจหรือว่าจะไหว"

    "เจ้าพี่อย่าดูถูกหญิงไป แค่นี้น่ะเรื่องเล็ก" มิลเวียนพูดอย่างไม่หวาดหวั่น

    "เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่เราคงต้องตื่นกันเช้าหน่อย" โรเวนพูด ซึ่งหญิงสาวก็ไม่มีท่าทางลำบากใจแต่อย่างใด

    "ถ้าอย่างนั้นหญิงคงต้องขอตัวก่อน ดึกมากแล้ว" มิลเวียนพูดพลางลุกขึ้น ซึ่งโรเวนก็เดินไปส่งถึงหน้าประตูห้องของหญิงสาวที่อยู่ติดกัน

               รุ่งเช้าประมาณตีห้ากว่าๆโรเวนก็เดินไปเคาะประตูของคู่หมั้นตัวเอง

    "เข้ามาได้ค่ะ" เสียงใสๆในห้องบอกมาทำให้โรเวนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจหน่อยๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

               หญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงวันนี้ไม่ได้แต่งตัวเริดหรูงดงาม แต่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบๆรัดกุมเคลื่อนไหวง่ายเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถกลบความสวยและท่าทางที่สง่างามอ่อนหวานลงได้

    "น้องหญิงทำไมไม่ล็อคประตู อันตรายนะแบบนี้" แทนที่คนถูกตำหนิจะทำท่าสำนึกผิดกลับหัวเราะออกมาซะงั้น

    "หญิงพึ่งจะเปิดล็อคตอนได้ยินเสียงประตูห้องเจ้าพี่เปิดเองค่ะ" โรเวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำบอกเล่าของมิลเวียน

    "พี่จะไปเดินซื้อของซะหน่อย หญิงจะไปด้วยหรือรอที่นี่"

    "ไปค่ะไป หญิงไปด้วย" ท่าทางกระตือรือร้นเหมือนเด็กๆเรียกรอยยิ้มจากคนมองได้ไม่ยาก

               ..เวลาอยู่ในมาดเจ้าหญิงก็ดูสง่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่พอสลัดคราบเจ้าหญิงออกก็กลายเป็นคนธรรมดาดูน่ารักอ่อนหวาน ร่าเริงเหมือนเด็ก แล้วยังมีบุคลิกไหนอีกที่ยังไม่ได้แสดงออก ช่างท้าทายให้น่าค้นหาจริงๆ ท่าทางเจ้าหญิงองค์นี้คงไม่มีทางทำให้เขารู้สึกเบื่อได้เป็นแน่..

               แล้วทั้งคู่ก็พากันลงไปจ่ายเงินค่าที่พัก แล้วชวนกันเดินออกไปซื้อเสบียงที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง ซึ่งก็ได้มามากพอสมควร ระหว่างที่เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมเพราะฝากมังกรเอาไว้ มิลเวียนก็เหลือบไปเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งท่าทางจะเป็นเด็กในครอบครัวที่มีฐานะยากจนสังเกตุดูจากเสื้อผ้าเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมก็พอจะดู

               โรเวนมองตามสายตาของหญิงสาวก่อนจะพูดขึ้นว่า

    "แม้เมืองที่เจริญเพียงใดก็ยังมีคนพวกนี้อยู่ ยิ่งเมืองใหญ่ยิ่งมีมาก"

    "หญิงรู้ค่ะ เพราะที่แอเรียสเองก็ใช่ว่าจะไม่มี ..แต่เจมิไนคงไม่มี" หญิงสาวผู้เสียงเศร้าในช่วงแรกแล้วพูดเสียงเรียบในช่วงหลัง

    "เพราะเจมิไนเป็นเมืองเล็ก เราปกครองกันได้อย่างทั่วถึง" หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนจะสาวเท้าเดินไปหาเด็กกลุ่มนั้นแล้วยื่นอาหารในมือส่งให้ เด็กน้อยทั้งหลายต่างกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ซึ่งเธอก็ไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มและลูบหัวเด็กพวกนั้นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินกลับมาหาโรเวนที่ยืนรออยู่

    "หญิงขอโทษค่ะที่ตัดสินใจเองโดยพละการ" หญิงสาวเอ่ยขอโทษ ซึ่งโรเวนก็ส่ายหน้าเชิงไม่เป็นไรก่อนจะพูดว่า

    "เสบียงเราซื้อใหม่ได้ แต่ถึงน้องหญิงจะช่วยเด็กกลุ่มนี้ได้แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น และน้องหญิงก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกคน" โรเวนพูดขึ้น

    "หญิงรู้ค่ะ แต่ถึงแม้จะเล็กน้อย ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย" หญิงสาวพูดยิ้มๆ ซึ่งโรเวนก็ไม่ว่าอะไรนอกจากส่งยิ้มบางๆให้เท่านั้น

    "เจ้าพี่คะ" มิลเวียนเรียกโรเวนหลังจากเดินกลับมาอีกรอบจากการซื้อเสบียงรอบสอง

    "หญิงดีใจที่เจมิไนไม่มีครอบครัวที่ยากจนมากขนาดนี้อยู่ และหญิงหวังว่า ในอนาคตหากเจมิไนยิ่งใหญ่มากขึ้นแล้ว เจ้าพี่ก็คงจะทำให้ครอบครัวแบบนี้ไม่เกิดขึ้นได้ใช้ไม๊คะ"

               โรเวนหันมามองหน้าหญิงสาวที่ยังคงมองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะขยับรอยยิ้มแต่ไม่ได้รับปากแต่ประการใด

    "พี่ชักกังวลแล้วสิที่หญิงต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับพี่" มิลเวียนหันมามองหน้าโรเวนด้วยความฉงน

    "ทำไมล่ะคะ"

    "พูดตรงๆพี่ไม่ใช่คนดีอะไรมากมายนัก เกรงว่าถ้าคนดีๆอย่างน้องหญิงมาอยู่กับพี่แล้วจะรับไม่ได้ขึ้นมา" โรเวนพูดยิ้มๆสีหน้าไม่เปลี่ยน

               มิลเวียนหัวเราะเบาๆกับความคิดของชายหนุ่มก่อนจะบอกว่า

    "แล้วเจ้าพี่จะรู้ว่าหญิงเองก็ไม่ได้เป็นคนดีมากมายอะไรขนาดนั้นเหมือนกัน"

    --------------------------------------------------------------------------------------------

               และหลังจากการเดินทางโดยไม่หยุดพัก ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงเอดินเบิร์กตอนเกือบเที่ยง

    "ถือว่าเราเดินทางกันได้เร็วมาก อีกหนึ่งวันถึงจะเปิดเทอม" โรเวนว่าขณะที่พามิลเวียนไปยังที่พักหลังจากที่เอามังกรไปเก็บในโรงเรียนแล้ว

    "ระหว่างนี้พี่จะพาไปหาซื้อของที่จำเป็นแล้วเดินเที่ยวด้วยดีไม๊" โรเวนถามพลางหันไปยิ้มอ่อนโยนให้แก่หญิงสาว

    "ดีค่ะ หญิงไม่ค่อยรู้ที่รู้ทางในเอดินเบิร์กสักเท่าไหร่ กำลังกลุ้มอยู่ว่าจะหาอุปกรณ์การเรียนยังไง"

    "อืม..อย่างแรกก็ต้องเครื่องแบบสินะ" ว่าแล้วโรเวนก็พามิลเวียลเดินไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆมากมายที่ประดับไปด้วยธงของหลากหลายชาติเป็นการต้อนรับเจ้าหญิงเจ้าชายจากเมืองต่างๆ

               มิลเวียนมองรอบตัวด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่ยังสำรวมไม่กระโดดโลดเต้นจนเกินงาม แล้วโรเวนก็พาเธอมาหยุดอยู่หน้าร้านเสื้อผ้าคุณภาพเยี่ยมและราคาก็ขึ้นตามคุณภาพไปด้วย เพียงไม่นานทั้งคู่ก็เดินออกมาพร้อมกับเครื่องแบบใหม่เอี่ยมคุณภาพเหลือรับประทานตามราคาเกินรับของมัน

    "ต่อไปก็ม้าทรง ดาบ คทา"

    "คทากับดาบไม่ต้องหรอกค่ะ หญิงมีแล้ว" หญิงสาวรีบค้านเมื่อเห็นโรเวนกำลังจะเดินเข้าร้านขายคทาที่ท่าทางคงจะคนเยอะน่าดู

    "งั้นเราไปดูหนังสือกับกระเป๋าเงินพระราชากันแล้วค่อยไปเลือกม้าทรงทีหลัง" ว่าแล้วโรเวนก็พาไปยังร้านหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย แล้วทั้งคู่ก็เดินหอบหนังสือกองเบ้อเร่อออกมา

    "ก็เหลือม้าทรงสินะ" โรเวนเดินนำไปยังร้านที่มีเสียงโหวกแหวกน่าหนวกหูของสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ..ร้านสัตว์พาหนะพระราชา..

               ภายในร้านกว้างขวางเต็มไปด้วยกลิ่นอับของสัตว์นาๆชนิด มิลเวียนเดินไปสำรวจดูม้าที่มีตั้งแต่ลูกม้ายันม้าแก่ๆ ซึ่งโรเวนก็ปล่อยให้หญิงสาวเลือกจนพอใจ มิลเวียนเดินดูจนเกือบทั่วก็ไม่เจอม้าที่ถูกใจจนไปสะดุดอยู่กับหม้าหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สีดำมันปลาบตัวหนึ่งเข้า

    "หญิงเอาตัวนี้" โรเวนหันไปมองม้าที่หญิงสาวเลือกก่อนจะแย้มรอยยิ้ม ..ม้าพันธุ์ดีฝีเท้าไวท่าทางแข็งแรงและเจ้าพยศ..

               เจ้าของร้านพอเห็นว่าลูกค้าคนงามเลือกได้แล้วก็รีบกระวีกระวาดมาทันที แต่พอเห็นตัวที่หญิงสาวเลือกก็ถึงกับเบ้ปาก

    "แม่หญิง กระผมว่าเลือกตัวอื่นเถอะ เจ้าตัวนี้มีคนมาขอซื้อหลายรอบแล้วแต่ไม่มีใครปราบพยศมันได้ซักที แค่จะเดินเข้าไปใกล้มันยังไม่ยอมเลย"

    "เอาตัวนี้แหละค่ะ" ไม่ว่าเจ้าของร้านจะทัดทานยังไงหญิงสาวก็ไม่เปลี่ยนใจ จนเจ้าของร้านยอมแพ้

               คราแรกที่เดินเข้าไปใกล้เจ้าม้าตัวดีก็ส่งเสียงฟืดฟาดเตรียมพยศเต็มที่ มิลเวียนเลยหยุดยืนอยู่กับที่ โรเวนยืนมองเฉยๆว่าหญิงสาวจะทำยังไงกับม้าตัวนี้ ส่วนเจ้าของร้านก็มองไปพลางส่ายหัวไปพลาง ว่าไม่มีทางแน่ๆ ไม่มีทาง

               หญิงสาวยืนมองม้าตรงหน้าสักครู่ ก่อนที่ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยพลงด้วยภาษาแปลกๆและเสียงที่ไพเราะราวกับเสียงสวรรค์ สะกดให้คนที่ยืนฟังและสัตว์ในร้านให้นิ่งเงียบลงหมด บทเพลงยังคงบรรเลงต่อไปเรื่อยๆ เจ้าม้าที่ไม่เคยมีใครปราบพยศได้กลับเป็นฝ่ายเดินมาหาหญิงสาวเอง เมื่อเธอยกมือขึ้นลูบมันเบาๆ มันก็ยอมให้เธอจับตัวมันแต่โดยดี เมื่อเสียงเพลงหยุดลง เสียงจอแจที่สัตว์ในร้านที่เงียบไปก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ปลุกให้คนสองคนตื่นจากภวังค์แห่งเสียงเพลง

    "เจ้าตัวนี้เท่าไหร่คะ" หญิงสาวหันไปถามเจ้าของร้ายขณะที่ลูบเจ้าม้าอย่างแผ่วเบาไปด้วย

               โรเวนแย้มรอยยิ้มกว้าง ในขณะที่เจ้าของร้านอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

               ..ว่าแล้ว ผู้หญิงคนนี้ท้าทายให้น่าค้นหาจริงๆ..

    "เพลงที่น้องหญิงร้องเมื่อครู่นี้เป็นภาษาอะไรหรือ พี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน" โรเวนถามระหว่างเดินหาที่พัก

    "อ้อ ภาษาแอเรียสกับสโนว์แลนค่ะ ยิ่งประสมมันขึ้นมา" หญิงสาวตอบเสียงเรียบ

    "หมายถึงภาษาของแอเรียสกับสโนว์แลนด์เมื่อครั้งก่อนที่ไฮคิงดราโกเนียจะบัญญัติให้ชาวเอเดนใช้ภาษาเดียวกันนะหรือ"

    "ใช่ค่ะ"

               โรเวนมองหญิงสาวที่เดินอยู่เคียงข้างด้วยความทึ่ง เพราะไม่คิดว่าจะยังมีใครสนใจในภาษาโบราณและศึกษาจนนำมาผสมกันกลายเป็นภาษาใหม่ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังมีความไพเราะและพลังอยู่ในตัวของภาษาอีกด้วย

     ..ช่างน่าสนใจยิ่งนัก..

    "เห็นทีวันนี้พี่ต้องขอตัวกลับโรงเรียนก่อน พรุ่งนี้น้องหญิงไปโรงเรียนเองได้ไม๊" โรเวนถามขึ้นหลังจากที่ได้ห้องพักแล้วและขึ้นมาส่งหญิงสาวถึงหน้าห้อง

    "ได้ค่ะ หญิงไปได้" หญิงสาวว่าแล้วยิ้มให้ชายหนุ่ม

    "เดี๋ยวค่ะเจ้าพี่" มิลเวียนเรียกโรเวนเอาไว้ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินจากไป

               โรเวนหันกลับมาทำหน้าประมาณว่ามีอะไรหรือ

               มิลเวียนเอื้อมมือไปถอดไข่มุกแสงจันทร์ออกแล้วยื่นมันให้แก่โรเวน และชิงพูดขึ้นว่า

    "หญิงไม่ได้จะเอาคืนนะ หญิงแค่ฝากไว้เฉยๆ หญิงกลัวมันหาย ฝากไว้ที่เจ้าพี่จะอุ่นใจกว่า"

               โรเวนยิ้มอ่อนโยนก่อนจะยื่นมือไปรับมันมา

    "พรุ่งนี้หญิงจะเข้าไปในชื่อ มิลเวียน เบิร์คลีย์ เดอะ ซอเซอริส ออฟ แอเรียส" โรเวนเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยทวน

    "มิลเวียน เบิร์คลีย์ ผู้วิเศษแห่งแอเรียสงั้นหรือ"

    "ค่ะ" หญิงสาวรับคำ

    "ทำไมล่ะ"

    "หญิงอยากลองใช้ฉายาอื่นที่ไม่ใช่ปริ๊นเซสค่ะ ไม่อยากเป็นเจ้าหญิงในโรงเรียนพระราชา" โรเวนฟังเหตุผลของหญิงสาวก็ขยับรอยยิ้มอ่อนโยน

    "แล้วแต่น้องหญิงจะเห็นสมควรก็แล้วกัน ตอนนี้พี่คงต้องขอตัวก่อน เจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียน"

    "ขอให้โชคดีค่ะเจ้าพี่"

    "น้องหญิงเองก็เช่นกัน"

    ---------------------------------------------------------------------------------------------

               เมื่อโรเวนเปิดประตูเข้ามาในห้องของเสนาธิการฝ่ายซ้ายก็พบว่ามีผู้มารอพบอยู่แล้ว

    "ไง หายไปไหนมาตั้งนาน" ไธนอสร้องถาม

    "ไปทำธุระให้มหาปราชญ์เลโมธีมาน่ะ" โรเวนตอบกลับอย่างอารมณ์ดี

    "ธุระอะไรทำให้เจ้าชายของเราอารมณ์ดีได้ขนาดนี้" ไธนอสถามยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนรัก

               โรเวนไม่ตอบอะไรนอกจากหัวเราะหึหึแล้วถามกลับว่า

    "ที่มารอนี่มีอะไรล่ะ"

    "อ้อ จะมาพูดเรื่องการคัดเลือกหัวหน้าป้อมน่ะ"

               โรเวนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งคุยกับเสนาธิการฝ่ายขวาด้วยท่าทางจริงจังมากขึ้น

    "หัวหน้าหอคนก่อนคือรุ่นพี่ปี7 ที่จบไปแล้วในปีนี้ แล้วยังมีสามขุนพลที่จบไปอีกสอง ส่วนสิบสองผู้พิทักษ์ก็หายไปสี่" ไธนอสอธิบาย

    "งั้นเราคงต้องจัดงานประลองชิงตำแหน่งหัวหน้าหอกันอีกครั้งล่ะสิ" โรเวนพูดอย่างนึกสนุก

    "ใช่ ปีนี้ท่าทางจะสนุกนะ" ไธนอสพูดอย่างเห็นด้วย

    "เรียกประชุมสภาป้อมอัศวินที่เหลือทั้งหมดตอนนี้" แล้วคำสั่งประกาศิตก็ออกมาจากปากของเสนาธิการฝ่ายซ้าย ซึ่งเสนาธิการฝ่ายขวาก็ไม่มีท่าทีคัดค้านแต่อย่างใด กลับพยักหน้าเห็นด้วยซะงั้น

               ห้องประชุมสภาของป้อมอัศวิน

    เสนาธิการฝ่ายซ้ายโรเวน..มา เสนาธิการฝ่ายขวาไธนอส..มา สี่ผู้คุมกฎลูคัส ลอร์เลนซ์ โซมาเนียครบ..ขาดโร เซวาเรสที่ติดอยู่กับขบวนของพวกลิงทะโมนที่พากันยกโขยงไปรับธิดาแแห่งความมืด สามขุนพลที่เหลืออยู่หนึ่งก็มา สิบสองผู้พิทักษ์ที่เหลืออยู่แปดก็ครบ ทุกคนในที่ประชุมยกเว้นสองเสนาฯ สามผู้คุมกฎที่อยู่ในโรงเรียนอยู่แล้ว ต่างก็มีสภาพที่ดูแทบไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย เนื่องจากได้รับสาส์นด่วนให้ต้องรีบมาเข้าประชุม ถ้าลองสังเกตุดูแล้ว พวกที่เหลือๆอยู่มีแต่ปี7ทั้งนั้น

    "ที่เรียกประชุมในวันนี้เกี่ยวกับเรื่องการคัดเลือกหัวหน้าป้อมคนใหม่ เพราะหัวหน้าป้อมคนก่อนของเราพึ่งจบไป" โรเวนเปิดประเด็นทันที่เมื่อเห็นว่าทุกคนมาครบแล้ว

    "แล้วนายเห็นว่าใครเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้ล่ะ" เสียงหนึ่งถามขึ้น

    "สำหรับความคิดของฉันกับไธนอสยังเหมือนเดิม" โรเวนตอบเสียงเรียบ

    "ผู้คุมกฎอย่างพวกฉันโรเวนว่าไงก็ว่าตามกัน" ซาตานแห่งป้อมอัศวินพูดแล้วแย้มรอยยิ้มน่ามอง

    "อืม..พวกเราที่เหลือก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ"

    "สรุปก็คือทุกคนจะลงสมัครตำแหน่งเดิมว่างั้น" โรเวนเลิกคิ้วถาม แล้วก็ได้รอยยิ้มจากทุกคนเป็นคำตอบ

    "งั้นมาวางแผนกันหน่อย ปีนี้ฉันอยากให้พวกเราปีเจ็ดทุกคนดำรงตำแหน่งเดิมเราจะทำการยึดสภาสูงอีกปี ถ้าหากใครหลุดจากตำแหน่งก็ไม่ว่ากันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่ปีนี้ฉันอยากให้ช่วยพวกปี3ด้วย" โรเวนพูดยิ้มๆอย่างมีเลศนัย

    "หมายความว่าสภาสูงปีนี้จะมีแต่พวกเราปี7กับพวกรุ่นน้องปี3เหรอ"

    "ถูกต้อง" โรเวนตอบ

    "หมายความว่าเราต้องคอยช่วยพวกปี3เหรอ"

    "ไม่จำเป็น ถ้าอยากเข้าสภาสูงต้องมีฝีมือจริง ที่เราต้องทำก็แค่กระตุ้นพวกนั้นให้ฮึกเหิม" โรเวนตอบเสียงเรียบ

    "เหมือนกับปีก่อนงั้นสิ" ลูคัสถามพลางยิ้มอย่างนึกสนุก

    "ถูกต้อง เรื่องยุว่าที่หัวหน้าป้อมฉันกับไธนอสจะจัดการเอง บางที..เราอาจจะยืมมือธิดาแห่งความมืดให้ช่วยในเรื่องนี้ทางอ้อมก็ได้" โรเวนว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ชนิดที่ถ้าหัวขโมยตัวดีมาเห็นคงขนลุกซู่ด้วยความสยองเป็นแน่

    ----------------------------------------------------------------------------------------------

    50%

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×