คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่5 ตื่น...หรือไม่ตื่น!?(100%)มาอัพแล้วค่า
ตอนที่5 ตื่น...หรือไม่ตื่น!?
"หลับมาซะนาน ได้เวลาตื่นแล้วมั้ง Dark Angle "
พอลูอิสพูดประโยคสั้นๆนี้ออกมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ จินหน้าทำหน้าเคร่งเครียดอยู่บนโต๊ะทำงาน ซุยเซกำลังตกตะลึงอยู่บนเตียง ส่วนคนพูด..ยิ้มหน้าระรื่นราวกับตัวเองไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น
"อืม..ท่าทางแบบนี้คงตื่นยาก ยังไงเรามารื้อฟื้นความหลังกันก่อนดีกว่า..จิน เล่าดิ" แล้วคนทำป่วนก็โยนหน้าที่ไปให้เพื่อนหน้าตาเฉย
คนที่ถูกผลักภาระมาให้เพียงแค่ทำหน้านิ่งเฉยแล้วเริ่มพูด
"ก่อนอื่นขอถามก่อนว่านายจำอะไรได้บ้างมั้ย"
"ก็..จำได้แค่ว่าผมเป็นผู้ถูกสร้างกับผู้สร้างตายหมดแล้ว..แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ่ผู้สร้างกับผู้ถูกสร้างนี่มันคืออะไรแน่" ซุยเซตอบพลางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
จินกับลูอิสหันมามองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจ
"ความทรงจำของนายมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่" จินถามอย่างใจเย็น
"ก็..ตั้งแต่มาอยู่กับฮานาบิตอนอายุ14ล่ะมั้ง ก่อนหน้านั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย"
แล้วต่างคนต่างก็เงียบไปพักใหญ่ จนในที่สุดจินก็เริ่มพูดขึ้นว่า
"เมื่อ10ปีก่อน ได้มีองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่งถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีใครล่วงรู้โดยใช้ชื่อว่า..คิเมร่า"
"องค์กรคิเมร่าได้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญด้านการตัดต่อยีนส์และพันธุกรรมจากทั่วโลกมารวมกัน โดยมีเป้าหมายคือ..การสร้างมนุษย์พันธุ์พิเศษซึ่งมีความสามารถที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา นอกจากนี้ยังมีความสามารถส่วนตัวที่ขึ้นอยู่กับการตัดต่อยีนส์และพันธุกรรมนั้นอีกด้วย การทดลองดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง และในที่สุด..เมื่อ5ปีก่อน มนุษย์พันธุ์พิเศษที่สมบูรณ์แบบก็ถูกสร้างขึ้นสำเร็จสองคน คนหนึ่งได้รหัสว่าGolden Demon ส่วนอีกคนหนึ่งได้รหัสว่า..Dark Angle"
เมื่อจินเล่ามาถึงตรงนี้ ซุยเซก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ภาพความฝันเมื่อเช้าแวบเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว
ภาพของเหลวสีเขียว ภาพสายระโยงระยาง ภาพของผู้คนมากมายที่สวมเสื้อกราวด์สีขาวอย่างพวกนักวิทยาศาสตร์ที่เคยเห็นในทีวี ภาพห้องสีขาว และ...ภาพของเด็กผู้ชายผมทองตาสีแดงราวกับเลือด ที่มีใบหน้าเย็นชา
แล้วภาพเหตุการณ์ตอนหนึ่งในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆบดบังที่เคยเห็นบ่อยๆในฝันก็ผุดขึ้นมา ครั้งนี้แจ่มชัดยิ่งกว่าในฝันหลายเท่า...ชายวัยกลางคนวิ่งด้วยความเร็ว พยายามสลัดผู้ที่ตามมาให้หลุด
เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นกลบทุกเสียงในบริเวณนั้นให้สงบลงอีกครั้ง พร้อมๆกับร่างที่ทรุดลงพร้อมลมหายใจสุดท้ายและเลือดสีแดงสดที่เริ่มไหลเจิ่งนอง
ปานรูปปีกนางฟ้าสีดำสนิทปลายปีกหันออกไปทางนิ้วโป้งเด่นหราอยู่ ณ บริเวณข้อมือข้างซ้ายซึ่งถืออาวุธสังหารที่ทำด้วยเหล็กอยู่ในขณะนี้ ปากอิ่มสีเชอร์รี่แย้มยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและเยือกเย็นอยู่เหนือร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจ แสงจันทร์บนท้องนภาสาดส่องลงมาให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีผมสีดำและนัยน์ตาสีทองทอประกายกล้า ซึ่งก็คือใบหน้าของเค้านั่นเอง!!!
"ไม่!! ไม่!! ไม่!! อ๊าาา!! ม่ายยยยยย!!!!!!!!" ซุยเซตะโกนออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง มือทั้งสองกุมขมับเอาไว้ด้วยท่าทางที่ทรมานแสนสาหัส
ลูอิสกับจินที่ดูเหมือนเตรียมตัวเจอเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว แล้วพุ่งเข้ามาล็อคตัวเอาไว้ไม่ให้คนคลั่งได้อาละวาด
"อ๊า!! ปล่อย!! ปล่อย!!..ฮึก..ฮือ..ฮือ!!!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ราวกับจะขาดใจ อาการดิ้นรนและสะบัดหายไป เหลือเพียงแต่ร่างกายที่สั่นเทาคุดคู้กอดตัวเองเอาไว้อย่างน่าสงสาร ทำเอาคนที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอมีสีหน้าที่ดูเศร้านิดๆและยิ้มไม่ออก ส่วนคนที่มีแต่สีหน้าเย็นชา ตอนนี้เหลือเพียงความเจ็บปวดลึกๆในใจเมื่อเห็นอาการของคนที่นอนร้องไห้ตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้า
ลูอิสถอยห่างออกมา ปล่อยให้จินกอดประโลมร่างที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจ แล้วพูดว่า
"เฮ้อ เราปลุกเร็วไปรึปล่าวหวา"
"ไม่หรอก..ยังไงก็ต้องรู้เข้าสักวัน" จินตอบเสียงเรียบ
"แต่ก็ยังไม่ตื่นอยู่ดีนะ แค่ความทรงจำกลับมาเอง" ลูอิสพูดท่าทางเสียดายหน่อยๆ
"วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน ปล่อยให้นางฟ้าได้ทำใจยอมรับความจริงที่ได้รู้นี่ซะก่อน" ลูอิสเหลือบมองหน้าคนพูดที่ตอนนี้ไม่เหลือความเย็นชาหรือแววตาเย้ยหยันที่ชอบทำเป็นประจำอยู่อีกเลย แล้วก็หัวเราะหึหึออกมา
"นายหัวเราะอะไรลูอิส" จินถามเสียงเรียบโดยที่ดวงตายังมองไปที่ร่างในอ้อมกอดซึ่งบัดนี้ได้เข้าสู่นิทราไปแล้ว
"ก็หัวเราะนายน่ะสิ ทำเป็นเย็นชาไร้อารมณ์ สุดท้าย..ก็ทำไม่รอด" ลูอิสพูดด้วยท่าทางล้อเลียน
"ช่างฉัน นายไปติดต่อฮานาบิแล้วแจ้งเรื่องทั้งหมดให้พวกนั้นรู้ซะ" คนเก๊กแตก ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนจะออกคำสั่งตามความเคยชิน
"รับทราบครับผม" ลูอิสพูดล้อเลียนพลางทำหน้าทะเล้น ก่อนจะรีบออกไปทำตามคำสั่ง ก่อนจะโดนสายตาพิฆาต
----------------------------------------------------------------------------------
"ความทรงจำของซุยเซซังกลับมาแล้วเหรอครับ" ฮานาบินั่งอยู่บนโต๊ะสีขาวกลางสวนที่เคยใช้นั่งดื่มชากับซุยเซ แนบหูไว้กับโทรศัพท์
"แล้วมีอาการยังไงบ้างครับ" ฮานาบิถามต่อด้วยความเป็นห่วงซุยเซ
"เฮ้อ..แย่ ดูท่าเจ้าตัวจะช๊อคน่าดู" ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
"อย่างงั้นเหรอครับ...ขอบคุณมากครับลูอิสซัง ที่อุตส่าห์โทรมาบอก"
"ไม่เป็นไรๆ แล้วถ้ามีความคืบหน้ายังไงฉันจะโทรมาบอกอีกครั้งแล้วกัน" แล้วต่างฝ่ายต่างก็กดวางโทรศัพท์ลง
"ได้เรื่องว่ายังไงบ้างเหรอครับ" ไคถามขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของฮานาบิ
"ซุยเซซังได้ความทรงจำกลับมาแล้ว..แต่ว่าอาการออกจะแย่ ทั้งๆที่ผมให้เค้าทำงานเป็นบอร์ดี้การ์ดก็เพื่อให้ทนรับสภาพของความโหดร้ายต่างๆได้แท้ๆ" ฮานาบิพูดเศร้าๆ
"คุณชายซุยเซน่ะ ตอนมาอยู่ที่นี่แรกๆก้าวร้าวน่าดู แต่พออยู่ไปนานๆความแข็งกร้าวนั้นก็ลดลงจนหมด จริงๆแล้วเค้าเป็นเด็กที่อ่อนโยนมากทีเดียวครับ ถึงให้ทำงานเป็นบอร์ดี้การ์ดก็จริง แต่เค้าไม่เคยทำร้ายใครจนตาย..อย่างมากก็แค่บาดเจ็บ แต่พอมารู้ความจริงว่า..ตัวเองเคยทำเรื่องโหดร้ายขนาดนั้นไว้ เจ้าตัวก็คงเกิดอาการรับไม่ได้ขึ้นมาบ้างแหละครับ" ไคพูดปลอบใจ
"ผมก็หวังเพียงให้เค้าเข้าใจว่า ก่อนหน้านั้นน่ะมันไม่ใช่ตัวเค้า..เป็นเพียงเครื่องจักรสังหารที่ถูกคนอื่นบงการอยู่เท่านั้น" ฮานาบิพูดเศร้าๆ พลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบนะยับ
"คุณชายซุยเซเป็นเด็กร่างเริงที่ทำใจยอมรับสิ่งต่างๆได้ง่ายมากกว่าที่พวกเราคิดไว้ เค้าจะต้องรับรู้ได้ในสิ่งที่คุณคาดหวังแน่นอนครับ" ไคพูดอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเชิญฮานาบิให้เข้าไปในบ้าน เพราะกลัวว่าถ้าตากน้ำค้างนานจะไม่สบายเอา
------------------------------------------------------------------------------------------------
ซุยเซผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพเหงื่อชุ่มและน้ำตาเปรอะทั่วใบหน้า เมื่อเหลียวมองรอบตัวก็พบแต่ความมืดและเงียบ เค้าจึงค่อยๆขยับขึ้นนั่งท่ากอดเข่า ดวงตาเหม่อลอยเต็มไปด้วยความเศร้าโศก สมองนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ในความฝัน ที่เค้ารู้ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ฝันธรรมดา แต่เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
5ปีก่อน...สถาบันวิจัยลับขององค์กรคิเมร่า
"มนุษย์ทดลองพันธุ์พิเศษหมายเลข10013เป็นยังไงบ้าง" ชายวัยกลางคนที่มีผมสีขาวเกือบทั่วทั้งหัว เมื่อนำมาประกอบกับดวงตาไร้แววอ่อนโยนและน้ำเสียงเย็นชาจริงจังแล้ว..สิ่งเหล่านี้ได้เพิ่มความน่าเกรงขามให้กับชายคนนี้มากขึ้น..เค้าคนนี้มีชื่อว่าโคโนมุ นายามิ หัวหน้าการทดลองและวิจัยมนุษย์พันธุ์พิเศษ
"ไม่ไหวครับหัวหน้า ส่วนผสมของยีนส์ไม่ได้สัดส่วน สูญเสียลักษณะภายนอกของมนุษย์ไปเกือบหมด นิสัยและจิตใจก็ไม่สมบูรณ์ครับ" ชายคนที่ดูหนุ่มกว่าตอบกลับผู้ที่อาวุโสกว่า
"เฮ้อ..คนต่อไป" นายามิถอนหายใจด้วยความเหนื่อยและเบื่อหน่าย แต่เค้าก็ไม่มีท่าทีจะย่อท้อต่อการทดลอง
"แล้วคนนี้ล่ะครับ"
"ของผิดพลาดก็เป็นได้แค่ขยะ ถ้ามันพอใช้ได้อยู่ก็เก็บไว้เป็นสัตว์เลี้ยงซะ แต่ถ้าไม่..ก็จัดการเหมือนเดิม" ชายที่อายุน้อยกว่าเหลือบมองแววตาเย็นชาไร้ปราณีของหัวหน้าแล้ว ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก เพราะ"จัดการเหมือนเดิม"ที่ว่า คือการนำมนุษย์ทดลองที่เห็นว่าไม่สามารถใช้การได้ไปทำลายทิ้ง หรือพูดตรงๆก็คือ...เผาทั้งเป็น!!...
"ทราบแล้วครับ" คนเป็นลูกน้องถึงแม้จะไม่อยากทำ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่ง..ใครล่ะจะกล้าขัด
"หัวหน้าครับ" ลูกน้องอีกคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นหัวหน้าด้วยท่าทางรีบร้อนและตื่นเต้น
"มีอะไร" นายามิถามเสียงเย็นชาเนื่องจากพึ่งผิดหวังมาจากผลการทดลองเมื่อครู่
"ทางองค์กรใหญ่ติดต่อมาบอกว่า ขณะนี้การทดลองของทางนั้นประสบความสำเร็จแล้วครับ แล้วก็กำลังส่งข้อมูลมาให้ทางเราอยู่ครับ" ลูกน้องคนนั้นรายงานด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี ไม่แพ้กับหัวหน้าที่ได้ฟังคำบอกเล่า
"จริงเหรอ แล้วข้อมูลนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่" นายามิถามเสียงตื่นเต้นดีใจเสียยิ่งกว่าลูกน้องซะอีก
"ทางนั้นบอกว่าน่าจะมาถึงแล้วครับ..เอ่อ..แต่..เค้าบอกว่าข้อมูลที่ว่ามันไม่ใช่กระดาษนะครับ"
"ไม่ใช่กระดาษ..งั้นอะไร แผ่นดิส ซีดี วิดีโอ ไมโครชิป" นายามิถามลูกน้องพลางขมวดคิ้วด้วยความฉงน
"ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละครับ ทางองค์กรใหญ่บอกว่ามันคือ.."
"มันก็คือฉันไงล่ะ" ทั้งลูกน้องทั้งหัวหน้ารีบหันขวับไปมองยังที่มาของเสียงใครซักคนที่มาขัดจังหวะการสนทนาครั้งนี้
สิ่งที่ทั้งสอง และคนทั้งองค์กรเห็นอยู่ในขณะนี้คือ..เด็กผู้ชายอายุประมาณ15 ผู้มีผมสีทองพลิ้วไหวน้อยๆอย่างน่าดู นัยน์ตาสีแดงราวกับเลือดนั้นสะกดทุกคนให้ตกอยู่ในความเงียบ ใบหน้าเย็นชามีรอยยิ้มเยาะประดับน้อยๆ แต่กลับดูมีเสน่ห์ด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวทุกอย่างทั้งรูปร่างและหน้าตา สิ่งสำคัญที่ทำให้คนทั้งหมดต้องอ้าปากค้างแลเบิกตากว้างด้วยความตะลึงก็คือ เด็กคนนั้นกำลังลอยตัวอยู่บนอากาศด้วยปีกที่ดูเหมือนปีกค้างคาว ผิดที่สีไม่ใช่สีดำหรือสีน้ำตาล หากแต่เป็นสีทองสว่างสวย!!!
------------------------------------------------------------------
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูทำให้ซุยเซหลุดออกจากภวังความคิด เมื่อหันหน้าไปก็เจอกับจินที่กำลังเดินเข้ามา
"ตื่นแล้วเหรอ" จินถามแล้วเดินมานั่งข้างเตียง แต่อีกคนเพียงแต่นั่งมองหน้าเค้าด้วยสายตาที่เหม่อลอย แล้วจะทำยังไงได้นอกจากนั่งอยู่เงียบๆแบบนั้น ไอ่จะให้ปลอบรึ ก็ทำไม่เป็น...
"... นี่" คนที่นั่งเหม่อลอยเปล่งเสียงทำลายความเงียบขึ้น
"คุณน่ะ.. ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังหน่อยสิ" จินมองหน้าซุยเซอย่างแปลกใจ เพราะคิดว่าคนตรงหน้าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องราวในอดีตมากกว่านี้ซะอีก
"อย่าพึ่งเลย ตอนนี้...นายมีเรื่องให้ต้องคิดมากพอแล้ว ขืนเล่าตอนนี้...มันจะกลายเป็นหนักเกินกว่าที่จะรับได้ ไว้สักวันหนึ่งที่นายพร้อมมากกว่านี้ แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง" แม้น้ำเสียงจะเรียบๆเย็นๆเหมือนเดิม แต่มือที่เอื้อมมาลูบหัวอย่างแผ่วเบานั้น อ่อนโยน.. และอบอุ่น มันทำให้ซุยเซไม่ได้โต้แย้งอะไรออกไป เพราะก็รู้ตัวเองดี ว่าแค่นี้..ก็หนักมากแล้วสำหรับเค้า มือใหญ่อบอุ่นช่วยให้ผ่อนคลายไปเยอะ และนั่นก็ทำให้เค้าคิดได้ว่าถ้าเรื่องแค่นี้ยังรับไม่ได้ แล้วถ้าอนาคตต้องเจอกับอะไรที่มันเลวร้ายกว่านี้ จะไปทำอะไรกิน คนเราเกิดมาไม่ได้มีแค่ความสุขอย่างเดียว ชีวิตเมื่อถือกำเนิดมาแล้ว ย่อมต้องมีครบทุกรสชาติ สุข ทุกข์ ขมขื่น เศร้า ยินดี ตื่นเต้น แล้วแต่ว่าใครจะเจออะไรมากอะไรน้อย สำหรับเค้าในตอนนี้ บอกตัวเองได้แค่อย่างเดียวว่า ..จงอย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ยืดอกและยอมรับมันให้ได้ ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงถ้าใจกล้าซะอย่าง..
พอคิดได้แบบนี้แล้ว ดวงตาที่เหม่อเลยของซุยเซก็กลับมามีแวว มีความหวังเหมือนเดิม
"ผมชักหิวแล้วสิ มีอะไรกินบ้างมั้ย" เสียงร่าเริงและรอยยิ้มสดใสถูกส่งมาจากคนที่ดูเหมือนไร้วิญญาณเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
จินมองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจในความเปลี่ยนแปลงนี้แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่ก็มีตัวมารมาขัดขวางจนได้
"ไงจ๊ะ ซุปร้อนๆมาแล้วจ้า" ลูอิสเดินถือถาดซุปเข้ามาอย่างอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ
"อ้าว ท่าทางจะไม่เป็นไรแล้วแหะ เก่งนี้ นึกว่าต้องใช้เวลามากกว่านี้ซะแล้ว" ลูอิสพูดด้วยรอยยิ้มพลางเดินมายื่นถาดพร้อมซุปให้กับซุยเซ
"ขอบคุณมากครับ" ซุยเซพูด แล้วรับซุปมาตักกินราวกับไม่เคยมีเรื่องหดหู่อะไรมาก่อนเลย ทำเอาคนมองสองคนแอบอึ้งและทึ่งกับความสามารถในการทำใจของคนตรงหน้าที่นั่งกินซุปอย่างเอร็ดอร่อย
เวลาผ่านไปซักพัก เมื่อซุยเซกินซุปหมดแล้ว ลูอิสก็เริ่มต้นพูดว่า
"เอาล่ะ ทีนี้มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ทีแรกกะว่าจะเอาไว้วันหลัง แต่เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง" ลูอิสพูดยิ้มๆก่อนจะเริ่มพูดขึ้นใหม่
"จำได้มั้นที่ฉันบอกว่า ..อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใครรู้จัก เพราะตอนนี้คนเค้าตามหานายกันซะให้ทั่วไปหมด..น่ะ"
"จำได้ครับ" ซุยเซตอบอย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่าลูอิสต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ส่วนจินก็ได้แต่นั่งกอดอกฟังเงียบๆ เพราะรู้ว่าหน้าที่พูดมันของลูอิส นอกจากมันจะปัดมาให้เค้าแทนเพราะขี้เกียจ
"งงล่ะสิ เอางี้ฉันขอย้อนความไปซักนิดละกัน ..มนุษย์ทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดขององค์กรคิเมร่าคนแรกคือ Golden Demon ส่วนคนที่สองคือเธอ Dark Angle หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นอันต้องทำให้องค์กรนี้ล่มไป ซึ่งเธอก็คงรู้ดีใช่มั้ย" ซุยเซผงกหัวตอบด้วยสายตาที่มั่นคง ยอมรับการกระทำของตัวเอง
"นั่นแหละ เธอคงคิดว่าเรื่องมันจบมาตั้งแต่นั้นแล้วล่ะสิ จริงๆแล้ว..เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นต่างหาก"
"เอ๋.." ซุยเซอุทานออกมาไม่ค่อยเข้าใจ
"จะบอกให้ว่าที่เธอทำลายลงน่ะ มันแค่สาขาย่อยเท่านั้น สาขาใหญ่ของมันจริงๆยังตั้งตระหง่านเด่นหลาเป็นยักษ์ปักหลักอยู่เลย"
"อะไรนะ!" ซุยเซเผลอตะโกนออกมาด้วยความคาดไม่ถึง ลูอิสอมยิ้มชอบใจประมาณว่า นั่นไงคิดแล้วเชียว ส่วนจินยังคงกอดอกฟังเงียบๆต่อไป
"จริงๆแล้วGoldenกับDarkน่ะ เค้าตั้งใจจะสร้างขึ้นมาเพื่อให้มันคานกับเอาไว้ แต่มันพลาดตรงที่ว่า นอกจากมันจะไม่คานกันแล้ว มันยังค้ำกันอีกต่างหาก" เมื่อเห็นซุยเซทำหน้าประมาณว่าคานอะไรค้ำอะไรลูอิสก็อธิบายต่อว่า
"พลังไง รู้มั้ยว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ทดลองสองคนนั้นมีพลังมากแค่ไหน.. ก็คงจะพอรู้ล่ะนะถ้าย้อนไปดูเธอในอดีตน่ะ แล้วก็ด้วยเหตุนั้นแหละ พอGoldenกำเนิดออกมาพลังที่มหาศาลกับร่างกาย สมองที่เก่งกาจราวกับเทพบวกปิศาจ มันเลยทำให้พวกองค์กรกลัวว่าซักวันจะเกิดเรื่องขึ้นเพราะพลังนั้นแน่ เพราะสิ่งที่พวกเค้าสร้างยังไงก็ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ยอมถูกชักจูง ไม่ยอมรับคำสั่ง มีความคิดเป็นของตัวเอง ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะควบคุมให้อยู่ในคำสั่ง พวกเค้าเลยตั้งใจจะสร้างDarkออกมาให้เป็นตัวคอยขัดและสกัดกั้นพลังของGolden และทำนองเดียวกันก็ให้Goldenเป็นตัวขัดพลังของDarkเหมือนกัน"
"ทีนี้..เรื่องทั้งหมดมันดันไม่เป็นไปตามคาดน่ะสิ เพราะสองคนนี้นอกจะไม่ขัดกันแล้ว ดันเป็นตัวเสริมพลังให้กันและกันมากขึ้นอีกต่างหาก หลังจากเกิดเรื่องถล่มสาขาย่อยขององค์กรแล้ว ทั้งGoldenทั้งDarkก็หายตัวไปด้วยกันทั้งคู่ ทางองค์กรเห็นว่ามนุษย์ทั้งลองทั้งคู่เป็นตัวอันตรายสำหรับองค์กรพวกเค้าก็เลยคิดจะสร้างมนุษย์ทดลองขึ้นมาใหม่เพื่อให้ออกตามล่าGoldenกับDarkโดยเฉพาะ มนุษย์ทดลองรุ่นใหม่นี้จะถูกฝังไมโครชิพชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความรักและภักดีต่อองค์กรยิ่งกว่าชีวิตพูดง่ายๆก็คือ เป็นตัวควบคุมจิตใจและความคิดป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างคราวของGoldenกับDarkขึ้นมาอีก"
พอลูอิสพูดจบซุยเซก็เป็นอันต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดหนักสุดๆอีกต่างหาก เข้าใจเลยว่าทำไมถึงบอกว่า"อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใครรู้จักก็แล้วกัน เพราะตอนนี้คนเค้าตามหานายกันซะให้ทั่วไปหมด" ก็เล่นมีมนุษย์ทดลอง แถมมีความสามารถและพลังเหมือนตัวเองมาตามล่าควานหาตัวกันเป็นฝูงแบบนี้ แล้วเค้าจะเอาอะไรที่ไหนไปสู้ด้วย อย่าว่าแต่ตอนนี้แค่จำเรื่องราวได้ส่วนหนึ่งไม่ถึงร้อยเปอร์เซนต์ พลงพลังที่มีก็ใช้ไม่เป็นอีกต่างหาก แค่คิดก็สยองแล้ว และดูเหมือนลูอิสจะรู้ว่าซุยเซคิดอะไรอยู่ เพราะอยู่ๆคนรู้มากก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะบอกว่า
"ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า มนุษย์ทดลองชุดนี้น่ะเทียบGoldenกับDarkไม่ได้เลยซักกะนิดเดียว" พอได้ฟังแบบนี้ ซุยเซก็ถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งอึ้ง สงสัย โล่งใจ
"ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าข้อมูลการวิจัยและทดลองมันหายเกลี้ยงเลยน่ะสิ แถมคนที่รู้วิธีการก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ก็นับว่าพวกองค์กรนี้มันแน่พอตัวเลยทีเดียวนะ ข้อมูลถูกทำลายจนเกลี้ยง แถมคนที่สามารถทำการทดลองให้สำเร็จได้ก็หายตัวไปอีก แต่มันก็ยังอุตส่าห์กู้ข้อมูลคืนจนได้ ถึงแม้จะเล็กน้อยก็เถอะ ผลก็คือมนุษย์ทดลองชุดใหม่นี้มีศักยภาพไม่ถึงครึ่งของสองคนแรกเลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ องค์กรนี้ไม่ได้อยู่เฉยหรอกนะ เธอเข้าใจมั้ย" ลูอิสลองหยั่งเชิงดู
"ผมเข้าใจ ตอนนี้พวกนั้นคงกำลังพยายามพัฒนาการทดลองอยู่ใช่มั้ยครับ" ซุยเซถามเสียงเครียด
"โป๊ะเชะ ใช่เลย แถมทำได้ซะด้วยนะ ทีนี้มนุษย์ทดลองชุดที่สามก็เลยตามมา กลุ่มนี้น่ะมีพลังประมาณครึ่งหนึ่งของสองคนแรก เทียบกันไม่ได้แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ชุดต่อไปต้องตามมาอีกแน่.. ทางเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้ได้คือทำลายสาขาใหญ่มันซะ และระหว่างนั้นก็ต้องคอยทำลายสาขาย่อยทั้งหมดด้วย ซึ่งไม่อยากจะบอกว่าสาขาย่อยที่ว่าน่ะมีอยู่ทั่วโลกเลยนะ รวมทั้งสาขาญี่ปุ่นที่เธอทำลายไป พวกองค์กรใหญ่ก็ได้ฟื้นฟูและจัดตั้งขึ้นใหม่ ส่วนคนที่จะจัดการเรื่องนี้มีอยู่แค่สองคนเท่านั้นคือเธอ Dark Angle และอีกคน Golden Demon ตอนนี้มันอยู่ที่ตัวเธอแล้วล่ะว่าเลือกที่จะเผชิญหน้ากับอดีตหรือหลีกหนีมันไปให้พ้นซะ"
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ลูอิสนิ่งรอคำตอบจากซุยเซ จินนั่งกอดอกหลับตาฟังเงียบๆ ส่วนตัวซุยเซเองนั้นก้มหน้าหลับตานิ่ง ความคิดกำลังตีกันให้วุ่นไปหมด หากเค้าเลือกที่จะเผชิญกับมันคือตัวเค้าต้องกลายเป็นเหมือนเมื่อครั้งอดีต โหดเหี้ยม เย็นชา เลือดเย็น นักฆ่าผู้โด่งดัง หรือจะหันหลังให้แก่มันใช้ชีวิตเป็นบอร์ดี้การ์ดไปเรื่อยๆอย่างนี้ ..ก็ใช่ว่าหันหลังให้มันแล้วเค้าจะปลอดภัย ซักวันก็คงถูกตามตัวเจออยู่ดี เพราะฉนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ..จงอย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ยืดอกและยอมรับมันให้ได้ ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงถ้าใจกล้าซะอย่าง..
ซุยเซเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคงไร้ความลังเล สายตาที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจในครั้งนี้
"ผมจะสู้และเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่กลัว ไม่มีทางหันหลังหนีมันเด็ดขาด" น้ำเสียงและแววตาที่มั่นคงทำให้ลูอิสฉีกรอยยิ้มกว้าง ส่วนจินเองก็มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
"เอาล่ะงั้นเรามาคุยประเด็นต่อไปกัน ถึงมนุษย์ทดลองสองชุดหลังนี้จะเทียบกับเธอไม่ได้ แต่ก็เฉพาะตอนที่เธอสามารถใช้พลังนั้นได้เต็มที่เหมือนเมื่อก่อน เพราะฉนั้นเธอในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งที่เก่งกว่าคนทั่วไปก็แค่นั้นเอง เมื่อเป็นมนุษย์ธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถต่อกรกับพวกนั้น" ซุยเซฟังแล้วก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อ้าปากพงาบๆอีกรอบ ..อย่างนี้เค้าก็มีสิทธิเดี้ยงเอาได้ง่ายๆน่ะสิ เวรกรรมอุตส่าห์โล่งใจได้ไม่นาน..
ลูอิสมองหน้าซุยเซแล้วก็อดเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ซึ่งซุยเซก็งงว่ามันน่าตลกตรงไหน
"เอาน่าๆ ฟังอย่างนี้แล้ว..ไม่คิดจะปลุกพลังของตัวเองให้ตื่นขึ้นมาบ้างรึไง" ลูอิสยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำเอาซุยเซแอบขนหัวลุก ส่วนจินก็ได้แต่ถอนหายใจพลางคิดว่า ..มันกำลังคิดจะเล่นสนุกอีกแล้ว..
50%
"แต่ตอนนี้พักก่อนดีกว่านะ พึ่งจะทำใจได้ร่างกายก็คงจะยังไม่พร้อม" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่หายไปกระทันหัน แทนที่ด้วยรอยยิ้มธรรมดาๆที่เป็นเอกลักษ์ประจำตัวของลูอิสทำเอาซุยเซแทบจะปรับอารมณ์ตามไม่ทัน ส่วนอีกราย..ดูท่าทางจะชินซะแล้วเพราะเห็นนั่งเฉยไม่อะไรสักอย่าง
"อะ เอางั้นก็ได้" ซุยเซว่าพลางเอามือเกาหัวอย่างงงๆ
"เป็นเด็กดีจังน้า งั้นฉันคงต้องขอตัวก่อน มีธุระต้องไปทำอยู่" ว่าแล้วคนพูดก็เดินออกจากห้องไปย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนหนึ่งนอนทำตาปริบๆกับอีกคนหนึ่งนั่งทำหน้าเหนื่อยหน่าย
"นอนพักไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าอยากได้อะไรก็เรียก" จินพูดสีหน้าเรียบเฉยแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องก่อนจะลงมือทำงานโดยไม่สนใจอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงของเค้า
ซุยเซมองคนที่นั่งทำงานอย่างไม่สนใจอะไรแล้วก็เบนสายตาออกไปมองวิวข้างนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ซึ่งเป็นสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวซึ่งมันก็ช่วยให้เค้าผ่อนคลายได้มากขึ้น จนไม่นานก็ผลอยหลับไป
"เด็กคนนี้น่าสนใจดีนะ ฟื้นตัวได้รวดเร็วมาก ยังไม่ทันข้ามวันเลย" ลูอิสพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มอย่างคนอารมณ์ดี
"จริงเหรอครับ ค่อยโล่งอกหน่อย ผมก็เป็นห่วงอยู่ว่าถ้าซุยเซซังฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็นยังไง" ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงแสดงความโล่งอกโล่งใจอย่างสุดๆ
"ฮ่าๆๆ หายห่วงได้เลยนะฮานาบิ เค้าแข็งแรงปลอดภัยแถมจิตใจแจ่มใสแกล้งสนุกอีกต่างหาก"
"ฮะๆๆ ท่าทางต่อจากนี้ไปคงจะมีเรื่องดีๆคอยอยู่สินะครับ รู้สึกซุยเซซังจะเป็นที่ถูกใจของทุกคนที่ได้พบนะครับ"
"แน่นอนสิ..มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว" ท้ายประโยคพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆราวกับรำพึงกับตัวเอง แต่มีหรือที่คนปลายสายจะไม่ได้ยิน
"กำลังยิ้มดีใจอยู่สินะครับ"
"หึหึ รู้ทันทุกทีเลยสินะ" แล้วสองคนก็หัวเราะให้กันตามสไตล์ของตัวเอง
ยิ้มดีใจที่ว่า ถ้าหากซุยเซเห็นเข้าล่ะก็คงเอ่ยปากถามแน่ๆว่านั่นยิ้มดีใจแน่รึปล่าว ทำไมมันดูลึกลับจัง..
--------------------------------------------------------------------
"เฮ้อ..เหนื่อยจัง" ซุยเซบ่นพลางขยับตัวลงนอนแผ่หลาบนพรมนุ่ม
"อะไรกัน แค่นั่งเฉยๆเองนะ" ลูอิสที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันพูดยิ้มๆอย่างอารมณ์ดี
"แหมก็มันเมื่อยอ่ะ ถามจริงๆเถอะครับที่ให้ผมอยู่นิ่งๆทุกวันมาหนึ่งเดือนเต็มๆเนี่ยมันจะมีประโยชน์อะไรเหรอครับ"
ใช่..ไม่ผิด..หนึ่งเดือนเต็มๆที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย หนึ่งเดือนเต็มๆที่ต้องอยู่คนเดียวเงียบๆทุกวัน หนึ่งเดือนแห่งความทรมาน หลังจากวันนั้นพอตื่นขึ้นมาก็ถูกลูอิสพาไปห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากพรมสีขาวผืนนุ่มนี่เท่านั้นแล้วก็ชี้นิ้วสั่งว่าต่อไปนี้ให้อยู่ในห้องนี้จนกว่าจะครบหนึ่งเดือน ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดนอกจากห้องน้ำ ข้าวยังให้มากินที่นี่เลย ระหว่างนั้นซุยเซก็ไม่ได้เจอหน้าใครเลยจนวันนี้อยู่ๆลูอิสก็เข้ามาหาเขาแล้วเล่าเรื่องต่างๆข้างนอกให้ฟังแค่นิดหน่อยเห็นว่าเจ้านายขี้เก็กของเค้าก็ยังคงไปทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด..บอร์ดี้การ์ดหายไปนี่ไม่มีจะทุกข์จะร้อนเลยรึไงนะ..ซุยเซแอบคิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เมื่อมันผสมกับความเมื่อบบวกความเบื่อก็พาลทำให้หน้าสวยๆงอง้ำลงยิ่งกว่าเดิม
"เอาน่าอย่าทำหน้าบูดเป็นตูดลิงอย่างนั้นสิ ตอนนี้ยังไม่รู้ ต่อไปเธอจะรู้ว่ามันมีประโยชน์มหาศาลเลยเชียว อ้ออีกอย่างนะวันนี้ครบหนึ่งเดือนแล้วอนุญาติให้ออกจากห้องได้" ลูอิสว่า แล้วก็ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วตามประสาคนไปเร็วมาเร็ว
"ให้ฝึกทีเดียวนานขนาดนี้จะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ" เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักลงเมื่อรับรู้ถึงการมาของอีกคน
"อะไรกันจิน เป็นห่วงเหรอจ๊ะ" ลูอิสยิ้มล้อเลียนพลางทำเสียงหวานๆที่อาจทำให้ขนของใครบางคนเกิดอาการอยากคารพธงชาติกันเป็นแถวไปให้เพื่อนรัก
จินมองหน้าลูอิสนิ่งๆแล้วส่งสายตาประมาณว่า..ฉันไม่ได้ห่วงแก..ให้คนที่กำลังทำหน้าระรื่นอยู่
"เอาน่าๆ อย่าทำตาดุอย่างนั้นสิเค้ากลัวนะตัวเอง" ลูอิสว่าแล้วทำหน้าจ๋อยๆเหมือนลูกแมวถูกทิ้งไปให้เพื่อน
"ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเห็นแล้วรู้สึกสมเพชชอบกล" คนใจแข็งไม่ยอมตกหลุมง่ายๆทำเอาอีกฝ่ายถึงกับแอบเซ็ง
"ชิ ก็นึกว่าไม่มีใครรอดจากหน้าตาแบบนี้แล้วเชียวน้า" คนพูดทำท่าเหมือนจะงอน แต่กลับยิ้มสบายๆออกมาซะอย่างนั้น
"คนที่จะไม่รอดก็มีแค่เด็กนั่นเท่านั้นแหละ อย่าเปลี่ยนเรื่องตอบคำถามฉันมาได้แล้ว" ในเมื่อหลบก็แล้วเลี่ยงก็ไม่ได้ผล ลูอิสเลยได้แต่ยักไหล่แบบช่วยไม่ได้ก่อนจะยอมเปิดปากตอบคำถามที่ถูกถามมาได้สักพักแล้ว
"ก็รู้ๆกันอยู่ว่าร่างกายของมนุษย์ทดลองน่ะจะแข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไปหลายเท่า โดยเฉพาะมนุษย์ทดลองที่มีความสมบูรณ์เต็มร้อย ยิ่งเป็นเด็กคนนั้นด้วยแล้วยิ่งไม่เป็นอะไร วัยกำลังกินกำลังโตก็อย่างนี้แหละน้า"
ว่าแล้วคนตอบคำถามก็ตัดบทไปซะดื้อๆเหมือนกับจะไม่ยอมอธิบายมากกว่านี้ ซึ่งอีกคนก็ไม่คิดจะคาดคั้นอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าถึงจะคาดคั้นต่อไปก็ไม่มีทางง้างปากหนักๆ(ที่ดูเหมือนจะเบา)นั่นได้หรอก ถ้าเจ้าตัวไม่คิดจะพูดซะอย่าง
"แล้วผลการฝึกเป็นยังไงบ้าง"
"การฝึกที่ทำมาตั้งหนึ่งเดือนเต็มๆน่ะทำให้จิตใจสงบและร่างกายก็ถูกเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้สึกก็เถอะ แต่อีกเดี๋ยวก็คงได้เห็นเรื่องสนุกแน่"
จินมองเพื่อนที่กำลังหัวเราะคิกๆอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แล้วก็ได้แต่ปลงตกกับนิสัยขี้แกล้งของคนตรงหน้า
ทางด้านซุยเซ หลังจากที่ได้อิสระภาพมาแบบกระทันหันก็ทำเอาเอ๋อไปสักพัก ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกตัวแล้วเดินออกมาจากห้องที่อยู่มาหนึ่งเดือนเต็มแบบมึนๆงงๆ
"คุณซุยเซคะ" ซุยเซชะงักเท้าแล้วหันไปมองตามที่มาของเสียงเรียก
"อ้าวป้ามิเอะ มีอะไรเหรอครับ"
"คุณจินสั่งให้ไปหาเธอที่ห้องน่ะค่ะ" มิเอะกล่าว
ซุยเซยังคงมีท่าทีเอ๋อๆงงๆแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน ก่อนจะเดินตามป้ามิเอะไปที่ห้องทำงานของเจ้านายเขาแบบมึนๆงงๆ และยังไม่ทันจะสร่างงงดีซุยเซก็เดินมาจนถึงหน้าห้องทำงานของเจ้านายขี้เก็กของเขาแล้ว มิเอะขอตัวไปทำงานอย่างอื่นที่ยังคงค้างคาอยู่ ปล่อยให้ซุยเซยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น..ก็แหม ไม่ใช่อะไรหรอก แค่ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนานเลยไม่รู้จะทำหน้ายังไงก็แค่นั้นเอง ไม่ได้เขิน ไม่ได้อาย ไม่ได้ประหม่าเลยสักกะนิดเดียว..
ก๊อกๆ
"เข้ามาได้"
ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น คนข้างในก็ส่งเสียงตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้คนกำลังตื่นเต้นแอบตกใจเล็กน้อย..เสียงเจ้านายเค้ายังเหมือนเดิมเลยแหะทุ้มๆและเยือกเย็น..
"ไปนั่งรอตรงนั้นก่อน" คนที่นั่งทำงานอยู่พูดราวกับรู้ว่าเป็นคนที่ตนเองให้ไปตามทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกองภูเขาเอกสารเลยสักนิด ทำเอาซุยเซแอบเบ้หน้าอย่างรู้สึกขัดใจไม่ได้ แต่ก็ยอมเดินไปนั่งตามคำสั่งของอีกคนอย่างว่าง่ายและนั่งรอด้วยความอดทน..ถ้าไม่พูดตอนนี้แล้วจะเรียกมาทำไมฟระ..
ซุยเซนั่งรออยู่เงียบๆด้วยความอดทน เมื่อเวลาผ่านไปนานจนซุยเซทั้งบ่นทั้งด่าในใจแถมแอบหลับไปได้อีกหลายงีบแล้ว คนที่นั่งทำงานอยู่ถึงได้หยุดมือเมื่อเซ็นต์เอกสารฉบับสุดท้ายเสร็จแล้ว
เมื่อจินเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นซุยเซหลับคาที่ไปแล้ว เขาแย้มรอยยิ้มน่ามองชนิดที่ถ้าเป็นเวลาปกติซุยเซจะไม่มีทางได้เห็นเด็ดขาดให้กับภาพที่ดูสวยราวกับเป็นภาพวาดของจิตรกรชื่อดังแล้วนึกอยากจะนั่งมองอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ..แต่ติดตรงที่ว่าเวลามันเหลือน้อยเหลือเกินแล้วสิ ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปลุกคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องให้ตื่น
ซุยเซมีท่าทางสะลึมสะลือก่อนที่จะตื่นเต็มตาเมื่อพบว่าหน้าของเจ้านายกับเขามันอยู่ห่างกันแค่คืบ
"เฮ้ย" ซุยเซร้องลั่นด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า..ก็พอลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าคนอยู่ใกล้ระยะประชิดขนาดนี้ จะไม่ให้ตกใจยังไงไหว..
"ตื่นได้แล้ว ลงไปข้างล่างเรามีนัดกินอาหารกลางวันกับแขกคนสำคัญ" จินยืดตัวขึ้นเต็มความสูงหลังจากที่ปลุกซุยเซตื่นแล้วก่อนจะพูดเสียงเย็นๆนิ่งๆอันเป็นเอกลักษ์ประจำตัว แล้วเดินนำออกจากห้องไป ทิ้งให้ซุยเซที่ยังคงตกใจไม่หายรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างงงๆว่าใครกันที่เป็นแขกพิเศษ เขาไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย..
แล้วเมื่อเดินไปจนถึงห้องอาหาร ซุยเซก็ถึงกับเบิกตาโตอย่างไข่ห่าน อ้าปากค้างซะจนกลัวว่าจะมีแมลงวันคิดสั้นบินเข้าไปตายสักหลายตัว
"ไง น้องรัก" โคเซส่งเสียงทักทายน้องชายอย่างร่าเริงตามวิสัยพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้ ส่วยคินเซเพียงแต่มองหน้าทักทายเท่านั้น ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใด
"พวกพี่..มาได้ยังไงกันน่ะ" ซุยเซถามพี่ชายของตัวเองด้วยท่าทางเหวอๆ
"ก็มาทำงานน่ะสิถามได้ ถ้าไม่มีงานพวกฉันจะมากำทำไมเล่า" โคเซว่าพลางเดินมาล็อคคอน้องชายก่อนจะใช้มือขยี้หัวซุยเซแรงๆอย่างที่ชอบทำเวลาไม่ได้เจอหน้ากันนานๆ
"โอ้ย เดี๋ยวสิพี่โค ปั๊ดโธ่มันเจ็บนะ แล้วงานอะไร งงไปหมดแล้วเนี่ย" ซุยเซโวยวายใส่พี่ชายอย่างไม่จริงจังนัก
"เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจะเป็นคนอธิบายให้ฟังเอง ตอนนี้เชิญทุกคนมารับประทานอาหารกันก่อนก็แล้วกัน" จินพูดแทรกขึ้นก่อนจะเดินนำไปนั่งยังโต๊ะอาหาร ทำให้คนอื่นๆเดินตามไปอย่างว่าง่าย ระหว่างที่รับประทานอาหาร จะมีก็เพียงแค่โคเซกับซุยเซที่ยังคงกินไปหยอกกันไปตามประสาพี่น้อง ในขณะที่จินและคินเซเพียงแค่นั่งกินอย่างเงียบๆเท่านั้น จนเมื่อทุกคนกินจนอิ่มแล้ว จินจึงพาสามพี่น้องไปยังห้องรับรองที่อยู่ด้านในตัวคฤหาสถ์
"สวัสดีทุกคน ฉันกำลังรออยู่เชียว"
"อ้าว คุณลูอิส หายไปไหนมาครับเนี่ย" ซุยเซเอ่ยถามคนที่เหมือนจะมานั่งรออยู่ในห้องรับรองก่อนนานแล้วอย่างแปลกใจ
"ก็แค่ไปทำธุระนิดหน่อยน่ะ ว่าแต่ตอนนี้ทุกคนมากันครบแล้วสินะ จะได้เริ่มประชุมกันสักที"
ซุยเซยังคงยืนทำหน้างงๆ แต่คนที่เหลือกลับพยักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งอย่างรู้หน้าที
"ซุย มานั่งก่อน" คินเซส่งเสียงเรียกน้องชายเบาๆ ทำให้ซุยเซเดินไปนั่งตามคำสั่งของพี่ชายอย่างงงๆ
"อย่างที่ทางเราได้แจ้งไปแล้วว่าเราต้องการจ้างคุณให้มาทำงานให้กับทางเรา ส่วนระยะเวลาคือ..ไม่มีกำหนด ซึ่งทางคุณก็ได้ให้คำตอบตกลงกับเรามา" จินพูดเกริ่นขึ้นมาก่อน เพราะรู้ว่าหลังจากนี้คงไม่ค่อยจะได้มีโอกาสพูดสักเท่าไหร่ ในเมื่อเพื่อนจอมปากมากมันเข้ามานั่งคุยด้วยแบบนี้
"แน่นอน ถึงทางคุณจะไม่จ้างเราก็คงอาสาทำเองอยู่ดี" คินเซพูดนิ่งๆ
"แน่นอน เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงชีวิตกับคนในครอบครัวฉันนี่นา" โคเซพูดยิ้มๆแล้วเหลือบตาไปมองน้องชายคนเล็กที่ยังมีสีหน้าท่าทางงงอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าไม่ต้องใช้แว่นขยาย
"รายละเอียดของงานคือคุ้มครอบอันเซน ซุยเซจากการลอบทำร้ายของฝ่ายตรงข้าม ส่วนสาเหตุ..พวกคุณคงรู้ดีอยู่แล้ว" จินยังคงพูดต่อไปราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาเมื่อกี้
"หมายความว่ายังไง" ซุยเซถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่จะมีสีหน้าไม่แน่ใจปนกังวลเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองนิ่งไปอย่างผิดปกติ
"พวก..พวกพี่คงไม่ได้.." แววตาของชายหนุ่มฉายแววตื่นกลัวราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด
"นายคิดถูกแล้วล่ะซุย เรารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว" เมื่อได้ฟังคำพูดของคินเซ ซุยเซถึงกับเบิกตากว้างแล้วมีสีหน้าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
..อะไรกัน ถ้าอย่างนั้นพี่ชายของเค้าก็รู้เรื่องที่เค้าเป็นใคร มาจากไหน และเมื่อก่อนเคยทำอะไรมาบ้างหมดแล้วน่ะสิ แล้วต่อไปนี้เค้าจะทำยังไงดี พวกพี่ๆจะรับเค้าได้ไหม รับเรื่องเลวๆที่เค้าเคยทำไว้เมื่อก่อนได้ไหม ไม่เอานะ เค้าไม่อยากจะสูญเสียความอบอุ่นของครอบครัวนี้ไป..และก่อนที่ความคิดทั้งหมดจะเตลิดไปไกลกว่านี้ มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นก็วางลงบนหัวของเค้าแล้วลูบเบาๆ
"อะไรกันซุย อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ถึงอดีตของนายจะเป็นยังไง แต่นายก็คือน้องชายของพวกพี่เสมอนะ สำหรับพวกพี่แล้วนายคือน้องชายที่ร่าเริงและน่ารัก ไม่ว่าเมื่อไหร่ถ้านายมีเรื่องเดือดร้องกังวลใจ พี่ก็จะคอยอยู่ข้างๆเสมอไม่ใช่เหรอไง เพราะเราเป็นเป็นครอบครัวเดียวกันไงล่ะ" โคเซส่งยิ้มให้น้องชายอย่างที่เคย ส่วนคินเซก็ส่งรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานให้กับน้องชายเป็นการยืนยันคำพูดของโคเซได้อย่างดี
ซุยเซมองหน้าพี่ชายด้วยความปลื้มใจ ก่อนที่น้ำใสๆจะไหลออกมาจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่
"เฮ้ย นี่นายร้องไห้เรอะ ผู้ชายรึปล่าววะเนี่ย" โคเซส่งเสียงล้อน้องชายอย่างสนุก
"ไอ้พี่บ้า ก็มันห้ามไม่ได้นี่ คนกำลังซึ้งง่ะ" ซุยเซโวยวายออกมาแก้เขินทั้งที่หน้าแดงไปหมด ทำเอาลูอิสหัวเราะเสียงดังกับภาพที่เห็น ในขณะที่จินกับคินเซเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น
"โอเค ในเมื่อพี่น้องเข้าใจกันดีแล้ว เรามาคุยรายละเอียดในเรื่องงานกันต่อละกันนะ" ลูอิสพูดยิ้มๆ ที่พอซุยเซเห็นแล้วก็เกิดอาการสังหรณ์ร้าย ขึ้นมาทันที แถมดูเหมือนตาเค้าจะออกอาการเบลอๆอีกต่างหายเพราะเมื่อกี้เค้าเห็นเหมือนมีเขาอยู่บนหัวลูอิส แถมมีหางแหลมๆโผล่ออกมาอีกต่างหาก ..งานนี้สงสัยไม่พ้นได้ถูกแกล้งอีกแล้วเค้า.. - -"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาแล้วค่า หลังจากที่ไม่ได้แวะเข้ามาซะนานเลย แหะๆ ^^"
ครึ่งหลังที่เอามาลงนี้คนแต่งแต่งด้วยความรีบค่ะ ปั่นสุดชีวิตเลย
แต่สงสัยว่าด้วยความที่ร้างลาไปนานทำให้รู้สึกเหมือนแต่งได้ไม่ดี ยิ่งแต่งยิ่งห่วยยังไงก็ไม่รู้สิ - -"
เอาเป็นว่าจะพยายามปรับปรุงตัวนะคะ แล้วจะรีบปั่นตอนต่อไปมาลงให้ค่า
สำหรับคุณผู้อ่านที่ติดตามมานานตั้งแต่ต้นก็ต้องขอโทษอย่างมากมายเลยค่ะที่ปล่อยให้รอกันซะนานขนาดนี้
ส่วนคุณผู้อ่านท่านไหนที่พึ่งจะแวะเวียนเข้ามาก็ยินดีต้อนรับนะคะ
ขอให้สนุกไปกับนิยายป่วงๆที่ดูเหมือนจะมีสาระ(แต่จริงๆไม่มีอะไรเลย - -")เรื่องนี้นะคะ
ตอนที่เข้ามาแล้วเห็นคอมเม้นท์ของคุณผู้อ่านก็มีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลยเชียวค่ะ ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ
รักทุกคนค่า ^^
ความคิดเห็น