ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ NaruSasu ] ลำนำบุปผา...พฤกษาผลิบาน

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑ ภารกิจลับสุดยอด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.59K
      43
      4 พ.ย. 61


    บทที่ ๑ 

    ภารกิจลับสุดยอด

    + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +


    ห้องทำงานโฮคาเงะ

     

    ก๊อก. . . ก๊อก. . .ก๊อก. . .

    “เข้ามาได้. . .” สิ้นเสียงอนุญาต ประตูจึงเปิดออก สองนินจาหนุ่มก้าวเข้ามาด้านใน ก่อนจะหยุดยืนเบื้องหน้าโต๊ะทำงานของ สินาเดะ ฮิเมะ โฮคาเงะหญิงแกร่งแห่งหมู่บ้านใบไม้ ผู้ที่ยังคงความเต่งตึงแห่งวัยสาวไว้ไม่เสื่อมคลายแม้อายุจะล่วงเข้าทศวรรษที่หกแล้วก็ตาม เธอเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเซนจู อาชิรามะ โฮคาเงะรุ่นแรก นอกจากนี้ยังเป็นมือหนึ่งด้านการแพทย์อีกด้วย

     

    โฮคาเงะสาวละความสนใจจากเอกสารกองโต ก่อนเอ่ยปากทักทายผู้มาเยือน

    ไงหนุ่มๆ ดีใจที่เห็นหน้าพวกเธอสองคนนะ โดยเฉพาะนาย ซาสึเกะ” ประโยคหลังสึนาเดะปรายตามาทางคนหน้าตาย อุจิวะผู้นี้เดินทางไม่เป็นหลักแหล่ง กว่าคนของเธอจะตามตัวเจอก็ลำบากใช่เล่น

     

    “ป้าทำไงถึงลากหมอนี่กลับมาได้เนี่ย สงสัยพรุ่งนี้ฝนคงตกเป็นบ้าเป็นหลัง ฮะๆ” นารูโตะแชวขำๆ ฝ่ามือใหญ่โยกหัวอีกฝ่ายเล่นเป็นลูกแตงโม ซาสึเกะปัดมือทิ้ง ชักสีหน้าใส่อย่างรำคาญ

     

    “ไปว่าเขา นายเองก็ไม่ต่างกันหรอก ฉันให้ไปส่งเอกสารไปส่งที่ซึนะแค่นี้ เล่นหายหัวเป็นอาทิตย์ ไปติดอกติดใจสาวที่ไหนเข้าล่ะฮึ”  

    “โห่ป้า มันไม่ใช่อย่างนั้น” อิเหนา(นารูโตะ)โอดครวญ “พอดีมีเรื่องวุ่นวายที่หมู่บ้านนิดหน่อย ก็เลยอาสาช่วยเขา เเค่เนี้ย”

    “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่สงสัยเฉยๆก็เลยถาม”  นารูโตะเบ้หน้า แอบบ่นคุณป้าคนสวยในใจ 


    สาวเสิวที่ไหนกัน งานรัดตัวขนาดนี้ มีเวลาส่องดูตัวเองในกระจกก็ดีแค่ไหนแล้ว ! 


    อยากกลับไปเป็นเกะนินเหมือนเดิมจังเลย งือ . . . ( T U T )

     

    เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกัน” สึนาเดะนั่งหลังตรง น้ำเสียงที่ใช้ดูจริงจังและเป็นการเป็นงานมากขึ้น “ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยที่เรียกมากระทันหันแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องสำคัญมากและฉันจำเป็นต้องพึ่งพวกนายทั้งสองคน” 

     

    ภารกิจอย่างนั้นเหรอ”  ซาสึเกะถาม สึนาเดะพยักหน้า แววตาบ่งบอกความเคร่งเครียดอยู่หลายส่วน 


    ลับสุดยอด ระดับเอส”


    เอาจริงเหรอเนี่ย” นารูโตะอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ ซาสึเกะขมวดคิ้วเล็กน้อย ความคิดร้อยแปดลอยวนอยู่ในหัวของทั้งคู่ 



    แต่เดิมนั้น ภารกิจของนินจาจะถูกแบ่งออกเป็นขั้นๆ ตามความยากง่าย ไล่จากภารกิจที่ง่ายและไม่ซับซ้อนอย่างภารกิจระดับ D ไปจนถึงภารกิจระดับ A ที่มีความยากและอันตรายที่สุด อย่างเช่นการแฝงตัว ลอบสังหาร คุ้มครองบุคคลสำคัญระดับแคว้น เป็นต้น หากพลาดพลั้งเพียงนิดก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ฉะนั้นโดยมากจึงถูกมอบหมายแก่โจนินหรือผู้ที่คาเงะเห็นสมควรเท่านั้น ทว่าภารกิจระดับ S นั้นต่างออกไป เพราะเป็นภารกิจที่ถูกมอบหมายจากสภากลาง ซึ่งประกอบด้วยห้าคาเงะ ไดเมียวแคว้น และเหล่าที่ปรึกษาซึ่งเป็นโจนินระดับสูง สภาที่ว่านี้ถูกตั้งขึ้นไม่นานหลังจากเหตุการณ์สงครามนินจาครั้งที่สี่ มีเป้าหมายร่วมกันนั่นก็คือ สันติภาพและความมั่นคงแห่งโลกนินจา

     

    มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วทำไมต้องเป็นพวกผมสองคนด้วย” 



    ถึงขั้นรวมหัวไดเมียวกับคาเงะได้นี่ นับว่าไม่ธรรมดา 



    เพราะว่าเสียงส่วนใหญ่ในสภาเห็นว่าเธอสองคนเหมาะสมที่จะทำภารกิจนี้มากที่สุดไงล่ะ” โฮคาเงะสาวเอ่ย มือสาละวนกับการเปิดลิ้นชัก ก่อนจะหยิบปึกเอกสารบางอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ 



    ทำไม?”



    เพราะมันเกี่ยวกับเซียนหกวิถีน่ะสิ”



    ว่าไงนะ” เค้าความเคร่งเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าสองนินจา  สึนาเดะเอนหลังกับพนักพิงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง



    เมื่ออาทิตย์ก่อน เกิดเหตุโจมตีโบราณสถานในหมู่บ้านแถวชายแดนแคว้นน้ำ วิหารกับบ้านเรือนถูกระเบิดและเผาจนไม่เหลือซาก นักบวชกับชาวบ้านตายเกลื่อน พวกมันหนีไปได้ก่อนนินจาคิริงาคุเระจะไปถึง สองวันถัดมา เกิดการโจมตีแบบเดียวกันนี้ในแคว้นดินกับเเคว้นเหล็ก ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ อีกไม่นานคงรู้ว่าเป็นฝีมือใคร” 


    วิหารที่โดนทำลายพวกนั้นเกี่ยวข้องกับปู่เซียนงั้นเหรอ” 


    “ถูกต้อง ตามเส้นทางจาริกที่เซียนเต๋าเดินทางผ่านเมื่อหลายร้อยปีก่อน เหล่าคนที่ศรัทธาในตัวท่านพากันสร้างเทวสถานไว้เพื่อเคารพกราบไหว้ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่ามันเป็นที่ซ่อนสมบัติล้ำค่าหรือไม่ก็ของบางอย่างที่จะนำมาซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ครอบครอง


    “พวกเขาต้องการมัน” ซาสึเกะเอ่ย หลังจากเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว 



    “ก็แค่ตำนานที่เล่าต่อๆกันมา ของพวกนั้นอาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ นารูโตะแย้ง  ตอนเจอกันครั้งก่อน เซียนหกวิถีไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย 


    “ฉันก็หวังอย่างนั้น หากยึดตามคำบอกเล่า สมบัติที่ว่าเชื่อมโยงไปถึงตำนานวันสิ้นโลกของชาวเหนือด้วย ตำนานว่าไว้ว่า. . .


    . . .ยามใดที่สองขั้วรวมเป็นหนึ่ง พฤกษาเทพจะตื่นจากหลับไหล ไอมืดมิดจะพวยพุ่งสู่ท้องนภา พสุธาจะแตกล่ม สายลมบั่นสายนทีพาลพลิกกลับ มวลสรรพชีวิตพลันสูญสิ้นด้วยน้ำมือของเหล่าปีศาจแห่งอธรรม . . .”  ซาสึเกะต่อให้จนจบ สายตาสองคู่หันมาจับจ้องร่างบางไม่กระพริบ


    “ฉันเคยฟังมาจากนักเดินทางคนหนึ่งน่ะ” อุจิวะหนุ่มอธิบาย หวนนึกถึงคราวที่ได้พบเจอกับนักเดินทางแปลกหน้าระหว่างทำภารกิจในแคว้นเหล็ก เรื่องราวระหว่างนั้นค่อนข้างพิลึกพิลั่น ก่อนต่างคนต่างแยกย้ายและไม่ได้พบกันอีก แม้แต่ชื่อแซ่ก็ไม่ได้ถาม

    เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ. . .


    “เป็นตำนานที่น่าขนลุกซะจริง  


    “ก็อย่างที่ซาสึเกะพูดไป ฉันคิดว่าสองขั้วที่ถูกกล่าวถึงน่าจะหมายถึงสมบัติสองชิ้นที่ถูกซ่อนไว้ที่ไหนซักที่ในโลกนี้ ถ้าตำนานเป็นของจริงล่ะก็นะ


    “ที่พวกนั้นเผาวิหาร เพราะคิดว่าสมบัติของปู่เซียนถูกเก็บซ่อนอยู่ในนั้นสินะ”ร่างสูงอนุมาน คิ้วหนาโก่งขมวดมุ่นดูจริงจังกว่่าปกติ ยังมีอะไรที่หน้าประวัติศาสตร์นินชูไม่ได้บันทึกเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ? 


    แล้วพฤกษาเทพล่ะ” ซาสึเกะถาม ลางสังหรณ์บางอย่างตีตื้นอยู่ในอก ก็อยากให้ตัวเองเดาผิดเหลือเกิน แต่. . . 


    “ต้นกำเนิดแห่งจักระทั้งมวล ต้นไม้เทพเจ้ายังไงล่ะ พวกนายคงเคยได้ยินมาบ้าง” โฮคาเงะสาวสังเกตสีหน้าของสองนินจาขณะพูด หนึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกหนึ่งเรียบเฉยตามวิสัย หากเนตรรัตติกาลคู่สวยกลับสั่นไหวดั่งลูกคลื่น  


    “เป็นไปไม่ได้  มันน่าจะถูกทำลายไปแล้วสิ. . .” นารูโตะไม่อยากจะเชื่อ ภาพพี่เบิ้มที่มีดอกบัวหน้าตาอัปลักษณ์เป็นไซเนเจอร์ยังคงติดตา และมันควรจะถูกทำลายไปพร้อมกับอ่านจันทรานิรันดร์แล้วในช่วงท้ายของสงคราม 


    “ผิดถนัด สิ่งนั้นเป็นเพียงร่างบางส่วนที่ถูกอัญเชิญผ่านอ่านจันทรานิรันดร์ พฤกษาเทพของจริงยังหลับไหลอยู่ที่ไหนซักแห่ง  . . .เหมือนกับหลายพันปีที่ผ่านมา


    สึนาเดะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องต่ออย่างใจเย็น


    ต้นไม้เทพเจ้า หรือ มหาพฤกษาเทพ การมีอยู่ของมันยาวนานย้อนไปถึงยุคแห่งการถือกำเนิดโลกเลยก็ว่าได้ ในตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าไว้ว่า ในตอนที่เทพเจ้ามีประสงค์จะสร้างดวงดาวของพระองค์ขึ้นมานั้น พระองค์ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ออกไปในจักรวาลอันว่างเปล่า หนึ่งในเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นได้ตกลงบนหินก้อนหนึ่งที่ล่องลอยอย่างเดียวดายอยู่ในอวกาศ หินก้อนนั้นได้กลายเป็นโลกในเวลาต่อมา ต้นอ่อนของพฤกษาเทพค่อยๆเติบโตขึ้น   พลังชีวิตของมันก่อกำเนิดสรรพสิ่งต่างๆขึ้นมา ต้นไม้ แม่น้ำ ท้องฟ้า พสุธา ทะเล ภูเขา มนุษย์และสรรพสัตว์ รากของพฤกษายักษ์หยั่งลึกและแตกแขนงโอบคลุมใต้พื้นโลก หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินของสิ่งมีชีวิตข้ามผ่านยุคสมัยเรื่อยมา . . .


    ทุกๆหนึ่งพันปี พฤกษายักษ์จะผลิดอกและออกผลออกมาหนึ่งผล เรียกว่า ‘ผลไม้แห่งจักระ’ หากใครได้กินจะมีพลังมหาศาลดุจดั่งเทพเจ้า เวลาได้ล่วงเลยมาจนกระทั่งเมื่อหนึ่งพันปีก่อน มีหญิงสาวชาวมนุษย์ตนหนึ่ง นางได้เด็ดผลไม้แห่งจักระมากินและมีพลังมหาศาลซึ่งต่อมาเรียกกันว่า จักระ และได้กลายเป็นผู้ปกครองโลก นามของนางคือ โอสึสึกิ คางุยะ ต่อมา นางได้ให้กำเนิดบุตรชาย 2 คน และเป็นมนุษย์คู่แรกที่มีจักระอยู่ในตัว ฮาโกโรโมะ กับ ฮามุระ 


    ทว่าพลังที่มีมากเกินไปนั้น ทำให้ผู้คนพากันหวาดกลัวและเริ่มลุกขึ้นมาต่อต้าน เกิดเป็นสงคราม คางุยะถูกความมืดครอบงำและเริ่มใช้พลังในทางที่ผิด นางควบคุมมหาพฤกษาเทพให้แปลงเป็นปีศาจจักระ เรียกว่า สิบหาง ออกอาละวาด ฆ่าผู้คน อารยธรรมอันรุ่งเรืองถูกทำลายจนเกือบสูญสิ้น แต่เพราะฮาโกโรโมะกับฮามุระร่วมมือกันต่อสู้ ฮาโกโรโมะดูดเอาพลังส่วนหนึ่งของพฤกษาเทพมาผนึกไว้ในร่างตน ทำให้สิบหางสงบลงและกลับเป็นพฤกษาเทพดังเดิม ส่วนร่างของคางุยะนั้นถูกผนึกอยู่บนดวงจันทร์ โดยมีฮามุระเสียสละตัวเองขึ้นไปคอยเฝ้าผนึกของแม่อยู่บนนั้น


    หลังจากนั้นฮาโกโรโมะก็ได้กลายเป็น เซียนหกวิถี  ต่อมา เขาออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อฟื้นฟูเมืองและสถานที่ที่ถูกทำลายจากสงคราม เซียนหกวิถีกลัวว่า หากวันใดที่ชีวิตตนดับสูญ ผนึกจะต้องคลายออกเป็นแน่  เขาจึงตัดสินใจแบ่งพลังออกมาเป็นสัตว์หางทั้งเก้าและกระจายพวกมันไปทั่วโลก และสร้างสถานที่ที่จะให้พวกมันได้อยู่อาศัยอย่างสงบสุข หลังจากนั้นเขาได้ตั้งลัทธินินชูขึ้น มีศิษย์ในปกครองมากมาย หลายปีต่อมา เซียนได้แต่งงานและมีบุตรด้วยกันสองคน คือ อินดรา กับ อาชูร่า เมื่อทั้งสองโตเป็นหนุ่มได้ไม่นาน เซียนหกวิถีก็ตายลง อาชูร่าได้ขึ้นเป็นผู้นำนินชูตามความต้องการของผู้เป็นพ่อ อินดราผู้พี่จึงเกิดความไม่พอใจ เขาได้ต่อสู้กับผู้เป็นน้องที่หุบผาสิ้นสุด ไม่มีผู้ใดรู้ผลการต่อสู้ในครั้งนั้น และอินดราผู้พี่ก็ได้ถอนตัวออกจากตระกูลไป


    ดั่งคำสาปร้ายที่ไม่อาจไถ่ถอน . . . การต่อสู้ได้ลุกลามมาจนถึงลูกหลานของพวกเขา ซึ่งก็คือ เซนจู และอุจิวะในปัจจุบัน


    เสียงบรรยายหยุดลง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรคล้ายกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง 


    “ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์โลกนินจา” สึนาเดะเอ่ย ปรายตามองไปที่ร่างบาง “แต่ฉันคิดว่าเธอคงเคยได้ยินมาหมดแล้ว ใช่มั้ย ซาสึเกะ”  

    “อืม” ซาสึเกะพยักหน้า เขารู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีจากแผ่นศิลาที่อยู่ในห้องใต้ดินของตระกูลที่เขาลงไปอ่านก่อนจะตัดสินใจหนีออกจากหมู่บ้าน 


    “นี่ โฮคาเงะ


    “ว่าไง 


    “มีอีกใช่มั้ย. . .นอกเหนือจากนี้ ส่วนที่ถูก ฉีกทิ้ง ไปน่ะ” 


    เขาสะกิดใจมาตลอด นับจากคืนที่อ่านศิลาแผ่นนั้น 


    ราวกับเศษจิกซอว์นับไม่ถ้วนที่ร่วงกราวลงมาจากกรอบภาพ. . . 


    “. . .”


    บางส่วนที่ไม่ต่อเนื่อง บางส่วนที่ขาดหายไป. . .บางส่วนที่ไม่ต้องการให้ใครก็ตามได้รับรู้! 


    หึ อุจิวะลางสังหรณ์ดีเยี่ยมเหมือนที่เคยลือกันไม่มีผิด” สึนาเดะคล้ายประหลาดใจคล้ายชื่นชมในที “ถูกต้องตามนั้น มันมีบางส่วนที่ไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง และมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้”


    “แล้วป้ารู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน” นารูโตะถาม เซลล์สมองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อประมวลข้อมูลที่ได้รับ 


    “พวกตระกูลนักรบจากแคว้นทางเหนือน่ะ ว่ากันว่าพวกเขาสืบเชื้อสายโดยตรงจากนินชูรุ่นแรก เป็นหนึ่งในตระกูลลับที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกนินจาเลยก็ว่าได้”


    “มีคนแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอเนี่ย. . .แล้วพวกเขาเล่าให้ป้าฟังว่าไง?” 


    หลังปล่อยเวลาให้ดำเนินไปท่ามกลางความเงียบอยู่นาน ในที่สุดโฮคาเงะสาวจึงเริ่มเล่าต่อโดยมีสองหนุ่มนิ่งฟังอย่างตั้งใจ


    หลังจากแบ่งพลังออกมาเป็นสัตว์หางทั้งเก้าและกระจายพวกมันออกไปแล้ว แต่ตัวพฤกษาเทพที่เป็นต้นตอของพลังยังคงอยู่ เซียนหกวิถีกลัวว่าหากปล่อยไว้ จะต้องมีคนอย่างคางุยะแม่ของตนโผล่มาและใช้มันไปในทางชั่วร้ายอีกเป็นแน่ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เซียนหกวิถีจึงได้ให้ โทสึกิ มัตสึโมโตะ ที่เป็นทั้งผู้ติดตามและสหายคนสนิทเป็นผู้ดูแลรักษา หลังจากเซียนหกวิถีตายลง มัตสึโมโตะจึงนำมหาพฤกษาไปเก็บไว้ที่ตระกูลของตน ซึ่งต่อมาก็คือ ตระกูลโทสึกิ  


    หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดการก่อกบฏขึ้นในโทสึกิ โดยฝีมือของโทสึกิ ยาฮิโระ บุตรชายคนโตของท่านมัตสึโมโตะ ยาฮิโระต้องการครอบครองพลังของมหาพฤกษาและพยายามที่จะปลุกมันขึ้นมา ร้อนถึงอาชูร่าซึ่งในขณะนั้นขึ้นเป็นผู้นำนินชูรุ่นที่สองแล้วต้องเดินทางไปจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง เขากำหราบยาฮิโระลงได้สำเร็จ   จากนั้นจึงสร้างกุญแจไขผนึกขึ้นมาสองดอก  ดอกหนึ่งให้ตระกูลโทสึกิเก็บไว้ ส่วนอีกดอกเก็บไว้กับตน ส่วนพฤกษาเทพเจ้าปัญหา อาชูร่าได้สร้างเขตคุ้มภัยและย้ายมันออกจากตระกูลไปไว้ยังที่ๆไม่มีใครเข้าถึง ไม่นานหลังจากนั้น อาชูร่าได้ออกเดินทางเผยเเผ่ลัทธินินชูตามรอยผู้พ่อ ไม่มีผู้ใดรู้ความเคลื่อนไหวของเขาอีกเลยนับแต่นั้น  รวมถึงชะตากรรมของกุญแจดอกนั้นที่เขาครอบครองอยู่ . . . 

     

    “หมายความว่า สมบัติสองชิ้นที่เหลือก็คือกุญแจสองดอกนั่น และพวกนั้นต้องการมัน” ซาสึเกะสรุป มีความเป็นไปได้ว่า ที่พวกนั้นทำลายโบราณสถานเพราะเชื่อว่ากุญแจอะไรนั่นถูกเก็บรักษาอยู่ในนั้น ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง

    “และมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกมันอาจต้องการใช้เพื่อปลุกพลังของพฤกษาเทพให้ตื่นขึ้น เพื่อเหตุผลบางอย่าง” 

    “. . .” ซาสึเกะเหลือบมองคนข้างตัวอย่างทึ่งๆ อดีตคู่หูจอมบ้าบิ่นของเขา ตอนนี้กลับกลายมาเป็นโจนินหนุ่มไฟแรงผู้วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น  สลัดคราบเจ้าทึ่มจอมโวยวายและขี้โมโหประจำทีมเจ็ดไปได้อย่างหมดจด

    นารูโตะเปลี่ยนไปมากจริงๆ . . . 

    “ใช่ เรื่องนั้นแหละที่น่าเป็นห่วง ตอนนี้ทางสภากลางกำลังจับตามองเรื่องนี้อย่างหนัก นินจาระดับสูงถูกเรียกตัวกลับเพื่อรอรับคำสั่งฉุกเฉิน แผนเคอร์ฟิลด์ก็เพิ่งถูกประกาศใช้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง”

    สืบร่องรอยของพวกมันได้รึเปล่า เหตุการณ์ใหญ่ขนาดนั้น คงต้องทิ้งหลักฐานอะไรไว้บ้าง อย่างน้อยขอแค่รู้ว่าพวกมันจะลงมือที่ไหนต่อไปก็ยังดี”  ซาสึเกะเป็นฝ่ายออกความเห็นบ้าง 

    “หลังจากเกิดเหตุโจมตี สภาได้ส่งนินจาจำนวนหนึ่งเข้าไปคุ้มกันโบราณสถานที่ยังไม่ถูกทำลายแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกมันต้องโผล่มาอีก” สึนาเดะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เราสูญเสียนินจาฝีมือดีไปหลายคน หากปล่อยเอาไว้ ไม่ช้าไม่นานต้องเกิดสงครามใหญ่แน่”

    สงครามอีกแล้วเหรอ ไม่คิดจะจบสิ้นกันบ้างหรือไง พวกบ้า” ซาสึเกะสบถเบาๆ มือบางยกขึ้นลูบแขนซ้ายที่พันด้วยผ้าสีขาว



    คราวที่แล้วยังเจ็บปวดไม่พออีกหรือไง . . .  

     

    ซาสึเกะ . . .” 

    ใจเย็นซาสึเกะ มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น อีกอย่างฉันไม่ได้จะให้พวกนายไปสู้รบตบตีกับใครซักหน่อย” สึนาเดะพูด หยิบปึกเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาเปิด ก่อนจะยื่นให้นารูโตะรับมาถือ “นี่เป็นเพียงภารกิจคุ้มกัน อย่างที่รู้ สมบัติหนึ่งในสามอยู่ในความปกครองของตระกูลโทสึกิ  ถ้านินจานอกรีตต้องการสมบัติทั้งสามชิ้นจริง ที่นั่นอาจตกอยู่ในอันตรายได้ ทางสภาเลยอยากให้พวกนายไปคุ้มกันจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย”

    จะไม่มีปัญหาเอาเหรอ โทสึกิน่ะเป็นตระกูลนักรบ พวกนั้นคงอยากจัดการด้วยตัวเองมากกว่า” ซาสึเกะพูด ทุกตระกูลล้วนถือในเรื่องศักดิ์ศรีและอำนาจ การให้คนนอกเข้าไปยุ่มย่ามในรั้วบ้านของตนนั้นถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด เขาเข้าใจในข้อนั้นดี 

    ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกนายแค่ไปทำหน้าที่ตามคำสั่งของสภากลางก็เพียงพอ” ในเมื่อรุ่นห้าออกปากแบบนั้น ซาสึเกะจึงไม่พูดอะไรต่ออีก ได้แต่เก็บงำความสงสัยเล็กๆ ไว้ในใจ 

    ภารกิจนี้มีแค่ผมกับซาสึเกะเหรอ” นารูโตะถาม  มองเอกสารในมือสลับกับร่างบางข้างๆ 

    ยังมีอีกคนนึง แต่ฉันไม่บอกพวกนายหรอก” 

    อ้าว ไหงงั้นล่ะป้า !” นารูโตะประท้วง 

    ก็เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ไง”  โฮคาเงะสาวเอ่ยอย่างมีเลศนัย  “ทีมสามคนฉันว่าก็เหมาะกับพวกนายดี ว่างั้นมั้ย”

    อะ อื้อ”  ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกพลังของตัวเองหรอกนะ “แต่ว่านะป้า ใช้แค่สามคนเนี่ย มันจะไม่น้อยไปหน่อยเหรอ” 

    เรามีข้อมูลไม่มากพอเกี่ยวกับพวกศัตรู ทำอะไรเป็นจุดเด่นกลัวจะเป็นภัยซะเปล่าๆ อีกอย่าง ถ้าสิ่งนั้นตื่นขึ้น มันจะเป็นยังไงพวกเธอคงรู้ดีอยู่แก่ใจ หากเกิดอะไรขึ้น มันอาจไม่ใช่แค่พวกเราเหล่านินจา  แต่ชีวิตของคนบริสุทธิ์จะต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วย . . .”

    “. . .”

    พวกเธอคง . . .ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเดิมใช่มั้ย

     

    แน่นอน เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ตาม !’  ซาสึเกะย้ำกับตัวเองอย่างแน่วแน่ เขาไม่อยากเห็นใครต้องตายอีกแล้ว

     

    ที่ๆพวกเธอจะต้องไปคือเขตปกครองตนเองเทนโกคุ อยู่ชายแดนเหนือสุดของแคว้นน้ำแข็ง ตระกูลโทสึกิอยู่ที่นั่น ภารกิจเริ่มรุ่งสางวันพรุ่งนี้ พักผ่อนกันให้เต็มที่ล่ะ ไปได้ . . .” 

    รับทราบ / รับทราบแล้ว”  สองนินจาหนุ่มรับคำสั่งก่อนจะพากันเดินออกจากห้องไป 

           

     

    ภายใต้จันทราสีนวลที่สาดส่องลงมาพาดผ่านรัตติกาลอันมืดมิด หิมะได้หยุดตกไปนานแล้ว เหลือไว้แต่เพียงลมหนาวที่ล่องลอยพัดผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย ท่ามกลางความเงียบสงัด แว่วเสียงฝีเท้าสองคู่ดังก้องไปทั่วทางเดินริมระเบียงที่ว่างเปล่าร้างผู้คน ปรากฏร่างสองบุรุษเดินเคียงคู่กันมา ร่างหนึ่งสูงเพรียวสมส่วน เนตรสีนิลเรียบเฉยเย็นชา ทว่ากลับส่องประกายสดใสยามต้องแสงสีเหลืองนวล อีกร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลา มนีสีครามเข้มดั่งเงาของนภาที่สะท้อนบนผืนสมุทรแฝงไปด้วยสีสัน

    นายจะไปไหนต่อมั้ย” ในความเงียบ ร่างสูงเป็นฝ่ายเปิดปากถาม ก้มมองดวงหน้าหวานที่ดูเหม่อลอยตั้งแต่เดินออกมาจากห้อง

    ไม่  ถามทำไมซาสึเกะละจากภวังค์ เงยหน้าสบตาร่างสูง ใบหน้าคมเข้มฉายแววประหม่าเล็กน้อย 

    ก็ เอ่อ . . . ฉันว่าจะชวนนายไปกินเนื้อย่างกับพวกชิกามารุน่ะ ไปด้วยกันนะ” วันนี้เพื่อนๆของเขานัดกันไปกินเนื้อย่างที่ร้านเจ้าประจำ เขาเลยกะจะพาซาสึเกะไปเซอร์ไพรส์ซักหน่อย ซากุระกับอิโนะต้องดีใจแน่ๆ !

    ไม่ละ”   เพล้ง !! 

    คำปฏิเสธ ทำเอาโจนินหนุ่มฝันสลาย เขาลืมไปซะสนิทว่าซาสึเกะก็คือซาสึเกะ 

    ไปเถอะน่า พวกนั้นต้องดีใจมากๆที่รู้ว่านายกลับมาแน่” ร่างสูงเอ่ยตื๊อ ซาสึเกะถอนหายใจยาว

     

    เข้าร้านเนื้อย่าง . . . เขาทำแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน

     

    น่านะ ไปเถอะ ~ แค่แปปเดียวก็ได้อ่ะ” นารูโตะก็ยังคงเป็นนารูโตะ นารูโตะผู้ที่ไม่เคยยอมแพ้แม้แต่กับเรื่องเล็กๆ ไร้สาระแบบนี้ 

    ซาสึเกะหยุดเดิน ก่อนจะตอบออกไปตามตรง 

    ไว้วันหลังก็แล้วกัน ฉันเหนื่อยแล้ว” ซาสึเกะไม่ได้พูดโกหก วันนี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ 

    “. . .”

    ซาสึเกะก้าวเท้าเดินออกมา ทิ้งนารูโตะที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรไว้ข้างหลัง  

     

    ขอโทษนะนารูโตะ  แต่ว่า ถึงฉันจะยอมไปจริงๆ ก็คงไม่มีใครดีใจหรอก . . .  

     

    ตึก ตึก ตึก . . .

    แว่วเสียงฝีเท้าดังตามหลังมา ซาสึเกะเหลียวกลับไปมอง ก่อนจะต้องแปลกใจสุดขีด เมื่อพบกับคนที่ไม่น่าจะเดินตามมาแล้ว . . .  

    อุสึมากิ นารูโตะ!!

    เฮ้ ! รอฉันด้วยสิร่างสูงตาสีฟ้าวิ่งเข้ามาใกล้พร้อมกับโบกมือหยองๆ “เดินทิ้งฉันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

    นี่นาย   ตามฉันมาทำไมเนี่ย”  ไหนบอกจะไปกินเนื้อย่างกับเพื่อนๆไงฟระ !

    ช่างเรื่องกินเหอะ ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ” นารูโตะว่าพลางบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยๆ ที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ 

    อะไรของนายเนี่ย นารูโตะ” 

    ฉันง่วงแล้วอ่ะ แบบว่าอยากนอนสุดๆเลย” 

    แล้วไง” ง่วงก็กลับไปนอนบ้านตัวเองสิ ไปเลยไป ชิ่วๆ !

    ก็ฉันอยากจะนอนบ้านนายอ่ะร่างสูงว่าพลางยิ้มหน้าระรื่น แววตาใสซื่อเหมือนเด็กสามขวบ 

    หะ หมายความว่าไง



    ก็หมายความว่า คืนนี้ฉันจะไปนอนค้างบ้านนายไง 

     

     

     

     

     

    ตระกูลอุจิวะ

    รบกวนด้วยคร้าบบนารูโตะเดินตามซาสึเกะเข้ามาในรั้วบ้านด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อยเจอสวนสนุก 

    อย่าซนล่ะ ขี้เกียจทำความสะอาดใหม่ซาสึเกะว่าพลางเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจ  ร่างเล็กเดินไปไล่เปิดไฟข้างผนังทีละดวง สายตาก็เหลือบมองผู้มาเยือนเป็นระยะ 

     

    อยากจะบ้าตาย ให้นารูโตะเข้ามาอยู่ในบ้านเนี่ยนะ เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ . . . แต่ก็นะ ไม่รู้ทำไม พอเป็นเรื่องของหมอนั่น เขาเป็นต้องใจอ่อนทุกที เฮ้อ ! 

     

    ไม่เปลี่ยนไปเลยเนอะ  บ้านนายเนี่ยนารูโตะมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ จะผ่านไปกี่ปี ที่นี่ก็ยังสวยและลึกลับน่าค้นหาไม่เปลี่ยน

     

    เหมือนกับเจ้าของมัน . . . 

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาบ้านซาสึเกะ ภายในบ้านเงียบสงบ และวังเวงจนรู้สึกขนลุก  ตัวบ้านตกแต่งตามสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ บริเวณชานบ้านตอนที่เข้ามาก็มีสวนไม้พุ่มสีเขียวขนาดเล็กตั้งขนาบข้างกับทางเดินหินอ่อน ต้นซากุระสีชมพูปลูกเรียงรายตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าจรดชานบันได  น่าเสียดายที่มันยังไม่ถึงเวลาบาน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าถึงช่วงฮานามิ(เทศกาลชมซากุระ) ล่ะก็ มันจะต้องสวยมากแน่ ๆ 

     

    ตอนนี้โจนินหนุ่มเป็นฝ่ายเดินตามร่างเล็กแทนเพราะไม่รู้ทาง ถึงจะเคยมาหลายครั้งแล้วก็เถอะ ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะกำลังเดินอยู่ที่ทางเดินริมระเบียง มีโคมไฟสีเหลืองนวลแขวนไว้กับเพดานเป็นระยะให้ความสว่างในยามค่ำคืน  พอมาถึงตรงนี้แล้วเขาก็ได้รู้ว่า เรือนทุกหลังจะหันประกบกันเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีทางเดินเชื่อมถึงกันหมด และตรงกลางบ้านก็เป็นสวนหินขนาดย่อม มีน้ำตกเล็กๆไหลลงสู่ทางน้ำที่ส่วนปลายของทางน้ำนั้นเป็นสระน้ำที่มีกอบัวขึ้นประปราย มีบันไดทอดจากตัวบ้านลงไปยังพื้นสวน มีทางเดินหินอ่อนปูรอบๆ ให้ลงไปเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ โดยรวมแล้วถือว่าเป็นที่ที่น่าอยู่มากทีเดียว 

     

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางทีมันก็ให้ความรู้สึกเงียบเหงา และว้าเหว่จนน่ากลัว

     

    นาย . . . อยู่ในที่แบบนี้คนเดียวมาตลอดเลยเหรอ” 

     

     

    ถึงแล้ว . . .”  ซาสึเกะหยุดเดินหน้าห้องๆหนึ่ง  มือบางเลื่อนเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไป ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ปูด้วยเสื่อตาตามิแทบทุกตารางนิ้ว ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้นกับรูปวาดติดผนังสามสี่ใบ ตรงกลางห้องมีโคทัตสึและแจกันสีขาวใส่ดอกรินโดะสีม่วงสดวางทับไว้ 

    นี่ดูไม่เหมือนห้องนอนเท่าไหร่เลยนะนารูโตะพูด เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น . . . 

    ห้องรับแขกน่ะ ห้องนอนฉันคงเล็กไปสำหรับคนตัวควายๆอย่างนายแล้วล่ะนะ”  ซาสึเกะตอบ แถมไม่วายจิกกลับอย่างเจ็บแสบ

    ฮะๆ นั่นสินะ แถมเตียงก็เล็ก นอนกับนายฉันยังอึดอัดแทบแย่ เนอะ ว่ามั้ย ซาสึ . . . อุ๊บ !”  ร่างสูงยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ก็โดนหมอนใบเขื่องลอยมาจากไหนไม่รู้ กระแทกใส่หน้าหล่อๆอย่างจังจนเซถอยหลัง “ซะ ซาสึเกะ ทำอะไรของนายเนี่ย

    ฉะ ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว ผ้าห่มอยู่ในตู้ตรงโน้น ถ้าไม่อยากหนาวตายก็ไปเอามาใช้ซะซาสึเกะเอ่ยเสียงเข้ม โบ้ยนิ้วไปตรงมุมห้อง ก่อนจะเดินฟึดฟัดออกจากห้องไป ทิ้งให้ร่างสูงของว่าที่โฮคาเงะเฝ้าถามตัวเองอย่างงุนงงว่า “ฉันพูดอะไรไม่เข้าหูหมอนั่นรึเปล่านะ โกรธจนหน้าแดงเชียว เฮ้อ

     

    จะว่าไป  เตียงนั่นก็เล็กจริงๆนั่นแหละ มิน่าล่ะ ซาสึเกะ . . . ในตอนนั้น หมอนั่นถึงกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยทั้งคืน ถึงตัวจะเบากว่าที่คิด แต่เล่นนอนทับกันแบบนั้น มันก็ต้องมีอึดอัด หายใจไม่ออกเป็นธรรมดา  . . .

     

     ( -  . . - )       ( . / / / .)       ( - / / / - )      ( > / / / < )       ( = [ ] = )   

     

    เอื้อก ! ! !    

     

    บ้าจริง ! ดันคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาซะได้ อ้ากกกก ! ”   นารูโตะกุมหัวตัวเองอย่างคุ้มคลั่ง มิน่า . . . หมอนั่นถึงโมโหฟึดฟัดขนาดนั้น !

     

    เหยียบหางแมวเข้าแล้วไหมล่ะ อุสึมากิ นารูโตะ เอ๋ย ถ้าไม่รีบนอนก่อนที่แมวตัวนั้นจะออกมาจากห้องน้ำล่ะก็ เห็นที ชะตาชีวิตนี้คงขาดสะบั้นในบัดดล . . . ลาก่อน ราตรีอันมืดมิด . . . คร่อก ! ! !

     

     

    ฝั่งซาสึเกะที่เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากห้อง ก้าวฉับๆตรงไปยังห้องอาบน้ำ แล้วปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ถึงจะรู้ว่ายังไงนารูโตะคงไม่คิดพิเรนท์มาแอบดูเขาอาบน้ำหรอก แต่ก็นะ . . . อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้เสมอกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘อุซึมากิ นารูโตะ’  เพราะฉะนั้น  ป้องกันไว้ก่อนเนี่ยแหละดีสุด ทั้งต่อร่างกายและหัวใจ ! 

     

    มือเรียวขาวจัดการปลดอาภรณ์ทั้งหมดออกจากร่างกาย ท่ามกลางไอควันขาวที่ลอยฟุ้งอบอวนไปทั่วห้อง ห้องนี้เป็นออนเซ็นขนาดใหญ่ มีพื้นที่กว้างพอจุได้เกือบสิบคนเลยทีเดียว  เมื่อก่อนเขากับอิทาจิก็เคยมาอาบน้ำด้วยกันที่นี่บ่อยๆ แม้ตอนนี้จะเหลือแค่เขาคนเดียวแล้วก็เถอะ 

     

    ยามที่อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายถูกปลดลง เผยให้เห็นร่างเพรียวบาง หน้าท้องแบนราบ กล้ามเนื้อแขนขาได้สัดส่วน ไม่ผอมลีบจนเก้งก้างและไม่บึกบึนจนดูน่ากลัว ยกเว้นก็แต่ผิวที่ขาวเนียน มีน้ำมีนวลกว่าปกติของผู้ชายเนี่ยแหละ  ซาสึเกะไม่เข้าใจและไม่เคยอยากจะเข้าใจซักนิดเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง เขาผ่านการต่อสู้มามากมาย และครึ่งต่อครึ่ง ศัตรูมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง ! 

     

    ข้าไม่อยากทำร้ายผู้หญิง . . .

    จะมาสู้กับพี่เหรอจ๊ะน้องสาว 

    เลิกสู้กัน แล้วมาเป็นเมียพี่ดีกว่าคนสวย 

    . . . เขาได้ยินมันจนชิน และชิงปิดปากคนเหล่านั้นไปทุกครั้งก่อนที่จะพ่นคำทุเรศเทือกนั้นออกมาให้เขาได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง 

     

    ไปตายซะ พวกสวะ !

     

    เฮอะ . . . คิดแล้วหงุดหงิดชะมัด

     

    ซาสึเกะจัดการพาตัวเองลงไปในบ่อน้ำอุ่น น้ำสีใสค่อยๆ ลามเลียกลืนกินร่างบอบบางไปทีละนิด ไล่มาตั้งแต่ ปลายเท้า ต้นขา สะโพก จนถึงหน้าอก ร่างบางหลับตาลงปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับไอสีขาว หากแต่ยังไม่วายนึกไปถึงอีกคนที่อยู่อีกฟากของตัวบ้าน คนที่เขาเพิ่งวีนแตกใส่ก่อนจะออกมา ทิ้งให้เจ้าตัวอยู่ตามลำพังในบ้านหลังใหญ่ ที่ไม่ต่างอะไรกับบ้านผีสิงหลังนี้ . . .

    ถูกผีหลอกเตลิดกลับบ้านไปซะก็ดี คนปากพลอยแบบนั้นน่ะ!ซาสึเกะพูดอย่างฮึดฮัด ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ 

    เพราะคำพูดหมอนั่น ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงที่สุดในชีวิต ความทรงจำใน ‘คืนนั้น’ ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆราวกับเล่นเทป 

    ค่ำคืนอันแสนเร่าร้อน . . . ที่เป็นเหมือนกับฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ ! ทั้งที่อยากจะลืมๆไปซะ แต่เจ้าคนปากพล่อยนั่นกลับพูดมันออกมาอย่างหน้าตาเฉย ในขณะที่เขาแทบจะกัดลิ้นตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด 

     

    จิตใจทำด้วยอะไรกัน !  

     

     

     

     

     

    ห้องทำงานโฮคาเงะ

    เอ่อ คือว่า ให้ฉันทำงานนี้มันจะดีเหรอคะเสียงสั่นๆ ของเด็กสาวเอ่ยถามพลางมองดูปึกเอกสารในมืออย่างหวั่นๆ 

    ทำไมล่ะ มีปัญหาตรงไหนรึเปล่าโฮคาเงะสาวถามกลับ มองดูท่าทางกระสับกระส่ายอย่างไม่มั่นใจของเด็กสาวอย่างนึกเอ็นดู 

    อ๊ะ เปล่าค่ะ แค่สงสัยว่า . . . ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ?” เด็กสาวชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ฉันมีความสามารถพอจะรับภารกิจนี้จริงๆเหรอคะ

    แน่นอน เธอมี  ฉันเชื่อว่าพลังของเธอจะสนับสนุนสองคนนั้นได้เป็นอย่างดีโฮคาเงะสาวส่งยิ้มอย่างให้กำลังใจ “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ฮินาตะ” 

    นะ นั่นสินะคะ ฉันจะทำอย่างเต็มที่ จะไม่ให้นารูโตะคุงกับซาสึเกะคุงต้องลำบากอย่างแน่นอนค่ะ!เด็กสาวเนตรสีขาวให้คำมั่น

    ดีมาก งั้นก็กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ ภารกิจเริ่มรุ่งสางพรุ่งนี้นะ” 

    ทราบแล้วค่ะ ท่านรุ่นห้าเด็กสาวทำความเคารพผู้อาวุโสก่อนจะเดินออกจากห้องไป  

     

     

    10 : 00 AM 

    วิหารจินคิสึ  ชายแดนแคว้นน้ำ - แคว้นดิน

     

    เสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามด้วยเสียงกระทบของโลหะดังมาจากด้านนอก  ปลุกให้เด็กสาวรู้สึกตัวตื่น ร่างอรชรลุกพรวดจากที่นอนอย่างรวดเร็ว สองเท้าก้าวฉับๆเดินไปดูที่มาของเสียงอย่างตื่นตระหนก 

    เกิดอะไรขึ้นน่ะ . . .

    เด็กสาวเดินอยู่บนโถงทางเดินอันว่างเปล่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นอีกระลอกจนเพดานอิฐสั่นสะเทือน ทันใดนั้น ประตูห้องโถงก็เปิดออก ปรากฏร่างหญิงสาววัยกลางคนปราดเข้ามาคว้าแขนเด็กสาวไว้ แล้วกึ่งจูงกึ่งลากให้วิ่งมาอีกทาง 

    ท่านแม่ ! เกิดอะไรขึ้น”  เสียงเล็กร้องถามผู้ที่ตนเรียกว่าแม่ เด็กสาวเริ่มใจคอไม่ดี 

    นี่ไม่ใช่ค่ำคืนอันแสนสงบสุขเหมือนอย่างเคย   มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น . . . ลางสังหรณ์ของเธอบอกแบบนั้น

    พวกนั้นหาที่นี่เจอแล้ว เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว” 

    “! ! !” พวกนั้น . . . หรือว่าจะเป็น . . .

    มันกำลังเกิดขึ้น  ความฝันของหนู มันกลายเป็นจริงใช่มั้ยคะ” เด็กสาวเอ่ยถามกับผู้เป็นแม่เสียงสั่น ใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความกลัว

    ใช่แล้วจ้ะ” 

     

    หล่อนพาเด็กสาววิ่งมาจนถึงหลังวิหารซึ่งเป็นพงป่ารกร้างติดทะเล เหล่าคนที่อาศัยอยู่ในวิหารและชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างพากันหลบภัยมาอยู่ที่นี่ เสียงระเบิดยังคงดังสนั่นไม่หยุดพอๆกับเสียงครวญครางด้วยความหวาดกลัวของหลายๆคน เปลวไฟสีส้มลุกโชนอยู่ไม่ไกลแผดเผาท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับอเวจีผุดขึ้นมาบนผืนดิน

    สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ท่านมิโกะ” ชายสวมชุดคลุมสีขาวตรงปรี่เข้ามาถามไถ่ทันทีที่พวกเธอไปถึง เขาคือหลวงพ่อมิโคโตะผู้ดูแลวิหาร เสื้อคลุมสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นและเศษดิน ในมือถือกล่องกำมะหยี่อันเล็ก เด็กสาวรู้ดีว่าข้างในนั้นมีอะไรและทำไมหลวงพ่อถึงต้องถือติดมือไว้ในสถานการณ์เช่นนี้

    ไม่ไหวค่ะ พวกนั้นมีมากเกินไป คนของเราเริ่มต้านไว้ไม่อยู่แล้ว ไม่นานที่นี่ต้องถูกทำลายแน่” หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมิโกะประจำวิหารตอบตามความจริง เด็กสาวเงยหน้ามองผู้เป็นแม่อย่างกังวล มิโกะอายาเมะ หรือ โฮชิ อายาเมะ เป็นแม่บุญธรรมของเธอเอง หล่อนรับเธอมาเลี้ยงหลังจากที่พ่อกับแม่แท้ๆตายไปเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก เธอจึงรักเเละเคารพเทิดทูนหญิงสาวเสมือนแม่แท้ๆ 

     

    เหล่าคนจากวิหารที่เหลือช่วยกันเกณฑ์ชาวบ้านลงเรือสัมภาระเพื่อใช้ล่องลงทะเล แม้จะรู้ว่าเสี่ยงอันตรายเพียงใด เพราะเป็นช่วงมรสุม แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นหากอยากจะรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชอีกฝั่งของวิหารนั่น 

    คานาเมะจัง มาหาหลวงพ่อหน่อยสิ”  ชายแก่เรียกเด็กสาวให้เดินเข้าไปหา ก่อนจะยื่นกล่องที่ตนถือไปให้ “สิ่งนี้มีอานุภาพมหาศาลนัก จะให้ตกไปอยู่ในมือของศัตรูไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นจงเก็บรักษามันให้ดี เข้าใจไหม

    ค่ะ หนูจะรักษามันยิ่งชีวิต หนูสัญญา”  เด็กสาวให้คำมั่น รับกล่องมาถือไว้แนบอก “จนกว่าจะถึงเวลานั้น

    จนกว่าเจ้าของที่แท้จริงจะปรากฏ . . .

     

    คานาเมะ มานี่สิจ้ะ” เด็กสาวหันไปหาผู้เป็นแม่ ผู้หญิงตรงหน้าส่งยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่เด็กสาวคิดว่ามันสวยที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น 

    รอยยิ้มของผู้เป็นที่รัก . . . 

    อายาเมะสวมกอดลูกสาวเอาไว้เเน่น “แม่ขอโทษที่ไปกับหนูไม่ได้ เพราะงั้นดูแลตัวเองดีๆนะจ๊ะ” 

    ไม่จริง . . . ทำไมล่ะคะท่านแม่”  เด็กสาวเริ่มใจเสีย ร่างบางสะอื้นไห้ตัวโยนอย่างน่าเวทนา 

    อีกไม่นานกำลังเสริมจากคิริงาคุเระจะมาถึง แม่กับหลวงพ่อต้องอยู่ช่วยพวกเขา นั่นคือหน้าที่ของแม่ ลูกเข้าใจใช่ไหม” 

    ค่ะท่านแม่ หนูเข้าใจ”  เด็กสาวพยักหน้า แม้จะยังไม่หยุดสะอื้นก็ตามที “ดูแลตัวเองด้วยนะคะ หนูรักท่านแม่นะ” 

    แม่ก็เหมือนกันจ้ะ” หญิงสาวผละอ้อมกอดก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจอย่างปลอบโยน “เข้มแข็งไว้นะคนดี ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร” 

    หนู ฮึ่ก หนูจะพยายามค่ะ” เด็กสาวเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง “ท่านแม่จะมาหาหนูใช่ไหมคะ” 

    จ้ะ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แม่จะตามไปทีหลังนะ” มิโกะสาวเอ่ยกับเด็กน้อย ส่งยิ้มกว้างเป็นสื่อว่าทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี

     

    แม้รู้ดี . . . ว่านั่นเป็นคำโกหก

    แม้รู้ดี . . . ว่าตอนที่ได้เจอกันอีกครั้ง จะไม่มีทางมาถึง 

     

    ถ้างั้น ฮึ่ก หนูไปก่อนนะคะ ฮึ่ก แล้วเจอกันค่ะ” 

    โชคดีจ้ะ”  มิโกะสาวส่งยิ้มให้เด็กน้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่างบางจะวิ่งไปขึ้นเรือที่จอดเทียบท่ารออยู่ ไม่นานเรือก็ออกตัว เนตรคู่สวยเหม่อมองเด็กสาวบนเรือจนลับสายตา พลันหยาดน้ำใสไหลลงอาบแก้มขาว ความโหยหาอาลัยเข้าท่วมท้นในอกคนเป็นแม่ 

    ขอบคุณนะ คานาเมะ . . . ”  

     

    ขอบคุณ . . . ที่ทำให้รู้ว่าการรักใครสักคนโดยไม่มีข้อแม้นั้นเป็นอย่างไร 

    ขอบคุณ . . . ที่เข้ามาเป็นแสงสว่างในทุกๆลมหายใจ . . . ทำให้ทุกๆวันของผู้หญิงคนนี้กลายเป็นวันที่เเสนพิเศษ

    ขอบคุณ . . . ที่ทำให้คนขี้ขลาดอย่างฉันกล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องผู้อื่น . . . ปกป้องสิ่งสำคัญ  

    ขอบคุณ . . . ขอบคุณจริงๆ 

     

    มีชีวิตอยู่ต่อไปนะจ้ะ . . . แสงสว่างของฉัน”  

     

     

     

    ตู้มม ! !   ตู้มมมม ! ! ! !

     

     

    _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 

     

    ในค่ำคืนนั้น . . . เปลวไฟสีชาดได้แผดเผาซึ่งทุกสิ่ง  หาดทรายสีขาวถูกย้อมไปด้วยโคลนโลหิต กับร่างไร้วิญญาณ

    ทุกชีวิตร่วงลงสู่ความตาย ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างทุกข์ทรมาน  เหล่าปีศาจยืนมองความตายเหล่านั้นอย่างปรีดา 

    แต่กระนั้น . . . กลับไร้วี่แววของสมบัติที่หมายปอง

    จึงล่าถอยสู่ความมืด เพื่อเริ่มต้นใหม่   จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ . . .จนกว่าทิวาการจะสูญสิ้น

    ดวงจิตโสมม  จะยังคงกลืนกินทุกสิ่ง  เช่นนั้น . . . เรื่อยไป

     

    - โฮชิ คานาเมะ -

    บันทึกความทรงจำ ‘จิ้งจอกสีเงิน’ 

     

     

     

     

     

    To be continue . . .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×