ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ NaruSasu ] ลำนำบุปผา...พฤกษาผลิบาน

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ ๑๕ ลูกแก้วแห่งแสงสว่าง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 700
      23
      20 ต.ค. 61


    บทที่ ๑๕

    ลูกแก้วแห่งแสงสว่าง

    ___________________________

                

         วันที่สามในปราสาทโทสึกิ เช้าวันนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยความวุ่นวายจากการถูกลักพาตัวไปของท่านโชจิโร่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้ปราสาทสีขาวหลังงามมิได้เงียบสงบเหมือนอย่างเคย เหล่าผู้คนวิ่งวุ่นไปทั่วแถมยังมีพวกทหารคอยรักษาการณ์ยั้วเยี้ยไม่ต่างอะไรกับคุกนักโทษคดีร้ายแรง แม้ฟ้าจะโปร่ง อากาศจะสดใส ดวงอาทิตย์จะเจิดจ้าน่าออกไปเดินเล่นเพียงใด นินจาโคโนฮะทั้งสามก็ทำได้เพียงนั่งเซ็งจิตกินข้าวเช้าอยู่ในห้องอาหารบนเรือนรับรองหลังเล็กอย่างไม่มีทางเลือก  

    “น่าเบื่อชะมัด” เสียงบ่นอย่างเซ็งๆของโจนินหนุ่มที่ตอนนี้นั่งเอามือเท้าคางพลางเขี่ยข้าวในจานเล่น

    “นารูโตะคุงไม่ทานข้าวเหรอจ้ะ” เสียงใสจากหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยทัก

    “อือ ฉันไม่หิวน่ะ”     

    “กินๆเข้าไปเถอะ อย่าเรื่องมากจะได้มั้ย” อุจิวะหนุ่มที่นั่งข้างๆเอ่ยดุ นารูโตะในวันนี้ดูงอแงและหงุดหงิดกว่าทุกๆวัน

    “ก็ฉันเบื่อนี่”  ใบหน้าคมเข้มระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด “เรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่กลับไม่ให้เราเข้าไปช่วย ใจคอจะให้นั่งอืดเป็นเต่าเผาแบบนี้ทั้งวันเลยรึไง หายหัวไปไหนกันหมดเนี่ย!” คนถูกหาว่าเรื่องมากโวยวาย ขยี้ผมทองจนยุ่งเหยิง  


    อย่าว่าแต่นารูโตะเลย ซาสึเกะเองก็หงุดหงิดใจไม่แพ้กัน สาเหตุก็เนื่องจากถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการถูกลักพาตัวของท่านโชจิโร่ เท่าที่ทำได้ก็แค่ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา นั่นก็คือการปกป้องกุญแจผนึกซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหนและหน้าตาเป็นยังไง แถมคนที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะพาไปดันไม่โผล่หัวมาซะทีนี่สิ !


    งานใหญ่ก็ถูกห้าม ส่วนงานที่มีก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการมานั่งจ่อมจ่อมืดแปดด้านในเรือนเล็กๆ ไกลปืนเที่ยงนี่  ในขณะที่โลกภายนอกกำลังร้อนระอุ!

    บอกเลยว่าหงุดหงิด!!!


    “เต่าเผาเหรอ? ฟังดูไม่ค่อยน่าพิศมัยเท่าไหร่เลยนะ” 

    เสียงทุ้มดังขึ้นที่ประตูห้องอาหาร เรียกความสนใจทั้งสามให้หันไปมอง ก่อนจะพบร่างสูงสง่ายืนกอดอกพิงบานประตู ใบหน้าคมคายประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย

    พูดถึงโจโฉ...โจโฉก็มาเลยแฮะ

    “นายมาช้า” นารูโตะเอ่ยเสียงห้วน หมอนี่ทำให้เขาหงุดหงิดใจทุกครั้งที่เห็นหน้า

    “ข้าเองก็มีธุระต้องไปจัดการเหมือนกันนะ ไม่มีเวลามานั่งตีพุงสบายใจอยู่แถวๆเรือนเล็กๆนี่หรอก” ยูกิฮิโระตอบกวนๆ เดินเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ 

    ชิส์ !  โจนินหนุ่มที่ถูกย้อนด้วยคำพูดนิ่มๆ แต่จิ๊ดไปถึงทรวง จิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์

    “ดูอารมณ์ติดลบกันแต่เช้าเลยนี่ มีเรื่องหมองใจอันใดรึ”

    “คุณไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้กันแน่” ซาสึเกะเป็นฝ่ายถาม มองผู้อาวุโสกว่าอย่างประเมิน

    “หือ ยังไงกันหนอ...” ดวงเนตรสีแดงสดวาววับอย่าง

    “...”

    “พวกเจ้าคิดว่าไงล่ะ”

    “...”

     “หืม??

    “....”

    “...”

    “เฮ่ออ เอาล่ะ ข้ายอมแพ้แล้วก็ได้” ยูกิฮิโระยกมืออย่างยอมแพ้เมื่อเห็นว่าสงครามกวนประสาทไม่ได้ผล ก่อนจะพูดต่อด้วยโหมดน้ำเสียงจริงจัง  เรียกบรรยากาศตรึงเครียดให้ก่อตัวขึ้น  

    “เอาล่ะ อยากรู้กันนักใช่มั้ย ว่าเหตุใดพ่อข้าถึงไม่ให้พวกเจ้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของท่านอา”

    “ใช่แล้ว” เออแฮะ หมอนี่ บทจะตรงก็ตรงแบบไม่ให้ตั้งตัวกันซักนิด

    “แต่พ่อข้าก็บอกไปแล้วนี่ว่ามันเป็นเรื่องภายใน แล้วอีกอย่างพวกเจ้าเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

    “มันก็ใช่ แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นเหตุผลทั้งหมดหรอกนะ รึไม่ใช่?

    “หึ ฉลาดดีนี่” ชายหนุ่มเว้นวรรค เห็นได้ชัดว่าใบหน้าคมคายฉายแววกระอักกระอ่วนราวกับลำบากใจที่ต้องพูดออกมา  

    “อันที่จริง ท่านพ่อสั่งข้าให้ห้ามบอกพวกเจ้าโดยเด็ดขาด...”

    “...”

    “แต่หลังจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนของตัวข้าเอง ข้าคิดว่าจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเจ้าได้รับรู้มัน”

    “หมายความว่าไง” อุจิวะหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ ลางสังหรณ์บางอย่างตีวนอยู่ในอก

    “ก่อนอื่น ข้าขอบอกให้พวกเจ้ารู้เอาไว้ ถึงเหตุผลที่ให้นินจาโคโนฮะเช่นพวกเจ้ามารับผิดชอบภารกิจนี้...”

    ร่างสูงสง่าโน้มตัวไปข้างหน้า สายตาคมสอดส่องไปรอบบริเวณจนแน่ใจว่าไม่มีใครมาแอบฟัง ยูกิฮิโระจึงเริ่มพูด เสียงทุ้มลดระดับลงจนเกือบกลายเป็นการกระซิบ “ท่านพ่อ...คิดว่ามีหนอนอยู่ในโทสึกิ”

    !!!

    “หนอน? ...หมายถึงคนทรยศน่ะเหรอ” โจนินหนุ่มถามอย่างไม่เชื่อหู
    “ใช่ มีคนทรยศตระกูลเรา แม้เป้าหมายจะยังคลุมเครือ แต่ก็คิดว่าคงเป็นกุญแจไขผนึกนั่นแหละ ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังเมื่อหลายวันก่อน...จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อลง แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือความจริง” ยูกิฮิโระปิดเปลือกตาลงอย่างกลุ้มใจ

    “รู้รึเปล่าว่าใคร” อุจิวะหนุ่มถาม ในใจก็นึกทึ่งลางสังหรณ์ของตัวเองไม่น้อย นับวันยิ่งแม่นยำขึ้นอย่างน่ากลัว

    “ไม่ แต่ถึงรู้ท่านก็ไม่มีทางบอกข้าหรอก”

    “ทำไมล่ะคะ” หญิงสาวเนตรสีขาวเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้างหลังจากนั่งเงียบมานาน

    “เรื่องนั้น...ถึงบอกไปพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” แวบหนึ่งที่ดวงเนตรสีแดงสด ทอแววเศร้าสร้อย...คล้ายอาลัยในบางสิ่ง แต่เพียงเสี้ยววิก็กลับมาเป็นปรกติโดยที่สามนินจาไม่ทันสังเกตเห็น

    “เรื่องปกป้องกุญผนึกน่ะ ความจริงแล้วต่อให้ไม่ต้องยืมมือโคโนฮะพวกข้าก็จัดการได้สบาย แต่ก็อย่างที่บอก โทสึกิในตอนนี้ไม่อาจเชื่อใจกันและกันได้อีกต่อไป บางที...คนที่คอยเคียงข้างเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอาจเป็นคนหักหลังเจ้าซะเองก็ได้ว่ามั้ย”

    “...”

    “ในเมื่อไว้ใจพวกเดียวกันไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องยืมมือพวกเจ้าให้เข้ามาจัดการแทนยังไงล่ะ”

    “นอกจากนายกับพ่อ ยังมีใครรู้เรื่องที่มีคนทรยศอีกบ้างมั้ย”

    “คิดว่าไม่มีนะ ท่านพ่อไม่เคยไว้ใจใครนอกจากข้า...แล้วก็ท่านอา” เสียงทุ้มแฝงแววอึดอัดเมื่อเอ่ยถึงอีกบุคคลหนึ่ง ซาสึเกะจับสังเกตได้ถึงปฏิกิริยานั้น หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป

    เกิดอะไรขึ้นระหว่างอาหลานคู่นี้กันแน่...

    “ถ้างั้นแล้วเรื่องที่กีดกันพวกเราไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการหายตัวไปของท่านที่ปรึกษาล่ะ จะอธิบายยังไง”

    “เรื่องท่านอาถูกจับตัวไป ท่านพ่อคิดว่านี่อาจเป็นแผนกับดักเพื่อล่อให้พวกเรานำกำลังคนออกมาเพื่อมาตามหาและชิงตัวท่านอา แล้วพวกมันก็จะใช้โอกาสนี้บุกเข้ามาที่นี่และขโมยกุญแจไป”

    “แต่นายบอกเองนี่ว่าที่นี่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโอกาสที่พวกมันจะทำสำเร็จก็มีน้อยมากเลยน่ะสิ” โจนินหนุ่มเอ่ยแย้ง

    “มันก็ใช่ เว้นก็แต่ มันจะถูกทำลายจาก ข้างใน น่ะนะ”

    “แบบนี้นี่เอง เพราะงั้นเลยให้เราดูแลกุญแจที่เป็นหัวใจสำคัญ แทนที่จะออกไปติดกับดักข้างนอกนั่นสินะ” ซาสึเกะพยักหน้าอย่างเข้าใจ พอรู้แบบนี้แล้ว ความคลางแคลงใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอกก็ค่อยๆมลายหายไป

    “ทีนี้พวกเจ้าคงกระจ่างแล้วสินะ ถึงการตัดสินใจของท่านพ่อ”

    “...”

    “ไม่ใช่เพราะอยากกีดกัน...ท่านพ่อน่ะ เชื่อใจ พวกเจ้าต่างหากล่ะ”

    เรื่องราวที่ถูกไขกระจ่างจากปากของชายหนุ่มทำให้นินจาทั้งสามนิ่งคิด อุจิวะหนุ่มเองก็พอเข้าใจและเห็นใจอยู่บ้าง หากมีคนทรยศแฝงตัวเข้ามาจริง นั่นหมายความว่าที่นี่ย่อมไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

    “เอาล่ะ ถ้างั้นก็มาเริ่มภารกิจของพวกเจ้ากันเลยเถอะ” ยูกิฮิโระลุกขึ้นยืน “ตามมาสิ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู...ตามสัญญา”







    “ที่นี่แหละ...”

    บริเวณทางเดินชั้นบนสุดซึ่งเป็นยอดปราสาท เมื่อมองลงไปก็จะเห็นทิวทัศน์ของธรรมชาติอันงดงามของต้นซากุระสีชมพูที่รายล้อมทั้งสี่ทิศของปราสาท แม้แสงตะวันจะร้อนแรง แต่เมื่ออยู่บนนี้ก็ไม่อาจต้านลมหนาวที่พัดสะท้านผิวได้อยู่ดี

    “ที่นี่น่ะเหรอ” เบื้องหน้าของพวกเขาคือห้องๆหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับโดม รอบๆมีการวางกำลังคนคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนาตลอดเวลา

    “ใช่แล้ว ที่นี่แหละ” ชายหนุ่มยื่นมือผลักประตูเข้าไป

    แอด...

     

    วาบ...

     

    “อึ่ก...” สัมผัสแรกที่ได้รับเมื่อก้าวเท้าเข้าไป คือแสงสีขาวที่สว่างจ้าจนมองสิ่งใดแทบไม่เห็นจนต้องหรี่ตามอง รอบๆตัวขาวโพลน พร้อมกับไอความร้อนที่แผ่ปกคลุมไปทั่ว ไอร้อนรุนแรงจนแสบผิว ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าดวงอาทิตย์ซึ่งห่างออกไปไม่ถึงเมตร และเมื่อมองไป ณ ใจกลางแสงเจิดจ้านั้นก็จะพบกับวัตถุทรงกลมคล้ายลูกแก้วยักษ์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแสงประหลาดนี่และมันก็กำลังลอยอยู่

    ใช่แล้ว...เจ้าสิ่งนั้นมันกำลัง ลอย อยู่บนพื้น !

    “เจ้านี่น่ะเหรอ” อุจิวะหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งตื่นเต้นและพิศวงในคราวเดียวกัน เพราะเมื่อมองดีๆก็จะพบว่า เจ้าลูกแก้วนี่เปล่งแสงออกมาเป็นสีต่างๆมากมาย ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง บางครั้งแสงเหล่านั้นก็จะรวมตัวกันกลายเป็นแถบสีรุ้งก่อนจะจางหายไป  

    “ถูกต้อง สิ่งนี้คือ ลูกแก้วแห่งแสงสว่าง หรืออีกชื่อก็คือ สิบากิผงาด

    “ว้าว ลอยได้ด้วย สุดยอดไปเลย” ฮินาตะพูดน้ำเสียงตื่นเต้น สิ่งนี้ช่างสวยงามและล้ำค่าเกินกว่าจะกลายเป็นเครื่องมือสงครามของมนุษย์ไปได้

    “นี่เป็นเพียงพลังส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ โชคดีที่ผลจากจันทร์ดับทำให้มันอ่อนพลังลงมาก มิเช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าพวกเจ้าจะย่างเท้าเข้ามาในนี้ได้...เพียงพริบตาที่แสงสัมผัสผิว ร่างบอบบางของเจ้าคงได้ป่นเป็นเถ้าอังคารแน่เทียวล่ะ”  ยูกิฮิโระไม่ได้คิดจะพูดขู่ขวัญให้อีกฝ่ายหวาดกลัว แต่ในบางครั้งที่แสงจันทรามีอำนาจมาก ส่งผลให้พลังของลูกแก้วเพิ่มขึ้นมหาศาลเกินกว่าที่ปราการเล็กๆนี่จะต้านทานไหว หลายร้อยชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับพลังอันบ้าคลั่งของมัน เขาเคยเห็นคนเหล่านั้นถูกแสงสว่างแผดเผาและหายไปต่อหน้าต่อตา

    ท่านแม่เองก็...

     

    “เราอยู่ในนี้ได้นานแค่ไหน” ซาสึเกะถาม แม้พลังของมันจะอ่อนลงไปมาก แต่แสงนี่ก็ยังเป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์อยู่ดี

    “ถ้าเป็นปกติสิบนาทีก็ถือว่าเก่งแล้ว แต่ขีดจำกัดของพวกเจ้ามันสูงกว่ามนุษย์ทั่วไป ดังนั้นข้าคิดว่าน่าจะซักครึ่งชั่วโมง...หรืออาจมากกว่านั้นก็ได้”

    “แล้วเราจะดูแลมันได้ยังไงในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง” นารูโตะถามอย่างสงสัย

    “ข้าก็ไม่ได้จะให้พวกเจ้าเข้ามาเฝ้าถึงในนี้ซักหน่อย...ความจริงแล้ว มีห้องปฏิบัติการลับอยู่ข้างบนโดมนี่ ในโดมนี้ติดกล้องสอดแนมไว้ทั้งหมดสิบหกตัว และภาพจากกล้องก็จะถูกส่งขึ้นมอนิเตอร์ที่อยู่ในห้องข้างบน ข้าจะให้พวกเจ้าเฝ้าห้องนั้นไว้ คอยดูความเป็นไปในห้องนี้” ชายหนุ่มอธิบายแผนให้นินจาทั้งสามฟัง

    “ปกติแล้วคุณไม่ได้ให้คนเฝ้าไว้เหรอคะ”

    “ปกติแล้วจะมีคนผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าวันละสองยาม แต่เพราะเกิดเรื่องขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ท่านพ่อจึงสั่งไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามในห้องนั้นอีกเลยนับแต่นั้นมา”

    “งั้นเหรอ...”

    ซาสึเกะพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบไป ชายหนุ่มร่างเล็กมองดูลูกแก้วสีใสซึ่งกำลังส่องแสงไปทั่วห้อง ไอสีรุ้งหมุนวนรอบทรงกลมก่อนจะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าแสงนั่นจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ แถมอากาศในห้องก็เริ่มจะร้อนขึ้นด้วยเช่นกัน เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นข้างขมับขาวก่อนจะย้อยลงมาอาบคางมน

    นี่หรือว่า...

    “ยูกิฮิโระซัง !” ซาสึเกะหันไปเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเองก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วด้วยเช่นกัน

    “อื้อ ฉันรู้แล้วล่ะ ทุกคน ! รีบออกจากห้องเร็ว ลูกแก้วมันกำลังจะปะทุแล้ว” สิ้นเสียง ทุกคนรีบหันหลังกลับก่อนจะออกวิ่งไปที่ประตู ทว่าดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว...


    วาบบ...วิ้งงงง ! !

    ลูกแก้วเรืองแสงถึงขีดสุดก่อนจะปล่อยแสงสีขาวพร้อมกับไอความร้อนออกมา ห้องทั้งห้องสว่างวาบในเสี้ยววินาที ท่ามกลางเหล่านินจาที่ยืนตะลึกงันอย่างทำอะไรไม่ถูก

    “แบบนี้แย่แน่ ๆ ชิส์...คงไม่มีทางเลือกสินะ” ยูกิฮิโระสบถเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง วาดมือไปมากลางอากาศริมฝีปากพึมพำบางอย่าง เพียงชั่ววินาทีก่อนที่แสงแห่งการทำลายล้างจะเอื้อมถึงตัว ปรากฏม่านสีแดงพุ่งขึ้นจากพื้นดินล้อมรอบตัวทั้งสี่คนเอาไว้ ทำให้แสงและความร้อนผ่านเข้ามาไม่ได้

    “ฝีมือคุณเหรอ” ซาสึเกะหันมาถามคนที่ยังชูมือค้างไว้กลางอากาศ ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ใต้ม่านพลังที่กางคลุมอยู่เหนือหัว และดูเหมือนมันจะเป็นเพียงสิ่งเดียวในตอนนี้ที่จะสามารถช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความตายได้ 

    “ใช่แล้ว นี่เป็นพลังของฉันเอง” ยูกิฮิโระตอบ

    “แล้ว...จะเอาไงกันต่อดี” ซาสึเกะถาม

    “ฉันว่าเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ประตูทางออกอยู่ตรงนั้นเอง” นารูโตะชี้มือไปที่ประตูซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร

    “ไม่ รออยู่ตรงนี้ ยืนนิ่งๆจนกว่ามันจะสงบลง”

    “ทำไมล่ะ”

    “ข้าขยับตัวไม่ได้น่ะสิ” ยูกิฮิโระตอบพลางชักสีหน้ายุ่งยากใจ “เวลาข้าใช้ม่านพลัง ข้าจะขยับตัวไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วม่านพลังจะคลายออก แล้วพวกเจ้ารวมถึงตัวข้าก็จะถูกแสงนั่นเผาตายยังไงล่ะ”

    “ยุ่งยากชะมัด” นารูโตะบ่น

    “เจ้าน่ะหุบปากไปเลย...อุ๊ก!

    “เกิดอะไรขึ้น?

    “พลังของมันแข็งแกร่งเกินไป ข้ารู้สึกว่าม่านพลังของข้าเริ่มจะต้านไม่ไหวแล้วล่ะ” ชายหนุ่มนิ่วหน้าหอบหายใจหนัก พยายามเค้นพลังที่มีอยู่ออกมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันอาละวาดและปะทุพลังออกมา แต่ทว่าการปะทุครั้งนี้นั้นหนักหนากว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยเผชิญมา ความจริงช่วงนี้เจ้านี่มันก็ค่อนข้างแปรปรวนพอสมควรน่ะนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวสงบเดี๋ยวคลั่ง แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะพยศได้อย่างเจ็บแสบถึงขนาดนี้ เห็นทีคงจะไม่ใช่แค่พลังของจันทราอย่างเดียวแล้วล่ะที่ทำให้มันอาละวาดเป็นบ้าเป็นหลังได้แบบนี้

    หรือว่านี่...อาจเป็น ลางบอกเหตุกันนะ

    ไม่สิ ความรู้สึกแบบนี้มัน...

    เจ้านี่...กำลังตอบรับการมาเยือนของพวกเขางั้นเหรอ?


    ชายหนุ่มมองไปทางพวกนินจาทั้งสาม ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร่างบาง ใบหน้าสวยซีดเซียวและเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อกำลังมองไปทางลูกแก้วอย่างเหม่อลอย

     

    ซาสึเกะจ้องมองไปที่ลูกแก้วไม่วางตาอย่างพยายามหาวิธีที่จะหยุดมัน ในขณะที่กำลังครุ่นคิด อาการปวดจิ๊ดก็แล่นเข้ามาในหัวจนชายหนุ่มต้องนิ่วหน้า  พลันในอกรู้สึกเย็นวาบ มือบางเลื่อนมาจับก่อนจะพบว่าที่มาของความเย็นนั้นคือจี้เพชรที่ห้อยคออยู่ เจ้าผลึกหกเหลี่ยมจิ๋วเย็นเยือกประหนึ่งน้ำแข็งหัวโลกจนมือที่กุมอยู่สั่นสะท้าน พลันความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในจิตใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่น พยายามนึกว่ามันคืออะไร

    เอาอีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ อะไรกัน...มันคืออะไรกันแน่นะ?

    รู้สึกไม่ค่อยดีเลย...


    กริ๊ก...


    ข้าอยู่นี่

    ใครนะ...เสียงใครกัน?

    ข้าอยู่ตรงนี้

    เสียงนั่น...จากลูกแก้วงั้นเหรอ?


    วินาทีนั้น เหมือนมีแรงดึงดูดให้สองขาของร่างบางก้าวเดินไปข้างหน้า ตรงไปยังทิศที่ลูกแก้วลอยอยู่ โดยไม่สนใจเสียงของยูกิฮิโระที่พยายามร้องห้าม ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของเพื่อนร่วมทีม


    “ซาสึเกะ นั่นนายจะออกไปไหนน่ะ” โจนินหนุ่มร่างสูงรู้สึกตกใจที่เห็นร่างของอดีตคู่หูเดินทะลุม่านพลังออกไปอย่างง่ายดาย สองมือหนาพยายามไขว่คว้ามือบางเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน

    “อยากตายหรือยังไง ! กลับเข้ามาเดี๋ยวนี้ !

    เสียงตวาดของยูกิฮิโระไม่ได้ทำให้ซาสึเกะหันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดซาสึเกะก็เดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าลูกทรงกลมใสได้สำเร็จ ไอความร้อนเผาไหม้จนรู้สึกแสบผิวไปหมด น่าแปลกที่ในหัวกลับไม่รู้สึกอะไรราวกับว่านี่เป็นเพียงความฝัน ได้ยินเสียงเรียกดังแว่วๆตามหลังมา แต่ในวินาทีนั้นเหมือนร่างทั้งร่างจะถูกบางอย่างควบคุม ในคลองสายตาเห็นเพียงก้อนทรงกลมที่กำลังส่องสว่างอยู่ข้างหน้ากับเสียงเพรียกดังมาจากที่ไกลแสนไกล


    ข้าอยู่ตรงนี้...ท่าน

    ...ดังมาจากในลูกแก้วจริงๆด้วย

    นายเป็นใคร ทำไมถึงเรียกหาฉัน’ สองมือบางสัมผัสทรงกลมใสอย่างแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ข้างใน

    ข้าคือสึบากิผงาด...ข้าคือโชคชะตาของท่าน'


    สิ้นเสียง ลูกแก้วที่แต่เดิมสว่างวาบอยู่แล้วกลับยิ่งโชติช่วงขึ้นเป็นเท่าตัว ห้องทั้งห้องถูกกลืนไปด้วยทัศนียภาพสีขาว ลมมหาศาลพัดออกมาจากใจกลางกระแทกผนังห้องจนสั่นคลอน น่าแปลกที่ไอความร้อนที่ควรจะเผาผลาญร่างของอุจิวะให้มอดไหม้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกถึงมันแม้แต่นิดเดียว


    เวลาแห่งโชคชะตาใกล้เข้ามาแล้ว...จงพึงระวัง สิ่งสำคัญ ไว้ให้ดี

    หมายความว่าไง ฉันไม่เข้าใจ

    ตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด ตัวข้านั้นเป็นพิษต่อมนุษย์มากนัก

    เมื่อเพลานั้นมาถึง เราจะได้พบกันอีกแน่...

    เดี๋ยว...

     


    ลาก่อน...


    บุตรแห่งอินดรา..ผู้น่าสงสาร

     



    เฮือก !

    สิ้นเสียงปริศนา ลูกแก้วที่ส่องแสงอย่างบ้าคลั่งก็ยอมสงบลง เหตุการณ์ในห้องกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากยูกิฮิโระคลายม่านพลังออก ทั้งสามคนตรงดิ่งมาหาจุดที่ซาสึเกะยืนอยู่ ในหัวทั้งสับสนระคนงุนงนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหาคำตอบไม่ได้

    “ซาสึเกะ!” เสียงทุ้มร้องเรียกมาแต่ไกลทำให้ซาสึเกะรู้สึกตัว

    “นารูโตะ...” แล้วทำไมฉันถึงได้...


    เฮือก !

    “อึ่ก...!

    อะ อึดอัด...หายใจไม่ออก

    “เห้ นี่นาย...เป็นอะไรรึเปล่า?!” นารูโตะที่เห็นสีหน้าทรมานของคนตัวเล็ก เอ่ยถามพลางวิ่งมาหาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเป็นกังวล

    “อะ อึ่ก” ร่างบางโงนเงน เข่าอ่อนยวบก่อนจะซวนเซล้มลงไป แต่ก็ยังช้ากว่าร่างสูงของโจนินหนุ่มที่พุ่งตัวเข้ามารับตัวเอาไว้ได้ทันอย่างเฉียดฉิว 

    “ซาสึเกะ !” วงแขนแกร่งโอบร่างขาวไว้ก่อนจะประคองให้กึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้น

    “ซาสึเกะ เกิดอะไรขึ้น ?!

    “อึ่ก จะ เจ็บ . . .” อุจิวะหนุ่มรู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอกเหมือนโดนกดทับด้วยสิ่งของขนาดใหญ่ ในหัวปวดตุบเหมือนใกล้จะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

    “เจ็บ? นายบาดเจ็บเหรอ! นายบาดเจ็บตรงไหนน่ะ?!” นารูโตะเอ่ยถามอย่างร้อนรน สองมือคลำไปทั่วร่างของซาสึเกะเพื่อสำรวจหาบาดแผล แต่ก็ไม่พบ

    “เฮ้ ! มีใครอยู่ข้างนอกรึไม่ มีคนบาดเจ็บอยู่ข้างในนี้ !” ยูกิฮิโระตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือจากด้านนอก

    “ขอฉันดูหน่อยค่ะ!”  โจนินหนุ่มหลบตัวให้เพื่อนสาวเข้ามาดูอาการคนตัวเล็ก

    หญิงสาวกุมใบหน้าซีดขาวของเพื่อนหนุ่มไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะเค้นจักระออกมา ไอพลังสีเขียวแห่งการรักษาและเยียวยา วิชานินจาแพทย์ที่เพื่อนสาวคนเก่ง ฮารุโนะ ซากุระ เป็นคนสอนเธอทั้งหมด

    “ซาสึเกะคุงตัวเย็นมากเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ค่ะ” อาการตัวเย็น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความดันและอุณหภูมิในร่างกายกำลังลดต่ำลง หากปล่อยไว้นานๆร่างกายจะเกิดการช็อคอย่างรุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    “ทำใจดีๆไว้นะ ซาสึเกะ!” โจนินหนุ่มใจหายเมื่อกุมอีกฝ่ายก่อนจะพบว่ามันเย็นเฉียบจริงๆ ชายหนุ่มรู้สึกกลัวจับใจ

    “ขอร้องล่ะ...อย่าเป็นอะไรไปนะ”

    นายจะต้องไม่เป็นไร ซาสึเกะ นายจะต้องไม่เป็นอะไร !

    “นารูโตะ...อึ่ก!” 

    ซาสึเกะกัดฟันเพื่อระงับอาหารปวดหัวอย่างรุนแรง ในหัวขาวโพลน คิดอะไรแทบไม่ออก ภาพตรงหน้าที่เห็นคือใบหน้าเลือนลางของนารูโตะที่กำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขาแต่เขากลับไม่ได้ยินมัน สติสัมปชัญญะที่มีอยู่เริ่มลดลงเรื่อยๆ ตอนนี้สมองเขาแทบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


    ทรมาน...ทรมานเหลือเกิน

    ใครก็ได้ช่วยที...ช่วยฉันด้วย

    นารูโตะ...ช่วยฉันที

     


    “อ๊ากกกกกกก !

     


    “ซาสึเกะ ! ! !

    ______________________________________________________________________________________________


    สวัสดีเจ้าาา >< เจอกันอีกตอนแย้ววว จัดไปชุดใหญ่ให้สมกับที่รีดเดอร์รอคอย NaruSasu เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสโลว์ไลพ์เบาๆ ของอิไรท์ผู้ขี้เกียจ (และสวยมาก//เดี๋ยวนะๆ...) 

    วันนี้ไม่มีไรมาก ก็แค่จะมาบอกว่า...

    คิดถึงรีดเดอร์มากๆ อิ๊ ! 555 

    รักน๊ะ แจ๊ะๆ 


                                                                                                                                                                         SherlockKun

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×