ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ NaruSasu ] ลำนำบุปผา...พฤกษาผลิบาน

    ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ ๑๓ พฤกษาเทพ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 712
      31
      20 ต.ค. 61



     บทที่ ๑๓

    พฤกษาเทพ

    ___________________

     


    เมื่อไหร่จะถึงซักที ร้อนจะตายแล้วเนี่ยยยย” นารูโตะโวยวายหลังจากที่ออกเดินทางมาได้สักพัก หมอนี่เอาแต่บ่น ไม่ก็โวยวายว่าร้อนมั่ง เมื่อยขามั่ง จนซาสึเกะชักเริ่มรำคาญ

    “หยุดแหกปากซะทีจะได้มั้ย น่ารำคาญจริงๆ” ซาสึเกะเอ็ด

    “นี่ ฉันว่าเราออกนอกเขตมาไกลแล้วนะคะ คิดว่านะ...” ฮินาตะพูด ถึงหล่อนจะไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แต่ลักษณะภูมิประเทศช่างแตกต่างจากตอนมาลิบลับ จากทุ่งหญ้าสีเขียวกลับกลายเป็นป่ารกครึ้มอันเร้นลับ แลดูน่าหวาดหวั่น

     “เปล่า ไม่หรอก

    หือ หมายความว่าไง

    พวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อก็ได้...อันที่จริง อาณาบริเวณนี้ทั้งหมดรวมถึงในรัศมีห้าสิบกิโมเมตรจากที่นี่ ตระกูลของข้าดูแลอยู่ทั้งหมดน่ะ...

    “หา!? จริงเหรอเนี่ย”

    ฮิกะ หมู่บ้านที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรกนั่นก็ใช่นะ”

     “โกหกชัดๆนารูโตะอ้าปากกว้างอย่างไม่เชื่อ ส่วนเขาน่ะเหรอ ก็เฉยๆนะ  แบบว่าเป็นธรรมดาของตระกูลใหญ่ๆเค้านั่นแหละ อุจิวะเองก็เคยครอบครองอาณาเขตป่าสายหมอกทางเหนือของโคโนฮะเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราวๆห้าถึงหกพันไร่นี่ล่ะ จำได้ว่าตอนสามขวบเคยเข้าไปแล้วติดอยู่ในนั้นกับอิทาจิสองคน กว่าพ่อจะเข้าไปช่วยก็ผ่านไปสี่วันเต็มๆ อืม...ตอนนั้นพวกเขารอดมาได้ยังไงกันนะ จำไม่ได้แล้วสิ

    ...ช่างมันเถอะ

    กว้างจังเลย”  ฮินาตะพูด ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หันไปหาร่างสูงที่ควบม้าสีขาวเคียงกัน ก่อนจะกระซิบคุยเป็นการส่วนตัวว่า ว่าแต่ นารูโตะคุง...

    “...”  เขาเองก็ไม่ได้อยากแอบฟังหรอก แต่หูมันดันได้ยินเอง ช่วยไม่ได้นะ

    หือ? มีอะไรหรอฮินาตะร่างสูงขานรับ หันไปมองหญิงสาวที่ทำหน้าเหมือนลังเลใจที่จะถาม แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไป

    คือว่า เมื่อคืนน่ะ”  หือ

    “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า คือฉัน...ได้ยินเสียงน่ะ”

    เรื่องเมื่อคืน??? โอ๊ะ จริงสิ ลืมไปว่ายัยนี่ก็นอนห้องข้างๆนี่นา ตายล่ะ ว่าบอกนะว่าหล่อน...แอบฟัง !

    “คือว่า เรื่องนั้น...” โจนินหนุ่มเหลียวมองมายังตัวต้นเหตุ “คือว่า ซาสึเกะ...”

    “เอาล่ะ ใกล้จะเข้าเขตป่าต้องห้ามแล้ว ระวังตัวกันด้วย เสียงยูกิฮิโระเอ่ยดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้การสนทนาต้องหยุดไป สุดท้ายหญิงสาวเลยไม่รู้ว่านารูโตะจะบอกอะไร

     

     

     

     

    การเดินทางผ่านป่าต้องห้ามเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะมีบางช่วงที่ค่อนข้างระทึกใจอยู่บ้างก็ตาม ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าลึกและมึดทืบที่แม้แต่แสงตะวันก็ยังมไม่อาจส่องถึง หนำซ้ำยังมีไอหมอกสีขาวโพลนแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ บดบังทัศนวิสัยรอบข้างเสียสิ้น โพรงรกทึบและสุมทุมพุ่มไม้น้อยใหญ่เป็นที่ซ่อนตัวอย่างดีของเหล่าสัตว์ร้ายและอสรพิษนานาชนิดซึ่งเร้นกายรอเวลาเขมือบเหยื่อผู้น่าเวทนาที่พลัดหลงเข้ามา เถาววัลย์พิษเลื้อยพาดพันต้นไม้น้อยใหญ่ดูยั้วเยี้ยรำคาญตา กระนั้นหากไม่ระวังตัวเผลอไปสัมผัสถูกมันเข้าล่ะก็ ถึงตายอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มันถูกปิดตายไม่ให้คนนอกผ่าน และเป็นที่มาของชื่อป่าต้องห้ามที่ผู้คนแถบนี้ต่างขยาดกลัวที่จะเยื้องกายเข้าไปใกล้ พวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ด้วยความที่หากใช้เส้นทางเลี่ยงอีกทางจะต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งถึงสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ อาจทำให้การเดินทางล่าช้าไปอีก ยอมเสี่ยงหน่อยแต่ถ้าผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าก็ถือว่าโอเค

    ฮู่ววว ! นึกว่าจะตายแล้วซะอีก ไอ้ตัวมีหนามนั่นมันอะไรรรรร”  เจ้าของเสียงทุ้มใหญ่โวยวายขึ้น หลังจากที่พวกเขาถูกสัตว์ประหลาดที่คล้ายสิงโตแต่มีเขาอันเบ้อเริ่มแถมยังมีหนามแหลมคมงอกอกมาตามแผ่นหลังตะปุ่มตะป่ำ วิ่งไล่กวดอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะรอดเงื้อมมือเจ้านั่นมาได้เล่นเอาทุลักทุเลไปตามๆกัน

    ถือว่าเสี่ยงได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว

    “เจ้านั่นคือ อัครา คนพื้นเมืองเรียกมันว่า เม่นไฟ น่ะ

    หาเม่นเนี่ยนะ!” บร๊ะเจ้า! เม่นอะไรตัวใหญ่เท่าช้าง เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเจอ ( =O=; )

    เป็นเม่นที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยล่ะค่ะ อะแฮะๆหญิงสาวคนเดียวเอ่ยกลั้วหัวเราะ หากแต่ดวงหน้างามกลับซีดเผือด ยังหวาดกลัวไม่หายกับสิ่งที่เพิ่งพบ นี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ แงงงงงง  (TOT)

    นี่แหละคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล่ะ เหล่าสรรพชีวิตที่อาศัย ณ ที่นี้ล้วนได้รับการปกปักษ์จากองค์เทพทั้งสิ้น ต่อให้เป็นเดียรัจฉานชั้นต่ำ มนุษย์อย่างเราๆก็มิอาจล่วงเกินพวกเขาได้แม้เพียงปลายเล็บ...ร่างใหญ่อธิบาย ใบหน้าคมยังมองตรงไปข้างหน้านิ่ง

    เดี๋ยวพวกเจ้าจะได้เจออะไรอีกเยอะ เตรียมใจไว้ให้ดีแล้วกันไม่วายพูดทิ้งท้ายได้อย่างน่าขนลุก ก่อนจะควบม้าทะยานนำไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสง่างามเหมือนทุกที ทิ้งให้เหล่านักรบแห่งหมู่บ้านใบไม้ได้แต่ขบคิดอย่างเหงื่อตกว่า 

    แล้วไอ้อะไรๆที่ว่ามันคืออะไรกันล่ะเฮ้ยยย! ‘

     

     

     

    จากป่าดงดิบรกครึ้ม ผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มสะบัดปลายยอดลู่ตามสายลมหนาวที่พัดเอื่อยๆ ไม่นานนัก หุบเขาเวิ้งว้างหลายสิบลูกก็ปรากฏแก่สายตา ม้าขาวทั้งสี่ตัวทะยานลัดเลาะไปตามขอบผาสูงชัน คดเคี้ยวเลื้อยไปมาดั่งเขาวงกต เมื่อมองลงไปจากตรงนี้จะเห็นลำธารสายเล็กๆ ที่แห้งผาก รอวันเติมเต็ม ณ แรกแย้มแห่งวสัตฤดูที่อีกนานกว่าจะมาเยือน  แห่งแล้ว...แห่งเล่า...ภูมิทัศน์หลากหลายผ่านเข้ามาในคลองเนตรของผู้มาเยือน ป่าสน ทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่า ทุ่งไฮยาซินธ์หลากสี ขุนเขาสูงชันที่ถูกย้อมด้วยสีขาวโพลน หากแต่ซากุระสีชมพูอ่อนนับพันต้นที่บานสะพรั่งลดหลั่นกันนั้น กลับแต่งแต้มความว่างเปล่าอันหนาวเหน็บให้มีสีสัน งดงาม ราวกับภาพวาดชิ้นเอก  ความเหมือนที่ขัดแย้ง ความแตกต่างที่ดูกลมกลืน เป็นเอกเทศ เมื่อจับมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสวรรค์บนผืนดิน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์   ของขวัญอันล้ำค่าจากเหล่าทวยเทพ

    แล้วก็...

    ไม่จริงน่า นั่นน่ะเหรอ...

    สุดยอดเลย...

    “...”
    นั่นคือ เทนเซย์คิ พฤกษาเทพ ต้นกำเนิดพลังจักระที่พวกเจ้าใช้กันอยู่ยังไงล่ะ

     

    ใจกลางทะเลสาบสีฟ้าใส ใสสะอาด...จนแลเห็นนภาสีครามในละรอกคลื่นที่พัดแผ่มา พฤกษามหึมาขนาดร้อยคนโอบตั้งตระหง่านหยั่งรากลึกลงผืนดิน ณ ก้นธารา แผ่สยายกิ่งก้านสีเขียวสด ปกคลุมผืนน้ำกินบริเวณกว้าง ราวกับจะโอบกอดผืนดินเหล่านี้ไว้ ใบไม้สีเขียวเข้มดกหนา บดบังเงาตะวัน เถาวัลย์เส้นเล็กจำนวนมากเลื้อยปกคลุมทรงพุ่มอย่างเป็นสัดส่วน บางส่วนยาวเลยไปจนถึงใต้น้ำ ลำต้นอวบใหญ่ถูกเคลือบด้วยเกล็ดสีทองระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ ช่างดูสง่างาม...ราวกับวิมานของทวยเทพ

     

    เนตรสวย...เหม่อมอง...ธารใส

    ผืนใหญ่...สะท้อน...หยางหยิน

    พฤกษา...แห่งเทพ...ธานิน

    ศรัทธา...แสงสิ้น...หลอมรวมเรา

     

    สวย...ร่างเล็กพึงพำออกมาอย่างเผลอไผล ไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้แม้แต่นิด เขาไม่สามารถบรรยายภาพตรงหน้าออกมาเป็นคำพูดได้เลย ไม่สิ...สิ่งที่เห็น มันยิ่งกว่าความรู้สึกทั่วไปจะกลั่นกรองได้เสียอีก

    เหมือนสวรรค์ขนาดย่อมๆเลยใช่มั้ยล่ะ สมบัติอันล้ำค่าของโลก มรดกแห่งเซียนหกวิถี นี่แหละคือของจริง”

    ผิดคาดจากที่จินตนาการไว้เลยแฮะร่างสูงของโจนินหนุ่มเอ่ย นึกไปถึงพฤกษาอันเขื่องที่ถูกมาดาระปลุกขึ้นมากลางสนามรบ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเทียบไม่ได้กับสิ่งนี้เลยแม้เพียงนิด แข็งแกร่ง งดงาม เขารู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายในเกล็ดสีทองสว่างนั่น แสนยานุภาพที่เพียงพอจะทำลายล้างโลกกลมๆใบนี้ให้สิ้นซากได้เพียงพริบตาเดียว

    “ของแบบนี้ ถ้าเกิดไปตกอยู่ในมือคนชั่วเข้าล่ะก็ ไม่ดีแน่ๆ”

    นั่นเป็นสิ่งที่ข้าจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด”

    แต่ว่าอยู่ตั้งป่าลึกขนาดนี้ ต่อให้รู้ พวกมันก็ไม่มีทางเข้ามาถึงนี่ได้หรอก อีกอย่างนะ” ร่างสูงแหงนหน้าไล่สายตาขึ้นไปมองจนสุดยอด “อันเบ้อเริ่มขนาดนี้ จะเอาไปยังไงล่ะเนี่ย” เขาไม่เห็นทางไหนที่จะสามารถขนเจ้านี่ออกไปจากที่นี่ได้เลย อย่าว่าแต่ผู้ร้ายเป็นฝูงเลย ให้สัตว์หางสิบตัวมาฉุดก็ใช่ว่าจะถอนรากถอนโคนได้

    ก็จริง แต่เราไม่ควรวางใจ...เนตรแดงสดหรี่ลงอย่างเยือกเย็น “ ตราบใดที่ ฟันเฟือง แห่งสงครามยังคงหมุนอยู่ ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก

     “มาดาระก็เคยทำมาแล้วหนิ อย่าลืมสิ”  ร่างเล็กเอ่ยเตือนสติ เจ้านารูโตะ บทจะประมาท ก็เลินเล่อซะจนน่าเป็นห่วง

    เข้าใจแล้วน่าคนถูกดุทำหน้าง้ำ แก้มป่อง อย่างงอนๆ แต่มีหรือคนอย่างซาสึเกะจะสนใจ

     แล้ว...คิดจะทำยังไงต่อร่างบางถามยูกิฮิโระ

     เราจะปล่อย เทนเซย์คิ ไว้ แล้วกลับไปปราสาท

    แบบนั้นมันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอไง นายเป็นคนบอกเองนี่ ว่าไม่ควรวางใจ” 

    “หรอ จำไม่เห็นได้เลยแฮะ” ชายหนุ่มลอยหน้าลอยตาพูด

    “อย่ามากวนประสาทฉันนะ!” ซาสึเกะรู้สึกหัวร้อน ร่างบางชักหน้าง้ำอย่างหงุดหงิด

    “เยื้องจากนี่ไปทางตะวันตกสองกิโลเมตร มีฐานทัพลับอยู่ ข้าให้คนคอยเฝ้าที่นี่ไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลหรอก เด็กน้อย” ชายหนุ่มว่าพลางเอื้อมมือมาโยกหัวซาสึเกะเล่นอย่างอารมณ์ดี

    ชิส์ ใครใช้ให้เอามือมาแตะหัวฉัน บังอาจนัก ! ( =..=* )

    “เอามือนายออกไปเลย แล้วก็...” ซาสึเกะว่าก่อนจะปัดมือหนาออกไปให้พ้นหัว “ฉัน 19 แล้ว อย่ามาเรียกฉันเด็กน้อยนะ !

    “ฮะฮะ  ฮ่า ๆๆ”  

    “มีอะไรน่าขำรึไง”

    “อะแฮ่ม ก็...เปล่านี่ ยังไงซะ ข้าก็แก่กว่าเจ้าตั้ง 6 ปี ให้ความเคารพข้าหน่อยก็ดีนะ”

    เหอะ! พูดหยั่งกับว่านายทำตัวให้น่าเคารพนักแหละ ( -.- )

    เอาเถอะ หนทางที่จะมาที่นี่มีเพียงทางเดียวคือต้องผ่านป้อมทางทิศตะวันออกเท่านั้นยูกิฮิโระเงียบก่อนจะเอ่ยต่อ หมายความว่า พวกมันจำต้องข้ามศพทหารนับพันไปให้ได้เสียก่อน และมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”  

    ใช่ เป็นไปไม่ได้ ยกเว้น คนในจะเป็นฝ่ายเปิดมันออก น่ะนะประโยคแฝงความนัยของร่างบาง ทำให้ยูกิฮิโระเลิกคิ้วสูง

    “คนใน? หืม เข้าใจพูดนี่ แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด อันนี้ข้าไม่เถียง แม้ความเป็นไปได้มันจะน้อยนิดเต็มทีก็เถอะนะ”

    “ชั้นก็แค่ยกตัวอย่าง หนึ่งใน ความเป็นไปได้ มาพูดให้ฟังก็เท่านั้นร่างเล็กตอบอย่างไม่หยี่ระ ในความเป็นไปไม่ได้นั้น มักมีความเป็นไปได้ซ่อนอยู่เสมอ เขาก็แค่หยิบมันออกมาจากในล้านล้านความเป็นไปได้ที่มีอยู่ขึ้นมา

     

    แค่หยิบออกมา...ตามลางสังหรณ์ก็แค่นั้นเอง

    ลางสังหรณ.ที่ไม่เคย ‘ผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว

     

    พวกเราจะค้างที่นี่กันหนึ่งคืน มีปัญหาอันใดรึไม่” 

    แล้วจะค้างที่ไหนล่ะ ชั้นว่าที่ตรงนี้คงไม่เหมาะให้ปูเสื่อนอนหรอกนะเสียงทุ้มเรียบของโจนินหนุ่มเอ่ยแกมประชด ดูเหมือนเจ้าตัวพร้อมจะหาเรื่องคนอาวุโสกว่าได้ทุกเมื่อ

    ก็ฐานทัพลับที่ข้าบอกยังไงล่ะ แต่ก่อนอื่นข้าต้องพาพวกเจ้าไปอาบน้ำก่อน ตรงข้ามทะเลสาบนี้มีแอ่งน้ำตกอยู่ ข้าจะพาไปที่นั่นแล้วกัน ผู้เป็นใหญ่เอ่ย พลางควบม้าหันหลังออกวิ่งอย่างช้าๆ โดยมีสามนินจาตามหลังมาติดๆ

     

    ทิ้งไว้เพียงภาพทะเลสาบสีสวย และพฤกษายักษ์ ไว้เป็นฉากหลัง

     ตะวันสีแดงฉานลาลับจับขอบขุนเขาอันหนาวเหน็บ  ในไม่ช้าก็อ่อนแสงลง จนมืดสนิท  เข้าสู่รัตติกาลอันมืดมนอนธกา อำลาทิวากาลแสนสดใส...

    ...เพียงเพื่อจะได้หวนคืนสู่ ‘รุ่งอรุณ’ อีกครา

     

    ร่างบางของอุจิวะหนุ่มนั่งตัวตรงบนหลังม้าสีขาวสะอาด เคียงคู่ไปกับโจนินหนุ่ม เนตรคมคู่งามมองตรงไปข้างหน้าแน่วนิ่ง แต่เมื่อมองดีๆ กลับแฝงความวิตกบางอย่างเอาไว้ ริมฝีปากบางอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างในจิตใจ

    บางอย่าง...ที่ยังรบกวนจิตใจอยู่

    ตั้งแต่เข้ามาในแคว้นๆนี้

    ตั้งแต่เข้ามาใน ‘บ้าน’ โทสึกิ หลังนี้

    และ...

    ตั้งแต่มายืนอยู่ที่นี่!

     

    วาบ...

    อีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้!

    ควับ!

    “....”  จากไหน มาจากที่ไหนกัน?!

     ไม่สิ นี่หรือว่า...

     

    จาก ‘สร้อย’ !!

     

    กริ๊ก...

     

    หม่นมอง...หมองมัว...บุบผชาติ

    เบญมาศ...หวาดหวั่น...เจ้าพฤกษา

    เห็นจุดจบ...นายข้า...น่าเวทนา

    นี่หรือ...คือ ‘ชะตา’ …น่าเศร้าใจ

     

    กริ๊ก...

     

    อะไรน่ะ ความรู้สึกแบนี้เสียงหวานรำพึง มือบางเลื่อนขึ้นมากุมจี้ไว้ พลางลูบเบาๆ ความเย็นของเนื้อเพชรที่ส่งผ่านมาสะกิดใจผู้เป็นเจ้าของ พาให้รู้สึกหวั่นไหว หวาดหวั่น ... ช่างน่าประหลาด

     

    ...มีบางอย่างผิดปรกติ

    แล้วมันอะไรล่ะ อะไรที่ทำให้เขาตงิดใจ

    ไอ้ความรู้สึกน่ารำคาญนี่ 

    เขารู้สึกว่าสิ่งนั้น กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ 

    ดั่งมัจจุราชเงียบ...

     

    เขาต้องหาคำตอบให้ได้

     

     

     

     

     

     

     

    ก๊อกๆ

    “นายท่าน...ข้าเอง

    เจ้าเองรึ เข้ามาสิสิ้นสุรเสียงกังวาน ประตูไม้บานใหญ่สลักลายนกกระเรียน เคลือบด้วยสีทองสว่างพลันเปิดอ้าออก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเป็นจังหวะของผู้มาเยือน ก่อนจะนั่งลงข้างๆกับเจ้าของห้องที่กำลังบรรจงวาดฝีแปรงลงบนผืนผ้าใบขาว จ้องมองอยู่สักพักจึงตัดสินใจเอ่ยออกไป

    ทางนั้นส่งข่าวมาว่า เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเราที่จะ..."

    "งั้นรึ...”

    “ถ้าจะดำเนินตามแผนที่วางเอาไว้ ก็มีแค่ตอนนี้เท่านั้นนะนายท่าน หากเลยเพลานี้ไปแล้ว ข้าเกรงว่า...โอกาสสำเร็จจะยิ่งลดน้อยลง”

    “...”

    "...มีความคิดเห็นว่าอย่างไร นายท่าน”  มือที่กำลังสะบัดฝีหมึกหยุดชะงัก ก่อนจะวางพู่กันลง  หันมามองคู่สนทนา ฉับพลันใบหน้าเรียบเฉยกลับส่อแววตาวาววับคล้ายเจ้าป่าที่พร้อมจะฮุบเหยื่อ

     

    เจ้าเหยื่อ...ตัวกระจ้อยร่อย

    ไฉนเลยจะหนีรอดจากเงื้อมือข้าผู้เป็นใหญ่...

    ชะตาของโลกใบนี้...ข้านี่แหละคือผู้กำหนด !  

     

     

    เอาล่ะ ถึงตาข้าเดินหมากบ้างแล้ว...ที่เหลือขอฝากเจ้าจัดการด้วยนะ นกน้อยของข้า”

     

    "รับทราบแล้ว นายท่าน"

    ___________________________________________________________________________________________________________________

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×