หนานกงชุนสุ่ย บุตรชายของเจ้าสำนักบูรพากาศ ชายหนุ่มผู้ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะกระบี่ตั้งแต่เยาว์วัย ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ สำนักบูรพากาศเป็นสำนักใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแดนตะวันออก ศาสตร์กระบี่ของพวกเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังเต็มไปด้วยความสง่างาม ทุกกระบวนท่าถูกฝึกฝนอย่างประณีตและมีแบบแผน หนานกงชุนสุ่ยเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการควบคุมกระบี่ ตั้งแต่วัยเด็ก เขาแสดงความสามารถที่เหนือกว่าผู้คนรุ่นเดียวกัน การจับกระบี่ครั้งแรกของเขาเป็นดั่งการพบเจอเพื่อนที่หายไปนาน ราวกับว่ากระบี่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
หนานกงชุนสุ่ยไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิษย์อัจฉริยะ แต่ยังเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น เขาฝึกฝนทุกวันเพื่อพัฒนาตนเองให้เหนือกว่าใคร นอกจากพรสวรรค์ เขายังมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่ย่อท้อ ด้วยความสามารถที่โดดเด่นเช่นนี้ ทำให้เขากลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของสำนักบูรพากาศ ผู้คนในยุทธภพต่างยกย่องให้เขาเป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัยใหม่
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขากลับต้องเผชิญกับหายนะ เมื่อเขาตัดสินใจฝึกฝนวิชาที่ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งสำนักบูรพากาศ วิชาที่ไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จอย่าง "กระบี่เว้นว่าง" ว่ากันว่าเพลงกระบี่นี้เป็นวิชาที่ลึกลับและสูงส่งยิ่งนัก ผู้ที่สำเร็จมันจะสามารถควบคุมพลังของความว่างเปล่าให้กลายเป็นอาวุธได้ กระบี่เว้นว่างนั้นไม่อิงกับรูปแบบหรือท่วงท่าที่ชัดเจน แต่เน้นการปลดปล่อยจิตและลมปราณให้สอดคล้องกับความว่างเปล่า ทุกการโจมตีดูเหมือนไม่มีพลัง ไม่มีทิศทางชัดเจน แต่เมื่อกระบี่ถูกฟาดลง ความว่างเปล่านั้นกลับทรงอานุภาพมากกว่าสิ่งใด มันสามารถกลืนกินทุกสิ่ง ทำลายล้างได้โดยไม่ต้องสัมผัสศัตรูตรงๆ
วิชานี้เปรียบเสมือนการแทรกซึมเข้าไปในห้วงของจิตใจและสรรพสิ่ง คำว่า "ว่างเปล่า" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน แต่เป็นสภาวะที่เหนือกว่าการมีหรือไม่มี เป็นพลังที่ลึกล้ำและยากจะคาดเดา เหมือนดั่งสายลมที่ไร้ร่องรอย แต่สามารถทำให้ภูเขาทลายได้ด้วยความเงียบสงบ
แม้ว่ากระบี่เว้นว่างจะเป็นสุดยอดวิชาที่สำนักบูรพากาศภาคภูมิใจ แต่ก็เป็นวิชาที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ได้ใช้เพียงพลังลมปราณเท่านั้น แต่ยังต้องใช้จิตที่สงบและว่างเปล่าอย่างแท้จริง ผู้ฝึกจะต้องปล่อยวางทุกสิ่ง แม้กระทั่งตัวตนของตนเอง หากไม่สามารถควบคุมสภาวะจิตใจได้อย่างสมบูรณ์ ความว่างเปล่านั้นก็จะย้อนกลับมาทำลายผู้ฝึกเอง
หนานกงชุนสุ่ยรู้ดีว่าวิชานี้มีความเสี่ยงสูง แต่เขายังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนกระบี่เว้นว่าง เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองและกลายเป็นยอดฝีมือที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ เขามองเห็นหนทางที่จะแข็งแกร่งขึ้นโดยการฝึกวิชานี้ และในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเข้าสู่ห้องฝึกวิชาลับของสำนัก ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด หนานกงชุนสุ่ยเริ่มต้นฝึกฝนวิชากระบี่เว้นว่างเป็นครั้งแรก
ในช่วงแรก เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ค่อยๆ กลืนกินจิตใจของตนเอง มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาหายไป ไม่มีเสียง ไม่มีความรู้สึก เหมือนร่างกายของเขากลายเป็นอากาศธาตุ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังสะสมอยู่ภายใน มันคือพลังแห่งความว่างเปล่า ที่หากสามารถควบคุมได้ มันจะกลายเป็นอาวุธที่ไม่มีใครต้านทาน
แต่แล้ว ในขณะที่เขากำลังดำดิ่งลงไปในความว่างเปล่า จิตของเขาเริ่มสั่นคลอน หนานกงชุนสุ่ยพยายามควบคุมความรู้สึกและความคิดของตน แต่ยิ่งเขาพยายามที่จะรักษาความสงบเท่าใด ความว่างเปล่านั้นกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้น จนในที่สุด พลังที่เขาพยายามควบคุมกลับเริ่มแปรปรวน และเริ่มย้อนกลับมาทำลายตัวเขาเอง หนานกงชุนสุ่ยรู้สึกได้ถึงลมปราณที่เคยหลั่งไหลในร่างกายค่อยๆ สลายไป พลังของเขาถูกกลืนกินโดยความว่างเปล่า เขาพยายามยื้อต้านแต่ทุกอย่างก็สายเกินไป
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น หนานกงชุนสุ่ยพบว่าพลังลมปราณของเขาได้หายไปเกือบหมด เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่เคยอยู่ในร่างกาย ความรู้สึกที่เคยทำให้เขาเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานนั้นได้สูญสลายไป ราวกับถูกกระบี่แห่งความว่างเปล่ากลืนกินจนไม่เหลืออะไร เขาพยายามลุกขึ้นจับกระบี่ แต่กลับพบว่ามือของเขาสั่นจนไม่สามารถควบคุมกระบี่ได้เหมือนแต่ก่อน กระบวนท่าที่เคยฝึกมานับสิบปีกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากจะทำซ้ำได้
หนานกงชุนสุ่ยที่เคยเป็นอัจฉริยะในสำนักบูรพากาศ บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้พลัง แม้แต่ศิษย์ชั้นรองที่เคยแพ้พ่ายต่อเขายังสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย ความผิดหวังและความสิ้นหวังเกาะกินจิตใจของเขา เขาเฝ้ามองตัวเองในกระจกและไม่สามารถเชื่อได้ว่านี่คือตัวตนของเขา ความฝันที่เคยมีในการเป็นยอดฝีมือได้พังทลายลงในชั่วพริบตา
ถึงแม้บิดาของเขาจะไม่ได้ตำหนิ แต่สายตาที่แสดงถึงความผิดหวังของบิดานั้นเป็นสิ่งที่หนานกงชุนสุ่ยไม่อาจหลีกหนีได้ ทุกคนในสำนักเริ่มหันหลังให้กับเขา คำกล่าวขานถึง "อัจฉริยะ" ได้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกลืมเลือนไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความเสียใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
หนานกงชุนสุ่ยพยายามที่จะฟื้นฟูพลังของตนเอง แต่ทุกวิธีที่เขาลองล้วนล้มเหลว ความว่างเปล่าที่เคยกลายเป็นอาวุธกลับกลายเป็นโซ่ที่พันธนาการเขาไว้ ทุกครั้งที่เขาพยายามฝึกฝนหรือรวบรวมลมปราณ ความว่างเปล่าก็จะกลับมาทำลายพลังของเขาอีกครั้ง มันเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น
แม้ว่าเขาจะสูญเสียทุกสิ่ง แต่ในใจลึกๆ ของหนานกงชุนสุ่ย เขายังไม่ยอมแพ้ เขายังมีความหวังริบหรี่ว่าสักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง หนานกงชุนสุ่ยจะหาวิธีเอาชนะความว่างเปล่านั้นได้ เขาไม่อาจทนอยู่ในสภาพของความไร้พลังเช่นนี้ไปตลอด เขาเริ่มออกเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลจากสำนัก เพื่อค้นหาวิธีการฟื้นฟูพลังและความสามารถในการใช้กระบี่ของเขาอีกครั้ง
การเดินทางของเขาไม่ง่ายเลย ผู้คนต่างไม่รู้จักอดีตของเขา ไม่มีใครสนใจว่าเขาเคยเป็นอัจฉริยะหรือไม่ ตอนนี้เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังลมปราณ และไม่มีใครคิดว่าเขาจะสามารถกลับไปสู่จุดเดิมได้อีก
แต่ในใจของหนานกงชุนสุ่ย เขายังคงมีความหวังเล็กๆ ที่เขายึดมั่นไว้ เขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากสายตาของยุทธภพ ได้ยินมาว่ามีอาจารย์ผู้ลึกลับอาศัยอยู่ที่นั่น ชายผู้เข้าใจเรื่องของความว่างเปล่าในเชิงลึก หนานกงชุนสุ่ยจึงตัดสินใจเดินทางไปหาเขา
เมื่อเขามาถึงหมู่บ้านเล็กๆ นั้น เขาได้พบกับชายชราผู้หนึ่ง ชายผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เขาไม่มีรัศมีพลังลมปราณหรือความแข็งแกร่งใดๆ ที่น่าตื่นตะลึง แต่สายตาของเขาแฝงไว้ด้วยความสงบ หนานกงชุนสุ่ยเข้าไปขอความช่วยเหลือ ชายชรามองเขาอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะบอกว่า "เจ้ามาที่นี่เพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถเอาชนะได้ ความว่างเปล่านั้นคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง เจ้าต้องไม่ต่อสู้กับมัน แต่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน"
คำพูดของชายชราเป็นสิ่งที่หนานกงชุนสุ่ยไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาตั้งใจฟังด้วยความเคลือบแคลง ชายชรานำเขาไปยังลำธารเล็กๆ ที่ไหลผ่านหมู่บ้าน แล้วกล่าวต่อว่า "น้ำในลำธารนี้ไหลอย่างอิสระ ไม่มีความแข็งแกร่ง ไม่มีความอ่อนแอ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดหยุดมันได้ ความว่างเปล่าก็เป็นเช่นนั้น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเป็นเหมือนน้ำ ไหลไปกับมันโดยไม่พยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปลง"
หนานกงชุนสุ่ยฟังคำสอนนี้และเริ่มตระหนักว่า ความผิดพลาดของเขาอาจไม่ใช่การฝึกวิชากระบี่เว้นว่าง แต่เป็นวิธีที่เขาพยายามควบคุมมัน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้ไร้เทียมทาน แต่เขากลับละเลยหลักธรรมชาติที่แท้จริงของวิชา
การฝึกใหม่เริ่มต้นขึ้น หนานกงชุนสุ่ยเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมรับความว่างเปล่า แทนที่จะต่อสู้กับมัน เขาปล่อยให้จิตของเขาหลอมรวมกับธรรมชาติ แม้การเดินทางครั้งนี้จะเป็นเพียงก้าวแรก แต่หนทางข้างหน้ายังยาวไกล แม้หนทางการฟื้นฟูของหนานกงชุนสุ่ยจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ แต่การหลอมรวมกับความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา เขาใช้เวลาหลายวันในการเฝ้าดูสายน้ำไหล และฝึกการปล่อยวางตนเอง เมื่อจิตใจของเขาค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หนานกงชุนสุ่ยเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนไป แม้พลังลมปราณของเขายังคงเลือนลาง แต่ความสงบในจิตของเขากลับลึกล้ำกว่าเดิม
วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งสมาธิอยู่ริมลำธาร ชายชราก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ และกล่าวว่า "เจ้าเริ่มเข้าใจแล้ว แต่หนทางยังอีกยาวไกล สิ่งที่เจ้ากำลังค้นหาไม่ใช่การฟื้นคืนพลัง แต่เป็นความเข้าใจในธรรมชาติของตนเองและโลกใบนี้ เมื่อเจ้าปล่อยวางความทะเยอทะยานและยอมรับความว่างเปล่าอย่างแท้จริง เจ้าจะพบหนทางของเจ้าเอง"
หนานกงชุนสุ่ยยังคงสงสัยในคำสอนนี้ แต่เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่อาจเร่งรีบได้อีกต่อไป เขาจำเป็นต้องสละความคิดที่จะกลายเป็นยอดฝีมือ เพื่อค้นหาตนเองในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น แม้ว่าความหวังที่จะฟื้นพลังของเขาจะริบหรี่ แต่จิตใจของเขากลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเวลาผ่านไป หนานกงชุนสุ่ยเริ่มกลับไปฝึกเพลงกระบี่พื้นฐาน แม้กระบวนท่าจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับจิตใจ ความว่างเปล่าไม่ใช่ศัตรูอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนท่าของเขา หนทางใหม่ที่เขาค้นพบคือการปล่อยให้ความว่างเปล่าไหลผ่านกระบี่อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับควบคุมหรือกำหนดทิศทาง
ในการต่อสู้ครั้งต่อไป หนานกงชุนสุ่ยอาจไม่ใช่ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานอีกต่อไป แต่เขาจะกลับมายืนหยัดในยุทธภพด้วยจิตใจที่มั่นคงกว่าเดิม พร้อมที่จะเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
ความคิดเห็น