คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ดั่งปิยปาณ : 4
4
เขาไม่ได้กินเหล้าเข้าไปเยอะ ปิยปาณจำได้ว่ากินไปไม่ถึงห้าแก้ว
แต่แล้วทำไมตอนนี้ตัวเขารู้สึกเหมือนโลกมันเอียงนัก
พื้นห้องน้ำมองดูแล้วมันโค้งผิดปกติและที่สำคัญอะไรๆ
ที่อยู่ในกระเพาะอาหารก็เริ่มจะถูกดันขึ้นมาเรื่อยๆ
ดีหน่อยตรงที่เขาวิ่งเข้าไปปล่อยลงตรงชักโครกได้ทัน
เขาอาเจียนออกมาจนหมด
ก่อนจะเดินออกมาตรงอ่างล้างหน้าแล้วเปิดน้ำบ้วนปากไปหลายรอบ
เรี่ยวแรงที่พอมีเมื่อก่อนหน้า ในตอนนี้ก็เหมือนจะลดลงไปเรื่อยๆ
ยิ่งพอตัวของเขากระตุกอีกรอบก็จำเป็นต้องใช้แรงเอือกที่มีอยู่วิ่งเข้ามาหยุดที่ชักโครกอีกครั้ง
ครั้นพอจะโก่งคออ้วกออกก็มีแค่ลมเปล่าๆ ออกมา
เรี่ยวแรงของเขาที่มีอยู่ก่อนหน้าตอนนี้มันได้หายไปหมดจนต้องจัดการปิดฝาชักโครกลงแล้วก็นั่งมันเสียตรงนั้น
ขาของเขาอ่อนแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะ
ยิ่งตอนนี้ที่เขารู้สึกว่าหัวของตัวเองหมุนเคว้งเอามากๆ
จึงจำเป็นต้องเอาหัวพิงผนังห้องน้ำไว้อย่างหมดสภาพและก่อนจะคิดอะไรออกมาได้อีก
เปลือกตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับสติที่ค่อยๆ เลือนลางไป
ในห้วงของความฝัน…
เป็นห้วงของความฝันที่เขาแสนคุ้นเคย
เขากลับมาอีกแล้ว
นายปิยปาณคนนี้กลับเข้ามาในห้วงความฝันเดิมๆ
บ้านไม้สักยกใต้ถุนสูงหลังเดิมนี้ยังตั้งเด่นเป็นสง่า
ในตอนนี้เขาได้มองเห็นมันอีกครั้ง ก้าวขาพาตัวเองเข้าใกล้มันในแบบเดิมๆ
และเรื่องราวในห้วงแห่งความฝันนี้มันคงต้องดำเนินไปในแบบเดิมๆ ทว่าในครั้งนี้ เขาเบื่อที่จะต้องเดินขึ้นไปแล้วหยุดอยู่บนบ้านไม้เหมือนทุกครั้งที่ฝันแล้ว
ครั้งนี้ไอ้ปายคนนี้จะขอเปลี่ยนรูปแบบ!
สิ่งแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือยืนสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
ถือว่าเป็นเรื่องดี ดีที่ตอนนี้บนตัวเขายังคงเป็นชุดที่ใส่มาเที่ยวในวันนี้
เสื้อยืดสีขาวตรงอกมีลายชาร์ลี บราวน์แปะอยู่บวกกับกางเกงยีนสีซีด
และพอไล่สายตาต่ำลงมาอีกก็เป็นรองเท้าผ้าใบคู่โปรดที่เขาใส่อยู่
เมื่อสำรวจตัวเองจนพอใจเขาก็พร้อมที่จะเดินต่อ
ทว่าในวินาทีที่กำลังจะก้าวขาเดิน
เขาก็ต้องชะงักอย่างเสียไม่ได้เพราะเชือกรองเท้าที่หลุดอยู่ เขาก้มลงไปมัดเชือกรองเท้าข้างขวาที่หลุด
ผูกเป็นปมให้แน่นก่อนจะยืนนิ่งและยืดตัวให้ไหล่ผาย
ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเขาเองต้องทำท่าทางแบบนั้นอยู่เกือบนาทีถึงจะได้เดินขึ้นบ้านไม้สักยกใต้ถุนสูงนี่อีกครั้ง
การขึ้นมาบนบ้านไม้ในครั้งนี้ เขารู้สึกแปลกมากกว่าครั้งก่อน
“อ่าห๊ะ!” เขาดีดนิ้วเมื่อเริ่มคิดอะไรออก
“วันนี้รู้ด้วยว่ามาขึ้นทำไม” ไวเท่าความคิด
เมื่อรู้เหตุผลที่ต้องขึ้นมาบนบ้านไม้ สองขายาวเลยก้าวไวๆ
ขึ้นไปบนบ้านเดินผ่านชานกว้างเพื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูของห้องห้องหนึ่ง
“ห้องนี้สินะ” เขาว่า อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมครั้งนี้เขาถึงรู้ว่าต้องขึ้นมาบนบ้านไม้เพื่อพาตัวเองเข้าไปในห้องนี้ด้วย
ทั้งที่ทุกครั้งเขาไม่ได้สนใจแม้จะชายตามองห้องนี้เลยสักนิด
“จะเข้าไปแล้วนะ” เขาพูดบอกกับตัวเอง
ก่อนจะส่งมือไปผลักบานประตูไม้ที่ปิดสนิทอยู่ตรงหน้าให้เปิดออก
ไม่มีการลงกลอนจากด้านในไว้แต่อย่างใด เมื่อหมุนลูกบิดและผลักประตูให้เปิดออก
เสียงบานประตูไม้ที่ดังขึ้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าประตูไม้บานนี้ไม่เคยถูกเปิดใช้งานมาเป็นเวลานานแล้วแน่ๆ
เพราะเสียงที่ดังขึ้นมาถือว่าเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังสักเท่าไหร่นักกับบรรยากาศบนบ้านไม้ในตอนนี้
เขาจัดการผลักประตูไม้บานนี้ให้เปิดออกกว้างพอจะให้ตัวของเขาเข้าไปได้
เท้าของเขาก้าวข้ามธรณีประตูเขาไปยืนด้านใน
ในครั้งนี้เขารับรู้ช่วงเวลาในห้วงของความฝันได้
ช่วงเวลาดังกล่าวมันน่าจะเป็นเวลาใกล้รุ่งเพราะความสลัวๆ
ที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นภายในห้องได้อย่างชัดเจน
ภายในห้องมีพื้นที่กว้างขวางเป็นสัดส่วนเหมือนในหนังสือบ้านและสวนที่คุณนายสมรศรีคนเป็นแม่ชอบซื้อมาเปิดอ่าน
เด่นสุดเห็นจะเป็นเตียงสี่เสาหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง
เตียงหลังใหญ่นี้เป็นเตียงที่ทำมาจากไม้ทั้งหลัง
มีเสาติดมุ้งสีขาวระบายลูกไม้อยู่ทั้งสี่เสา ยิ่งพอลมโกรกผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องก็ยิ่งทำให้ชายมุ้งพลิ้วไหว
ฝันครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ความฝันในช่วงใกล้รุ่งและหยุดลงเหมือนครั้งไหนๆ
ในห้วงของความฝันครั้งนี้ของเขาค่อยๆ ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
จากความมืดสลัวแปรเปลี่ยนเป็นความสว่างที่มองเห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
บานหน้าต่างคู่หนึ่งที่เปิดออกอยู่นั้น
ทำให้เขาเห็นแสงของดวงอาทิตย์แรกที่ค่อยๆ สาดส่องเข้ามาภายในห้อง
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาถูกอกถูกใจกับการยืนดูพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าแรกของวันแบบนี้เลยสักครั้ง
แต่ครั้งนี้มันต่าง
แสงสีทองเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้ามาเรื่อยๆ
ทุกๆ การเคลื่อนไหวสะกดสายตาของเขา
ม่านตาของเขาขยายกว้างมากขึ้นเหตุก็เพราะมันปรับตามแสงสว่างที่เพิ่มขึ้น
และเมื่อสายตาของเขาปรับเข้ากับแสงเป็นปกติแล้ว
เขาก็พลันมองเห็นบริเวณโดยรอบของบ้านไม้สักยกใต้ถุนสูงหลังนี้
บ้านไม้สักยกใต้ถุนสูงหลังนี้ที่เขาได้เดินมาหยุดมองผ่านหน้าต่างคู่หนึ่งนั้น
โอบล้อมไปด้วยต้นไม้และไม้ดอกมากมาย
ที่สะดุดตาของเขาคงจะเป็นโรงเรือนกล้วยไม้ข้างๆ ที่มีขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
นับรวมไปถึงเจ้าดอกทานตะวันดอกน้อยใหญ่ที่ถูกปลูกไว้ในแปลงที่ตรงกับบานหน้าต่างห้องคู่นี้พอดีราวกับผู้ที่ปลูกมันตั้งใจให้เจ้าของห้องเปิดหน้าต่างบานออกมาเพื่อมองดอกทานตะวันต้องแสงแรกได้อย่างชัดเจน
ชัดเจนจนเขาไม่สามารถละสายตา
น่าอยู่
อยู่ๆ
คำคำนี้ก็ผุดเข้ามาในหัว
บ้านไม้ที่ให้ความรู้สึกน่าอยู่และแปลกที่รู้สึกแสนคุ้นเคย ความรู้สึกนั้นโอบอยู่รอบตัวเขาไปหมด
เป็นเวลานานหลายนาทีที่เขาเผลอเพลิดเพลินกับสิ่งที่มองอยู่
จนกระทั่งหนังตาของเขาเริ่มรู้สึกว่ามันหนักขึ้นมาอีกครั้ง
เขาถึงได้ละสายตาจากดอกทานตะวันนั่น
“จะหลับแล้วตื่นขึ้นมาเหมือนทุกครั้งน่ะ ไม่ยอมหรอกนะโว้ย” เมื่อรู้สึกเหมือนว่าตัวเขาเองจะพร้อมหลับลงอีกครั้ง
จึงได้โพล่งประโยคนี้ออกมา ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมหลับไปง่ายๆ อีก
เมื่อคิดได้เขาก็จัดการยกสองมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ
ก่อนขยับตัวเองที่ยืนอยู่นิ่งๆ ก่อนหน้าโดยการเดินสำรวจบริเวณรอบๆ ห้อง
นอกจากเตียงสี่เสาที่ตั้งอยู่กลางห้องก็เห็นจะมีเฟอร์นิเจอร์จำพวกตู้เสื้อผ้า
มีทั้งหลังใหญ่และหลังเล็กติดกัน ถัดมาเป็นโต๊ะทำงานตัวเล็กพร้อมเก้าอี้ไม้
ใกล้เขาอีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะเครื่องแป้งตั้งติดชิดผนัง
ใกล้กับโต๊ะเครื่องแป้งมีหนึ่งสิ่งที่เรียกความสนใจของเขาได้มากกว่าสิ่งอื่นอยู่
มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลมขายาว
ด้วยความสนใจปนสงสัยและต้องโทษความมือไว เขาเอื้อมมือไปสัมผัสมันเบาๆ
และจัดการเปิดกล่องนั้นในทันที
ภายในกล่องบรรจุหลายสิ่งที่ทำเอาคนอย่างเขาต้องยกยิ้มกว้าง
นายปิยปาณเจอของดีเข้าให้แล้ว หุ่นยนต์สังกะสีตัวจิ๋วหลายตัวถูกบรรจุอยู่ในนั้นรวมทั้งรถยนต์จิ๋วหลายรุ่นที่สำคัญมีกล่องดนตรีอันเล็กอยู่ด้วย
อดที่จะไม่ให้มุมปากยกยิ้มออกมาไม่ได้
ราวกับเขาในตอนนี้ได้ละทิ้งความง่วงก่อนหน้าไปจนหมด
เขาทรุดตัวลงนั่งพื้นห้องตรงนั้นทันที
เขาหยิบเจ้าหุ่นยนต์สังกะสีพวกนั้นออกจากกล่อง จัดมันวางเรียงต่อๆ
กันรถยนต์จิ๋วนั่นก็เช่นกัน
สิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบมันขึ้นมาคือกล่องดนตรีอันเล็ก
กล่องดนตรีนี้ไม่ได้เป็นรูปการ์ตูนน่ารักแต่อย่างใด
มันเป็นเพียงแค่กล่องไม้สี่เหลี่ยมเรียบๆ
และเมื่อเปิดฝาจะเห็นเครื่องกล่องดนตรีอยู่ในกล่องและเมื่อไขลานด้านล่างเสียงดนตรีก็จะดังขึ้น
เสียงดนตรีจากในกล่องที่ดังอยู่เรียกความสนใจของเขาไปจนหมด
เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาอีกหน ในห้วงของความฝันครั้งนี้
เขาไม่รู้ว่าตัวของเขายิ้มออกมากี่ครั้งแล้ว มันมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาฝัน
ทว่าต่อจากนั้นไม่กี่วินาทีรอยยิ้มกว้างของเขาก็ต้องหุบลงเพราะเขาเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
อะไรที่กำลังเพ่งมองมาทางเขาที่นั่งอยู่ตั้งแต่กล่องดนตรีเล่นเพลง
“นั่นใครน่ะ” เมื่อดันตัวลุกขึ้นได้และมองไปทางต้นสายตานั้น เขาก็ร้องถาม
ความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้คือความก็ดีใจ
เขาดีใจที่รู้สึกว่ามันใกล้แล้ว หลายข้อสงสัย เขาใกล้จะได้คำตอบแล้ว
ทว่าสิ่งนั้นกลับห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่เสียเวลาคิดใดๆ เขาวิ่งออกไปตามสิ่งนั้น
เสียงเต้นภายในอกรัวแข่งกับฝีเท้าของตัวเองยามที่ย่ำวิ่งลงบันไดทีละขั้นจนถึงพื้นดินเปลือยเปล่าไร้ต้นหญ้า
มันดังจนน่ากลัว
“เฮ้ย! นั่นใคร” เขาร้องถามเงาที่เขาไล่ตาม
“หยุดก่อนสิวะ” ครั้งนี้เขาร้องตะโกนสุดเสียง
“ได้ยินที่พูดหรือเปล่าบอกว่าให้หยุด” เขาตะโกนบอกอีกหน
“หยุดสิเว้ย!” ทั้งวิ่งตามทั้งร้องตะโกนเรียก เหนื่อยจนหอบแต่เงาที่เริ่มชัดเจนจนมองเห็นเป็นแผ่นหลังคุ้นตานี้กลับไม่ยอมหยุดเดิน
ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงเลยด้วยซ้ำและเพราะด้วยสาเหตุนี้มันทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาจนได้
“ไม่อยากวิ่งตามแล้วนะ ไอ้เหี้ย! เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะโว้ย” สุดท้ายเขาก็ส่งเสียงตะโกนเป็นประโยคดังกล่าวอย่างจำนนก่อนจะทรุดนั่งลงพื้นดินเป็นเด็กๆ ที่พร้อมจะร้องไห้งอแงเพียงเพราะไม่ได้ดั่งใจและด้วยท่าทางที่เขาเป็นอยู่นั้นกลับทำให้เจ้าของแผ่นหลังนั้นหยุดเดินลง ราวกับระยะห่างที่มากมายก่อนหน้าสั้นลงเหลือแค่ไม่กี่ก้าวเดิน
“หยุดจนได้แล้วสินะ โดนแน่มึง” พูดออกมาแบบนั้น
มือเรียวของเขาก็จัดการหยิบก้อนหินใกล้มือพร้อมจะขว้างใส่แผ่นหลังอันคุ้นตานี้
แต่ทว่าก็จำเป็นต้องชะงักเพราะแรงเหนี่ยวรั้งจากเส้นด้ายหนึ่ง
มันเป็นเส้นด้ายสีแดงที่ผูกอยู่นิ้วก้อยข้างซ้ายของเขา
ปลายเส้นด้ายสีแดงนี้เชื่อมไปอีกฝั่ง เชื่อมอยู่กับนิ้วก้อยข้างซ้ายของเจ้าของแผ่นหลังคุ้นตานี้
มันเหมือนถูกดึงจนตึงเพื่อลดระยะให้เข้าใกล้กันและกัน
เสียงหนึ่งดังก้องจากที่ไหนสักที่
คู่ชีวิตที่แท้จริงจะมีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เชื่อมกันไว้
รอจนวันหนึ่งด้ายสีแดงนี้จะนำให้เขาทั้งสองมาพบกันและรักกันในที่สุด ไม่รู้ว่าปลายอีกข้างหนึ่งของมันจะผูกติดกับใคร
นั่นแหละคือสาเหตุที่อีกฝ่ายจะต้องเดินทางหาปลายอีกด้านหนึ่งของมัน
ดำเนินมาจนถึงบุคคลที่เป็นที่รักดั่งลมหายใจ
“เจอตัวจนได้นะปาย”
“ว่าแต่ไอ้หนวดนี่หน้าคุ้นๆ นะ”
มีใครเคยลืมตาขึ้นมาแล้วเจอกับใบหน้าของใครสักคนในทันที
ที่สำคัญใบหน้านั้นยังโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของเรา
ชนิดที่ว่าหากขยับเข้ามาใกล้อีกนิด หนวดบนหน้าของมันจะทิ่มลงผิวหน้าของเราไหมครับ
ส่วนใหญ่ก็คงจะไม่เคยกันใช่ไหมล่ะ
แล้วถ้าเคยสิ่งที่คนทั่วไปทำกันต่อจากนี้คืออะไรกันตกใจจนแหกปากร้องออกมาแล้วก็ผลักตัวของอีกฝ่ายให้ออกไปห่างๆ
หรือถ้าจะเพิ่มความรู้สึกเกรี้ยวกราดเข้าไปหน่อย
ก็ถึงขั้นต้องส่งรองเท้าเบอร์สี่สิบนิดๆ
ที่ยังสวมอยู่ยันโครมให้อีกฝ่ายล้มหงายหลังหัวทิ่มพื้นไปซะ
หรือว่าจะเป็นตัวเลือกนี้ดี
ที่เราทำทีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาประหนึ่งยังไม่ได้นอนเลยจะสิบโมงเช้า
ต่อจากนั้นก็แสร้งขยี้ตาพอเป็นพิธีแล้วก็ค่อยๆ
เงยหน้าไปมองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายในระยะใกล้กันแค่ไรหนวดกั้นและหลังจากนั้นก็ขยับริมฝีปากขึ้นถามด้วยน้ำเสียงติดจะเคอะเขินว่า
คุณมึงเป็นใครครับ?
เรียกได้ว่ามันช่างหลากหลายตัวเลือกเสียเหลือเกินแต่ถึงอย่างนั้นในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้
นายปิยปาณลูกชายคุณนายสมรศรีคนนี้ ถือว่าตัวเลือกสุดท้ายมันช่างน่าสนใจ
ทั้งที่เขาลืมตาขึ้นมาแล้ว
แต่ก็จำเป็นต้องแสร้งหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง
แถมยังแสร้งขยับตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ให้นึกซะว่าฝาชักโครกที่นั่งหลับอยู่ก่อนหน้านี้เป็นเตียงนอนนุ่มๆ ของที่บ้าน
ขยับช่วงไหล่ที่พิงผนังทางซ้ายอยู่อีกนิด
ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะขยับปากทำเสียงดังแจ๊บสองแจ๊บเป็นส่วนเสริมก่อนจะก้มหน้าลงต่ำที่สุดและตามมาด้วยการสอดแขนเข้าใต้รักแร้
กอดตัวเองแน่นคล้ายกับร่างกายโหยหาความอบอุ่นมากถึงมากที่สุด
แต่ในความเป็นจริงนั้นกำลังหาวิธีหนีจากนัยน์ตาสีดำที่กำลังเพ่งมองอยู่ตัวเขาอยู่
ถึงแม้เขาจะทำอย่างนั้นแต่วิธีการนี้มันก็ไม่เกิดผล
เหมือนกับว่ายิ่งเขาหนีอีกฝ่ายก็ยิ่งขยับใบหน้าเข้ามาใกล้
ที่เขารู้สึกได้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ก็เพราะลมหายใจอุ่นๆ
ที่รดลงบนผิวแก้มของเขาอยู่นานสองนานนี่ไง
จะขยับตามหามารดามึงหรอ!
แล้วนี่มึงกะจะจ้องกูให้หวยมันโผล่มาเลยรึไงวะ!
เขาอยากจะตะโกนสองประโยคนี้ใส่แต่ทว่าในความเป็นจริง
เขาก็คงทำได้แค่คิด ทำไมนะทำไมเรื่องน่าอายที่สุดของชีวิตความเป็นนายปิยปาณ
ที่นับได้น้อยครั้งจะเครื่องดับง่ายๆ แบบนี้ถึงเกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นคือดันมาดับจนหลับคาห้องน้ำแบบนี้อีกแล้วที่สำคัญที่สุดเลยทำไมสภาพของเขาตอนนี้ต้องมีคนแบบไอ้หนวดนี่มาเห็นด้วย
เขาอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ทว่าเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองร้องออกมาจริงๆ หรอก คนอย่างนายปิยปาณไม่โปรดปราณดราม่ามีน้ำตานักหรอก ในความน่าอายนี้คนอย่างปิยปาณจะไม่โทษตัวเอง เขาจะโทษคนอื่น และแน่นอนคนอื่นที่ว่าก็คือไอ้หน้าหนวดนี่แหละ
เพราะมึงเลย!
เพราะมึงคนเดียว!
“หึ” เวลาผ่านไปไม่ถึงสองนาทีเสียงนี้ก็ดังขึ้น
ต่อจากนั้นลมร้อนจากการหายใจเข้าออกของอีกฝ่ายที่ชิดใบหน้าของเขาอยู่ก่อนก็ห่างออกไป
เขาอยากจะลดโทษให้มันน้อยลงอยู่หรอกที่มันละใบหน้าออกห่าง
แต่ความคิดนั้นของเขาก็ต้องหยุดลงเพราะสิ่งที่ไอ้หนวดมันทำต่อจากนี้
“เฮ้ย”
เสียงร้องของไอ้หนวดมันดังออกมาอีกครั้งพร้อมกับแรงจากเท้าที่สันนิฐานได้ว่าต้องเบอร์ใหญ่กว่าเขาไม่หนึ่งก็สองที่เตะเข้ากับผนังห้องน้ำด้านซ้ายที่เขาพิงอยู่
“รู้ว่าแกล้งหลับ ลุกให้ไว ไม่ชอบใช้กำลังปลุกใคร” ไอ้ฟาย!!!
ปากบอกไม่ชอบใช้กำลังแต่สิ่งที่มึงทำไปเมื่อกี้นั้นแถวบ้านเขาเรียกว่าใช้กำลัง
ขีดเส้นใต้ด้วยปากกาแดงหรือเน้นตัวหนาก็คือใช้กำลัง
ถึงจะใช้กับผนังห้องน้ำไม่ได้ใช้กับเขาก็เถอะ มันก็ไม่ต่างกันอยู่ดี
แล้วที่อีกฝ่ายพูดออกมาอีกนั้น
ถ้าเขาลุกก็เท่ากับตัวเขานั้นยอมรับว่าแกล้งหลับอย่างที่ไอ้หนวดมันว่า
แล้วเรื่องอะไรลูกชายคุณนายสมรศรีคนนี้จะยอมทำตามความต้องการนั้น
แสร้งหลับต่อนี่แหละดีสุด
“เข้ามาอยู่นี่ได้ไง” อยู่ๆ ไอ้หนวดมันก็นึกอะไรขึ้นมาไม่รู้
ถึงได้ถามเขาด้วยประโยคเมื่อครู่
อยากตอบคนถามเสียจริงว่าเขานั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเมาจนอ้วกแตกและดันปล่อยให้เครื่องดับมาหลับทุเรศๆ
ในห้องน้ำนี่ อยากตอบแต่ต้องแกล้งหลับต่อเลยไม่ได้ตอบ
“ตัวอ้วนได้ที่เลย” ปิยปาณว่าตัวเขาไม่ได้อ้วนนะ
หุ่นแบบนี้เรียกได้ว่าหุ่นคนออกกำลังกายกล้ามหน้าท้องเขาก็มีอยู่บ้างถึงมันจะไม่ออกเป็นลอนหรือเป็นช็อคโกแลตบาร์ก็เหอะ
แต่เขาก็ยังมีสมส่วนกับรูปร่างสูงโปร่งนั้นแหละ
ดูยังไงก็ไม่ได้อ้วนอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาเขาแน่ๆ
“ตัวนุ่มนิ่มนะ” พอคิดตามคำพูดเมื่อครู่
ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้านั้นไม่ได้จับหรือสัมผัสตัวเขาเลยสักนิดแต่ทำไมถึงรู้ว่าตัวเขานั้นนุ่มนิ่ม
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เลยเปิดเปลือกตาซ้ายขึ้นมามองไอ้หนวดตรงหน้านี้ในทันที
แค่แวบเดียว
แวบเดียวจริงๆ
ที่เขาเห็นสิ่งมีชีวิตตัวสีเหลืองในมือของไอ้หนวดตรงหน้า
เปลือกตาอีกข้างก็เปิดออกตามมาอย่างรวดเร็วและในวินาทีต่อมาตาสองข้างของเขาก็ขยายออก
เรียกว่าเบิกกว้างเลยก็ว่าได้
สาเหตุก็เพราะร่างกายเขาตอบสนองได้เป็นอย่างดีกับสัตว์โลกหยึกหยึ๋ยนี้
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!
ไม่เคยคิดว่าตัวเขาเองจะร้องเสียงทุเรศๆ
แบบนี้ออกมาได้และเขาก็ไม่คิดว่าจะสามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางซึ่งเป็นมนุษย์ตัวสูงคนนึงได้ไกลขนาดนี้
ไอ้เหี้ยตัวปาดดดดดดดดดดดดดดด!
ว่ากันว่ากับเจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทนี้
มันมักจะชอบกระโดดเข้าใส่ใครก็ตามที่มันรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกลัวแสนกลัวตัวมันและดูเหมือนว่าทฤษฎีนี้จะเป็นจริงอย่างที่สุดเพราะว่าทันทีที่เขากระโดดเอาตัวออกห่าง
ตัวปาดก็กระโดดเข้ามาเกาะเขาในทันที
“ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยย” เขาหลุดร้องโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อไปแล้ว
“ออกๆ หลุดสิ หลุดๆ”
“ไปๆ” เขาทั้งตกใจทั้งกลัวแต่ทว่าไอ้หนวดอีกคนกลับยืนมองสภาพทุเรศๆ
ของเขาเฉย
“ไอ้เหี้ยมึงยืนทำเหี้ยอะไรอยู่ เอาออกให้กูสิวะ เอาไอ้ตัวปาดเหี้ยนี่ออกให้กูที” เพราะความกลัวทำให้เขาวิ่งเข้าหาไอ้หนวดมันในทันที
“เอามันออกไปๆ” ตอนนี้ตัวเขาหมุนเหมือนลูกข่าง
“มันเกาะอยู่ อยู่ตรงนี้หรือตรงนี้ ตรงนี้หรือเปล่า”
ถือว่าไอ้หนวดมันเป็นคนมีน้ำใจพอจะคิดช่วยเขาอยู่บ้างถึงเปลี่ยนจากยืนนิ่งมาสนใจเขาแล้ว
“อยู่นิ่งๆ” ไอ้หนวดมันว่า
“ใครมันจะอยู่นิ่งได้วะ” โคตรหลอนเหมือนมันเกาะอยู่ทุกที่บนตัว
“ก็บอกว่าให้อยู่นิ่งๆ” ไอ้หนวดมันยังพูดออกมาด้วยโทนเสียงเดิม
“ก็บอกว่าใครมันจะอยู่นิ่งๆ ได้ยังไงล่ะวะ!” เขาร้องบอกทั้งๆ ที่ดิ้นพล่าน
“งั้นก็แบบนี้” จบประโยคตัวของเขาถูกจับหมุนให้หน้ามาอยู่ตรงหน้าของไอ้หนวดมันพอดี
“เดี๋ยวดูให้ว่าอยู่ตรงไหน” ไอ้หนวดมันว่า ในสถานการณ์แบบนี้มันยังจะใจเย็น
“มึงต้องดูอยู่แล้วไหม อยู่ตรงนี้หรือเปล่า มีไหมๆ” เขาถามรัวจะหมุนตัวอีกรอบ
“อยู่นิ่งๆ” ไอ้หนวดมันทำเสียงเข้มทันที
“ก็มันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ไง มึงไม่เข้าใจหรือไงวะ” จะร้องแล้วเด้อ
“ก็แค่อยู่นิ่งๆ”
“ก็มันนิ่งไม่ได้!” ร้องจริงๆ แล้วนะ
“ปายอยู่นิ่งๆ” ไอ้หนวดมันเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่ดุขึ้น
มือที่ใหญ่กว่ามือเขาก็วางแหมะลงที่ข้างแก้มทั้งสองพร้อมกับจับล็อคใบหน้าของเขาไว้แน่น
ด้วยความสูงที่ไล่เลี่ยกัน เขาสามารถมองเห็นคิ้วเข้มที่เคยเห็นของไอ้หนวดมันขมวดกันเข้าหากันแน่นในวันนี้ได้เห็นชัดมาก
ถ้ามันจะขมวดกันขนาดนี้เขาก็คงต้องนิ่งแล้วไหม
“จะนิ่งได้ยัง” ไอ้หนวดมันถามซ้ำ
“น..นิ่งแล้วก็ได้” เขาพยักหน้าตอบไป พอเห็นว่าเขายืนนิ่งได้จริงๆ
ไอ้หนวดมันถึงได้ปล่อยมือที่ล็อคใบหน้าเขาออก
“เดี๋ยวดูให้” มันว่าต่อ ใจเย็นเหลือเกินพ่อ
“ให้เร็วเลย”
เราเร่งพลางหลับตาตัวเองลงเมื่อไอ้หนวดมันเริ่มมองหาตัวปาดตัวปัญหาที่เกาะอยู่ที่ไหนสักที่บนตัวเขาโดยที่เขายืนนิ่งขนลุกไปทั้งตัว
“ไม่เห็นมี”
เปลือกตาของเขาลืมขึ้นมาในตอนที่ริมฝีปากได้รูปตรงหน้าขยับพูดบอกประโยคนี้พอดี
“ดูดีๆ แล้วหรือยัง” เพราะคำพูดเมื่อครู่ทำเอาสติเขาตะเหลิดไปอีกครั้ง
ไม่มีแล้วเมื่อกี้มันกระโดดมาเกาะเขาตรงไหนอะ
“คิดว่านะ”
“ไม่ได้ให้คิด ให้มึงดูไง”
เขาจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้วที่อยู่นิ่งได้ก็เริ่มไม่นิ่งอีกครั้ง
“ก็ไม่เห็น…อ้าวอยู่นี่เอง”
ไอ้หนวดมันพูดมือมันก็อยู่แถวชายเสื้อด้านหลังของเขา
“เจอแล้วใช่ไหม เอาออกไปไกลๆ เลย เอาออกไป”
ไม่รู้ว่าความรู้สึกนิ่มที่แตะโดนเอวเขาจะมาจากตัวไหน แต่ในนาทีนี้เขาขอให้เป็นจากไอ้หนวดนี้จะดีที่สุด
อย่าเป็นไอ้ตัวที่กระโดดเมื่อครู่เลย
“เอาออกไปยัง” เขาถามเสียงเหมือนจะร้องอยู่ร่อมร่อ
“กำลัง”
“เอาตัวมันออกไปหรือยัง” เขาก็ยังถามมันไม่เลิก
“ก็บอกว่ากำลัง” ไอ้หนวดมันก็ยังตอบกลับเขามาเหมือนไม่ได้สนใจเอาไอ้ตัวปาดเหี้ยออกให้เขาเลยสักนิด
“เมื่อไหร่จะเอาออกให้ปายอะ เอาตัวปาดเหี้ยนี่ออกให้ปายสักที”
เพราะความกลัวทำให้เขาเผลอหลุดแทนชื่อตัวเอง
และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายที่ได้ยินขยับตัวเข้าใกล้เขาเพิ่มขึ้นอีก
ในตอนนี้ที่ยืนใกล้กันคล้ายกับว่าเขากำลังถูกอีกฝ่ายสวมกอดแต่ก็แค่ชั่ววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะผละออกห่างพร้อมกับบางอย่างที่อยู่ในมือ
“กลัวอะไรก็แค่ตัวปาด”
ไอ้หนวดมันว่าพร้อมกับยื่นมือที่ประกบกันอยู่เข้าออกอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีแสนสั้นที่ไอ้เหี้ยตัวปาดตัวดีหันตากลมของมันมามองหน้าเขา ตัวของเขาที่ยืนอยู่ก็นิ่งราวกับถูกแช่แข็งไปในทันที
“เป็นขนาดนั้น” เสียงทุ้มดังขึ้นถาม
เขาไม่ตอบและเชื่อว่าในตอนนี้เขาคงทำท่าทางแปลกๆ ที่สำคัญเขาต้องทำหน้าตาทุเรศๆ
ออกมาอีกแน่ๆ ไอ้หนวดที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันถึงได้หลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมา
“ใครให้หัวเราะวะ” หัวเราะดีนักพาลแม่งเลย
“กลัวอะไรหนักหนา น้องไม่เห็นจะน่ากลัว”
เขาโคตรอยากจะบอกว่าได้โปรดอย่ายื่นน้องที่ไม่เห็นจะน่ากลัวของมึงนั่นมาใกล้หน้ากู
“มึงไม่กลัวแต่กูกลัวไง หยึกหยึ๋ยๆ” จบประโยคของเขา จากเสียงหัวเราะเบาๆ
เมื่อก่อนหน้ามันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากปากไอ้หนวดเลย
ไอ้หนวดมันเปิดปากหัวเราะเสียงดังก่อนจะเอามือที่ประกบกันอยู่ออก
ผลเลยทำให้เขาต้องกระโดดโหยงอีกครั้ง แล้วไอ้ปาดตัวดีก็ช่างเหลือเกิน
มือที่ประกบกันอยู่เปิดปุ๊บกูก็กระโดดปั๊บ
แล้วแม่งเสือกกระโดดเฉียดหน้าเขาขึ้นไปเกาะเพดานโดยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ทำให้คนอื่นกลัวเลยด้วยซ้ำมันยิ่งน่าโมโห
“ไอ้เหี้ยเอ้ย แล้วน้ำอะไรวะ”
มีน้ำพุ่งตอนไอ้ตัวปาดตัวนั้นมันกระโดดไปเกาะเพดาน น้ำนั่นพุ่งโดนหน้าเขาพอดิบพอดี
“ฉี่มันมั้ง” ไอ้หนวดเป็นคนตอบคำถามของเขา
“ห๊ะ! ฉี่มัน ฉี่ตัวปาดอ๋อ” เขาถามเสียงเหมือนคนจะร้องไห้อีกครั้ง
“อืม” แล้วไอ้หนวดตรงหน้าก็ตอบรับสั้นๆ แทบจะทำให้เขาร้องเป็นบ้า
“ไอ้เหี้ยอย่าให้กูเจอมึงอีกนะ” เขาพูดพลางเตะแข้งเตะขาใส่ตัวปาดที่หายไปในช่องลม
“ยังจะอยากเจออีกหรือไง” เชื่อไหมว่าคนที่ถามมองตามตัวปาดตาด้วยสายตาอาวรณ์เอามากๆ
“ใครจะอยากเจอ”
“ให้ทวนคำพูดเมื่อกี้ไหม”
“ไม่จำเป็น แล้วนี่มึงจะยืนยิ้มอีกนานไหม เช็ดหน้าให้กูเลย เช็ดๆ”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาร้องขอไปแบบนั้น
แค่ร้องขออย่างเดียวไม่พอเขายังเอาหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีก
ทำไปทั้งๆ
ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แล้วที่สำคัญข้อสันนิฐานของเขานั้นเป็นความจริง
รูปปากที่ยกยิ้มขึ้นมาหน่อยนั้นพอได้มองตามแล้วเขาโคตรอยากยิ้มตามเลยให้ตายเถอะ
“เช็ดเองดิ” ไอ้หนวดมันว่า
ทำเอายิ้มของเขาพลันต้องหุบลงทั้งที่ยังไม่ได้ยิ้มออกมาเลยสักนิด
“ก็เช็ดให้หน่อยไม่ได้หรอวะ” เขาว่า
“ใช่เรื่องไหมล่ะ” และก็ใช่เรื่องที่ปิยปาณคนนี้จะยอม สิ้นเสียงทุ้ม ด้วยความสูงที่ไล่เลี่ยกันทำให้เขาก้มหน้าเข้าไปซุกกับหน้าอกของอีกฝ่าย
แล้วก็บี้หน้าซ้ายขวาลงกับแผงอกภายใต้เสื้อยืดสีเข้ม
ในตอนที่ละหน้าออกเขาเห็นตรงเสื้อเปียกเป็นจุดเล็กๆ
อยากจะสมน้ำหน้าที่เสื้อตัวแพงมันโดนฉี่ตัวปาด รู้สึกพอใจมากๆ
ถึงได้ยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่ไปให้อีกฝ่าย
“หึ” และก็เป็นเสียงหัวเราะในลำคอที่ตอบรับยิ้มกว้างของเขา
การกระทำก่อนหน้าไม่กี่นาทีนั้น
เขาทำไปโดยที่ไม่ทันคิดเลยว่าเวลาต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
ที่เป็นอยู่คล้ายกับมีมวลความเงียบเข้ามาปกคลุมบริเวณ เกิดสถานะเดทแอร์ไปชั่วขณะ
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดและเขาเองก็รู้สึกเหมือนมีน้ำลายเหนียวติดอยู่ในลำคอถึงได้เงียบไปใหญ่
“มึงเงียบทำไม” เขาไม่ได้ตั้งใจถามแค่คิดแล้วเสียงมันดันดังขึ้นมาเอง
“ตอนนี้มีอะไรให้ต้องใช้ตามองมากกว่าใช้ปากพูด” ไอ้หนวดมันบอก
มีบางอย่างแปลกไป เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายจะพูดเยอะกว่าที่เจอในครั้งก่อนและนัยน์ตาสีดำนี้ก็แปลกไป
“ยังไง” เขาสงสัย
“ก็...มันมีอะไรให้น่ามองดี” ไอ้หนวดมันตอบ
“งั้นก็เชิญมึงมองของน่ามองของมึงต่อเถอะ กูไปละ อย่าได้เจอกันอีกจะดีมาก”
เขาว่าพร้อมกับเตรียมก้าวขาเดิน แต่ทว่าเดินยังไม่ทันได้นับก้าว
ข้อมือข้างเดิมก็ถูกฉุดไว้เสียก่อน
“อะไรวะ”
เขาถามพลางรู้สึกหงุดหงิดมาบ้างและแน่นอนสาเหตุไม่ได้มาจากคนที่จับข้อมือเขาอยู่แต่สาเหตุน่ะมันมาจากตัวเขาต่างหาก
“จะรีบไปไหน”
ไอ้หนวดมันเหมือนเป็นจำพวกฟังคำถามคนอื่นไม่รู้เรื่องแตกประเด็นไม่เป็น
มันถึงได้ถามขึ้นมาแบบนั้น
“เรื่องกู มึงเกี่ยวไรล่ะ” เขาหันมาชักสีหน้าใส่
“ต่อไปก็คงจะเกี่ยวล่ะมั้ง”
เพิ่งสังเกตว่าใบหน้าของเขาถูกนัยน์ตาสีดำคู่นั้นมองอยู่
ไร้การขยับเอ่ยประโยคต่อมาใดๆ จากปากได้รูปนั้น
ถ้าจะมีก็คงมีเพียงรอยยิ้มมุมปากจากไอ้หนวดมัน
เชื่อไหมว่าตอนที่เขาเผลอทำตาโตมองใบหน้าของอีกฝ่ายคืน
อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงดังตึกๆ ดังมาจากไหนสักที่ พอเงียบและตั้งใจฟัง
เขาดันค้นพบต้นกำเนิดเสียงว่ามันดังมาจากข้างในตัวเขาเองนี่แหละ แปลกแล้วนะ
แปลกมากด้วย
“เอ่อ…กูว่ากูไปล่ะ” เพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนเกินจะอยู่เลยบอกลาในทันที
อีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูแย้งอะไรนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่จะดีให้สุดๆ
ถ้าในตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วนั้นเขาไม่เจอกับใครบางคนที่แค่เห็นหน้าก็รู้สึกหมั่นไส้จี๊ดๆ
ขึ้นมาทันที
“ไง” ไอ้ฟาหรือเจ้าของฉายาไอ้หนวดหร็อมแหร็มร้องทักเขาขึ้นทันที
“ก็ไม่ไง” เขาบอกพร้อมเดินหนีแต่ก็ถูกขวางไว้เหมือนเดิม
“คุยกันก่อนดิ” ไอ้ฟามันว่า
“ไม่อยากคุย” เขาตอบกลับอย่างไว
“แต่กูอยากคุย” ไอ้ฟามันตอบแล้วใช้ไหล่กว้างของมันเข้ามาขวางทาง
“มึงอยากโดนแบบเมื่อตอนบ่ายหรือไง ถอย” เขาบอกแต่อีกฝ่ายก็ยังลอยหน้าลอยตาเหมือนเดิม
“จะถอยไม่ถอย” เขาถามมันซ้ำแต่ทว่าเจ้าตัวมันดันไปให้ความสนใจกับอีกคนที่เดินตามหลังเขาออกมาจากห้องน้ำเสียอย่างนั้น
“พวกข้างบนเห็นมึงลงมานาน กลัวจะเกิดเรื่องเลยให้กูมาตาม”
เท่าที่ยืนอยู่เขาไม่ได้ยินไอ้หนวดถามอะไรออกมาเลย
แต่เป็นไอ้ฟานี่ดิที่ตอบยังกับเดาใจเพื่อนมันได้
“แล้วมึงกับไอ้เด็กแก้มกลมออกมาจากห้องน้ำไล่เลี่ยกันได้ไงวะ หรือว่า…”
นอกจากชื่อเรียกเขาแล้วก็เห็นจะเป็นไอ้คำพูดที่เว้นไว้ให้คิดไปเองนี่แหละที่เรียกส้นตีนได้เป็นอย่างดี
“ไม่หรือว่าอะไรทั้งนั้นแหละ/ไม่หรือว่าอะไรทั้งนั้นแหละ”
เชื่อไหมว่าทั้งเขาและไอ้หนวดมันพูดประโยคก่อนหน้านั้นออกมาพร้อมกัน
ที่สำคัญคือทั้งเขาและมันหันหน้าไปมองหน้ากันด้วย
“ทำไมพวกมึงสองคนต้องทำหน้าตางั้นวะ แล้วเนี้ยใจตรงกันเกินไปป่ะวะ”
“ใจตรงกันเหี้ยไรล่ะ/ใจตรงกันอะไรล่ะ” มาคราวนี้ก็พูดเหมือนกันอีก
“เนี้ยๆ พวกมึงเนี่ย แถวบ้านกูเรียกใจตรงกันนะ”
“ตรงกันบ้านพ่อมึงสิ” ครั้งนี้เขาพูดคนเดียว จบคำพูดของเขา
ช่วงไหล่กว้างก็ปรี่เข้ามาหาตัวเขา ดีหน่อยที่เขาไวเลยผลักอกมันออก
“อะไร” เขาถามและใช่ว่าเขาจะกลัว
“ปากดีแถมยังกร่างไม่เปลี่ยนเลยนะมึง” ไอ้ฟามันว่า
“มึงก็เหี้ยไม่เปลี่ยนเลยนะ” เขาบอกแล้วว่าถ้าเจอกันนอกมหาลัย
อยากเล่นด้วยเขาก็จะเล่นด้วย
“ยังไง จะให้กูทำยังไงกับมึงดี” ไอ้ฟามันถามท่าทางพร้อมหาเรื่อง
“ถ้าหมาไม่กินสมองก็คงคิดได้” เขาว่า
“มึง! /ฟาพอ”
ไอ้หนวดจากที่เงียบอยู่พูดขึ้นขัดและผลักไอ้ฟาที่พุ่งเข้าใส่เขา
ท่าทางไอ้หนวดที่พูดสองพยางค์นี้ออกมา ดูไม่ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยสักนิด
“ไม่ต้องมาห้ามกู ขอกูอีกหน่อยแล้วจะพอเอง” ไอ้ฟามันหันไปพูดกับไอ้หนวด
กลายเป็นไอ้หนวดที่หันมามองหน้าเขาแทน มองทำไม มองให้ได้อะไรอะ
“เชิญมึงอีกหน่อยไปคนเดียวเถอะ ถอยกูจะเดิน”
เขาออกมานานแล้วและควรจะกลับโต๊ะได้แล้ว ถึงเขาจะตัดจบและบอกไปแบบนั้นแต่ก็ถูกขวางเหมือนเดิน
ถูกขวางครั้งนี้ไม่เท่าไหร่แต่ทว่าโดนมองหน้าแล้วไอ้คนที่มองหน้าส่งสายตาแปลกๆ
มาให้นี่สิทำให้เขาฉุน
“มึงมองหน้ากูทำไมอีก” เขาโพล่งขึ้นถามไอ้ฟามัน
“หึหึ” อีกฝ่ายไม่ตอบดีแต่หัวเราะแบบที่เขาไม่ชอบนี้ส่งมาให้อีก
“มึงคิดว่ามึงหัวเราะแบบนี้แล้วมึงดูดีนักหรือไง” เขาถามอีก
“แล้วมึงคิดว่าที่มึงทำหน้าตาแบบนี้แล้วก็ทำตาโตๆ แบบนี้นี่น่ารักมากมั้ง”
อีกฝ่ายถามเขาพลางยิ้มๆ
"หน้ากับตากูมันไปเกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง” เขาถามเสียงดัง ว่าจะไม่แล้วนะ
“จะไม่เกี่ยวหรอกถ้ามันไม่ทำให้กูอยากมองหน้ามึง
ทำไมชอบคิดว่าตัวเองหล่อนักวะทั้งที่จริงน่ะ มึงแม่งน่ารักกว่าอีกว่ะ”
สิ้นคำว่าน่ารักเขาก็พุ่งเข้าใส่มันทันที
ได้ถีบไปหนึ่งจะตามมาอีกสองทีแต่ก็โดนมันเบี่ยงตัวมาล็อคคอเขาไว้เสียก่อน
“ปากไวแล้วตีนยังไวด้วยนะไอ้เด็กแก้มกลมมึง” เขาถูกกระซิบเรียกแก้มกลมข้างหู
“แก้มกลมพ่อมึงสิ กูไม่ได้แก้มกลม” เขาขืนตัวแต่ก็ไม่สู้แรงมัน
“ไม่เป็นแก้มกลมก็คงเป็นตาโตๆ กลมๆ”
“ตาโตๆ กลมๆ เหี้ยอะไรของมึงอีก มึงเป็นเหี้ยไรวะ
ยุ่งอะไรกับแก้มกับตากูหนักหนาห๊ะ!” เขายังดิ้นแต่ก็สู้แรงมันไม่ไหว
ไอ้ฟาทั้งตัวใหญ่กว่าแล้วก็แรงเยอะกว่าไอ้หนวดอีก
“ไม่ยุ่งกับแก้มกับตาของมึง งั้นขอกูยุ่งกับนิสัยมึงหน่อยนะ ไอ้นิสัยกร่างๆ
อย่างมึงนี่ รู้ไหมว่าสมควรต้องโดนอะไรมันถึงจะหายขาด”
นอกจากโดนล็อคคอเขายังโดนมันตีหัวไปด้วย ถึงจะโดนไม่แรงแต่ก็ใช่ว่าเขาจะอยากโดนป่ะ
“ไม่โดนอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้เหี้ยเคราแพะมึงปล่อยกู!”
มีแค่มันมั้งที่บู้บี้หน้าตาเขาได้ เขาก็ทำได้เถอะ
“เหี้ย แล้วดูเรียกกู สักทีดีไหม” ไอ้ฟามันว่า
“สักทีกับบ้านมึงเถอะ” เขาว่าเตรียมจะอ้าปากกัดแขนแม่งแล้ว
“อย่ากัดนะ ถ้ามึงกัด กูกัดคืนแน่แต่ขอบอกว่าจะกัดที่ที่มึงใช้กัดกูนะ”
ปากที่อ้าออกจะกัดแขนมันต้องงับลงตามเดิม
“ให้รู้หน่อยไหมว่าใครพี่ใครน้อง” ไอ้ฟามันว่าต่อเมื่อเขายอมอยู่นิ่งๆ
“ไม่ได้อยากรู้โว้ย” เขาตะโกนบอก
“ไอ้พวกบรรดารุ่นพี่ในคณะมึงนี่ไม่สอนระบบให้น้องในคณะมันเลยหรอวะ”
ไอ้ฟามันยังว่าต่อ
“สอนแล้วเกี่ยวอะไรกับมึง” เขาถาม
“กูเป็นรุ่นพี่มึง ไอ้นั่นที่ยืนอยู่ก็รุ่นพี่มึง”
ไอ้ฟามันดึงตัวเขาให้หันไปมองหน้าไอ้หนวด
“บอกกูทำไม พวกมึงเป็นรุ่นพี่แล้วไง กูต้องสนใจด้วยหรือไง”
เขาว่าพลางพยายามดิ้นแรงๆ อีก
“มันห้าวจริงๆ” ประโยคนี้ไอ้ฟามันไม่ได้พูดกับเขาหรอก
มันหันไปพูดกับไอ้หนวดที่ยืนนิ่งอยู่นั่นแหละ
“เลิกนิสัยแบบนี้ที่ทำกับกู แล้วปากที่ดีๆ กับกูนี่ก็เลิกกับคนอื่นก็เลิก
ถึงแม้พี่มึงจะเป็นไอ้นิลไอ้ฟ่าง
ไอ้สองคนนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้นะถ้ามีใครหมั่นไส้แล้วเล่นมึงเข้าสักวัน” ไอ้ฟาว่า
“แล้วกูกลัวหรือไง” ยอมรับว่ากร่างกล้าชนจริงแต่เขาไม่ใช่ประเภทชอบมีเรื่องไปทั่วเรื่องพรรค์นั้นเขาเลยไม่ต้องใส่ใจ
ที่สำคัญเขาไม่ได้ปากแบบนี้กับคนทั่วไปสักหน่อย
“ไม่เคยจะกลัวใครหรอกคนแบบมึงน่ะ ขนาดไอ้ที่ยืนนิ่งอยู่นี่
คนเขากลัวมันไปทั่วมึงยังกล้ากร่างกล้าเถียงใส่มันได้ขนาดนี้”
“แล้วถามหน่อยคนแบบมันนี่มีอะไรให้กูต้องกลัว” เป็นเขาที่ถามกลับบ้าง
“ถามมันเองดิ” ไอ้ฟามันตอบแล้วก็หัวเราะในลำคออีก
“กูไม่ถามหรอกเพราะจากที่ดู หน้าหนวดๆ แบบนี้ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว”
จบประโยคไอ้คนที่เป็นเจ้าของคำถามแม่งก็หัวเราะลั่น
จากท่อนแขนที่รัดคอเขาอยู่ก็เปลี่ยนมาวางที่ไหล่ทำตัวราวกับว่ามันสนิทกับเขามากขนาดนั้น
“55555
ชิบหายคำพูดมึงเมื่อกี้ กูโคตรชอบเลยว่ะ ซื้อๆ กูซื้อ”
ไอ้ฟามันว่าแล้วก็หันไปหัวเราะใส่หน้าไอ้หนวดมันเลย แล้วไอ้หนวดที่ทำหน้าเฉยๆ
อยู่ก่อนหน้า ตอนนี้หน้ามันแม่งเปลี่ยนเหมือนหงุดหงิดขึ้นมานิด
“หัวเราะเหี้ยอะไรฟา”
ไอ้หนวดมันว่าก็กลายเป็นว่าไอ้ฟาที่หัวเราะอยู่เงียบลงทันที
แต่ทำไมนะทำไมกลับเป็นเขาที่มองหน้าไอ้หนวดมันอยู่นี่ถึงรู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ
แทนเสียอย่างนั้น
“แล้วนี่โดนปล่อยแล้วจะยืนอยู่อีกนานไหม”
ไอ้หนวดกลับมาหน้านิ่งเหมือนเดิมแล้วขยับปากถามเขา
“ใช่ว่ากูอยากจะอยู่ที่นี่นานๆ ไปแล้วก็ได้”
เขาว่าพร้อมสลัดมือที่วางที่ไหล่ออก แต่ทว่าก็ถูกรั้งไว้เหมือนเดิม
“อะไรอีกวะ” เขาโพล่งถาม
“เจอกันก็สองครั้งได้ละ” ไอ้ฟามันว่ายิ้มๆ
“แล้วทำไม” เขาเลิกคิ้วถาม
“ก็ไม่ทำไมหรอกแค่อยากแนะนำตัว กูชื่อฟา ส่วนไอ้หนวดที่มึงเรียกนี่ชื่อคม”
มไอ้หร็็อมแหร็ฟามันบอกพร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้เขา
“หน้าตากูนี่เหมือนคนอยากรู้จักชื่อพวกมึงสองคนมากหรือไงวะ จะบอกกูเพื่อ”
เขาพูดออกมาแบบนั้นแล้วก็เดินเข้าไปในร้านทันที
ทิ้งให้ไอ้คนที่บอกชื่อเขาไปเมื่อครู่ยืนหัวเราะในลำคอตามหลังเขามา
เจ้าของไหล่กว้างอย่างฟาจำเป็นต้องหัวเราะลั่นออกมาหลังจากได้ยินประโยคยาวจากไอ้เด็กแก้มกลมจอมกร่างเมื่อครู่
เขาหัวเราะในแบบที่หยุดไม่ได้แต่ทว่าพอหน้าแข้งโดนเตะเข้าให้ถึงได้หยุดปากที่หัวเราะลงอย่างรวดเร็ว
“อีกสักทีไหม” ไอ้คมเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งลูกพี่ลูกน้องของเขาถามในทันที
“ไม่ล่ะกูเกรงใจ” เขาตอบมันยิ้มๆ
ยิ่งพอได้เห็นใบหน้าของไอ้คนที่โดนเรียกไอ้หนวด ก็จำเป็นต้องหลุดหัวเราะออกมาอีก
ยิ่งนึกหน้าตาไอ้แก้มกลมตอนที่มันพูดเขาก็ยิ่งนึกขำต่อเรื่อยๆ
“เป็นไงวะชายในฝันของมึง” เขาอดที่จะถามอีกฝ่ายขึ้นไม่ได้
อีกคนก็ปากดีเสียเหลือเกินส่วนอีกคนก็ขี้เกียจพูดมันเสียเหลือเกิน
กร่างเจอกริบ
เขาเชื่อเลยว่าเรื่องราวต่อจากนี้มันต้องสนุกกว่าที่เขาหัวเราะในวันนี้แน่
“ยังไงประทับใจเลยใช่ไหมชายในฝันของมึง”
“ปวดหัวชิบหายสิไม่ว่า เด็กเปรต”
“หึหึ เด็กเปรตเลยหรอวะ ยังไงซะ พี่อย่างกูเอาใจช่วยน้องอย่างมึงนะ
จะแน่แค่ไหนกันเชียวแก้มกลมๆ แบบนั้น”
#ดั่งปิยปาณ
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
ความคิดเห็น