คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ดั่งปิยปาณ : 2
2
รถเฟียตคันคุ้นตาวิ่งเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถใกล้ต้นไทรใหญ่ข้างตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
ถ้าหากว่าเจ้าของรถยนต์รุ่นเก่าคันนี้เป็นนักศึกษาคณะอื่นหรือเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปนั้น
รถยนต์ที่ริอาจจอดในพื้นที่บริเวณดังกล่าว
ล้อของมันอาจจะโดนล็อคในทันทีที่เจ้าของเดินลงจากรถไป แต่ทว่ากับรถยนต์คันนี้
มันกลับถูกอนุญาตให้วิ่งเข้ามาจอดที่ต้องห้ามได้อย่างไม่มีปัญหาหรือต้องเรียกอีกอย่างว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนล้วนๆ
พี่ยามที่ดูแลตึกแทบจะเอาป้ายตั้งว่าเป็นที่จอดรถของนายปิยปาณ
บุคคลผู้ที่มีชื่อซึ่งมีความหมายว่าเป็นที่รักปานชีวิต
รักดังลมปราณ รักเสมอชีวิต
อาจจะเป็นเพราะชื่อที่มีความหมายในทำนองนี้
พี่ยามหน้าตึกเลยทั้งรักทั้งยอ ยกให้มีกรรมสิทธิ์เหนือคนอื่นในคณะ
ไม่ต่างจากเหล่าอาจารย์หลายต่อหลายคนในคณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งนี้
ทั้งที่ความจริงมันเป็นผลของเครื่องดื่มชูกำลังหลายขวดที่ถูกหยิบยื่นให้เป็นสินบนตั้งแต่ต้นปีการศึกษา
ร่างสูงโปร่งที่ขับรถเข้ามาในมหาวิทยาลัยจนกระทั่งจอดเข้าที่ประจำดับเครื่องยนต์ให้รถหยุดนิ่ง
ต่อจากนั้นมือเรียวก็จัดการเปิดประตูออกกว้างก่อนจะรีบก้าวลงมาจากบนตัวรถ
ในขณะที่ส่งแรงปิดประตูก็ไม่ลืมก้มลงดูเวลาจากนาฬิกาเรือนโปรดที่ใส่อยู่บนข้อมือของตัวเองไปพร้อมด้วย
“8.45 ก่อนคลาสเริ่ม 15 นาทีถือว่าทันล่ะวะ”
ร่างสูงโปร่งพูดกับตัวเองเบาๆ
นาทีนี้เขาไม่รอให้ใครมาตัดริบบิ้นใดๆ
ทั้งสิ้น
ขายาวรีบก้าวให้เร็วเพื่อเข้าห้องเรียนให้ทันและก็ต้องขอบคุณที่ห้องเรียนของเขาในวันนี้นั้นอยู่แค่ชั้นสองของตัวตึกสูง
จึงไม่จำเป็นต้องไปเบียดกับใครหลายคนในลิฟต์แคบๆ นั่น
แค่รีบขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นเขาก็ถึงห้องเรียนแล้ว
เมื่อเดินถึงห้องเรียนร่างสูงโปร่งเปิดประตูบานใหญ่ออกเพียงเล็กน้อยเพื่อพาตัวเองเข้าไปในห้องกว้างที่อัดแน่นไปด้วยเก้าอี้เลคเชอร์และเหล่านักศึกษาที่เข้ามาก่อนเวลา
และเมื่อดึงสายตาจากกลางห้องมายังโพเดียมด้ายขวามือ
สายตาของเขาก็สะดุดให้กับท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ชายวัยกลางคนเจ้าเดิมที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดสไลด์สอน
ที่มักจะเกิดปัญหาอยู่เป็นประจำ
ไอ้ปัญหาที่ว่าก็หนีไม่พ้นแฟรชไดฟ์เปิดไม่ได้โดนไวรัสซ่อน
จะต้องมากู้โน่นแก้นี้เป็นประจำและเมื่อได้เห็นบ่อยครั้งจนคิดเห็นเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติ
แต่เขาก็อดสงสัยไปไม่ได้ว่าทำไมท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ไม่ยกแล็ปท็อปของตัวเองมาต่อเองเสียเลย
ซึ่งคำถามนี้ได้ถูกเอ่ยถามจากปากนักศึกษาท่านหนึ่งที่นั่งเรียนอยู่เก้าอี้ตัวหน้าห้องและถึงแม้ว่าจะได้รับคำตอบว่านั่นสินะตอบกลับ
แต่ทว่าต่อๆ มาของต้นชั่วโมงในรายวิชานี้ก็ไม่ต่างจากชั่วโมงแรกเลยสักนิด
เมื่อคิดจนถึงจุดนี้ร่างสูงโปร่งของนายปิยปาณก็ละความสนใจจากผู้ช่วยศาสตราจารย์หน้าห้อง
เปลี่ยนมาก้มหัวเป็นการขอโทษและขออนุญาตกลายๆ เขาทำมันอย่างรวดเร็วก่อนจะก้าวขายาวไปยังที่เก้าอี้ที่นั่งเป็นตัวประจำ
เก้าอี้เลคเชอร์แถวรองสุดท้ายเกือบชิดกับหลังห้อง
ขาก้าวไปถึงก้นยังไม่ทันจะได้นั่งติดเก้าอี้ เจ้าของร่างสูงโปร่งอีกหนึ่งคน
ที่ฉีกยิ้มร่าตาหยีรอเขาอยู่ก็ทักจนเกือบจะกระตุก ไม่ใช่ใจของเขาหรอกนะที่จะกระตุก
หากแต่เป็นอวัยวะเบื้องล่างของเขาเนี้ยแหละที่จะกระตุก
และได้โปรดอย่าคิดไปไกลไอ้ที่จะกระตุกก็จุดยืนหรือเรียกดีๆ
ก็เท้ากระตุกนี่เอง
“ปิยปาณเพื่อนรัก มาช้าจังว้า
รู้ไหมว่าคุณเพื่อนปล่อยให้เรานั่งรอลุงตั้งแต่แปดโมงสี่สิบแหน่ะ
เพื่อนนายคนนี้น่ะแบบว่าเคว้งคว้างๆ” ท้ายประโยคมันทำท่าเหมือนจะโผเข้ามากอดทันทีที่เขานั่งเก้าอี้ตัวติดกันได้
ดีหน่อยที่เขาชี้หน้ามันไว้ก่อน
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไอ้เจ้าของประโยคเมื่อครู่และเพื่อนคนอื่นๆ
ในคณะเข้าห้องมารอเรียนกันมาเต็มห้องแถมยังแต่งกายถูกระเบียบกันทุกนายขนาดนี้
เรียกได้ว่าชุดนักศึกษารีดเรียบตั้งแต่ตัวจรดปลายเท้า ไอ้หล่อๆ
แบบเสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบคือมึงไม่ต้องคิด คลาสลุงคือเนี้ยบ
คือต้องถูกระเบียบ
“ยังไง กูต้องขอโทษมึงไหมครับการินเพื่อนรัก” การินคือชื่อจริงของไอ้อิฐ
เพื่อนรักของเขา
เขารับแอดไลน์อันใหม่ของไอ้อิฐมันระหว่างที่จะขับรถออกจากบ้านอุ้มรัก
และก่อนจะเข้ามหาลัย แล้วก็พิมพ์ข้อความไปบอกมันแล้วว่าเขาน่าจะเข้าห้องช้า
ซึ่งมันก็รู้อยู่แล้ว ที่ทำทีพูดอยู่นี่คือกวนประสาทล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม
พอถูกเขาพูดแบบนั้นให้ไอ้อิฐมันก็ยกมือขึ้นปิดปากทำเสียงหัวเราะคิคิ
โคตรจะดัดจริตส่งให้
“เดี๋ยวมึงจะโดน” เขาขู่ไปงั้น
“อุแง้งงงงงงงง” ไอ้อิฐลากเสียงยาวอ้อนตีนฉิบหาย
“แค่แซวไหมวะครับ” พูดเสร็จมันยิ้มตาหยีอีกรอบ
“หน้ากูโอเคคือให้แซว” เขาทำหน้าเบื่อหน่ายพร้อมถามมันกลับ
“เออก็แค่จะแซวเล่น ขึ้นเร็วนะวันนี้”
ไอ้อิฐพูดแล้วมันก็สะกิดแขนเขาอ้อนตีนอีกรอบ
“หยุดมือของมึงก่อนที่กูจะขึ้นจริงๆ ครับเพื่อน”
เขาว่าแต่ทว่าไอ้อิฐดันโน้มหน้าเข้ามาใกล้
“ยังไม่ขึ้นจริงๆ อีกหรอครับเพื่อนครับ” ไอ้อิฐมันถามต่อ
หน้ามันทะเล้นไม่เลิก
“คราวนี้ขึ้นจริงแน่ว่ะ” เขาตอบพร้อมกับดึงกระเป๋าสะพายข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“อารมณ์?” ไอ้อิฐเปิดมา แล้วเขาจะรอเหี้ยอะไรล่ะ
"ควx"
"แก๋วววววว" ไอ้อิฐยกนิ้วโป้งพอใจ แล้วแม่งก็หัวเราะก๊าก
“พอใจมากนะมึง” เห็นแม่งหัวเราะไม่หยุดก็เลยถาม
"ที่สุดอะคร้าบบบบ" อยากสักป้าบตรงอะคร้าบของแม่ง
เรียนเลคเชอร์เก้าโมงเช้ายันถึงเที่ยงโดยที่มีพักเบรกบ้าง
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจสักเท่าไหร่นัก เรียนติดกันหลายชั่วโมง
เนื้อหาวิชาเดียว
พร้อมกับท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่พูดในโทนเสียงระดับเดียวทั้งคาบ
บวกกับห้องแอร์เย็นๆ และต้องตื่นเช้ามาเรียนอีก
สภาพนักศึกษาชั้นปีที่สอง
สองนายที่ก้าวเท้าออกมาจากห้องเรียนหลังใครเพื่อน
ใบหน้าก็เลยเป็นอะไรที่ไม่น่าดูนัก
“สภาพหน้ามึงแย่มากอิฐ” เขาบอกกับไอ้อิฐที่เดินข้างกัน
ต้นชั่วโมงได้ยินมันบ่นว่าเมื่อคืนอยู่ฉลองกับพี่ๆ
ในทีมเกือบเช้า แถมนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องขึ้นรถมาสนามบินเพื่อบินกลับมาเรียน
แล้วไอ้อิฐยิ่งเป็นจำพวกที่น้อยนักน้อยหนาจะหลับในคาบ พออาจารย์ปล่อย
สภาพไอ้อิฐก็เลยแย่อย่างที่เขาเห็น
“ของมึงก็ไม่ต่างครับเพื่อนปาย สีดำๆ ใต้ตามึงจะยาวมาติดคางอยู่ละ”
พอถูกไอ้อิฐมันว่าให้เขาก็อดที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าของตัวเองอย่างเสียไม่ได้
“จริงหรอวะ” เขาไม่ค่อยมั่นใจก็เลยถาม ไอ้อิฐรีบพยักหน้าตอบทันที
“ของกูอะพอเข้าใจ แต่มึงอะไปทำอะไร ไม่หลับไม่นอน” ไอ้อิฐมันถามเขาต่อ
“ไม่ใช่ไม่นอน กูนอนแล้วกูก็หลับ หลับลึกถึงขนาดฝันเลยล่ะ” เขาตอบ
“ก็แล้วทำไมขอบตามึงดำงี้” เขาตอบว่าไม่รู้โดยการส่ายหัวไปมา
ไอ้อิฐเห็นก็ทำหน้าเป็นหมางงใส่ ขี้เกียจอธิบายในอะไรที่เขาก็อธิบายไม่ถูกด้วย
เลยเลือกที่จะเดินนำหน้าทิ้งให้มันด่าไล่หลังตามมา
“เออปาย” ไอ้อิฐเดินตามเขาทันแล้วมันก็ถามขึ้นทั้งที่เงียบไปครู่
“ว่า” เขาถามมันกลับ
“ไอ้พี่รหัสมึงมันได้โทรหามึงเปล่าวะ”
ไม่รู้ว่าเขาได้บอกไปหรือยังว่า
อิฐเป็นเพื่อนที่สนิมมากคนเดียวของเขา
ในมหาวิทยาลัยนี้และในคณะนี้เขาสนิทกับมันที่สุด เขาไม่ได้เป็นคนที่รู้จักคนไปทั่ว
เรียกว่ารู้จักคนน้อยเลยล่ะ ออกแนวมาเรียนแล้วรีบกลับบ้าน
กลับไปดูหนังอ่านการ์ตูนว่ากันไป ต่างจากอีกคนที่งานหลวงไม่ขาด งานราษฎร์ไม่เสีย
ไปไหนก็มีเพื่อนไว้เสียหมด
“ถามไม” เขาถามไอ้อิฐมันกลับ
“ก็ที่กูบอกไง ที่เจอพี่มันที่ดอนเมือง นัดตี้คืนนี้ไงล่ะเว้ย”
ไอ้เจ้าของตาชั้นเดียวข้างๆ มันทวนคำพูดในตอนที่โทรเข้าไปกวนเขาอาบน้ำเมื่อตอนเช้า
เขาเงียบและนึกตามคำพูดของมันในทันที
เรื่องพี่รหัสของเขานั้นมันเป็นเรื่องปกติที่จะไร้การติดต่อ
คิดจะมามันก็มา คิดจะไปมันก็ไป เขาชินแล้วที่ต้องรับรู้เรื่องของมันจากคนอื่น
พี่รหัสของเขามันมักเข้ามาเรียนแล้วก็หายไปเป็นช่วงๆ
ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนมันจะหายไปนานพอสมควร เรียกว่าหายเข้ากลีบเมฆไปเลยครั้งนี้อะ
ส่วนไอ้เจ้าน้องรหัสสุดรักของเขานั้น
รายนี้มันก็วนเวียนอยู่ใกล้ๆ แวบไปแวบมาขอให้พอนึกถึงมันจะรีบแจ้นมาหาทันที
ถ้าเมื่อตอนเช้าไอ้อิฐไม่โทรมาบอกเรื่องเลี้ยงสายรหัส
เขาเองก็คงไม่รู้หรอกว่าวันนี้แม่งมันนัดตี้แดกเหล้ากันจริงจัง
“ไม่ว่ะ โดนอุ้มไปที่ไหนสักที่ล่ะมั้ง กูติดต่ออะไรไม่ได้เลย”
เขาก็แค่พูดออกไปไม่ได้คิดอยากให้มันเป็นอย่างที่ว่าหรอก
เขามีพี่รหัสเป็นลูกชายมาเฟียอย่างที่คุณอื่นว่าๆ กัน แถมเจ้าตัวมันยังติสท์แตก
น้องรหัสอย่างเขาก็ต้องทำใจ จริงหรือจ้อจี้ก็ให้ทดไว้ในใจแบบห้าสิบห้าสิบ
อย่างเมื่อตอนสมัยปีหนึ่ง
วันดีคืนดี เวลาตีสาม ไอ้ฟ่าง ก็นั่นแหละชื่อพี่รหัสของเขา
มันโทรเรียกให้ไปหาที่คอนโดบอกว่าไปมีเรื่องมา เขาถามมันก็ตอบจริงตอบเล่น
จนเขาโกรธถึงได้บึ่งรถไปหา
เขาโกรธมันจนหน้ายู่แต่พอกดออดห้องแล้วประตูถูกเหวี่ยงเปิดออก
มองเห็นหน้าสวยที่เกินจะเป็นหน้าตาของผู้ชายยับไปด้วยรอยชก คิ้วแตกปากแตก
หน้าช้ำตัวก็ช้ำแต่ก็ทำเก่งยิ้มส่งมาให้
เห็นแบบนั้นจากที่โกรธมันแทบคลั่งกลายเป็นโกรธตัวเองขึ้นมาเฉย
“พี่มันจะโดนอุ้มอะไรล่ะ กูบอกว่าเจอมันที่ดอนเมืองไง”
ไอ้อิฐมันยังย้ำคำพูดเดิมของตัวเอง
“เออ” เขาตอบสั้นๆ แค่นั้น
“ไม่ต้องพูดมาแค่เออ แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าไม่พอใจใส่กูด้วย”
ไอ้อิฐมันว่าให้เขาต้องหันมามองหน้ามัน
กูเนี่ยนะทำหน้าตาแบบที่มึงพูดที่ไหนอยากจะโพล่งขึ้นแต่ก็ไม่ดีกว่า
“เก็บให้มิดหน่อยหน้างอๆ ของมึงอะ”
“งออะไรอีกล่ะ”
“หึ กูคนนี้เป็นเพื่อนมึงไม่ใช่ไอ้พี่ฟ่างมันไง
แล้วก็ไม่ต้องมองกูด้วยสายตาแบบนั้นเลย อะก็ได้ๆ เห็นแก่หน้ามึงตอนนี้หรอกนะ
เลยจะบอกอะไรสักหน่อย”
“บอกไร”
“ไวเลยนะ ทีนี้ล่ะไวเลย”
“อะไรล่ะ”
“พี่ฟ่างมันเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ ที่หายไปคือมันไปอยู่เชียงใหม่อะ
มันไปทำไมมึงน่าจะรู้เหตุผลดีกว่ากูนะ ที่กูบังเอิญเจอพี่มัน
พี่มันบอกอยากเจอหน้ามึงเอามากๆ มันถึงได้นัดคืนนี้”
ไอ้อิฐมันชี้แจงรายละเอียดหรือเป็นนกฮูกส่งสารไม่รู้
“อยากเจอหน้ากู ก็ทำไมไม่มาเจอหน้ากูที่มอ จะทำยากไร”
ฟ่างแม่งชอบทำยาก
“ยากเพราะมันเป็นข้าวฟ่างวิศวะนี่แหละ ชัดเจนไหมล่ะ” ไอ้อิฐมันตอบ
“ชัดเจนฉิบหาย” เขาตอบรับแบบหน่ายๆ
“เออ แล้วไอ้เจ้านาถล่ะ มึงโทรไปบอกน้องมันยัง”
ศิรินาถหรือนาถซึ่งก็คือน้องรหัสที่เขาบอกไปก่อนหน้า
เขาว่ารายนี้ไม่ต้องบอกยิ่งวันนี้บ่นหามันหลายรอบแล้วน่าจะได้เจอมันที่ตึกคณะหรือที่ไหนสักที่ในมอ.แน่นอน
“ยังเลย”
“แล้วมึงรอใครตัดริบบิ้นเรียนเชิญ”
“ไม่ได้รอใครอะไรทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวค่อยโทร”
“เดี๋ยวตลอด”
“กูไม่เดี๋ยว นาถมันก็รู้ของมันเองหน่า”
“นาถมันเป็นน้องมึงหรืออับดุล กูถามจริง” ไอ้อิฐดูหัวเสียเล็กน้อย
"มึงเชื่อกูเถอะ รับรองมันรู้ของมันเองแน่นอน" เขายืนยันคำพูดของตัวเอง
“กูเชื่อมึงเลยปาย” ไอ้อิฐทำหน้าโคตรจะหน่าย ก็ขี้เกียจโทรนี่หว่า
ส่งข้อความหายิ่งแล้วใหญ่
“เชื่อกูน่ะดีแล้ว ไปเถอะ ไปหาข้าวกินกัน เมื่อเช้ากูกินอะไรมานิดเดียว
หิวมากเนี่ยท้องร้องจ๊อกเลยแล้วด้วย”
เขาตัดบทและเพราะเมื่อเช้ามีหลายสิ่งอย่างต้องทำแล้วยิ่งอิ่มบุญจนไม่รู้สึกหิวอะไร
ตกเที่ยงมาเขาถึงได้หิวจัดขนาดนี้
“ไปๆ” ไม่ต้องเสียเวลาย้ำอีกรอบ
เขาก็ลากเพื่อนรักอย่างไอ้อิฐมากินข้าวเที่ยงที่ใต้ตึกคณะตามเคย
ราคาอาหารกับรสชาติถือว่าไม่ได้แย่ และยิ่งกว่านั้นในฐานะพี่ปีสอง พวกเขาสามารถใช้อำนาจขึ้นตรงต่อตัวเองได้
ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ
คือตอนนี้ที่ไอ้อิฐเพื่อนรักของเขากำลังแย่งโต๊ะกินข้าวจากน้องปีหนึ่ง
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีที่รุ่นพี่หรือรุ่นไหนๆ ควรทำหรอกนะ
โต๊ะไม้ยาวปกติมันนั่งได้หลายคน
แต่แค่ไอ้อิฐทำทีมองหาหน้าโต๊ะว่าง แล้วตีหน้านิ่งเหมือนทั้งชาติไม่ได้ขี้ พวกเด็กปีหนึ่งก็คอหด
ยกซดก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ รัวๆ หมดบ้างไม่หมดบ้างแล้วก็โกยแนบ
แถมตอนที่น้องเอ่ยปากบอกพี่นั่งต่อได้เลยครับ
ไอ้เหี้ยอิฐหน้านิ่งเปลี่ยนเป็นยิ้มตาหยีบอกขอบคุณพร้อมตบบ่าเบาๆ
ให้น้องกลัวไปอีกยิ่งเหี้ย
“ไอ้เหี้ย รู้ว่าน้องมันกลัวก็ยังไปแกล้ง เหี้ยจริง” เขาว่าให้ไอ้อิฐมัน
“คนไม่เหี้ย ไปหาโต๊ะนั่งแดกเอานะงั้น”
ไอ้อิฐมันหันมามองหน้าเขาที่ยิ้มมุมปากให้อยู่
“จะหาอีกทำไม มีว่างให้นั่งก็นั่งดิครับ”
“ดีสุดๆ ไปเลยมึงอะเชี่ยปาย ดีเหี้ยๆ” คราวนี้เป็นไอ้อิฐเองที่ด่าเขาแทน
เป็นปกติที่พอมานั่งกินข้าวเขาจะไม่ได้เดินไปซื้อกับข้าวใดๆ
หรอก ไม่ใช่ว่าเขานั้นขี้เกียจหรืออะไรแต่เป็นเพราะไอ้อิฐ
มันคนเดียวที่ทำให้เขานิสัยเสีย มันชอบผันตัวเองเป็นเจ้าจอมอาสา
รับหน้าที่เป็นคนไปซื้อให้ทุกทีแล้วที่สำคัญพวกเขาสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทที่เป็นประเภทชอบกินอะไรเหมือนๆ
กันด้วย อีกอย่างคือเพื่อตัดปัญหาต่อแถวยาวหรืออะไรก็แล้วแต่
ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำอีกหน้าที่คือเพียงแค่ลุกไปซื้อน้ำแล้วกลับมานั่งรอ
นานหน่อยก็เคาะโต๊ะไปพลาง เที่ยงนี้เขารอไม่นาน
ข้าวมันไก่สองจานก็ถูกยกมาวางตรงหน้า ข้าวสวยที่หุงได้พอดี เรียงเม็ดสวยมีเนื้อไก่ฉ่ำๆ
ขาวๆ ชิ้นไก่หนาๆ วางโปะลงไปเกินครึ่ง แค่เห็นแล้วสูดเอากลิ่นเข้าไปในจมูก
ท้องก็ร้องโครกครากขึ้นมาในทันที
“เอ้า ช้อนส้อมของมึงครับ” ไอ้อิฐยื่นมาให้ในเวลาต่อมา
“ใจว่ะ น้ำซุปล่ะมึง” ถามหาน้ำซุปเพราะชอบไชเท้าที่อยู่ในนั้น
ไอ้อิฐมันไม่ตอบ แต่ดันพยักหน้าไปทางเด็กปีหนึ่งที่ใส่กระโปรงพลีทยาวบ่งบอกสถานะ
เจ้าตัวยกถ้วยน้ำซุปร้อนๆ ถ้วยใหญ่มาส่งให้ถึงที่โต๊ะ
พอวางถ้วยน้ำซุปลงก็ดูเหมือนเจ้าตัวมันจะรับรู้อารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดีเพราะทันทีที่เขาถอนหายใจใส่
ขาหน้าเรียวๆ ของมันก็รีบเข้ามาคล้องทำตัวเป็นลูกแมวง๊องแง้งใส่เขาที่มีสถานะเป็นพี่รหัสของมันแทบจะทันที
“แง้งงงงงงงงง” นาถมันทำเสียงเหมือนเด็กร้องไห้ใส่
“ไม่ต้องมาแง้ใส่” เขาว่า
“อุแง้งงงงงงงงงงงงงง”
“อุแง้กูก็ไม่เอา”
“แฮ่ๆ”
“แฮ่ก็ไม่เอา”
“เฮียปายอะ”
“เฮียก็ไม่ต้องมาเรียก ยังไงว่ามา”
“ไม่ยังไงหรอกค่ะ นี่น้ำซุปข้าวมันไก่ของเฮียปาย นาถอาสาถือมาให้เลยนะ
ร้อนด้วย มือแดงหมดเลย ดูสิๆ” พอนาถมันพูดเสร็จก็ยื่นมือแดงๆ
ที่มันบอกว่ามาโชว์เขาด้วย พอเขามองแล้วไม่อะไรมันก็ส่งยิ้มแหยๆ มาให้อีก
“น่าจะหายแล้ว” มันว่า
“เออ หายเร็วดีเนอะ”
“ก็...เฮียปายอะ”
“...” ขี้เกียจะต่อปากต่อคำด้วย เขาเลยเมินมันไป
“เฮียปายคะ” เมื่อเขายังเมิน
ไอ้เจ้าตัวดีมันก็เลยต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่เทคสุดหล่อของมันอย่างไอ้อิฐ
แล้วก็ดูเหมือนว่าพี่เทคสุดหล่อก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอกเพราะตอนนี้ไอ้อิฐนั้นก้มหน้าก้มตาแดกไก่ในจานไม่ได้สนใจนาถมันเลยสักนิด
“โหยเฮียปาย ไม่เงียบดิ เงียบงี้นาถกลัวนะ” นาถมันทำอ้อนอีก
ครั้งนี้มันเอามานิ้วจิ้มไปที่ต้นแขนเขาไปด้วย
พอโดนมันจิ้มแบบเดิมไปหลายทีเขาเลยต้องละสายตาจากข้าวมันไก่ที่วางอยู่ตรงหน้ามาเป็นไอ้ตัวก่อเรื่องทันที
“จะเลิกยุ่งกับแขนกูได้ยังนาถ คนจะกินข้าว” เขาแจ้งความประสงค์ให้มันไป
“ดูพูดกับน้อง กูอะไร พูดกับผู้หญิง พูดไม่เพราะเลยว่ะ”
ก็กลายเป็นว่าไอ้ที่อ้อนอยู่ก่อนหน้านั้นมันกลับหันมาค้อนพี่รหัสอย่างเขาเสียอย่างนั้น
แขนที่มันคล้องอยู่ก็ถูกดึงกลับมาตำแหน่งเดิม นิ้วเรียวที่จิ้มๆ
อยู่ก็ถูกดึงกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมเช่นกัน
“ไอ้ว่ะของมึงนี่เพราะตาย” เขาว่าให้มันอีก
“ก็เพราะกว่าที่เฮียปายพูดหรอก” มันค้อน
“เถียงเก่งนะนาถ”
“นาถไม่ได้เถียง เขาเรียกอธิบายหรือขยายความ”
“นี่แหละเถียง เถียงปากเป็ด”
“นาถไม่ได้เถียง” นาถมันกอดอกทำปากเป็ดมากกว่าเดิม
“เถียงเก่งสุดอะ มันทำไมเป็นเถียงเก่งจังห๊ะ สักหน่อยไหม” เขาพูดพร้อมกับยกนิ้วจะดีดหน้าผากนาถมันสักที แต่ไอ้เจ้าตัวดีมันก็หลบทัน เขาเลยดึงหัวมันมาซุกรักแร้ซะเลย เห็นมันดิ้นเขายิ่งมันเขี้ยวมัน จัดการตีเหม่งมันเบาๆ ไปหลายที
“โอ้ยทำไมเฮียปายชอบตีตรงนี้”
“หรืออยากให้ด่าล่ะ”
“ไม่ให้ด่าแล้วนะเว้ย วันนี้นาถยิ่งเจอประจักษ์ใส่มายับแล้วด้วย เบื่อ!
เบื่อ! เบื่อ!”
“สมน้ำหน้าให้”
“นาถร้องไห้นะ”
“เฮียไม่โอ๋นะ”
“เฮียปายอะ นาถจะโกรธเฮียปายแล้วนะ นาถจะไม่หัวใจเฮียปายด้วย”
“เชิญ”
“จะโกรธจริงๆ นะ”
“เต็มที่เลย”
“เฮียปายไม่ง้อหรอ”
“ง้อทำไม”
“โอเคไม่ง้อ ก็ไม่โกรธ”
“ง่ายๆ งี้เลย”
“ยากอะไรล่ะ เฮียปายน้ำขวดนี่นาถกินนะ” เล่นเปลี่ยนเรื่องใหม่ไปง่ายๆ เลย
“กินเสร็จก็ไปซื้อมาให้ใหม่ด้วยนะ” เขาบอกพลางยื่นเหรียญสิบให้ไอ้นาถมันรับไป
“เฮียปายตกลงคือเฮียนิลกับเฮียฟ่างเรียกหรอ” จบประโยคเขาขยับปากบอกว่าเห็นไหมล่ะให้ไอ้อิฐ
ส่วนไอ้นาถพูดถามเสร็จมันยกน้ำในขวดพลาสติกเกือบครึ่งขวด
ไม่มีการลุกขึ้นไปซื้อให้ใหม่แต่อย่างใด มันน่าดีดเหม่งมันอีกรอบ
“ถามพี่เทคมึงอะ”
“ยังไงอะเฮียอิฐ”
“ก็ตามนั้น” นาถมันได้ยินก็หันมาทางเขา
“สองทุ่มร้านพี่โต้ง” เขาบอกน้องพร้อมกับตักผักชีแล้วก็เนื้อไก่เข้าปากในคำเดียว
“ร้านเดิมที่เฮียปายเคยพานาถไปป่ะ”
เขาพยักหน้าตอบรับน้องรหัสก่อนที่จะหันมาซัดไก่ในจาน
ปกติเป็นคนกินข้าวเร็วแต่เพราะโดนก่อกวนเขาเลยกินช้ากว่าไอ่อิฐ
ไอ้อิฐกินหมดตั้งนานแล้ว ตอนนี้มันกับไอ้นาถก็เปิดประเด็นเรื่องวิชาเรียนอย่างออกรส
คงอาจเป็นเพราะตอนเช้าเขาไม่ได้กินข้าวมา
มื้อเที่ยงนี้เลยเจริญอาหารมากกว่าปกติ ยิ่งเคี้ยวข้าวในปากนานๆ
ข้าวมันก็ยิ่งหวานยิ่งชวนให้อยากอาหารเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นพอเสร็จจากข้าวมันไก่
เขาเลยสั่งให้ไอ้น้องรหัสตัวดีไปซื้อทับทิมกรอบน้ำแข็งลอยมาให้อีกถ้วยเล็ก
เขานั่งติดโต๊ะมานานพอสมควร
นั่งเคี้ยวก้อนน้ำแข็งดังก๊อบแกร๊บไปเรื่อยคุยกับทั้งน้องรหัสกับเพื่อนรักไปพลาง
จนกระทั้งสายตาไปปะเข้ากับเจ้ารถดูคาติคันนั่นแหละ เขาถึงได้ฤกษ์วางช้อนในมือลง
“นาถๆ เห็นดูคาติคันนั้นป่ะ”
“คันไหนเฮีย” นาถมันถามต่อมาในทันที
“นั่นๆ” เขาพยักหน้าไปทางดูคาติคนนั้นแทนใช้นิ้วชี้
“ดูคาติสีดำแดงคันนั้นเปล่าเฮีย” นาถมันพูด เขาก็พยักหน้ารับคอแทบหัก
“เห็นใช่ไหม”
“ใช่นาถเห็น ทำไมหรอเฮีย”
“สนใจหรอวะมึง จะเปลี่ยนมาเล่นมอเตอร์ไซค์หรอวะ” ไอ้อิฐพูดขึ้นมาบ้าง
“ไม่ได้สนใจ” เขาตอบ
“อ้าวแล้ว...” หน้าไอ้อิฐมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่ในทันที
“คือเมื่อตอนเช้าก่อนเข้ามอ.มา กูคิดว่ากูเจอดูคาติคันนี้ว่ะ”
เขารีบปฏิเสธความคิดของเพื่อนรัก เขาสนใจที่อยากจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของดูคาติสีดำแดงคันนี้
และใครที่เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีดำนั่น
“มึงเคยเจอหรอวะปาย คันนี้กูว่ามอ.เราเพิ่งมีว่ะ ไปเจอที่ไหนวะ” ไอ้อิฐละสายตาจากดูคาติหันมาถามเขา
“บนถนนดิว่ะ” ไอ้อิฐมันคาดหวังให้เขาตอบว่าอะไรวะ
“ขออนุญาตนะเพื่อน” ไอ้อิฐมันว่าแค่นั้น ทั้งเขาและนาถหันมามองมันเป็นตาเดียว
“ขออนุญาตอะไร" นี่ประโยคของเขา
"ใช่เฮียอิฐขออนุญาตอีหยั่งวะ” ประโยคนี้ของไอ้นาถมัน ไม่รู้อยู่ๆ
มันขออนุญาตอะไร
“ไม่อยากด่าเลยว่ะ แต่ไอ้ห่าเอ้ย ที่ไหนของกูคือพิกัดที่แม่งเจอครับ มอไซค์บ้านมึงวิ่งในคลองหรอสัด” ไอ้อิฐลุกขึ้นยืนด่าเสียงดังจนคนอื่นๆ เริ่มหันมามอง
“ก็ถูกของมึงเพื่อน” เขารีบลุกดึงแขนมันให้นั่งลงตามเดิม
และมีไอ้นาถพูดบอกใจเย็นๆ ตามหลัง
“รู้หรือเปล่าว่าแม่งรถใครวะ ไม่เคยเห็นมาแถวตึกเราเลย” เขาถามอีก
“กูก็บอกไปแล้วไงว่าคันนี้เพิ่งจะเคยเห็น เจ้าของแม่งคิดไงมาจอดตรงนั้นวะ
โดนล็อคไม่ก็ยกนี่มึงร้องเลยนะครับ”
ไอ้อิฐมันพูดเสริมพร้อมกับเพ่งดูคาติสีดำแดงคันนี้พร้อมกันกับเขา
ไอ้อิฐมันรู้จักคนเยอะเรื่องรถเองก็ไม่ต่าง
อิฐตอบว่าไม่เคยเห็นก็คือไม่เคยเห็นและทำให้เขาสงสัยเพิ่มอีก
“เฮียๆ” จ้องดูคาติอยู่นาน นาถมันก็สะกิดเรียกเขา
“หือ” เขาขานรับหันมามองหน้าน้อง
“นั่นใช่เจ้าของป่ะ เดินมาโน้นแล้ว”
ไอ้นาถชี้มือไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้าใกล้ดูคาติที่จอดอยู่ ผู้ชายตัวสูงมาก
เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะสูงสักร้อยแปดสิบกว่าค่อนไปทางร้อยเก้าสิบก็ว่าได้
ตัวสูงไหล่กว้างแถมยังตัวหนาเป็นยักษ์
“ลูกพี่ลูกน้องเอเรน เยเกอร์ตอนเป็นไททันชัวร์”
นาถมันพูดขึ้นจนทั้งเขาและไอ้อิฐเกือบจะหลุดหัวเราะ
หน้าตาไอ้นาถตอนมันพูดให้เจ้าของดูคาติที่ว่านี่โคตรจริงจัง
“น่าจะลูกครึ่งป่ะ” เขาว่า หน้าตาของอีกฝ่ายที่เขาพอจะมองจากตรงนี้เห็นนั้น
รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ใช่คนไทยแท้ เพราะตัวที่สูง
อีกอย่างตัวใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยด้วย
อีกฝ่ายไว้ผมยาวประบ่า
ใส่กางเกงยีนสวมเสื้อนักศึกษาพอดีตัวแต่ทว่าก็ยังตัวใหญ่อยู่ดี
บนกระเป๋าเสื้อนักศึกษาบนอกมีดินสอปักอยู่สักแท่งสองแท่ง
ดูก็น่าจะเดาได้ว่าเรียนศิลปกรรม ไม่ก็สถาปัตย์ อะไรแนวนั้น
แต่ทว่ามันก็ไม่ใช่ไง
นัยน์ตาสีอ่อนแบบนี้ไม่ใช่นัยน์ตาในแบบที่เขาเห็น
“เห้ยๆ กูว่ากูเคยเห็นมันนะ” เป็นไอ้อิฐที่โพล่งขึ้นมา
“มึงเคยเห็นหรอวะ” เขาถาม
“เหมือนจะนะ” ไอ้อิฐตอบเอียงคอมองหน้าอีกฝ่ายอีก
“ที่ไหนวะ มึงเคยเห็นมันที่ไหน” เขาเร่ง
“แป๊บ เหมือนกูจะเคยเห็นมันแถวๆ สถาปัตย์นะ” ไอ้อิฐตอบเขา
“เรียนถาปัตย์”
“คิดว่าใช่” ไอ้อิฐว่า
“รู้สึกว่ามันจะเป็นพี่เราปีหรือสองปีมั้งถ้ากูจำไม่ผิด” ไอ้อิฐบอกมาอีก
“รู้จักชื่อมันป่ะ” เขาถามอีกทันที
“รู้”
“แล้วมันชื่ออะไร”
“มันติดอยู่ที่ปากกูเนี้ยปาย คิดออกแต่กูพูดออกมาไม่ได้”
ไอ้อิฐพูดพลางเดาะลิ้นอึดอัด
“อยู่ๆ ลิ้นไก่มึงสั้นขึ้นมางี้ก็ได้หรอวะ”
เขาถามพลางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉยๆ ที่ไอ้อิฐตอบชื่ออีกฝ่ายไม่ได้
“แล้วมึงเป็นอะไรเหี้ยปาย อยู่ดีๆ มาอารมณ์เสียใส่กูเนี่ย” ไอ้อิฐเกาหัวแกรก
“เปล่าๆ” เขาเผลอเสียงดังใส่เพื่อนก็เลยบอกปัดผ่าน
“เฮียปายดูไอ้คนนั้นขับดูคาติออกไปแล้ว”
เป็นไอ้เจ้านาถที่เรียกให้ทั้งเขาและไอ้อิฐหันไปมองดูคาติที่แล่นออกห่างจากตึก
“ไอ้เหี้ยเลขทะเบียนสวยดี” ไอ้อิฐพูดตามหลังป้ายทะเบียนสวยที่เขาจำได้แม่น
“แต่โคตรเสียดายของ ของแรงไม่น่าเอามาขับในถนนมหาลัย” ไอ้อิฐว่าต่อ
“กูก็คิดเหมือนมึง” เขาเสริม
“ดูจากป้ายน่าจะของใหม่เพิ่งออกจากโชว์รูม”
“กูก็คิดงั้น”
“แต่แบบกูโคตรชอบว่ะ มันเรียกอะไรวะที่พี่เขาไว้ตรงหน้า หร็อมแหร็มๆ”
ไอ้อิฐเปลี่ยนประเด็นมาถามเขาอย่างรวดเร็ว ปากถามมือมันก็จิ้มบริเวณหน้าที่มันบอกว่าหร็อมแหร็ม
“เคราแพะไหมแต่แบบมีไม่มาก” เขาตอบแต่แอบคิดว่าอีกฝ่ายแม่งมั่นหน้ามากจริงๆ นั่นแหละ ที่กล้าไว้เคราแพะหร็อมแหร็มแบบนั้นเพราะถ้ามันไม่มั่นหน้าและหน้าตามันไม่ดีจริงๆ มีไอ้หร็อมแหร็มแปะอยู่บนหน้าคือหน้าเหี้ยที่สุด
“คิดเหมือนที่เฮียคิดป่ะนาถ” ไอ้อิฐถามนาถมันเพราะโดนนาถมันมองหน้าอยู่
“ไม่อะ” นาถมันแบบไม่คิดเลย
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ช่วงคาบบ่ายของวันอาจารย์ดันยกเลิกคลาส
นายปิยปาณก็เลยต้องมาฝืนความง่วงนั่งดูไอ้อิฐเพื่อนรักของเขาแปลนแบบโปรเจกต์ย่อย
งานตัวนี้เขาทำเสร็จส่งไปตั้งนานแล้ว
ดีแตกก็แต่เพื่อนตัวเองเนี้ยแหละที่คิดต่างจากชาวบ้านแถมมันมีช่วงลาไปแข่งอีกเลยช้ากว่าใคร
พอมันกลับมาก็เลยใช้เวลาที่ว่างมาแก้งานส่งใหม่
อีกอย่างที่เป็นประเด็นสำคัญคือเหมือนอาจารย์ประจำวิชานี้ดูจะหมั่นไส้มัน
เพราะแกสั่งให้ไอ้อิฐแก้งานไปหลายครั้งแล้ว แก้จนตัวงานพรุนยับแกก็ยังไม่ให้ผ่าน
อีกอย่างยังไงคืนนี้เขาก็จำเป็นต้องไปนอนคอนโดไอ้อิฐอยู่แล้ว
ก็เลยจำเป็นต้องมานั่งเฝ้ามันทำงานอยู่แบบนี้
“ครั้งนี้ถ้าไม่ผ่านนะปาย กูจะฟ้องป๊า” ไอ้อิฐโอดครวญขึ้น
ก็ถ้าหากหลายคนสงสัยว่าแค่งานไม่ผ่านแล้วไอ้อิฐมันจะฟ้องป๊ามันไปทำไม
คำตอบคือมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันครอบครัว
การที่มีพี่เป็นอาจารย์สอนมหาลัย สอนคณะตัวเองแล้วก็สอนมันอีก
พี่สั่งอะไรไอ้อิฐแม่งก็กร่างใส่
พี่ดินพี่ชายคนเดียวแกคงหมั่นไส้เลยสั่งให้ไอ้อิฐแก้งานส่งใหม่ ก็นี้แหละเหตุผล
ทุกครั้งที่เห็นหน้าพี่ดินตอนด่างานไอ้อิฐยับโดยที่ไอ้อิฐเพื่อนรักที่เก่งไปทั่วเงียบปากสนิทนี่
โคตรเหมือนพ่อด่าลูกชาย
เฮียไอ้ตีบสวดยับไม่ไว้หน้าป๊าที่บ้านเลยด้วยเลยเป็นที่มาของเสียงโอดครวญดังกล่าว
“ก็มึงไปกร่างใส่อาจารย์ก่อน” เขาบอกแถมยังยิ้มมุมปากให้เพื่อนรักไปด้วย
“เหอะ” ไอ้อิฐทำเสียงในลำคอ
“มึงดูปากการินนะครับ ไอ้เชี่ยดินมันกวนส้นตีนกู”
ใจเขาก็อยากบอกเพื่อนตัวเองจริงๆ ว่ามึงก็ไม่ต่างจากพี่มันหรอก
ไอ้อิฐเป็นจำพวกกวนทั้งหน้าตากับคำพูดส่วนเฮียดินของมันคือตรงข้ามทั้งหมด
“เออๆ พี่มึงกวนก็กวน” เขารับคำ
“ทำงานๆ เสร็จแล้วจะได้ไปส่งจะได้ผ่านสักที”
เขาว่าพร้อมกับเดินไปตบบ่ามันปุๆ
“เอออิฐ กูว่าจะไปร้านน้ำปั่น มึงเอาไรเปล่า” เขาขี้เกียจจะฟังไอ้อิฐมันบ่น
และก็ขี้เกียจจะนั่งง่วงเลยต้องหาเรื่องขยับตัวโดยการไปหาอะไรหวานๆ เย็นๆ
กินอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับมานั่งดูมันทำงานต่อ
“ขอนมปั่นให้กูแก้วนึง” อิฐมันสั่งเสร็จแล้วก็หันหลังกลับไปทำงานต่อ
“กินนมหรอ” เขาถาม
“เออ ช่วงนี้กูขาด” ไอ้อิฐมันว่า นมที่ขาดน่าจะเป็นนมอีกอย่าง
เขาโคลงหัวเล็กน้อยกับออร์เดอร์ของมันก่อนจะมองแผ่นหลังเพื่อนรักของตัวเองแล้วก็หัวเราะหึในลำคอในตอนที่มันยังนิ่ง
“อิฐ” เขาเรียกชื่อมัน แล้วก็เดินอ้อมไปหยุดตรงหน้ามัน
“แบมือมาทำไม” ไอ้อิฐมันถาม
“ยังอีก” เขาพูดแถมยังแบมือไม่หยุด
“อะไรวะ” เขารู้ว่าไอ้เหี้ยอิฐรู้อยู่แล้วแต่ทำเป็นแกล้งถาม
“เงิน” เขาบอก
“อ้าวก็ไม่บอก”
“เอามา” เขาว่า
“ไม่มี ออกๆ ไปก่อนได้ไหมล่ะ”
“กวนตีนละ ไม่มีออกก่อนเว้ย เงินๆ เอาเงินมา” เขาเร่งพร้อมกับถีบเบาๆ เข้าที่หน้าแข้งมันไปที ไอ้ตีบเพื่อนรักพอโดนของถูกใจมันก็หลุดหัวเราะเสียงดัง
“ออกให้กูก่อนไม่ได้เลยหรอไง” ไอ้อิฐพูดแล้วทำทีหันมาสนใจชิ้นงานตัวเองต่อ
“ไม่ได้เว้ย” เขาตะโกนบอกจริงจัง
“ออกไปก่อนเดี๋ยวคืน”
“ก็บอกว่าไม่เว้ย ช่วงนี้กูกรอบเอาเงินมา”
เขาไม่ได้งกกับเพื่อนแต่ทว่ายอดเงินเก็บของเขาในเดือนนี้
จะเปลี่ยนเป็นโมเดลและฟิกเกอร์ตัวใหม่ยังไงล่ะ
“เหี้ยปายมึงกรอบแม่งทุกเดือนนั่นแหละ ทำพูด”
“ก็กูไม่ได้แข่งรถมีเงินใช้เหมือนมึงนะเว้ย”
“ไม่เห็นเกี่ยว”
“เออแล้วเป็นไงที่มึงไปแข่งอะอิฐ”
“เก็บรอบไปเรื่อยนั่นแหละ”
“ตกลงออกไปก่อนนะ ค่านมปั่นอะ”
“ไม่เว้ย จ่ายมาครับเพื่อนครับ”
“ไอ้เหี้ยปาย ทำไมมึงงกขนาดนี้วะ แค่นมปั่นไม่กี่สิบบาทนี่เคี่ยว คนอะไรวะ”
ถึงปากไอ้อิฐมันจะพูดออกมาแบบนั้น แต่คนอย่างมันก็ยอมควักแบงก์สีม่วงส่งให้เขา
เรื่องทำให้เขาหงุดหงิดนี่ของชอบมันนัก
พอได้รับเงิน
เขาก็โค้งหัวให้ด้วยท่าทางกวนๆ กลับ
พอจะโดนมันเตะคืนเขาก็ย้ายตัวออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งอย่างนายปิยปาณเดินช้าอีกหน่อยคงได้เห็นว่าเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังยืนส่ายหัวแถมยังหัวเราะให้เขาอยู่
สำหรับการินหรือไอ้เหี้ยอิฐที่ไอ้ปายเรียกนั้น
เขาไม่รู้หรอกว่าปิยปาณมันมีอะไรดีที่ทำให้ต้องเข้าไปทักมันในวันแรกที่เจอกัน
ไอ้คนที่เป็นเจ้าของชื่อที่มีความหมายว่าเป็นที่รักดั่งลมหายใจน่ะ
มันก็แค่ผู้ชายอายุยี่สิบธรรมดาๆ
คนหนึ่งที่มีชีวิตส่วนใหญ่ติดกับเรียนและเล่น ปากก็พูดไม่ค่อยจะเพราะสักเท่าไหร่
กวนตีนก็ด้วย ความกร่างแล้วก็เกรียนนั่นก็อีก แถมยังกะโปกเป็นที่หนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นคนอย่างเขาก็ยังอยากเป็นเพื่อนกับมัน
ไอ้ปายถึงจะอายุเท่ากันกับเขา
แต่มันชอบทำตัวเป็นเด็กน้อยปอสองไม่ทันคนบ้างบางครั้งหรือไม่บางครั้งก็ยิ่งกว่าทันคน
เหมือนคนที่โตแล้วผ่านชีวิตมาหลายสิบปี
ปิยปาณที่เขารู้จักมันเป็นลูกคนเดียวมีแค่แม่และพี่เลี้ยงที่เลี้ยงมันมาต่างกันกับเขาแต่ทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกอิจฉามันเล็กๆ
ภูมิคุ้มกันบางอย่างของไอ้ปายมันก็มีมากจนดูน่ากลัว
บางอย่างมันก็มีน้อยจนดูอ่อนด๋อยไปหมด แต่สิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดเลยที่เขาว่า
มันก็ถือเป็นเสน่ห์ของนายผู้เป็นที่รักดั่งลมหายใจ
มันเป็นเสน่ห์ที่คล้ายกับเชื้อเชิญให้คนเข้าหาแต่ทว่าเพราะนิสัยส่วนตัวลึกๆ
ไอ้ปายเพื่อนรักของเขามันเลยมีเพื่อนน้อยคนแทบจะนับได้
เพื่อนที่มันยอมเรียกว่าเพื่อนรักแถมยังสนิทมากๆ ก็มีแค่เขาคนนี้
ปิยปาณจัดเป็นคนประเภทที่ถ้ามึงไม่ทักกู
มึงก็อย่าหวังว่ากูจะทักจะพูดด้วย
ไม่ได้ดูว่าหยิ่งแต่เคยได้ยินมันบอกว่าบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องกระตือรือร้นทักคนที่ไม่รู้จัก
ตรรกะความคิดบางอย่างของมันก็โคตรไม่ค่อยจะเข้าใจ
แต่บางอย่างนึกภาพตามก็โคตรของโคตรจะเข้าใจ
เวลาสองปีที่คบเป็นเพื่อนกันมา
การินคนนี้ถือว่าปิยปาณเป็นเพื่อนที่ทำให้เขายิ้มได้มากกว่าใครๆ
ทั้งหมดที่เขารู้จัก และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาอยากมีมันเป็นเพื่อนตลอดไป
“พี่ครับนมสดปั่นแล้วก็ยาคูลปีโป้ปั่นอย่างละแก้วครับ” ร่างสูงโปร่งยืมจักรยานพี่ยามของตึกคณะตัวเองแล้วปั่นมาถึงร้านน้ำใต้ตึกสถาปัตย์ถึงได้พูดสั่งเมนูน้ำที่อยากกิน
ปิยปาณกล้าบอกออกปากเลยว่า เขาไม่เคยคิดจะเดินเข้ามาตึกคณะนี้เลยสักนิด
ถ้าไม่ติดว่าเมื่อหลายวันก่อนสืบรู้มาว่ายาคูลปีโป้ปั่นที่ตึกนี้อร่อยจนหลายๆ
คนบอกต่อ
จริงๆ
มันก็เป็นเรื่องที่หลายคนรู้ๆ
กันอยู่ว่าคณะสถาปัตยกรรมเป็นคณะที่เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคณะวิศวกรรมมานาน
สืบเนื่องด้วยจากตรรกะงานหรือศักดิ์ศรีอะไรเทือกนั้น
ก็เลยต้องเขม่นกันบ้างและสำหรับมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่เองก็ใช่
งัดกันมารุ่นต่อรุ่น
ไม่อยากจะมาป้วนเปี้ยนแถวนี้แต่เพราะยาคูลปีโป้ปั่นที่ลือว่าอร่อยมากๆ ไง
เขาถึงจำเป็นต้องถ่อมาถึงที่นี่
ในตอนที่เขาเดินเข้ามาใต้ตึก
อยู่ๆ ก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะไม่สบาย เหมือนตัวถูกลมเย็นพัดวูบวาบแล่นผ่าน
มันควรเย็นแต่ทว่าลมเย็นนั่นมันดันไม่เย็น
มันทำให้ร่างกายของเขาร้อนจนเหงื่อไหลเต็มหลัง
“เอาอะไรนะคะเมื่อกี้”
“อ้อ”
“นมสดปั่นแล้วก็ยาคูลปีโป้ปั่นอย่างละแก้วครับ” เมื่อแม่ค้าถามซ้ำ
เขาถึงได้ทวนเมนูน้ำอีกครั้ง โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคน คิวแรกในตอนนี้เลยตกเป็นของเขา
ดังนั้นเสียงเครื่องปั่นก็เลยทำงานขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพื่อไม่ให้เสียเวลาระหว่างที่รอนมสดปั่นของไอ้อิฐและยาคูลปีโป้ปั่นของเขา
เขาก็เลยเลือกที่จะเอามือถือมาเล่นเกมพลางๆ
“พี่ครับ ซื้อน้ำแข็ง”
ทว่านาทีต่อมาเสียงทุ้มแต่ติดห้วนก็ดังขึ้นจากทางด้านขวามือของเขาและด้วยเสียงมันดังใกล้เกินไป
เขาเลยต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ในมือเปลี่ยนไปเป็นอีกจุดและดูเหมือนว่าจุดนี้จะสร้างความลำบากให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ตัวสูงแบบนี้
หน้าตาแบบนี้ ผมยาวประบ่าแบบนี้ เคราแพะน้อยๆ เห็นหร็อมแหร็มแบบนี้ เขารู้ได้เลยทันทีว่าไอ้นี่
มันคือคนที่นั่งคร่อมดูคาติคันนั้นไปเมื่อตอนเที่ยงวัน
ไอ้หร็อมแหร็มที่เป็นเจ้าของหัวข้อสนทนาสุดท้ายระหว่างไอ้อิฐกับนาถมันอย่างแน่นอน
ไม่มีผิดตัวแน่
เขาเผลอแหงนหน้าเล็กน้อยขึ้นจ้องหน้าอีกฝ่ายนานเท่ากับเวลาที่อีกฝ่ายนั้นจ่ายตังค์ค่าน้ำแข็ง
ไอ้หร็อมแหร็มนี่มันเป็นไอ้ยักษ์รักษ์โลก
มันไม่รับถุงพลาสติกเพราะมันหิ้วกระติกน้ำแข็งอันเล็กมาเอง
เมื่อได้กระติกน้ำแข็งอันเล็กจากแม่ค้าคืน
มันก็รับไปก่อนที่ขายาวของมันจะก้าวออกไปจากตรงที่เขายืนอยู่ ทว่าไวเท่าความคิด
ขาเขาก็ก้าวตามอีกฝ่ายไล่หลังไปในทันที
แต่ถึงอย่างนั้นก็เขาก็คลาดกับอีกฝ่ายอยู่ดี
“หายไปไหนของมันวะ” พออีกฝ่ายที่เขาเดินตามมา เดินเร็วมากจนหายจากสายตาไป
เขาก็ต้องมาหยุดยืนเคว้งอยู่ตรงบริเวณที่เป็นทางเชื่อมของอีกตึกหนึ่งตึกที่เชื่อมกันอยู่ของคณะสถาปัตย์
“ไวปานวอก” เมื่อคลาดสายตา เขาก็อดที่จะแอบว่าให้อีกฝ่ายขึ้นเสียไม่ได้
“มึงว่ากูหรือใคร ไวปานวอก”
“!!” หลังประโยคคำถาม บ่าของเขาถูกฝ่ามือใหญ่จับให้หันหลังกลับ
“ไง” แค่เพียงหันกลับมาใบหน้าของอีกฝ่ายที่เขาเดินตามก็อยู่ตรงหน้า
“เงียบคือเป็นใบ้หรอวะ” เพราะเขาที่เงียบไป อีกฝ่ายเลยพูดถามขึ้นเสียงดัง
แถมยังจ้องหน้าเขาเขม็ง แล้วมีหรือครับที่ลูกชายคุณนายสมรศรีจะกลัว
ไอ้ที่มีคนบอกว่าเขากร่างนี่ ขอยอมรับเลยว่าพอตัวเลยล่ะ
“มึงสิเป็นใบ้” เขาว่า
“อ้าวก็พูดได้นี่หว่า” อีกฝ่ายวพูดขึ้นแล้วก็กอดอกวางมาดหน่อยๆ
“ก็ต้องพูดได้สิ กูไม่ได้เป็นใบ้สักหน่อย”
“พูดได้ก็ดี งั้นเมื่อกี้ที่กูได้ยินมึงว่าให้กูใช่ไหม”
ในตอนนี้เขาว่าเขาเห็นนัยน์ตาสีอ่อนของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่ได้ชัดเจนกว่าที่เห็นเมื่อตอนเที่ยงนี้อีก
“ที่บอกไวปานวอกนั่นน่ะนะ”
“ก็แล้วมันยังไง”
“ก็ไม่ยังไง เข้าใจว่ากูไม่ได้พูดชื่อใครออกไปนะ เว้นแต่ว่ามึงจะชื่อวอก”
“หึ” จบประโยคของเขา เสียงหัวเราะในลำคอก็ดังขึ้นจากอีกฝ่าย
แม่งคิดว่าเท่มากหรือไงหัวเราะหึหึอยู่ได้ เมะหึมากมั้งไอ้สัด
“เป็นเหี้ยอะไรหัวเราะหึหึอยู่ได้” เขาโคตรจะเกลียดคนที่ทำเสียงแบบนี้ใส่
“มึงตามกูมาทำไม” ไอ้หร็อมแหร็มตรงหน้าไม่ตอบคำถามของเขาแต่เลือกที่ถามประโยคนี้ขึ้นมาแทน
“ใครตามมึง”
“ก็มึงไงที่ตามกูมา”
“เหอะ คิดว่ากูเดินตามมึงมาเนี่ยนะ คิดเองเออเองแล้วป่ะ”
เก็บคำว่าสัตว์ไว้ในใจ
เพราะปลายเท้าที่ยืนอยู่ห่างเพียงช่วงตัวขยับเข้ามาใกล้และพอมองไปที่คิ้วเข้มที่เริ่มผูกเข้าหากัน
เขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าในนาทีนี้ไม่ควรรีบปล่อยของในปากตัวเองออกมาเดินเพ่นพล่านเยอะๆ
เป็นอันเด็ดขาด
“ก็นะ กูไม่ได้โง่ ที่จะไม่รู้ว่าโดนใครแอบมองอยู่ตั้งนานสองนานน่ะ”
ใบหน้าที่อยู่สูงกว่าสายตาเล็กน้อยของอีกฝ่ายโน้มลงมาให้เขาต้องขยับปลายเท้าถอยออกห่าง
“ตั้งแต่ที่ร้านน้ำนั่น” พูดจบมุมปากของอีกฝ่ายก็ยกขึ้นพาลให้รู้สึกหมั่นไส้
“มองกูอยู่รึไง ถึงรู้ว่ากูแอบมองมึงได้นานสองนาน” เป็นฝ่ายเขาที่ถามกลับ
“หึ” เมะหึอีกล่ะไอ่สัด
“จะหึอะไรหนักหนาวะ”
เขาเตรียมท่าจะกระโดดเข้าใส่แต่อีกฝ่ายกลับถอยออกห่างเท่าตัว
“โว้ๆ ใจเย็นที่มึงถามเมื่อกี้น่ะ ถ้ากูบอกว่าใช่ล่ะ
กูมองมึงอยู่ตั้งนานสองนาน” เพราะคำพูดของอีกฝ่ายเลยทำให้เขาใบ้ไปชั่วขณะจริงๆ
รอยยิ้มบนหน้ามันเห็นทีแล้วน่ายันแข้งเข้าให้สักที
“บอกมาว่ามึงตามกูมาทำไม” มันถามจะเอาคำตอบให้ได้
“...” ก็แล้วจะทำไมล่ะเมื่อเขาไม่ตอบซะอย่าง
“เป็นใบ้ไปอีกแล้วหรอวะ ยังไงไหนตอบซิ” ซิพ่องเถอะ
“โอเค ไม่ตอบสินะ งั้นกูไปล่ะ” มันเตรียมท่าจะเดินหนี
แต่เป็นฝ่ายเขาเองที่รั้งมันไว้
“เดี๋ยว”
“เดี๋ยวอะไร”
“ก..กูแบบว่ามีอะไรอยากถามเกี่ยวกับดูคาติคันที่มึงเอาไปตึกวิศวะเมื่อตอนเที่ยง”
เขาไม่ชอบการที่มีอะไรค้างคาใจแต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายที่ต้องเป็นคนตอบ
ดูจะชอบใจเป็นอย่างมากกับการทำให้เขาค้างคาใจ
“กูจำเป็นต้องตอบด้วยหรือไง” พูดออกมาพลางยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง
“มึงต้องตอบเพราะกูอยากรู้” เขาเดินเข้าหาอีกฝ่าย
“สำคัญมากหรือไง” มันถามแล้วก็ถอยหนีอีก
“สำคัญมาก” เขาจึงเดินเข้าใกล้อีก
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูต้องตอบด้วย” อีกฝ่ายหยุดถอยหลังแล้วก็ถามเขาขึ้น
“เพราะกูสั่ง” เขาตอบ
ต่อจากนั้นเท้าที่ถอยออกห่างของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนมาก้าวเข้ามาหาเขาใกล้ๆ
มุมปากที่ยกยิ้มก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง ก่อนที่ริมฝีปากนั่นจะค่อยๆ
ขยับเอื้อนเอ่ยหนึ่งประโยคออกมา
“เป็นเมียกูหรือไง ถึงกล้ามาสั่งหรือที่ตามมานี่เพราะอยากเป็นเมียกูกันแน่”
“เมียพ่องมึงเถอะไอ้สัตว์” ขาดลงตรงนี้ ความอดทนของเขา
เขาแม่งโพล่งออกมาแบบไม่ผ่านการคิดสักนิด
ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบและโน้มใบหน้าเข้าใกล้
เหนือสิ่งอื่นใดมือที่ไวของเขาก็ส่งไปกำปกคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งที่หัวเขาแทบปรี๊ดแต่ทว่าอีกฝ่ายดันหัวเราะออกมาเสียได้
บริเวณทางเชื่อมของตึกแฝดคณะสถาปัตยกรรม จุดหนึ่งมองเห็นได้ชัดเจนว่ามีเจ้าของร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังยืนทำกร่างใส่รุ่นพี่ต่างคณะ
มือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายถูกยกขึ้นกำรวบที่ปกคอเสื้อของรุ่นพี่
ดวงตาสองชั้นของเจ้าของร่างสูงโปร่งที่โตอยู่แล้วตอนนี้ถูกใช้จ้องรุ่นพี่เขม็ง
ยิ่งรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของไหล่กว้างนี้
ยกยิ้มมุมปากเหมือนกับว่าที่ถูกกระทำอยู่นี่เป็นเรื่องสนุก
ดวงตาของอีกฝ่ายก็ยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก มือที่กำปกคอเสื้ออยู่ก็ยิ่งลงแรงเพิ่มไปพอๆ
กับขบกรามไว้แน่น แสดงท่าทางเอาเรื่องอย่างชัดเจน
เจ้าของร่างสูงโปร่งจอมกร่างเพ่งความสนใจทั้งหมดของตัวเองต่อรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของไหล่กว้างไปทั้งหมดโดยไม่หลงเหลือให้ได้สังเกตเลยว่า
บริเวณที่เจ้าตัวยืนอยู่นี่
ได้มีใครอีกคนหนึ่งที่ยืนมองเจ้าตัวอยู่นานแล้วและในตอนนี้ใครอีกคนที่ว่านั่นกำลังเดินเข้ามาใกล้เขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าของร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้บริเวณเกิดเหตุเรื่อยๆ
มีสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่สนใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่เลยสักนิด
แต่ทว่าก็จับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อยู่บ้างจากหัวคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ร่างสูงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ที่สองคนเริ่มพูดคุยจนกระทั่งเห็นว่าเจ้าของไหล่กว้าง
ผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง โดนรุ่นน้องจากอีกคณะไหนไม่รู้กำลังล้ำเส้น
เขาจึงคิดขยับตัว
กางเกงยีนขาสั้นที่ใส่เมื่อตอนเช้าและใส่ออกมาจากคอนโดถูกเปลี่ยนภายในห้องพักของเพื่อนร่วมคณะ
ย่านที่ใกล้กับมหาลัยเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้า
เป็นกางเกงยีนเดฟขายาวสีดำและเสื้อที่สวมอยู่บนตัวเป็นเสื้อช็อปสีของคณะศิลปกรรมแทน
ร่างสูงไม่คิดว่าจะเข้ามาถึงตึกคณะสถาปัตยกรรมของผู้เป็นเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งลูกพี่ลูกน้องของตนเองเลยสักนิด
ถ้าไม่ติดว่าเขาจะมาเอาดูคาติของตัวเองคืน
“มีอะไรกันวะฟา” เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ทำให้เจ้าของร่างสูงโปร่งอย่างปิยปาณจำเป็นต้องปล่อยมือของตัวเองออกจากปกคอเสื้อที่กำอยู่แน่นเมื่อก่อนหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ก็อย่างที่มึงเห็น” อีกฝ่ายที่ปกคอเสื้อเป็นอิสระก็ถอยหลังไปก้าว ก่อนจะส่งยิ้มมุมปากให้เขา
แล้วก็ขยับริมฝีปากเอ่ยตอบเจ้าของเสียงทุ้มที่มายืนอยู่ด้านหลังของเขาตอนไหนไม่รู้
“ตรงนี้เลย” ราวกับเสียงทุ้มนี้ตรึงเขาให้นิ่งอยู่กลับที่
“ช่วยไม่ได้ว่ะ เด็กนี่มันกร่าง”
“เชื่อว่าจริง”
“แสดงว่าเป็นมึงจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งนานสองนาน”
“แล้วยังไง”
“ไม่ยังไง...แต่มึงมาก็ดี”
“ดียังไง”
“ดีที่จะได้ทำความรู้จักกันไว้สักหน่อย เหมือนว่ามีเด็กอยากรู้จักมึงนะ”
"อยากรู้จักมึง"
"ไม่ใช่กู มึงเลยครับ มึงที่ชื่อคม” จบประโยค
ไหล่ทั้งสองข้างของเขาถูกจับส่งผลให้ต้องหันกลับไปด้านหลัง เป็นด้านที่เจ้าของเสียงทุ้มยืนอยู่และชัดเจน... เจ้าของนัยน์ตาสีดำนั่น ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในตอนนี้.
-หวังว่าจะชอบกันค่ะ-
#ดั่งปิยปาณ
ความคิดเห็น