คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ดั่งปิยปาณ : 1
1
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบฟ้าเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรีบเร่งทำกิจวัตรประจำวันของตนก่อนจะถึงเวลางาน หากแต่ก็มีบ้างที่ใช้ชีวิตสวนทางกับวิถีชีวิตของคนเมืองที่ดำเนินไปอย่างเร่งรีบในแต่ละวัน
ยกตัวอย่างให้เห็นก็เช่นลุงชัย
ชายวัยเกษียณหนึ่งเดียวประจำซอย ที่ในเวลาเช้าตรู่แบบนี้ แกจะชอบออกจากบ้านมาวิ่งออกกำลังกายให้ไอ้ดำหมาประจำซอยเห่าแทบจะทุกวัน
เสียงเห่าของหมาไอ้ดำนั้นดังให้ได้ยินตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย
นัยหนึ่งเสียงเห่าของหมาไอ้ดำได้กลายเป็นนาฬิกาปลุกที่มีชีวิตของใครหลายคนในซอยไปแล้ว
และอาจรวมไปถึงเสียงรถยนต์ที่แล่นเข้าออกในซอยนี้ก็นับเป็นนาฬิกาปลุกไม่ต่าง
เสียงจากแหล่งที่มาทั้งสองดังจนสามารถปลุกใครหลายคนในซอยนี้ที่ยังหลับอุตุอยู่บนเตียงให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้
แต่ก็อย่างว่าทุกๆ เรื่องย่อมมีข้อแม้อยู่เสมอ
เสียงทั้งสองนั้นถึงแม้จะดังแค่ไหน
มันก็ยังไม่สามารถทำให้ร่างสูงโปร่งที่หลับอยู่บนเตียงในห้องชั้นสองของบ้านสองชั้นสีขาวนี้
ขุดตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากเตียงนุ่มเพื่อทำกิจวัตรของตนในฐานะนักศึกษาคนหนึ่งพึงกระทำในตอนเช้าได้เลยสักนิดเดียว
ร่างท้วมของหญิงผู้มีอายุสี่สิบปลายๆ
เดินทิ้งส้นเท้าจากชั้นล่างของบ้านสองชั้นสีขาวขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องห้องหนึ่ง
สายตาของเธอหยุดมองบานประตูห้องที่มีป้ายชื่อห้อยอยู่ครู่หนึ่ง
ชื่อที่ถูกเขียนลงบนป้ายตรงหน้าของเธอเลือนรางจนแทบอ่านไม่ออก
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ดีอยู่แล้วว่าชื่อนั้นเขียนว่าอะไร
ปาย คือชื่อเล่นของเจ้าลูกชายของเธอ
เจ้าของร่างท้วมละสายตาจากป้ายชื่อตรงหน้า
ส่ายหัวไปทีก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ต่อจากนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก
สิ่งแรกที่ตาเธอมองเห็นคือร่างสูงโปร่งของเจ้าลูกชายที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
เธอหยุดยืนมองอยู่ครู่และจำเป็นต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ซึ่งนับรวมครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งที่สองของวันนี้ไปแล้ว
เจ้าของร่างท้วมยืนเท้าสะเอวมองไอ้ตัวดีที่นอนอยู่บนเตียง
ซึ่งในขณะนี้คงจะรู้สึกตัวแล้วว่าประตูห้องของตัวเองถูกเปิดออก
ถึงได้เริ่มขยับตัวเปลี่ยนท่านอนบนเตียง
จากที่นอนก่ายขายาวพาดผ้าห่มก็เปลี่ยนเป็นซุกตัวเข้าในผ้าห่ม
แล้วคลุมโปงกลายร่างเป็นหนอนดักแด้ขนาดใหญ่ยักษ์อยู่บนเตียง
เจ้าของร่างท้วมมองภาพเหล่านั้นของเจ้าลูกชายนิ่ง
แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง และครั้งนี้นับรวมเป็นหนที่สาม
เป็นครั้งที่สามก่อนที่จะละสายตาจากตัวประหลาดที่นอนอยู่บนเตียง
เปลี่ยนมาเป็นบรรดาถุงเยลลี่
พลาสติกห่อลูกอมหลากหลายยี่ห้อ พร้อมทั้งหนังสือการ์ตูน
หนังสือเรียนและเอกสารประกอบการเรียนของเจ้าของห้อง ที่วางระเกะระกะ
กระจัดกระจายทั่วทั้งพื้นห้องให้คุณนายอย่างเธอระอา
คุณนายที่เธอแทนตัวไปเมื่อครู่เป็นสรรพนามที่ถูกเจ้าลูกชายนำมาใช้เรียกเธอกลายๆ
เธอมีทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นเหมือนอย่างกับคนอื่นๆ แต่เจ้าลูกชายเธอเรียกแค่แม่
ไม่ก็คุณนาย รวมถึงอีกชื่อเรียกหนึ่งที่ถ้าเจ้าลูกชายมันกวนโอ้ยเธอหน่อย
เจ้าปายมันก็จะเรียกเธอว่าคุณนายสะมะระสะรี
คำว่าคุณนายที่เป็นสรรพนามเรียกเธอนั้น
เจ้าของร่างท้วมไม่ได้มันมาเพราะฐานะทางสังคมแต่อย่างใด เธอไม่ได้เป็นคุณหญิงคุณนายอย่างใคร
หากแต่คำว่าคุณนายที่เธอได้มานั้น
เธอได้มาจากความเป็นคุณนายที่เป็นขั้นกว่าคุณนายเจ้าระเบียบของเจ้าลูกชายของเธอยังไงล่ะ
“มันน่าตีนักนะ” หลังจากมองสภาพห้องอยู่ครู่
คุณนายสมรศรีเธอก็ตวัดสายตาไปมองเจ้าของห้องที่หลับสนิทอยู่บนเตียง เสียจนต้องเอ็ดออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ไอ้ที่ชอบเอาขนมมากินบนห้องแล้ววางทิ้งไปเรื่อยนี่มันน่าตีนัก
ในวินาทีนี้เหมือนกับว่าคุณนายสมรศรีเธอก้าวเข้าห้องของเจ้าลูกชายมาเพื่อทำให้ตัวเธอเองหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างไรซะ เจ้าลูกชายของเธอก็คงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ของเธอหรอก
ผิดกันโขกับเจ้าก้อนขนหน้าดำและมีตาสีฟ้าแป๋วที่พอเงยหน้าจากผ้าห่มขึ้นมาเจอเธอ
พอโดนเธอชี้นิ้วขึ้นดุ
เจ้าก้อนขนก็รีบกระโดดลงจากเตียงหนีความผิดออกจากห้องทาสผู้เป็นพี่ชายตัวเองอย่างรวดเร็ว
รถถังนะรถถัง
“มันน่าตีทั้งพี่ทั้งน้องเสียจริงๆ”
คุณนายสมรศรีเธอเอ็ดแมวตัวพี่ที่กำลังหนีความผิดออกจากห้องไป
เมื่อเห็นพวงหางแกว่งไปมาออกห่างจากประตูห้องแล้ว
เธอจึงหันกลับมามองที่เตียงอีกครั้ง
และก็ต้องถอนหายใจออกมาให้มนุษย์ที่เป็นน้องของแมว
ที่สำคัญยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนเตียงนี่เหมือนเดิม
“แล้วนี่ก็ยังหลับต่อได้อีก” คุณนายสมรศรีพูดจบแล้วถอนหายใจ
เสียงถอนหายใจครั้งนี้ของเธอจับความรู้สึกหงุดหงิดในความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของเจ้าลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกกอง
เสียงมันถึงได้ดังกว่าครั้งไหนๆ แต่ถึงมันจะดังยังไง เจ้าคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังนอนนิ่งสนิท
คุณนายสมรศรีนึกโมโหแต่กระนั้นเธอก็ต้องจำยอมกับสภาพห้องที่เป็นอยู่และอาจเรียกได้ว่าเธอนั้นภูมิใจในตัวเจ้าลูกชายสุดที่รักอยู่บ้าง เพราะถ้าขืนลูกชายสุดรักของเธอลุกขึ้นมาเก็บกวาดของที่กระจายทั่วห้องนอน เก็บเสื้อผ้าถุงเท้าที่ถอดแล้ววางไปทั่วลงตะกร้าหรือไม่ก็เก็บหนังสือการ์ตูนเข้าชั้นหรือแม้แต่เก็บอะไรต่อมิอะไรให้เป็นระเบียบต่างจากที่เป็นอยู่
เธอคงต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆ
หรือไม่ก็ต้องขนของขึ้นที่สูงเตรียมบิ๊กแบ็ครอไว้ได้เลย
น้ำได้ท่วมหิมะได้ตกแค่บ้านเธอแน่ๆ
“ปากบอกว่าโตแล้วๆ แล้วดูท่านอนของคนที่บอกว่าตัวเองโต”
คุณนายสมรศรีเดินผ่านหนังสือที่มีสูตรทางคณิตศาสตร์พิลึกพิลั่นที่นอนแผ่อยู่บนพื้นอย่างระอาก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือให้เรียบร้อย
พวกเปลือกถุงพลาสติกเองก็เก็บลงถังขยะเล็กๆ
ที่วางอยู่มุมห้อง ก่อนจะเดินไปยังหน้าต่างบานคู่ทางหัวเตียง
มืออวบจัดการดึงม่านสีทึบให้เปิดออก
เสร็จก็หันกลับมามองบนเตียงที่เจ้าของเตียงเริ่มขยับตัวดันหมอนใบใหญ่ที่ใช้คว่ำหน้าลงออกห่าง
เป็นผลให้เจ้าตุ๊กตาไมค์
วาโซว์สกี้ที่ยิ้มกว้างโชว์รีเทนเนอร์อยู่บนหัวเตียงร่วงลงพื้น
พอเธอมองตุ๊กตาตัวเขียวกับเจ้าลูกชายสลับไปมา
ดูไปดูมาคุณนายเธอก็รู้สึกว่าหน้ามันไม่ได้ต่างกับเจ้าลูกชายเธอในตอนที่อีกฝ่ายยังเรียนมัธยมต้นอยู่เลยสักนิด
เป็นเด็กหัวโตใส่เหล็กดัดฟันเหมือนกันทั้งคู่
เมื่อดึงม่านหน้าต่างให้เปิดออกดีแล้ว
คุณนายสมรศรีเธอจึงจัดการเปิดบานหน้าต่างคู่ออก เพื่อให้ลมโกรกเข้ามาในห้องและอีกอย่างคือเปิดรับแดดดีๆ
ในตอนเช้า เสร็จจากหน้าต่าง คุณนายสมรศรีเธอก็กลับมาจัดการเขย่าตัวปลุกเจ้าลูกชาย
“ปายๆ” คุณนายเธอเขย่าคนตัวสูงที่นอนอยู่หลายทีหลายหนแต่ก็ไม่เป็นผล
จนเธอนั้นอยากจะตะโกนปลุกไอ้เจ้าตัวที่นอนอยู่บนเตียงดังๆ ให้ได้ยินไกลไปแปดบ้านสิบบ้านแต่ทว่าก็ต้องหยุดความคิดนั้นของตัวเองไว้
เพราะว่าวันนี้เป็นวันดี
วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันที่จะได้ทำบุญตักบาตรให้สามีที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปี
คุณนายสมรศรีเธอจึงทำได้แค่ข่มใจตัวเองไว้แล้วเขย่าตัวปลุกเจ้าลูกชายต่อ
เธอทำอยู่อย่างนั้นและเมื่อท้ายสุดเขย่าแล้วไม่ขยับ
เธอจึงจัดการดึงผ้าห่มที่เจ้าตัวดีใช้คลุมโปงออกแทน
“แน่ะ!” คุณนายเธออุทานเพราะผ้าห่มโดนเจ้าของมันยื้อไว้
“มียื้อไว้อีกหรอท่าน” พอเธอดึงผ้าห่มออก
เจ้าลูกชายก็ยื้อไว้หลายต่อหลายครั้งยักแย่ยักยันกันจนทำให้เธอฉุนกึก
และที่เจ้าลูกชายของเธอยื้อไว้อยู่แบบนี้
มีหรือที่คนเป็นแม่อย่างคุณนายสมรศรีจะยอม
เธอสูดลมหายใจเข้าก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงผ้าห่มออกอย่างแรง
“ปายตื่น!” พอผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงให้ตกลงบนพื้นไปได้
คุณนายเธอถึงได้เรียกชื่อเจ้าลูกชายพร้อมกับฟาดมือลงต้นแขนไปหนึ่งที
แต่ทว่าเจ้าตัวที่นอนอยู่บนเตียงที่เมื่อปราศจากผ้าห่มให้คลุมโปง
ก็ดูจะเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรกับฝ่ามือที่ฟาดลง
ถึงยังได้นอนต่อแถมยังขดตัวเข้าหากันอีก
แค่เพียงคุณนายสมรศรีเธอเห็นท่าทางนั้นของเจ้าลูกชาย
แค่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้วจริงๆ ที่เธอจะไม่ทนต่อไปอีก นาทีแห่งความอดทนของคุณนายสมรศรีขาดสะบั้นลง
ฝ่ามืออวบฟาดลงกลางหลังเจ้าลูกชายไม่หนักไม่เบา ถึงแม้ว่าจะมีเสื้อยืดย้วยๆ
กั้นผิวเจ้าตัวอยู่แต่ทว่าเสียงที่ฝ่ามือกระทบลงไปมันก็ดังแสบสันมากๆ อยู่ดี
“จะตื่นไม่ตื่น! ห๊ะ!” คุณนายสมรศรีถามพลางเตรียมง้างมืออวบขึ้นอีกหน
“อีกสักทีดีไหม” คุณนายตั้งใจจะฟาดลงที่เดิมทว่ายังไม่ทันได้วาดฝ่ามือ
ไอ้คนที่นอนขี้เซาอยู่บนเตียงก็ได้ดีดตัวขึ้นนั่งก่อนจะกระโดดลงจากเตียงเร็วปร๋อ
ท่าทางที่เห็นเมื่อครู่
คุณนายเธอคิดว่าไม่ต่างกันกับพี่รถถังของเจ้าปายที่กระโดดลงจากเตียงไปก่อนหน้าเลยสักนิด
ต่างแค่ตรงที่รถถังเป็นแมว แต่ลูกชายเธอมันเป็นหมา
“โอ๊ยแม่ ฟาดมาได้นะ เจ็บ”
เจ้าของร่างสูงโปร่งผู้เป็นลูกชายแสนขี้เซาพอลืมตาเห็นใบหน้าของคนเป็นแม่ที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า
ก็ถึงกับร้องโอดโอยขึ้นมาทันที
โดนฝ่ามือสะมะระสะรีไปจากที่หลับเป็นตายอยู่ก่อนหน้าก็ได้ตื่นเต็มตาแล้วในนาทีนี้
“ไม่ต้องมาร้องโอดโอยให้แม่เห็นใจเลยนะ” คุณนายสมรศรีเธอว่า
“ก็แม่อะ ฟาดมาได้ เจ็บ” เสียงเรียกแม่ที่ดังออกมาดูอ้อนกว่าไหนๆ
เป็นเพราะเหตุอะไรคุณนายเธอย่อมเข้าใจดี
“แม่ ขอปายนอนต่ออีกนิดนะแม่น้า” ลากเสียงยาวอ้อนๆ ขัดกับขนาดตัวเหลือเกิน
“ไม่”
ถึงแม้เจ้าลูกชายจะส่งเสียงอ้อนขนาดไหนแม่อย่างคุณนายสมรศรีเธอก็ไม่ใจอ่อนให้
“แม่จ๋า”
"ไม่"
"แม่ต๋าของปาย"
“ไม่ได้ครับ ปายตื่นแล้วก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวพระคุณท่านจะมาแล้ว
ตื่นสายแบบนี้ไม่ทันได้ตักบาตรพร้อมกับแม่พอดี”
คุณนายสมรศรีเธอว่าแกมดุพร้อมกับพยายามดึงตัวเจ้าลูกชายคนเดียวให้ลุกจากเตียงอีกหนเพราะไอ้คนที่ตื่นยืนเต็มความสูงเมื่อครู่นั้นได้เริ่มเลื้อยลงเตียงอีก
“แม่คร้าบ”
“...”
โดนเรียกเสียงอ่อนเสียงหวานคุณนายเธอก็เลือกที่จะเงียบตอบ
“ขอปายนอนต่ออีกสักนิดนะ” พูดแล้วก็ทำนิ้วบอกว่านิดเท่านี่
“นะน้า”
“นะแม่ต๋าน้า นะครับ”
อ้อนไปเรื่อยแล้วก็เลื้อยติดกับเตียงอย่างกับเป็นตัวอะไรสักอย่าง
“ไม่นงไม่นิดแล้วครับ ลุกขึ้นเลย” คุณนายสมรศรีเธอพูดบอก
“...”
กลายเป็นว่าคราวนี้ลูกชายของเธอดันเงียบตอบแทน
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ” เมื่อเจ้าลูกชายเล่นเงียบไปเธอจึงต้องทำเสียงดุ
“อีกนิดก็ไม่ได้หรอแม่”
“ไม่ได้ครับ”
“แม่อะ”
“ลุกเร็วครับ” ใช่ว่าคุณนายสมรศรีจะดุเป็นอย่างเดียว
ไอ้ที่เหมือนลูกชายเธอทำกับเธอ เธอก็ทำได้เหมือนกัน
คุณนายเธอพูดบอกด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปก่อนจะโน้มตัวไปตบหลังลูกชายเบาๆ
ทำราวกับกำลังโอ๋เด็ก
พอเห็นท่าทีของเจ้าลูกชายที่ไม่สนใจกัน
คุณนายเธอจึงต้องบังคับใช้ไม้แข็ง
เนื้อนิ่มที่โผล่ให้เห็นตรงต้นแขนก็เลยโดนเล็บยาวหยิกลงไปเต็มแรง
“โอ๊ยแม่!! ” เจ้าลูกชายเธอร้องดังพร้อมกับดีดตัวขึ้นจากเตียงแทบไม่ทัน
“ลุกให้ไว” คุณนายสมรศรีเธอบอกพร้อมเอื้อมมือจะเตรียมหยิกอีกหน
“แม่อะ” เจ้าลูกชายกำลังจะโดนหยิกให้อีกทีก็เลยต้องร้องค้านเสียงหลง
ร้องค้านออกมาไม่พอยังยกนิ้วห้านิ้วขึ้นมาต่อรองขอเวลาอีก 5 นาทีอีก
“แม่ปายขออีก 5 นาทีได้ไหม ให้กันได้ไหมหรือเปล่า”
จากที่ถามดีๆ ตอนท้ายกลายเป็นว่าเจ้าตัวร้องออกมาเป็นเพลงเสียอย่างนั้น
“ให้ไม่ได้ครับ ลุกเดี๋ยวนี้เลยท่าน!!”
เป็นอันว่าคุณนายสมรศรีไม่ตอบรับคำขอดังกล่าว
“อย่าคิดว่าพอแม่เดินออกจากห้องแล้วนอนต่ออีกนะท่าน
ขืนหลับไปอีกแม่กลับขึ้นมาพร้อมน้ำเอามาสาดจริงๆ นะคะคุณลูกชาย”
คุณนายสมรศรีไม่สนใจคำขอหรือข้อต่อรองใดๆ อีก
เธอทิ้งประกาศิตแล้วก็คาดโทษคนที่จะไม่ปฏิบัติตามพร้อมเสร็จสรรพ
ยิ่งเห็นท่าทีของไอ้ลูกชายสุดที่รักที่นอนดิ้นไปมาอยู่บนเตียงแล้วก็นึกมันเขี้ยวนัก
“โตเป็นหนุ่มแล้วยังทำตัวเป็นเด็กปอสอง”
เธอพูดแล้วก็ลงมือฟาดลงบนช่วงต้นขาของลูกชายเบาๆ ไปที
“โหยแม่อะ ตีปายอีกล่ะ” คนโดนฟาดครั้งนี้ทำโอเว่อร์ร้องโวยวายเป็นเด็กเลย
“จะลุกไม่ลุกครับ”
ครั้งนี้คุณนายถามพร้อมกับเหมือนกำลังมองหาอะไรที่ถนัดมืออยู่
“หาอะไรมาตีดีไหม” นั่นก็คือคำพูดขยายท่าทางมองหาของของคุณนาย
พอเจ้าลูกชายได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงในทันที
“ปายลุกแล้วเนี่ย แม่เห็นไหม เห็นแล้วใช่ไหมว่าลุกแล้วอะ”
ไม่มีคำไหนที่จะนำมาใช้อธิบายความเป็นมนุษย์แม่ของคุณนายสมรศรีเธอได้
คุณนายเธอว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นเพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น
ที่ทำทีมองซ้ายขวาแล้วถ้าเห็นของที่จับถนัดมือก็นะ เจ้าของร่างสูงโปร่งต้องโดนตีเหมือนกับตอนที่เป็นเด็กปอสองอย่างแน่นอน
“ให้รู้เรื่องนะ” คุณนายสมรศรีเธอว่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ครับ” เจ้าของร่างสูงโปร่งขานรับในทันที
เมื่อคุณนายสมรศรีออกจากห้องไปได้
ร่างสูงโปร่งก็ทรุดนั่งลงปลายเตียงก่อนจะดึงทึ้งหัวตัวเองแรงๆ ไปหลายที ต่อจากนั้นเขาก็ก้มเก็บหมอนที่ตกอยู่ขึ้นมากอดแน่น
เพราะว่ายังง่วงนอนอยู่
เขาเลยอ้าปากหาวติดกันหลายครั้ง
นั่งคิดเรื่องที่ติดอยู่ในหัวอีกนิดก่อนจะโคลงหัวตัวเองซ้ายขวา
เพื่อสลัดไอ้ความฝันบ้าๆ ที่ติดอยู่ในหัวของเขาออก
ความฝันที่เขาว่า
มันคือฝันบ้าๆ ฝันที่เริ่มต้นในแบบเดิมๆ แล้วก็จบลงอยู่ในแบบเดิม ซ้ำๆ
กันเป็นเวลาหลายเดือน มันไม่ตลกเอาเสียเลย
ถ้าลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วต้องมาทบทวนว่าในความฝันเกิดอะไรไปบ้าง
และฝันที่ว่ามันคืออะไรกันแน่
เขาเคยบอกคุณนายสมรศรีผู้เป็นแม่ไปตอนที่เขาเริ่มมีอาการฝันแรกๆ
คำตอบจากคนเป็นแม่ที่ได้รับกลับมาคือคุณนายคิดว่าเขาคงแค่คิดมากเรื่องเรียนและก็คงอ่านหนังสือการ์ตูนมากไปเลยเก็บมาฝัน
เขาอยากจะตะโกนเถียงคุณนายสมรศรีไปว่าไอ้การ์ตูนที่เขาอ่านนั้นมันการ์ตูนญี่ปุ่นนะ
คนเราจะอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเยอะแล้วเก็บมาฝันให้เห็นเป็นบ้านไม้แบบไทยดังเดิมแบบนั้นไปได้ยังไง
มันไม่ดูเกินเหตุไปหรือยังไงกัน
ทีนี้พอยิ่งเขาคิดก็ยิ่งเหมือนไปเพิ่มความรู้สึกปวดหนึบให้เกิดที่ขมับทั้งสองข้างเพิ่มขึ้นมาอีก
“อาบน้ำให้หัวโล่งดีกว่า”
เขาโพล่งขึ้นในนาทีที่ขว้างหมอนใบใหญ่เก็บเข้าที่หัวเตียง
ร่างสูงโปร่งรีบลุกเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวตามคำสั่งคุณนายสมรศรีผู้เป็นแม่
ในตอนที่เขายืนถอดเสื้อยืดย้วยๆ
ออกจากตัวและชู้ดมันลงไปในตะกร้าก็ไม่ลืมที่จะตะโกนบอกคนเป็นแม่และพี่เลี้ยงที่คาดว่าคงลงไปวุ่นอยู่กับสำรับตักบาตรเช้านี้ในครัว
"แม่รอปายลงไปยกของให้นะครับ"
เขาร้องตะโกนลงไปว่าจะรีบลงไปช่วยยกของเอง ครู่เดียวเสียงจากครัวชั้นล่างก็ดังตอบกลับขึ้นมาจับใจความได้แค่คำว่าให้รีบๆ
เสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นกระเบื้องดังอยู่ครู่หนึ่ง
ประตูห้องน้ำที่ควรถูกปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกมาทั้งๆ
ที่คนข้างในยังทำธุระไม่เสร็จดีนัก
ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ทั้งที่บนตัวมีเพียงผ้าขนหนูสีเข้มที่ถูกพันที่เอวอย่างหมิ่นเหม่
สีเข้มของผ้าขนหนูขับสีผิวขาวเหลืองอันเป็นมรดกอย่างเดียวของคุณนายสมรศรีได้เป็นอย่างดี
ยิ่งบนตัวมีน้ำเกาะอยู่พอผิวขาวโดนแดดที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างมันเลยเล่นแสงวิบวับ
เรื่องสีผิวนั้นเจ้าของร่างสูงโปร่งได้รับมาจากคนเป็นแม่เพียงอย่างเดียว
นอกนั้นรูปร่างและหน้าตาของเขาคล้ายกับคนเป็นพ่อทุกกระเบียดนิ้ว สมัยตอนเด็กๆ
เขาเคยได้ยินป้าในซอยพูดบอกว่าเพราะเขาเหมือนพ่อเอามากๆ พ่อเลยต้องจากเขาไป
ตอนเด็กเขาเก็บคำพูดนั้นมาคิดและติดอยู่ในใจ
แต่ทว่าพอโตมาหน่อยเขาถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตต่างหากล่ะ
ร่างสูงโปร่งก้าวออกมาจากห้องน้ำทั้งที่สภาพมีผ้าขนหนูพันเอวอย่างหมิ่นเหม่นั้น
พอจะก้าวขายาวอีกข้างออกมาก็จำเป็นต้องวกกลับเข้าไปห้องน้ำใหม่อีกรอบเพื่อกระชับผ้าขนหนูที่รัดเอวให้แน่นขึ้น
สาเหตุก็คงเป็นเพราะบานหน้าต่างที่ถูกคนเป็นแม่เปิดออกกว้างนั่นแหละ
ขืนผ้าพันเอวหลุด บ้านตรงข้ามคงได้ร้องว้าวกันทั้งบ้าน...อะนะ
มือข้างขวาของเขาขยี้ผมที่เปียกลู่ยุ่งเหยิงจากการลงยาสระผมไปก่อนหน้า
ตอนนี้บนหัวของเขาเลยมีฟองขาวฟูฟ่องเต็มหัวไปหมด
ยิ่งตอนที่ยืนอยู่นี่ฟองยาสระผมก็มีที่ไหลลงมากลางแผ่นหลังบ้าง
ไหลลงมาผ่านหน้าอกเรื่อยลงมายังหน้าท้องที่ขึ้นกล้ามตามประสาคนที่ชอบเล่นกีฬาบ้างประปรายและเป็นจำพวกไม่ชอบอยู่นิ่งๆ
มือซ้ายของเขาที่ว่างอยู่
เลยจัดการเช็ดลงบนผ้าขนหนูที่พันเอวอย่างลวกๆ ให้แห้ง ก่อนจะใช้มันดึงลิ้นชักให้เปิดออก
เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากข้างในลิ้นชัก
ไอโฟนที่ฟิล์มหน้าจอร้าวไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนฟิล์มใหม่สักทีแผดเสียงลั่น
บ่งบอกสาเหตุของการถูกคั่นเวลาอาบน้ำของเขาได้อย่างชัดเจน
บนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นตัวเลขทั้งสิบตัว
ไม่ปรากฏชื่อไว้แต่อย่างใด เขาลังเลอยู่ครู่
ก่อนจะตัดสินใจส่งนิ้วเรียวสไลด์หน้าจอ พอจะอ้าปากตอบรับ
เสียงหนึ่งจากปลายสายก็ดังขึ้นทักเขาก่อนอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล สวัสเดคร้าบเพื่อนปายคร้าบ”
เขามีเพื่อนที่ยียวนกวนประสาทแบบนี้อยู่ไม่กี่คนหรอก มันเลยง่ายมากๆ
กับการเดาว่ามันเป็นใคร
“ไอ้อิฐหรอวะ” เขาแน่ใจว่าเป็นมัน
ยิ่งช่วงนี้มันลาไปแข่งรถที่สนามบุรีรัมย์ก็ยิ่งแน่ใจ
แต่ที่ถามออกไปก็เพื่อความชัวร์ ปกติในเครื่องของเขามีเบอร์ไอ้อิฐมันอยู่แล้ว
ก็ถ้านี่เป็นเบอร์มันอีก เขาก็จะได้บันทึกเก็บไว้อีก
“ใช่แล้วครับเพื่อน มึงจำเสียงกูไม่ได้หรือไง”
“จำได้แต่ไม่คุ้นเบอร์ไง”
“จะคุ้นได้ไงก็ของพี่ในทีม”
“ของพี่ในทีม? ”
“ใช่ โทรศัพท์ของพี่ช่างในทีมกู”
“แล้วโทรศัพท์ของมึงไปไหน ยืมคนอื่นเขาทำไม”
“จะไม่ได้ยืมคนอื่นหรอกถ้ากูไม่ทำตกน้ำป๋อมแป๋มไปตั้งแต่วันซ้อม”
“โง่นะอิฐ”
“ยอมให้ด่าอะ โง่จริง เต็มที่เลยครับเพื่อนครับ”
“รู้สึกแปลกๆ ทำไมยอมให้กูด่าง่ายๆ”
“ให้ด่าก็ว่า ไม่ให้ด่าก็ว่าตกลงเพื่อนจะเอาไงครับ”
“ไม่เอาไง แล้วโทรหากูมีไร”
“แหม นึกว่าเพื่อนปายจะไม่ถามเราแล้วเสียอีก”
ไอ้ตรงคำว่าเราของมันนี่ม้วนลิ้นจนน่าเตะ
“อยากให้รู้ไว้ว่ามึงโทรมาคั่นเวลาอาบน้ำของกูอยู่นะ” เขารีบบอกมันไป
แถมมือก็ยังขยี้ผมบนหัวไปพร้อมด้วย ต้องรีบบอกเพราะฟองยาสระผมเริ่มจะไหลเข้าตา
ขืนปล่อยให้มันไหลเข้าเยอะมีตาแดงหนึ่งแมทแน่นอน ไอ้อิฐยิ่งเป็นประเภทพล่ามไปเรื่อยอีก
เดี๋ยวยาว
“อ้าว นี่มึงเอาโทรศัพท์เข้าไปในห้องน้ำด้วยหรอวะ”
“เอาเข้ามาก็เหี้ยละ กูเดินออกจากห้องน้ำมารับเนี่ยสัด ให้ไว้ไอ้เหี้ย มีไร
แสบตา”
“เออๆ เย็นนี้นัดรวมสายกันร้านพี่โต้ง” ไอ้อิฐมันว่า
“สายใคร” เขาถามมันกลับอย่างรวดเร็ว
“ถามมาได้สายใคร สายมึงสิครับเพื่อน สายกูมีที่ไหนขาดกันไปหมดแล้วจ้า”
“สายกูเนี่ยนะอิฐ”
“เออ สายมึง คืองี้ ตอนนี้กูอยู่สนามบิน กูเจอพี่รหัสมึงที่ดอนเมืองอะ
มันกลับมาจากไหนไม่รู้ กูก็กลับวันนี้เลยเจอ
มันกวักมือเรียกกูแล้วบอกเลี้ยงสายแค่นั้นจะถามอะไรมันก็ทำหน้างอใส่ก็เลยเลือกที่จะไม่ถาม
กูตายจ้า ละทีนี้ไอ้พี่ฟ่างมันเลยให้กูโทรบอกมึงด้วย
มึงตกลงนะเพราะกูก็จะไปแจมด้วย มันเป็นเปรี้ยวปาก
อีกอย่างคือเวลาเดิมนะครับเพื่อนครับ”
“หะ” ที่เขาส่งเสียงกึ่งถามเพราะประมวลผลไม่ทัน
“ไม่ต้องหะ ให้เจอตัวนะครับ”
“เดี๋ยวเหี้ยอิฐ เดี๋ยว”
“ไม่เดี๋ยวแล้ว แค่นี้นะครับ ไปล่ะครับ
คุยนานเดี๋ยวหัวนมเพื่อนปายจะหะเรี่ยวเหี่ยวครับ”
“เหี่ยวพ่องมึงสิ!! เดี๋ยวไอ้อิฐเดี๋ยวๆ เหี้ย! ” เขาไม่ทันได้ด่ามันหรอก
เพื่อนสุดที่รักคนเดียวของเขามันก็ตัดสายทิ้งไปแล้ว
ยังไม่ทันได้ตอบตกลงแล้วสำคัญยังไม่ถามรายละเอียดเลยด้วยซ้ำ นิสัยแม่ง เหี้ยจริงๆ
“เลี้ยงสายเนี่ยนะ ฟ่างแม่งนึกครึ้มอะไรของมันวะ” อดไม่ได้ที่จะสงสัย
เรียกได้ว่าเรื่องเลี้ยงสายรหัสของเขานี่น้อยนักหนักหนาจะเกิดขึ้นได้
มีก็เหมือนไม่มี ยิ่งพี่รหัสเขานี่ตัวดีเลย ไม่รู้นึกครึ้มอะไรขึ้นมาอีก
อายุ
วัณโณ สุขัง พลัง เสียงพระคุณเจ้าทำให้ร่างสูงโปร่งที่ถูกปลุกอย่างโหดร้ายขึ้นมาใส่บาตรต้องยกยิ้มกว้าง
อีกอย่างคงเพราะวันนี้เป็นวันสำคัญต่อทั้งเขาและเจ้าของรอยยิ้มกว้างสุขใจที่นั่งยองอยู่ข้างกัน
เขาเลยรู้สึกว่าเช้านี้มันดีมากกว่าเช้าไหนๆ
“คุณนายหยุดยิ้มเถอะ ยิ้มแล้วเส้นมันขึ้นมาเต็มเลย” เนี่ยแหละปากไอ้ปาย
เขาพูดแซวคุณนายสมรศรี
ทว่าคนสวยน่ากอดแก้มน่ามูมูที่อยู่ข้างๆ
กลับไม่ได้หงุดหงิดใส่เขาเหมือนทุกครั้งที่เป็น คุณนายสมรศรีผู้เป็นแม่ของเขาน่ะ
วันนี้ยิ้มกว้างส่งให้เขามากกว่าเดิมเสียอีก ถึงจะโดนแซวเรื่องตีนกาก็เถอะ
ความสุขใจเกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องรอชาติหน้า
เขาคิดว่านี่คงเป็นประโยชน์หนึ่งในหลายประโยชน์ของการทำบุญ
ผลของการได้เป็นผู้ให้มันทำให้สุขใจจนเผลอยิ้มกว้างออกแบบนี้มายังไงล่ะ
ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้นของคนเป็นแม่
เขาก็อดที่จะยิ้มกว้างส่งให้คนเป็นแม่อีก ก่อนจะพนมมือขึ้นเมื่อพระคุณเจ้าเดินบิณฑบาตเป็นกิจของสงฆ์ต่อไป
เมื่อพระคุณเจ้าเดินละไปแล้วเขาก็พยุงคนเป็นแม่ให้ยืนขึ้น
ไม่ลืมที่จะวาดแขนออกกว้างรอให้คุณนายสมรศรีเธอเดินเข้ามาใกล้
ให้เขาได้โอบกอดร่างท้วมไว้ให้แน่นและไม่ลืมที่จะหอมแก้มคุณนายฟอดใหญ่ไปหลายทีด้วย
พอโดนลูกชายสุดที่รักอย่างเขาหอมแก้ม
คุณนายสมรศรีก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนที่จะหอมแก้มเขากลับด้วยเหมือนกัน
“แก้มอ้วนของลูกชายฉันคุณภาพพรีเมี่ยมที่สุด” คุณนายสมรศรีเธอพูดขึ้น
ถึงจะฟังดูไม่ชอบใจนัก
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าลูกชายแก้มอ้วนที่คุณนายเรียกอย่างเขาก็ยิ่งฟองแก้มกลมเป็นหนูแฮมเตอร์เก็บเมล็ดทานตะวันไว้ในแก้มให้คนเป็นแม่ฟัดอีกหลายต่อหลายหน
วันนี้ต้องให้คุณนายเธอหน่อย
อะไรที่ทำให้คุณนายยิ้มออกมาได้เขายอมทำทั้งนั้น
“เก็บของกันลูกชาย” เขาละแขนออก คุณนายถึงได้พูดบอก
เขาทำหน้าทำตาตอนที่ได้ยินคุณนายเรียกเขาว่าลูกชาย
“แม่ไม่ต้องทำนะ ให้ลูกชายทำคนเดียวพอ” เขาว่าเน้นคำว่าลูกชายไปด้วย
คุณนายเลยหลุดยิ้มออกมาอีก
“เอางั้นหรอ” คุณนายได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ
“ครับ” เขาขานรับ
“งั้นแม่ฝากด้วย” คุณนายเธอว่าก่อนจะเดินเข้าบ้าน
“แม่” เขาเรียกคุณนายทั้งที่ปล่อยให้เดินไปได้หลายก้าว
“หือ” คุณนายหยุดเดินก่อนจะหันกลับมาทำเสียงในลำคอถาม
“ปายรักแม่นะ รักพ่อด้วย” เขาเว้นไปเกือบนาทีก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมา
“แม่ก็เหมือนกัน รักทั้งปาย รักทั้งพ่อของปาย”
คุณนายเธอไม่ได้เดินเข้าบ้านไปสักทีก็เป็นเพราะว่าตัวเขาเองที่รั้งคุณนายเธอไว้ด้วยกอดแน่นๆ
หลายต่อหลายครั้ง
ร่างสูงโปร่งใช้เวลาเก็บข้าวของที่ยกออกมาใส่บาตรตรงหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว
ก่อนจะวิ่งเข้าครัวอีกหนเพื่อยกเอาหม้ออาหารคาวและขนมหวานที่สั่งซื้อมาเฉพาะไว้อีกส่วนขึ้นท้ายรถยนต์คันเก่า
รถเฟียตที่เมื่อก่อนนั้นเจ้าของรถคันนี้คือคุณพ่อของเขา
หากแต่ว่าตอนนี้รถยนต์คันนี้ได้กลายเป็นของเขาเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยความที่เขาชอบสะสมโมเดลรถยนต์รุ่นเก่าๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อีกทั้งสาขาวิชาที่เขาเรียนมันเอื้อ
คุณนายเธอเลยยอมยกรถยนต์ของพ่อคันนี้ให้เขาทำอะไรกับมันก็ได้ตามใจชอบ
เขาค่อยๆ ซ่อมมันไปทีละนิดทีละหน่อย
ทำตั้งแต่ตอนเรียนมอ.ปลายจนถึงตอนนี้ที่เขาเรียนมหาลัยปีสองแล้ว
รถยนต์ของพ่อก็เลยกลับมามีชีวิตอีกครั้ง โครงสร้างตัวรถ
เขายังคงไว้เหมือนเดิมแต่พวกอะไหล่หรือชิ้นส่วนเครื่องยนต์ภายเขาเปลี่ยนเป็นของใหม่หมด
มีบ้างที่จำเป็นต้องใช้อะไหล่มือสองเพราะของไม่มีผลิตแล้ว
เขาทั้งปรับเปลี่ยนและเพิ่มทั้งเครื่องปรับอากาศและเครื่องเล่นเพลง
ลงเบาะใหม่และอะไรหลายๆ อย่าง กว่าจะเสร็จเอาออกขับได้ เขาเสียหายไปเยอะพอสมควร
ยิ่งพวกอะไหล่นี่ยิ่งเสียหายไปเยอะ แต่พอมันกลับมามีชีวิตแล่นบนถนนได้อีก
เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มเอามากๆ
“ช่วยดูเด็กๆ กับแม่ที่บ้านอุ้มรักสักหน่อยแล้วท่านค่อยเข้ามหาลัยต่อดีไหม”
เข้ามานั่งในรถคุณนายเธอก็ถามขึ้น
ใช่ว่ามีแค่เขาที่ชอบเรียกแทนแม่ว่าคุณนายคุณสมรศรี
ตัวคุณนายเองก็ชอบเรียกเขาว่าท่านด้วยเหมือนกัน
มันเลยเป็นความเคยชินของเราสองแม่ลูกไปแล้ว
“ต้องดูเวลาก่อนนะแม่” เขาบอก
ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกจากบ้านสองชั้นหลังสีขาวนี้ไปโดยที่เบาะข้างกันมีคุณนายเธอนั่งอยู่
เขาคิดว่าจะถามเหตุผลที่โดนปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้า
ว่านอกจากเหตุผลที่ต้องใส่บาตรทำบุญให้พ่อแล้ว
มันยังเกี่ยวกับการนำอาหารและขนมที่เขายกขึ้นท้ายรถไปก่อนหน้านี้ ไปเลี้ยงเด็กที่บ้านอุ้มรักด้วยหรือเปล่า
หากแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของคุณนายในตอนนี้ เขาว่าเขาได้คำตอบของมันแล้ว
เรื่องบ้านอุ้มรัก
ตั้งแต่ที่คุณนายมีโอกาสไปเจอเด็กๆ อยู่ครั้งหนึ่ง และแวะเวียนไปหาเด็กๆ อยู่บ่อยๆ
จนกระทั่งตอนนี้คุณนายเธอกลายเป็นแขกประจำของบ้านอุ้มรักไปแล้ว
เมื่อมีอะไรชื่อบ้านเด็กบ้านอุ้มรักนี้ก็จะดังขึ้นมาให้เขาได้ยินอยู่เสมอ
อีกอย่างเหมือนคุณนายเธอจะเข้าไปมีบทบาทด้วยเล็กน้อยในเรื่องทุนบางส่วนที่พอช่วยได้
คุณนายเธอเคยบอกให้เขารู้ ซึ่งเขาเองก็ไม่มีปัญหาในสิ่งที่คุณนายเธอทำ
อะไรที่ทำให้คนเป็นแม่มีความสุข เขาก็โอเคทั้งนั้น
พูดถึงบ้านอุ้มรักแล้ว คุณนายเธอดูมีความสุขมากทุกครั้งที่ไปที่นั่น คิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็พลันทำให้เขาอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าคนแก่อยากมีหลานหรือเปล่า พอคิดขึ้นมาได้เขาก็เลยหันไปยิ้มให้คุณนายเธอ พอคุณนายเธอเห็นเขาที่อยู่ๆ ก็หันมายิ้มให้ เธอเลยเลิกคิ้วถามกลายๆ
“แม่อยากเลี้ยงหลานหรือเปล่า” เขาถามออกไป
“หา!” อากัปกิริยาตกอกตกใจของคุณนายสมรศรีทำให้เขาหลุดหัวเราะ
ดูก็รู้ว่าคุณนายสมรศรีคิดตามคำถามของเขาไปในทางไหนและไกลขนาดไหนแล้ว
“เมื่อกี้ปายถามอะไรแม่นะ ขออีกทีได้ไหม” คุณนายให้เขาทวนคำถามอีกรอบ
“ปายถามแม่ว่า แม่อยากได้หลานหรือเปล่า อยากเลี้ยงหลานตัวเล็กๆ ไหม”
“หลานหรอ”
“อื้อหลาน ก็ประมาณว่าลูกของปายน่ะ”
คุณนายสมรศรีฟังแล้วก็เงียบไปครู่ถึงได้ถามขึ้น
“ท่านถามแม่แบบนี้ไม่ใช่ไปทำใครท้องมาหรอกนะ” คุณนายถามสีหน้าจริงจัง
“ปายไปทำใครท้องมาหรอ” คุณนายสมรศรีแสร้งเอามือทาบอกถามอีก
พอเห็นความเล่นใหญ่ของคนเป็นแม่เขาก็หลุดหัวเราะลั่น
“ยังไม่ท้องครับแล้วก็ยังไม่ได้ไปทำใครท้องด้วย ปายถามเผื่ออนาคตไงแม่
แบบว่าปายเรียนจบ ทำงาน แต่งเมีย มีลูกอะไรเแบบนี้ไง” เขาอธิบาย
“พูดแบบนี้ แสดงว่ามีแล้วหรอว่าที่เมียน่ะ”
คุณนายถามเขาพลางทำหน้าตาเหลือเชื่อ
“สมมติไง ก็ถ้าปายมีเมียแล้วก็ต้องมีลูกไหมล่ะ แบบว่าแม่อยากเลี้ยงหลานไหม
อยากอุ้มหลานเร็วๆ ไหม” เขาถามคนเป็นแม่ เพราะเขาเองก็ไม่ได้วาดฝันภาพครอบครัวของตัวเองในอนาคตไว้เสียด้วย
ที่มีอยู่ในหัวก็แค่ภาพของเขาที่จะอยู่กับแม่ไปจนแก่
“หาให้ได้ก่อนลูกชาย หาเมียให้ได้แล้วเรามาค่อยคุยกัน”
คุณนายสมรศรีเธอพูดพลางยิ้มเยาะเขา
พอมองหน้าคนเป็นแม่เห็นรอยยิ้มมุมปากแบบนี้เขาก็นึกขึ้นมาได้เลยว่าตอนนี้คุณนายสมรศรีคงดูถูกไอ้ปายคนนี้อยู่อย่างแน่นอน
“รอยยิ้มแม่แบบว่าดูถูกปายมากเลย” เขาว่า
“หรือว่ามันไม่จริงล่ะ นอกจากพวกรถแล้วก็ของสะสมของเรา
แม่ก็ไม่เห็นเจ้าลูกชายคนนี้ของแม่จะสนใจอะไรเป็นพิเศษเลยนี่ครับ
เรื่องผู้หญิงนี่ปัดตกอันดับแรกเลย”
“โอ้โหคุณนายสมรศรีครับ ดูถูกกันมากๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ปายพามาไหว้ที่บ้านเลยดีไหมนะ”
“ให้รีบพามาเลยคุณลูกชาย” เป็นอันว่าเขาถูกท้าเข้าให้แล้ว
“เตรียมใจรอได้เลยคุณสะมะระสะรี”
เขารับคำท้าเสร็จแล้วก็อดไม่ได้ที่จะละมือจากพวงมาลัยมาบีบแก้มยุ้ยของคนเป็นแม่
คุณนายน่ะชอบว่าแต่แก้มเขาเป็นก้อน แก้มคุณนายสมรศรีเองก็ใช่ย่อย
ทั้งเป็นก้อนทั้งนิ่มกว่าแก้มเขาตั้งเยอะ
“จ้า จัดมาเลยค่ะคุณลูกชาย แม่ล่ะอยากเห็นหน้าแม่หนูที่โชคร้ายคนนั้นจริงๆ
” คุณนายสมรศรีตอบกลับเขามาแบบนั้น
“เตรียมใจรอได้เล้ย”
ขึ้นเสียงสูงช่วงท้ายแล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่องอื่นโดยที่ไม่ทันได้มองหน้าคนเป็นแม่เลยสักนิด
คุณนายสมรศรีที่หัวเราะในลำคอกับคำพูดของเจ้าลูกชายไปก่อนหน้า
ในตอนนี้เธอเลือกที่จะเงียบและขบคิดกับคำพูดของเจ้าลูกชายไปพลาง
ถ้าถามว่าในใจของคุณนายสมรศรีในตอนที่พูดประโยคยาวเมื่อครู่นั้น เธอคิดยังไง
เธอแล้วแต่เจ้าลูกชายอยู่แล้ว
แต่ทว่าเจ้าลูกชายที่โตเป็นหนุ่มก็ยังไม่ได้มีท่าทีใดๆ กับเรื่องความรัก
ปายไม่เคยพูดว่ารักหรือแอบชอบใครให้เธอฟังเลยสักครั้ง
เธอเลยคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะคุยเรื่องสำคัญกับลูกชาย
รถเฟียตของเขาถูกขับมาจอดบริเวณลานจอดรถใกล้กันกับป้ายสถานที่ที่อ่านได้ชัดเจนว่าสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนบ้านอุ้มรัก
ตามปกติแล้วถ้าคุณนายสมรศรีมาที่บ้านอุ้มรัก เด็กตัวเล็กตัวน้อยหลายๆ
คนจะต้องวิ่งกรูเข้ามากอดแม่ของเขาเสมอ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงแจ้วๆ
แย่งกันถามคุณแม่หมอนอย่างนั้น คุณแม่หมอนอย่างนี้
วันนี้ก็เช่นกัน
เด็กๆ มากมายวิ่งกรูกันเข้าใส่คนเป็นแม่ของเขา เขามองภาพเหล่านี้จนชินตา
ภาพเหล่านี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของที่นี่
หากแต่ที่ไม่ปกติก็เห็นจะเป็นตัวเขากับเด็กน้อยเหล่านี้นี่แหละ
ทุกครั้งที่เขามาบ้านอุ้มรัก
เด็กทุกคนไม่มีใครเลยสักคนที่กล้าวิ่งเข้ามากอดเขาเหมือนอย่างที่วิ่งกรูเข้ามากอดคุณนายสมรศรี
สาเหตุนั้นมันเป็นเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้คำตอบ
เขายกของลงจากรถไปไว้ที่โรงอาหารของบ้านอุ้มรักโดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยด้วย
ทว่าในจังหวะที่เขาเดินกลับไปที่รถอีกรอบ เขาก็เดินผ่านเจ้าหญิงตัวน้อย
ปายย่อตัวลงให้ทั้งเขาและเจ้าหญิงตัวน้อยอยู่ในระดับเดียวกัน
เขาส่งยิ้มกว้างให้เธอ
อยากจะชวนคุยสักนิดแต่ทว่าเจ้าหญิงน้อยกลับไม่ตอบรับทั้งรอยยิ้มและคำพูดของเขา
ซ้ำยังรีบวิ่งไปอีกทางให้เขาปวดหนึบที่หัวใจเล่นอีกตามเคย
“ปายไม่เข้าใจ ทำไมเด็กๆ ดูไม่ชอบปายเลย”
เขาถามขึ้นทันทีในตอนที่คุณนายเธอเดินเข้ามาใกล้
“ไม่ใช่ไม่ชอบ เด็กๆ แค่ไม่ชิน ก็พี่ปายไม่ได้มาเล่นด้วยบ่อยๆ
เหมือนคุณยายหมอนนี่” คุณนายเธอว่า
ตอนนี้เขาเหมือนกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยให้แม่ลูบหัว
“อย่างนั้นหรอ งั้นปายจะหาเวลามากับแม่บ่อยๆ เด็กๆ จะได้ชิน”
“ถือว่าเป็นความคิดที่ดีนะ”
“หึ เด็กๆ เจอพี่ปายแน่” เขาหมายมั่นปั้นมือแล้วว่าต่อจากนี้เจ้าพวกจิ๋วนี่จะต้องหลงรักพี่ปายคนนี้
“แล้วท่านจะไปมหาลัยต่อเลยไหมหรือจะรอเวลาอีกหน่อย” คุณนายถามเขา
วันนี้เขามีเรียนทั้งวัน เช้าเริ่มเรียนแปดโมงเสียด้วย
พอก้มมองนาฬิกาก็ใกล้จะเก้าโมงแล้วด้วย
“ปายไปเลยก็ได้ครับเดี๋ยวสาย เออแม่เย็นนี้ปายอาจกลับดึกหน่อยนะ
เลี้ยงสายรหัสน่ะ แม่เสร็จจากตรงนี้โทรหาพี่พรนะครับ พี่เขาจะมารับกลับ”
พอชี้แจงเสร็จ
เขาก็ไหว้ลาคนเป็นแม่ ทั้งยังขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่ด้วย
ก่อนจะต้องวิ่งหนีฝ่ามือขึ้นรถ
ขับเฟียตของเขามุ่งหน้าสู่คณะวิศวกรรมศาสตร์เหมือนอย่างที่ทำทุกวัน
ร่างสูงโปร่งเลือกที่จะเลี่ยงถนนสายหลัก เส้นที่ขับจากบ้านอุ้มรักเข้ามหาวิทยาลัยอย่างที่เคยทำเป็นประจำ วันนี้เขาหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนมาใช้ถนนอีกเส้นหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ยินไอ้อิฐเพื่อนรักของเขาบอกว่าถนนเส้นนี้ใช้เวลาขับจากบ้านอุ้มรักถึงมหาลัยเร็วกว่าและรถไม่ติดมาก
เมื่อตัดสินใจหมุนพวงมาลัยรถยนต์เลี่ยงไปเส้นทางที่ว่าดังกล่าว
ก็เป็นอย่างที่เพื่อนเขาบอกแต่ถึงอย่างนั้นก็มีติดบ้างตรงสี่แยกเล็กๆ
และคงเพราะเมื่อตอนเช้า เขาทำบุญมาหมาดๆ ล่ะมั้ง
ก็เลยอารมณ์ดีไม่ได้นึกพาลไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่นี่แต่อย่างไร
การรอตัวเลขไต่ระดับลดลงมาทีละน้อยไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเท่าไหร่นัก
มือของเขาที่จับพวงมาลัยรถอยู่ ละออกมาบีบแรงๆ เข้าที่ท้ายทอยตัวเองอยู่หลายที
ในช่วงนี้ที่เขาฝันติดต่อกันวันต่อวัน
มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองหลับลึกแต่ทว่าร่างกายกลับรู้สึกเพลียและล้าเอามากๆ
เมื่อบีบนวดท้ายทอยจนรู้สึกดีแล้ว เขาก็เอามือมาป้องปากตอนที่หาวหวอดออกมา
ภายในรถของเขาเงียบมีเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังอยู่
รอบข้างรถยนต์ของเขา มีรถยนต์คันอื่นๆ ที่จอดรอไฟแดงเป็นเพื่อนกัน เหมือนทุกๆ
ครั้งที่สักพักจะมีมอเตอร์ไซค์สักคันเบียดขึ้นมาอยู่ด้านหน้ารถของเขาและมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด
ทุกอย่างเลย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ล้วนเกิดขึ้นไปอย่างปกติ มันเป็นภาพจำแบบซ้ำๆ ในทุกๆ วัน
มันควรเป็นแบบนั้นจนกระทั่งดูมอเตอร์ไซค์คาติคันนึงเบียดขึ้นมาหยุดอยู่ใกล้ๆ
กับรถของเขา ถ้าใกล้อีกนิด เฟียตของเขาคงมีรอยถลอก
วินาทีนั้นราวกับช่วงเวลาที่ค่อยเป็นค่อยไปก่อนหน้ามันช้าลงอีกจนหงุดหงิด
เขาเคาะนิ้วลงที่พวงมาลัยรถก็แล้ว ขยับตัวและก็หมุนคอก็แล้ว ไฟสีแดงก็ยังไม่หายไป
สุดท้ายความสนใจตรงหน้าก็เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นด้านข้างแทน
เขายอมรับว่าช่วงนี้เขากำลังสนใจมอเตอร์ไซค์คันใหญ่นี้พอสมควร
พอมีมาให้เห็นใกล้ๆ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะจ้อง
เขากวาดสายตามองด้านข้างของล้อหลังขนาดใหญ่ตัวเครื่องยนต์ของมัน
ทั้งยังไล่สายตาผ่านตัวถังเรื่อยไปถึงล้อหน้าและก็วกกลับมามองคนที่กำลังคร่อมดูคาติคันนี้อยู่
แจ็คเก็ตหนังสีดำถูกสวมทับอยู่บนตัวของอีกฝ่าย
ส่วนเบื้องล่างเป็นยีนขาสั้นที่เขามองดูแล้วคิดว่ามันคงเป็นยีนรุ่นขายาวแต่เจ้าของคงซื้อมาตัดเป็นขาสั้น
ช่วงขาที่โผล่พ้นยีนขาสั้นนั้นเรียวยาว
ขนหน้าแข้งนะไม่มีเส้นขนให้เห็นสักเส้น
ดูจากลักษณะภายนอกเขาว่าเจ้าของดูคาติเป็นผู้หญิง
แล้วเป็นผู้หญิงที่ขาสวยเหี้ยๆ
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายใส่หมวกกันน็อคสีเขียวคลุมปิดทั้งหัว
อีกทั้งกระจกตรงหมวกกันน็อคนั่นก็เป็นสีดำอีก
เขาเลยอดรู้เลยว่าเจ้าของดูคาติคันนี้มีหน้าตาแบบไหน
จากที่เขาเป็นฝ่ายแอบมองอยู่ภายในรถยนต์ของตัวเอง
อยู่ๆ เจ้าของดูคาติที่สวมหมวกกันน็อคอยู่นั้นก็หันหน้ามาทางเขา
และเพราะกระจกรถของเขาไม่ได้ติดฟิล์มทับแต่อย่างใด
เจ้าของดูคาติก็เลยรู้ว่ากำลังถูกเขามองอยู่
เหมือนทำผิดแล้วโดนจับได้ก็เลยทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ
อยู่อย่างนั้น
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มือที่สวมถุงมืออยู่นั่นตบกระจกหมวกกันน็อคขึ้นและตบลงอย่างรวดเร็วก่อนจะเร่งเครื่องและขับดูคาติออกไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี
ชั่ววินาทีนั้นไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า
แต่เขารู้สึกว่าเขาเคยเห็นดวงตาทั้งสองข้างของอีกฝ่าย แค่ชั่ววินาทีที่ได้เห็น
มันก็ทำให้เขาก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
นัยน์ตาสีดำแบบนี้เขาเคยเห็นมาก่อนจากที่ไหนสักที่
ติดแค่ว่าเขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนแค่นั้น
และมันก็ยิ่งน่าแปลกใจอีกเมื่อเขาออกรถและขับออกมา
พลันนึกถึงนัยน์ตาสีดำนั้นอีก เขากลับรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรงขึ้น
แรงจนเผลอเอามือทาบลงที่หน้าอกตัวเองอย่างเสียไม่ได้
หัวใจในอกของเขาตอนนี้มันเต้นแรงมาก
“เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะปาย”
เขาเอ่ยถามตัวเองในตอนที่จังหวะการเต้นของหัวใจผ่อนลงจนกลับมาเป็นปกติแล้ว
ครั้นพอนึกถึงดูคาติคันนั้นขึ้นมาอีก
ภาพนัยน์ตาสีดำคู่นั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัวพร้อมๆ
กันกับตัวเลขที่อยู่บนป้ายทะเบียนดูคาติคันนั้น
ยังไงก็เถอะ
“ป้ายทะเบียนเลขสวยมาก”
เขาพูดเปรยออกมาพร้อมกับจดจำตัวเลขนั้นไว้ในสมองอย่างดี
และถ้าหากเขาจะมีโชคอีกครั้ง
เขาก็ยังอยากเห็นดูคาติคันนั้นและเจอเจ้าของของมัน
ถึงขั้นอยากรู้จักเจ้าของนัยน์ตาสีดำคู่นั้นด้วย
หากแต่ตัวเขาเองคงไม่รู้หรอกว่าการพบเจอกันในครั้งที่สองที่เขาหวังนั้น
มันกำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...
#ดั่งปิยปาณ
ความคิดเห็น