ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดั่งปิยปาณ (Mpreg)

    ลำดับตอนที่ #1 : ดั่งปิยปาณ : Intro

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 65


    Intro

     

     

         ในห้วงของความฝัน…


         เจ้าของร่างสูงโปร่งนี้ ฝันว่ากำลังเดินหลงเข้าไปอยู่ที่ไหนสักที่


          หนึ่งความรู้สึกแรกที่แทรกเข้ามาภายในหัวของเขาอย่างรวดเร็วนั้น บอกว่าสถานที่ที่เขากำลังเดินวนไปมาอยู่นี้คือบ้านสวนของใครสักคน ซึ่งใครซักคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่ก็ไม่รู้จักเลยสักนิด


         บริเวณโดยรอบของสถานที่นี้ ที่เขากวาดสายตามองพร้อมทั้งตลอดทางเดินเท้าที่เขาก้าวเท้าเดินเข้าใกล้เรื่อยๆ ล้วนให้ความรู้สึกว่าที่แห่งนี้เหมือนกับบ้านสวนของคุณตา บ้านสวนที่เขาเมื่อในตอนที่เป็นเด็กต้องกลับไปอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกๆ ปี


         มันเป็นพื้นที่บ้านสวนที่มีตัวบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงตั้งเด่นอยู่ตรงกลางของที่ดิน อีกทั้งบริเวณโดยรอบสิบกว่าไร่ถูกโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นและไม้ผลมากมายชนิดที่ถูกปลูกตามความชอบของเจ้าของบ้าน


         ร่างสูงโปร่งจำได้แม่นว่าตัวเขาในตอนนั้น เมื่อกินข้าวเช้ากับคุณตาเสร็จจะรีบวิ่งลงบันไดไม้ เพื่อไปเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้ๆ


         เขาจำได้ดีว่ามันสนุกแค่ไหนตอนที่ได้ถือปืนที่ทำจากก้านกล้วย แล้วสวมบทบาทเป็นนักสืบที่ไล่ล่าหาตัวคนร้ายที่แอบซุ่มอยู่ทั่วสวนของคุณตา รวมถึงเล่นเก็บลูกหินไปยิงใส่กระป๋องนมตราหมีที่เขาชอบ หรือไม่ก็เล่นเป็นลิงจ๋อปีนขึ้นไปเก็บลูกมะม่วงให้คุณตา


         สิ่งเหล่านั้นที่เขาพลันนึกถึง มันเป็นเพียงแค่ความทรงจำในช่วงเวลาที่คุณตาของเขายังมีชีวิตอยู่ ทว่าในตอนนี้คุณตาได้จากเขาไปนานแล้ว เรื่องราวมันผ่านมานานเป็นเวลาสิบกว่าปี


         ระยะเวลามันจบลงที่ที่ดินบ้านสวนแปลงนั้นถูกขายไปด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ หลงเหลือไว้เป็นเพียงแค่ความทรงจำในวัยเด็กที่นึกขึ้นที่ไรต้องได้หลุดยิ้ม


         มันไม่น่าแปลกเลยที่ในห้วงของความฝัน จะทำให้เขาหวนคิดถึงบ้านสวนของคุณตาขึ้นมาได้ อาจเพราะความคล้ายคลึงของบรรยากาศในวันเก่าและสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา


         บ้านไม้สักทั้งหลังที่ยกใต้ถุนสูงตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า คือสิ่งที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นในห้วงของความฝันนี้และห้วงของความฝันที่ผ่านๆ มา แค่ได้เห็นก็ราวกับว่าบ้านไม้สักมันมีปากร้องเรียกให้เขาขยับปลายเท้าเข้าไปหา


         ความรู้สึกลังเลที่จะหยุดยืนดูเฉยๆ ให้เวลาผ่านเลยไปหรือจะเลือกขยับปลายเท้าเดินเข้าไปหา เกิดขึ้นภายในใจทันที


         เจ้าของร่างสูงโปร่งไม่เคยเข้าใจในความฝันที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองเลยสักครั้ง ที่เขาหลับตานอนบนเตียงทุกคืนแล้วดันสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้วงของความฝันและยืนอยู่ในสถานที่นี้


         มันเป็นเรื่องราวที่เหตุการณ์หลายๆ อย่างมันไม่ต่อเนื่อง ขาดเป็นห้วงทั้งยังสลับไปมา ดำเนินตัดสลับไปมาจนท้ายที่สุดเรื่องราวมักจะดำเนินมาถึงจุดที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่บนเตียงหลังเดิม


         และแน่นอนหลังจากที่เขาหลุดจากภวังค์ความฝันนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่ทำให้เขาหงุดหงิดจนถึงขั้นหัวเสียได้ทั้งวัน


         “แม่งเอ้ย!” ช่วยไม่ได้ที่ท้ายที่สุดความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เขาต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย เขาในตอนนี้ไม่มีความไม่เข้าใจในอะไรเลยสักอย่าง


         บ้านไม้สักที่ตั้งเด่นตรงหน้ามันพยายามที่จะเชื้อเชิญเขาให้ทำมากกว่าแค่ยืนมอง ถ้าในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เขาจะทำแค่ยืนมองมันอยู่อย่างนี้และรอเวลาให้ตื่นจากฝันแล้วจบไป แต่ทว่าในครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมแล้ว!


         “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ขยับริมฝีปากพูดออกมาเสร็จ กำลังใจมันก็ฝุดขึ้นมาจนเต็มเปี่ยม


         ปลายเท้าขยับยกขึ้นเริ่มต้นเพียงเท่านั้นสองขายาวก็ก้าวตามทางเดินหญ้าเข้าไปใกล้กับต้นโมกพุ่มเล็กๆ ที่ถูกปลูกชิดทางเดินด้านขวามือ ยืนต้นไล่เลียงยาวจนถึงเชิงบันไดไม้


         แค่เพียงได้เห็นก็ชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดใจเพราะต้นโมกที่มีแค่ใบสีเขียวมากมายถูกตัดแต่งกิ่งก้านเป็นทรงเหลี่ยมสวย มันถูกตัดแต่งใหม่เอี่ยมราวกลับถูกจัดเตรียมเพื่อรอต้อนรับแขกสักคนของบ้านไม้ได้ชื่นชมเมื่อเดินผ่าน


         ซึ่งแขกที่บ้านไม้สักหลังนี้เตรียมจะต้อนรับ เป็นใครเขาไม่รู้ แต่ที่มั่นใจเต็มร้อยเลยว่าแขกที่ว่านั่นคงไม่ใช่เขาแน่ๆ หน้าตาเมคอินไทยแลนด์ขนาดนี้กูไม่ใช่แขกแล้วหนึ่ง


         อาศัยความยาวของช่วงขา ร่างสูงโปร่งเดินไม่ถึงนาทีก็มาหยุดอยู่ตรงเชิงบันได ทว่าในวินาทีที่กำลังจะก้าวเท้าเหยียบลูกบันไดขั้นแรกเพื่อขึ้นไปดูอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ข้างบนบ้านไม้สักนี้ที่เชื้อเชิญกัน


         ในจังหวะที่จะยกเท้าขึ้น คำพูดของคนเป็นแม่ที่มักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาไปไหนมาไหนก็ดังก้องขึ้นมาจนทำให้ต้องชะงักเท้าขวาข้างนั้นในทันที


         “แม่ไม่ได้อะไรกับดวงนะท่าน แต่แบบว่าขวาร้ายซ้ายจะดีอะ เชื่อแม่” แค่เขาคิดถึงรูปประโยคดังกล่าว


         ใบหน้าและเสียงของเจ้าของคำพูดนั้นก็พลันแวบเข้ามาในหัวให้ต้องหลุดขำ ไม่ว่าจะที่ไหนๆ เวลาใดๆ คุณนายสมรศรีเธอก็ยังคงเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลกับชีวิตและจิตใจของตัวเขามากเสียเหลือเกิน


         มากถึงขั้นตอนนี้ ตอนที่เขากำลังฝันอยู่ คุณนายสมรศรีเธอยังส่งหน้าที่น่ามูมูแก้มกับเสียงที่ได้ยินแล้วต้องหลุดขำตามเข้ามาได้


         หลุดขำให้กับคำพูดของคนเป็นแม่เสร็จสรรพ เขาก็ก้าวเท้าซ้ายเหยียบลงบนลูกบันไดขั้นแรกและค่อยๆ เดินขึ้นมาจนถึงบันไดสุดท้าย สิ่งที่ตามองเห็นอยู่ตรงหน้าของเขาคือประตูไม้สักบานใหญ่


         ประตูไม้สักดังกล่าวเป็นเพียงประตูไม้สักเรียบๆ บานเดียว ไม่ได้แกะเนื้อไม้เป็นลวดลายแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดตื่นตาไม่ได้ เพราะบานประตูไม้สักนี้ เนื้อไม้ไม่ได้มีรอยต่อเลยสักนิด


         อดคิดไม่ได้ว่าต้นสักที่นำมาทำจะมีขนาดลำต้นใหญ่ขนาดไหน ไม่ใช่แค่คุณตาหรอกที่ชื่นชอบไม้ผล ตัวเขาเองที่เป็นหลานก็พลอยชื่นชอบไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ๆ ไม่ต่างกัน


         ชื่นชนบานประตูไม้ขนาดใหญ่จนพอใจ เขาก็ไม่รอช้าเอื้อมมือไปผลักบานประตูไม้สักให้เปิดออก


         ทว่าตอนที่ค่อยๆ เปิดออก ได้เกิดเสียงที่ไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ตามมา ยิ่งบวกกับบริเวณโดยรอบที่เงียบเกินไปแบบนี้ เขาจึงรีบเปิดมันออกให้กว้างที่สุดและเร็วที่สุด พอเปิดออกได้กว้างที่สุดแล้ว


         ชั่ววินาทีหนึ่ง เขากลับรู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นอยู่ๆ ก็ว่างเปล่าหรืออีกนัยนึงคืออยู่ๆ เขาก็ได้หลงลืมอะไรไปบางอย่าง เป็นบางอย่างที่ดันโชคร้ายไปขั้นกว่า เพราะตัวเขาเองก็นึกไม่ออกว่าบางอย่างนั่นคืออะไรกันแน่


         ยืนงงตรงชานบ้านของจริง


         ทำไมเขาถึงฝันเห็นบ้านไม้หลังนี้


         มีเหตุผลอะไรที่ทำให้บ้านไม้หลังนี้เชื้อเชิญให้เขาขึ้นมา


         แล้วต้องการให้เขาขึ้นมายืนงงอยู่ข้างบนนี้ทำไม


         แท้ที่จริงแล้วบ้านไม้หลังนี้ต้องการอะไรจากเขา


         และที่สำคัญทำไมเขาถึงฝันบ้าๆ แบบนี้ไม่หายสักที


         ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เขายากจะได้คำตอบ พอจะตั้งสติไล่เรียงคิดหาคำตอบให้ตนเอง แต่ทว่าก็ดูเหมือนว่ารอยหยักในสมองทั้งสองข้างสำหรับคิดเรื่องนี้นั้นมันมีน้อยนิดจนเกินไป น้อยในซับเซตของน้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน ถ้าเขาเป็นไอ้เด็ก(ไม่จริง)ที่ใส่แว่นและมีนาฬิกายิงเข็มยาสลบได้นะเว้ย ก็คงดี ดีมากๆ แน่ แต่ทว่าเขามันไม่ใช่ไง


         “แม่ง!” จนแล้วจนรอดก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสียอีกจนได้


         “แล้วตอนนี้มันเวลาเท่าไหร่แล้ววะ” เพราะในห้วงของความฝันนี้ เขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นช่วงเวลาตอนกลางวันหรือกลางคืนกันแน่ ทว่าในตอนที่กำลังที่จะก้มลงดูเวลาจากนาฬิกาบนข้อมือ ก็พลันต้องหลุดสบถอีกหนเพราะที่ข้อมือของเขานั้นว่างเปล่า


         นาฬิกาข้อมือที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากคุณนายสมรศรีเมื่อปีที่แล้ว ในตอนนี้นั้นมันไม่ได้ถูกสวมอยู่บนข้อมือของเขาอย่างที่เคยเป็น


         “ดี๊ดี” กัดฟันพูดแล้วก็ต้องต้องถอนหายใจตามออกมาเฮือกใหญ่


         เรียกว่าเป็นเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นทำลายความเงียบบนบ้านไม้สักหลังนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และดูเหมือนว่ามันจะทำลายความเงียบได้อย่างยอดเยี่ยมมากเกินไป มากเกินขนาดที่มีเสียงถอนหายใจสะท้อนกลับมาให้ได้ยินเป็นระลอกๆ


         เอาล่ะให้เป็นเสียงถอนหายใจนี่นะ ของคนอื่นไม่เอานะโว้ย สมองคิดอีกอย่างแต่ปากมันก็ไปอีกอย่าง


         “ไม่หลอนหรอกนะเว้ย บอกไว้ก่อนเลยว่ะ” เพราะมันเงียบเกินเลยต้องโพล่งคำพูดพรรค์นี้ออกมา และต้องขอบคุณความเคยชินในวัยเด็กกับบ้านไม้ที่มีลักษณะและบริเวณโดยรอบเหมือนบ้านสวนคุณตาของเขาแบบนี้


         เขาถึงไม่ได้กลัวอะไรมากมายน่ะนะ พอจบเรื่องนาฬิกาข้อมือ เขาก็อดที่จะไล่สำรวจร่างกายตัวเองขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้


         “ก็ไม่ได้แย่...น่ะนะ” ที่ที่อยู่บนตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อย่างพูดไว้ไว้สักเท่าไหร่


         ร่างกายท่อนบนของเขาสวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง สภาพทั้งย้วยและเปื่อยยุ่ยพร้อมทิ้ง แต่เขาไม่เคยสักนิดที่คิดจะทิ้งมันไป ก็ไม่ทำไมหรอกเพราะตัวนี้ใส่นอนแล้วมันสบายตัวมากยังไงล่ะ


         เสื้อยืดตัวนี้แปะลายสกรีนเจ้าตัวการ์ตูนประหลาดสีเขียวตัวอ้วนๆ กลมๆ แถมมีลูกกระตาลูกเดียวที่ตัวสกรีนยังติดแน่นไม่ยอมหลุดแปะอยู่กลางอก ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมองดูให้รู้ชัดเจนว่าเป็นเจ้าไมค์ วาซอว์สกี้เพื่อนรัก ที่ยิ้มโชว์เหล็กดัดเด่นหลา


         และร่างกายท่อนล่างเป็นกางเกงนอนลายทางขายาวสภาพปกติดีเพราะคุณนายเพิ่งซื้อมาให้ใหม่ ส่วนรองเท้าก็เป็นแตะคีบที่มีรอยฟันน้องชายร่วมชายคาผู้มีหน้าที่ไหม้แดดอยู่ประปราย


         "เฮ้ออออ" ยิ่งเห็นสภาพตัวเอง ร่างสูงโปร่งยิ่งเซ็งไปใหญ่ จะไม่อะไรเลยถ้าวันนี้ลมที่พัดมาต้องผิวไม่ทำให้รู้สึกหนาวจนต้องสอดแขนกอดตัวเองแน่น


         หลายๆ ครั้งความฝันของเขาจะดำเนินมาถึงจุดที่ต้องยืนเคว้งอยู่บนพื้นทางเดินต้นโมกข้างล่าง แล้วแหงนมองบ้านไม้สักหลังนี้อยู่นานจนกว่าที่จะสะดุ้งตื่น


         แต่ทว่าครั้งนี้เรื่องราวในห้วงของความฝันในครั้งนี้ มันกลับต่างออกไป แตกต่างเป็นอย่างมากที่เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดที่เขาได้ขึ้นมากอดตัวเองสู้ความหนาวแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนหมาขึ้นเรืออยู่ที่ชานบ้าน


         ถึงแม้ว่าความฝันของเขาในครั้งนี้ มันจะต่างแต่ทว่าความรู้สึกของเขายังคงเหมือนเดิม คือเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้คำตอบ เป็นอยู่อย่างนี้มานานหลายเดือน


         โดยมันเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในวันเกิดของเขาในปีที่แล้ว แล้วก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อยๆ เดือนละครั้งคือจำนวนความถี่ที่บ่งบอกว่าน้อย ส่วนจำนวนความถี่ที่บ่งบอกว่ามากคือเดือนละสี่ครั้ง


         และที่มากเกินไปกว่านั้นคือในเดือนนี้มันเกิดถี่มาก เรียกว่าแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำ จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะฝันในเรื่องเดิมๆ แบบนี้ไปจนถึงวันไหน เดือนไหนหรือปีไหนกันแน่


         "สักวันฉันจะต้องรู้คำตอบให้ได้" ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดบอกสิ่งใดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากที่จะพูดออกมา


         และเขาก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่า เขาจะต้องได้รู้ มันอาจจะเป็นฝันในครั้งหน้าหรือไม่ก็ครั้งหน้าๆ ต้องมีสักครั้งที่เขาอาจจะได้คำตอบที่ค้างคาใจนี้


         "เช้าสักทีเถอะ" ในวินาทีต่อจากนี้ไป เขาคงทำได้เพียงกอดตัวเองแล้วรอเวลาอีกหน่อย รอเวลาในความเป็นจริงที่คงใกล้จะเช้า


         และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็จะค้นพบว่าตัวของเขาเองนั้น ได้นอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ คลุมทับอุ่นๆ ด้วยผ้าห่มที่มีกลิ่นแดดปนกับน้ำยาปรับผ้านุ่มฝีมือของคุณนายสมรศรี ในห้องนอนบนชั้นสองของบ้านสองชั้นหลังสีขาวเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น


         ที่เพียงแค่เขาลืมตาตื่นขึ้นและเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างออก ก็จะได้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ใช่โลกแห่งความฝัน เขาคิดแบบนั้นตลอด


         แต่ทว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวของเขานั้น มันไม่ใช่ไง


         ตั้งแต่ที่ตัดสินใจก้าวเท้าซ้ายเหยียบบันไดขึ้นไป มันก็เหมือนกับยอมรับการเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะเป็นเหมือนดั่งความฝันในชีวิตของเขาไปตลอดกาล.

     

     

     

    -ด้วยรักและคิดถึง-

    #ดั่งปิยปาณ

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×