คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ดั่งปิยปาณ : Intro
Intro
ในห้วงของความฝัน…
เจ้าของร่างสูงโปร่งนี้
ฝันว่ากำลังเดินหลงเข้าไปอยู่ที่ไหนสักที่
หนึ่งความรู้สึกแรกที่แทรกเข้ามาภายในหัวของเขาอย่างรวดเร็วนั้น
บอกว่าสถานที่ที่เขากำลังเดินวนไปมาอยู่นี้คือบ้านสวนของใครสักคน
ซึ่งใครซักคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่ก็ไม่รู้จักเลยสักนิด
บริเวณโดยรอบของสถานที่นี้ ที่เขากวาดสายตามองพร้อมทั้งตลอดทางเดินเท้าที่เขาก้าวเท้าเดินเข้าใกล้เรื่อยๆ
ล้วนให้ความรู้สึกว่าที่แห่งนี้เหมือนกับบ้านสวนของคุณตา
บ้านสวนที่เขาเมื่อในตอนที่เป็นเด็กต้องกลับไปอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกๆ ปี
มันเป็นพื้นที่บ้านสวนที่มีตัวบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงตั้งเด่นอยู่ตรงกลางของที่ดิน
อีกทั้งบริเวณโดยรอบสิบกว่าไร่ถูกโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นและไม้ผลมากมายชนิดที่ถูกปลูกตามความชอบของเจ้าของบ้าน
ร่างสูงโปร่งจำได้แม่นว่าตัวเขาในตอนนั้น
เมื่อกินข้าวเช้ากับคุณตาเสร็จจะรีบวิ่งลงบันไดไม้
เพื่อไปเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้ๆ
เขาจำได้ดีว่ามันสนุกแค่ไหนตอนที่ได้ถือปืนที่ทำจากก้านกล้วย
แล้วสวมบทบาทเป็นนักสืบที่ไล่ล่าหาตัวคนร้ายที่แอบซุ่มอยู่ทั่วสวนของคุณตา
รวมถึงเล่นเก็บลูกหินไปยิงใส่กระป๋องนมตราหมีที่เขาชอบ หรือไม่ก็เล่นเป็นลิงจ๋อปีนขึ้นไปเก็บลูกมะม่วงให้คุณตา
สิ่งเหล่านั้นที่เขาพลันนึกถึง
มันเป็นเพียงแค่ความทรงจำในช่วงเวลาที่คุณตาของเขายังมีชีวิตอยู่
ทว่าในตอนนี้คุณตาได้จากเขาไปนานแล้ว เรื่องราวมันผ่านมานานเป็นเวลาสิบกว่าปี
ระยะเวลามันจบลงที่ที่ดินบ้านสวนแปลงนั้นถูกขายไปด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่
หลงเหลือไว้เป็นเพียงแค่ความทรงจำในวัยเด็กที่นึกขึ้นที่ไรต้องได้หลุดยิ้ม
มันไม่น่าแปลกเลยที่ในห้วงของความฝัน จะทำให้เขาหวนคิดถึงบ้านสวนของคุณตาขึ้นมาได้
อาจเพราะความคล้ายคลึงของบรรยากาศในวันเก่าและสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา
บ้านไม้สักทั้งหลังที่ยกใต้ถุนสูงตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า
คือสิ่งที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นในห้วงของความฝันนี้และห้วงของความฝันที่ผ่านๆ
มา แค่ได้เห็นก็ราวกับว่าบ้านไม้สักมันมีปากร้องเรียกให้เขาขยับปลายเท้าเข้าไปหา
ความรู้สึกลังเลที่จะหยุดยืนดูเฉยๆ ให้เวลาผ่านเลยไปหรือจะเลือกขยับปลายเท้าเดินเข้าไปหา
เกิดขึ้นภายในใจทันที
เจ้าของร่างสูงโปร่งไม่เคยเข้าใจในความฝันที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองเลยสักครั้ง
ที่เขาหลับตานอนบนเตียงทุกคืนแล้วดันสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้วงของความฝันและยืนอยู่ในสถานที่นี้
มันเป็นเรื่องราวที่เหตุการณ์หลายๆ อย่างมันไม่ต่อเนื่อง
ขาดเป็นห้วงทั้งยังสลับไปมา
ดำเนินตัดสลับไปมาจนท้ายที่สุดเรื่องราวมักจะดำเนินมาถึงจุดที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่บนเตียงหลังเดิม
และแน่นอนหลังจากที่เขาหลุดจากภวังค์ความฝันนี้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่ทำให้เขาหงุดหงิดจนถึงขั้นหัวเสียได้ทั้งวัน
“แม่งเอ้ย!”
ช่วยไม่ได้ที่ท้ายที่สุดความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เขาต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย
เขาในตอนนี้ไม่มีความไม่เข้าใจในอะไรเลยสักอย่าง
บ้านไม้สักที่ตั้งเด่นตรงหน้ามันพยายามที่จะเชื้อเชิญเขาให้ทำมากกว่าแค่ยืนมอง
ถ้าในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
เขาจะทำแค่ยืนมองมันอยู่อย่างนี้และรอเวลาให้ตื่นจากฝันแล้วจบไป แต่ทว่าในครั้งนี้
เขาจะไม่ยอมแล้ว!
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ขยับริมฝีปากพูดออกมาเสร็จ
กำลังใจมันก็ฝุดขึ้นมาจนเต็มเปี่ยม
ปลายเท้าขยับยกขึ้นเริ่มต้นเพียงเท่านั้นสองขายาวก็ก้าวตามทางเดินหญ้าเข้าไปใกล้กับต้นโมกพุ่มเล็กๆ
ที่ถูกปลูกชิดทางเดินด้านขวามือ ยืนต้นไล่เลียงยาวจนถึงเชิงบันไดไม้
แค่เพียงได้เห็นก็ชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดใจเพราะต้นโมกที่มีแค่ใบสีเขียวมากมายถูกตัดแต่งกิ่งก้านเป็นทรงเหลี่ยมสวย
มันถูกตัดแต่งใหม่เอี่ยมราวกลับถูกจัดเตรียมเพื่อรอต้อนรับแขกสักคนของบ้านไม้ได้ชื่นชมเมื่อเดินผ่าน
ซึ่งแขกที่บ้านไม้สักหลังนี้เตรียมจะต้อนรับ เป็นใครเขาไม่รู้
แต่ที่มั่นใจเต็มร้อยเลยว่าแขกที่ว่านั่นคงไม่ใช่เขาแน่ๆ
หน้าตาเมคอินไทยแลนด์ขนาดนี้กูไม่ใช่แขกแล้วหนึ่ง
อาศัยความยาวของช่วงขา
ร่างสูงโปร่งเดินไม่ถึงนาทีก็มาหยุดอยู่ตรงเชิงบันได
ทว่าในวินาทีที่กำลังจะก้าวเท้าเหยียบลูกบันไดขั้นแรกเพื่อขึ้นไปดูอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ข้างบนบ้านไม้สักนี้ที่เชื้อเชิญกัน
ในจังหวะที่จะยกเท้าขึ้น คำพูดของคนเป็นแม่ที่มักจะได้ยินบ่อยๆ
เวลาไปไหนมาไหนก็ดังก้องขึ้นมาจนทำให้ต้องชะงักเท้าขวาข้างนั้นในทันที
“แม่ไม่ได้อะไรกับดวงนะท่าน แต่แบบว่าขวาร้ายซ้ายจะดีอะ เชื่อแม่” แค่เขาคิดถึงรูปประโยคดังกล่าว
ใบหน้าและเสียงของเจ้าของคำพูดนั้นก็พลันแวบเข้ามาในหัวให้ต้องหลุดขำ
ไม่ว่าจะที่ไหนๆ เวลาใดๆ
คุณนายสมรศรีเธอก็ยังคงเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลกับชีวิตและจิตใจของตัวเขามากเสียเหลือเกิน
มากถึงขั้นตอนนี้ ตอนที่เขากำลังฝันอยู่
คุณนายสมรศรีเธอยังส่งหน้าที่น่ามูมูแก้มกับเสียงที่ได้ยินแล้วต้องหลุดขำตามเข้ามาได้
หลุดขำให้กับคำพูดของคนเป็นแม่เสร็จสรรพ
เขาก็ก้าวเท้าซ้ายเหยียบลงบนลูกบันไดขั้นแรกและค่อยๆ เดินขึ้นมาจนถึงบันไดสุดท้าย
สิ่งที่ตามองเห็นอยู่ตรงหน้าของเขาคือประตูไม้สักบานใหญ่
ประตูไม้สักดังกล่าวเป็นเพียงประตูไม้สักเรียบๆ บานเดียว
ไม่ได้แกะเนื้อไม้เป็นลวดลายแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดตื่นตาไม่ได้
เพราะบานประตูไม้สักนี้ เนื้อไม้ไม่ได้มีรอยต่อเลยสักนิด
อดคิดไม่ได้ว่าต้นสักที่นำมาทำจะมีขนาดลำต้นใหญ่ขนาดไหน
ไม่ใช่แค่คุณตาหรอกที่ชื่นชอบไม้ผล
ตัวเขาเองที่เป็นหลานก็พลอยชื่นชอบไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ๆ ไม่ต่างกัน
ชื่นชนบานประตูไม้ขนาดใหญ่จนพอใจ
เขาก็ไม่รอช้าเอื้อมมือไปผลักบานประตูไม้สักให้เปิดออก
ทว่าตอนที่ค่อยๆ เปิดออก ได้เกิดเสียงที่ไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ตามมา
ยิ่งบวกกับบริเวณโดยรอบที่เงียบเกินไปแบบนี้
เขาจึงรีบเปิดมันออกให้กว้างที่สุดและเร็วที่สุด พอเปิดออกได้กว้างที่สุดแล้ว
ชั่ววินาทีหนึ่ง เขากลับรู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นอยู่ๆ
ก็ว่างเปล่าหรืออีกนัยนึงคืออยู่ๆ เขาก็ได้หลงลืมอะไรไปบางอย่าง
เป็นบางอย่างที่ดันโชคร้ายไปขั้นกว่า
เพราะตัวเขาเองก็นึกไม่ออกว่าบางอย่างนั่นคืออะไรกันแน่
ยืนงงตรงชานบ้านของจริง
ทำไมเขาถึงฝันเห็นบ้านไม้หลังนี้
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้บ้านไม้หลังนี้เชื้อเชิญให้เขาขึ้นมา
แล้วต้องการให้เขาขึ้นมายืนงงอยู่ข้างบนนี้ทำไม
แท้ที่จริงแล้วบ้านไม้หลังนี้ต้องการอะไรจากเขา
และที่สำคัญทำไมเขาถึงฝันบ้าๆ แบบนี้ไม่หายสักที
ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เขายากจะได้คำตอบ
พอจะตั้งสติไล่เรียงคิดหาคำตอบให้ตนเอง
แต่ทว่าก็ดูเหมือนว่ารอยหยักในสมองทั้งสองข้างสำหรับคิดเรื่องนี้นั้นมันมีน้อยนิดจนเกินไป
น้อยในซับเซตของน้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน
ถ้าเขาเป็นไอ้เด็ก(ไม่จริง)ที่ใส่แว่นและมีนาฬิกายิงเข็มยาสลบได้นะเว้ย ก็คงดี
ดีมากๆ แน่ แต่ทว่าเขามันไม่ใช่ไง
“แม่ง!” จนแล้วจนรอดก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสียอีกจนได้
“แล้วตอนนี้มันเวลาเท่าไหร่แล้ววะ” เพราะในห้วงของความฝันนี้
เขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นช่วงเวลาตอนกลางวันหรือกลางคืนกันแน่ ทว่าในตอนที่กำลังที่จะก้มลงดูเวลาจากนาฬิกาบนข้อมือ
ก็พลันต้องหลุดสบถอีกหนเพราะที่ข้อมือของเขานั้นว่างเปล่า
นาฬิกาข้อมือที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากคุณนายสมรศรีเมื่อปีที่แล้ว
ในตอนนี้นั้นมันไม่ได้ถูกสวมอยู่บนข้อมือของเขาอย่างที่เคยเป็น
“ดี๊ดี” กัดฟันพูดแล้วก็ต้องต้องถอนหายใจตามออกมาเฮือกใหญ่
เรียกว่าเป็นเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นทำลายความเงียบบนบ้านไม้สักหลังนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
และดูเหมือนว่ามันจะทำลายความเงียบได้อย่างยอดเยี่ยมมากเกินไป
มากเกินขนาดที่มีเสียงถอนหายใจสะท้อนกลับมาให้ได้ยินเป็นระลอกๆ
เอาล่ะให้เป็นเสียงถอนหายใจนี่นะ ของคนอื่นไม่เอานะโว้ย
สมองคิดอีกอย่างแต่ปากมันก็ไปอีกอย่าง
“ไม่หลอนหรอกนะเว้ย บอกไว้ก่อนเลยว่ะ”
เพราะมันเงียบเกินเลยต้องโพล่งคำพูดพรรค์นี้ออกมา
และต้องขอบคุณความเคยชินในวัยเด็กกับบ้านไม้ที่มีลักษณะและบริเวณโดยรอบเหมือนบ้านสวนคุณตาของเขาแบบนี้
เขาถึงไม่ได้กลัวอะไรมากมายน่ะนะ พอจบเรื่องนาฬิกาข้อมือ เขาก็อดที่จะไล่สำรวจร่างกายตัวเองขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
“ก็ไม่ได้แย่...น่ะนะ”
ที่ที่อยู่บนตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อย่างพูดไว้ไว้สักเท่าไหร่
ร่างกายท่อนบนของเขาสวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง
สภาพทั้งย้วยและเปื่อยยุ่ยพร้อมทิ้ง แต่เขาไม่เคยสักนิดที่คิดจะทิ้งมันไป
ก็ไม่ทำไมหรอกเพราะตัวนี้ใส่นอนแล้วมันสบายตัวมากยังไงล่ะ
เสื้อยืดตัวนี้แปะลายสกรีนเจ้าตัวการ์ตูนประหลาดสีเขียวตัวอ้วนๆ กลมๆ
แถมมีลูกกระตาลูกเดียวที่ตัวสกรีนยังติดแน่นไม่ยอมหลุดแปะอยู่กลางอก
ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมองดูให้รู้ชัดเจนว่าเป็นเจ้าไมค์ วาซอว์สกี้เพื่อนรัก
ที่ยิ้มโชว์เหล็กดัดเด่นหลา
และร่างกายท่อนล่างเป็นกางเกงนอนลายทางขายาวสภาพปกติดีเพราะคุณนายเพิ่งซื้อมาให้ใหม่
ส่วนรองเท้าก็เป็นแตะคีบที่มีรอยฟันน้องชายร่วมชายคาผู้มีหน้าที่ไหม้แดดอยู่ประปราย
"เฮ้ออออ" ยิ่งเห็นสภาพตัวเอง ร่างสูงโปร่งยิ่งเซ็งไปใหญ่
จะไม่อะไรเลยถ้าวันนี้ลมที่พัดมาต้องผิวไม่ทำให้รู้สึกหนาวจนต้องสอดแขนกอดตัวเองแน่น
หลายๆ ครั้งความฝันของเขาจะดำเนินมาถึงจุดที่ต้องยืนเคว้งอยู่บนพื้นทางเดินต้นโมกข้างล่าง
แล้วแหงนมองบ้านไม้สักหลังนี้อยู่นานจนกว่าที่จะสะดุ้งตื่น
แต่ทว่าครั้งนี้เรื่องราวในห้วงของความฝันในครั้งนี้ มันกลับต่างออกไป
แตกต่างเป็นอย่างมากที่เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดที่เขาได้ขึ้นมากอดตัวเองสู้ความหนาวแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนหมาขึ้นเรืออยู่ที่ชานบ้าน
ถึงแม้ว่าความฝันของเขาในครั้งนี้
มันจะต่างแต่ทว่าความรู้สึกของเขายังคงเหมือนเดิม
คือเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้คำตอบ เป็นอยู่อย่างนี้มานานหลายเดือน
โดยมันเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในวันเกิดของเขาในปีที่แล้ว
แล้วก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อยๆ เดือนละครั้งคือจำนวนความถี่ที่บ่งบอกว่าน้อย
ส่วนจำนวนความถี่ที่บ่งบอกว่ามากคือเดือนละสี่ครั้ง
และที่มากเกินไปกว่านั้นคือในเดือนนี้มันเกิดถี่มาก
เรียกว่าแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำ จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะฝันในเรื่องเดิมๆ
แบบนี้ไปจนถึงวันไหน เดือนไหนหรือปีไหนกันแน่
"สักวันฉันจะต้องรู้คำตอบให้ได้" ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดบอกสิ่งใดอยู่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากที่จะพูดออกมา
และเขาก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่า เขาจะต้องได้รู้
มันอาจจะเป็นฝันในครั้งหน้าหรือไม่ก็ครั้งหน้าๆ
ต้องมีสักครั้งที่เขาอาจจะได้คำตอบที่ค้างคาใจนี้
"เช้าสักทีเถอะ" ในวินาทีต่อจากนี้ไป
เขาคงทำได้เพียงกอดตัวเองแล้วรอเวลาอีกหน่อย รอเวลาในความเป็นจริงที่คงใกล้จะเช้า
และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็จะค้นพบว่าตัวของเขาเองนั้น
ได้นอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ คลุมทับอุ่นๆ
ด้วยผ้าห่มที่มีกลิ่นแดดปนกับน้ำยาปรับผ้านุ่มฝีมือของคุณนายสมรศรี
ในห้องนอนบนชั้นสองของบ้านสองชั้นหลังสีขาวเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น
ที่เพียงแค่เขาลืมตาตื่นขึ้นและเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างออก
ก็จะได้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ใช่โลกแห่งความฝัน เขาคิดแบบนั้นตลอด
แต่ทว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวของเขานั้น มันไม่ใช่ไง
ตั้งแต่ที่ตัดสินใจก้าวเท้าซ้ายเหยียบบันไดขึ้นไป
มันก็เหมือนกับยอมรับการเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะเป็นเหมือนดั่งความฝันในชีวิตของเขาไปตลอดกาล.
-ด้วยรักและคิดถึง-
#ดั่งปิยปาณ
ความคิดเห็น