Title: my love (Mpreg)
Pairing: leejeno × najaemin
Rate: PG-13
Author: pearl22
ผมกับแจมินเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก บ้านเราอยู่ข้างกัน พ่อแม่เราสนิทกัน หลังจากผมลืมตาดูโลกมาได้สี่เดือนแจมินก็เกิดมา ดังนั้นตั้งแต่จำความได้ผมก็มีแจมินเข้ามาอยู่ในชีวิตแล้ว เราสนิทกันมาก เล่นด้วยกันทุกอย่าง ทำอะไรก็ทำด้วยกัน ไปไหนไปกัน มีผมที่ไหนต้องมีแจมินที่นั่น มีแจมินที่ไหนก็ต้องมีผมที่นั่น
เราเรียนที่เดียวกัน อยู่ห้องเดียวกัน และนั่งข้างกันมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้คือม.ปลายปีสอง และทุกครั้งที่นั่งติดริมหน้าต่างจะเป็นของแจมิน
แจมินเป็นเด็กที่มีหัวทางศิลปะ อารมณ์สุนทรีย์สูง แล้วยังฉลาดมาก ๆ ด้วย ขณะที่เรากำลังนั่งเรียนกันเขาก็มีอะไรในโลกของเขาให้ทำจนดูยุ่งไปหมด แต่เพราะแจมินเป็นคนเอื่อย ๆ การกระทำของเขาที่ออกมามันจึงกลับดูเรียบง่ายและสบายตา ซึ่งผมมักจะชอบนั่งมองความเรียบง่ายนั้น ในเวลาที่ผมเบื่อการฟังอาจารย์สอน
สิ่งที่แจมินทำคือวาดรูป ระบายสี หรือไม่ก็เหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจ แต่เขาฉลาดเกินกว่าที่จะเรียนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเรา
แจมินวาดรูปเก่ง ระบายสีสวย เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้นซึ่งมันไพเราะมาก แต่ที่ผมมักจะขอให้เขาเล่นให้ฟังบ่อย ๆ คือเปียโนสีขาวสะอาดตาในห้องดนตรีของเขาเอง
ในเวลาไหนที่แจมินมองออกไปข้างนอก ผมจะชอบสังเกตและทำให้ได้รู้ว่าสิ่งที่เขาชอบมองนั้นคือท้องฟ้า ก้อนเมฆสีขาว นกที่บินไปมาข้างหน้าต่าง ใบไม้พลิ้วไหวหรือกระทั่งตอนที่มันกำลังร่วงหล่นลงสู่พื้น แม้แสงแดดอ่อน ๆ ที่พาดผ่านเข้ามาในห้องเรียนของเราเขาก็นั่งมองมันได้เป็นชั่วโมง ผมเคยถามเขาว่าตอนที่มองนั้นคิดอะไรอยู่ แจมินตอบว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเลย
แจมินเป็นคนอ่อนไหวและอ่อนโยน ทั้งยังชอบของสวย ๆ งาม ๆ โดยเฉพาะดอกไม้ ซึ่งก็คือทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่ดอกไม้ที่เขาโปรดปรานที่สุดคือแดนดิไลออน ผมเคยให้ต้นของมันกับเขาในวันเกิดปีที่ 14 และตอนนี้มันก็ยังอยู่ในระเบียงห้องนอนของเขา ซึ่งในตอนที่กลีบดอกสีเหลืองร่วงโรยเป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมให้เขาไปนั้น แจมินเรียกผมให้มาดูด้วยกัน เราเฝ้ามองมันค่อย ๆ ร่วงหล่นอยู่หลายวันจนหมด เหลือเพียงก้อนปุยกลม ๆ สีขาวสะอาด และในยามที่ลมพัดผ่านมาก้อนสีขาวนั้นก็แตกกระจายฟุ้งไปรอบ ๆ ตัวเรา ก่อนจะปลิวไปตามสายลม แจมินยิ้มกว้าง เขาบอกว่านี่แหละคือช่วงที่เขาชอบที่สุด มันเป็นเสน่ห์ของเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ที่ไม่เหมือนใครและมันทำให้เขาหลงรัก ผมก็ชอบเช่นกัน และรอยยิ้มในตอนนั้นของแจมินก็ทำให้ผมได้รู้ตัวว่าหลงรักมากแค่ไหน
ไม่ใช่ดอกไม้
แต่เป็นนาแจมิน
ผมไม่เคยบอกให้แจมินรู้ และผมก็แน่ใจว่าเขาไม่ได้รับรู้ถึงมัน เราเป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกันเสมอมา แจมินไม่เคยคิดกับผมเกินเพื่อนเลย ดังนั้นความรู้สึกชอบพอจึงไม่เคยอยู่ในความคิดของเขา
ไม่นานหลังจบม.ปลายปีสอง สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็มาถึง แจมินสอบเลื่อนขั้นได้ ไม่ต้องเรียนปีสาม เขาสามารถขึ้นมหาวิทยาลัยได้เลย ซึ่งที่เขาเลือกไว้คือมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านศิลปะ แจมินมาถามผมว่าจะให้เขาไปไหม ดวงตากลมโตแดง ๆ คงเพราะก่อนมาหาผมเขาร้องไห้ แต่ผมรู้ว่าสักวันเราต้องห่างกัน ผมจะรั้งเขาไว้ไม่ได้ มันคือความฝันของแจมิน ผมจึงบอกให้เขาไป แจมินพยักหน้าทั้งน้ำตา คืนนั้นเขานอนร้องไห้ในอ้อมกอดของผม สัมผัสชื้น ๆ ติดอยู่บนอกเสื้อผมทั้งคืนจนถึงรุ่งสาง แล้วเขาก็ไป
แจมินกลับมาเยี่ยมบ้านแค่ปีละสองครั้ง ครั้งละประมาณสี่ถึงห้าวัน ทุกครั้งเขามักมีความแปลกใจมาให้ผมเสมอ เช่นสูงขึ้น หน้าหวานขึ้น ขี้เล่นขึ้น และในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขากลับมาพร้อมกับข่าวที่ว่ามีแฟนแล้ว เป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่อยู่ชมรมเดียวกัน ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นรู้สึกยังไง แค่รับรู้ได้ว่าโลกของผมมันไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว
ปีต่อ ๆ มาผมไม่ได้เฝ้ารอเขาเหมือนเช่นเคย แม่ของเขาบอกว่าแจมินรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้เจอผม เพราะผมคือหนึ่งในสาเหตุที่ผลักดันให้เขาตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้กลับบ้าน ผมเพียงแต่ยิ้มให้ท่านไป อ้างว่าติดธุระ ซึ่งธุระของผมก็ทำให้เราไม่ได้เจอกันมาเกือบสองปี จนกระทั่งทั้งผมและเขาต่างก็เรียนจบ และเขากำลังจะแต่งงาน
ทว่าไม่รู้ด้วยสาเหตุใด งานแต่งงานที่จัดเตรียมทุกอย่างมาเกือบปีและมันก็พร้อมแล้วกลับไร้ซึ่งเงาของเจ้าบ่าว แจมินร้องไห้อย่างหนัก ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ผมวิ่งเข้าไปหาเขาในทันที และเมื่อเราสบตากัน แจมินก็สวมกอดผมไว้แน่น ในความคิดของผม นี่มันนานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้พบกัน
พ่อแม่ของแจมินโกรธมากที่ผู้ชายคนนั้นทำกับลูกชายท่านอย่างนี้ อันที่จริงท่านไม่เคยเห็นด้วยเลยด้วยซ้ำกับการที่แจมินคบกับคนคนนี้ แม่แจมินสงสารลูกชายอย่างสุดซึ้งที่ต้องเสียใจแล้วยังต้องอับอาย ท่านทั้งสองเครียดมาก แขกเหรื่อมากันเต็มงานแต่พวกเราที่อยู่ข้างในกลับตึงเครียดเพราะไม่รู้ที่จะแก้สถานการณ์อย่างไร
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่แต่ในตอนนั้นผมก็โพล่งขึ้นมาว่าจะเป็นเจ้าบ่าวให้เอง แจมินมองมาที่ผมอย่างตกใจและไม่อยากจะเชื่อ ทว่าไม่นานทุกคนก็ตอบตกลง งานในวันนั้นค่อนข้างทุลักทุเลแต่มันก็จบลงด้วยดี แม้จะมีสายตากังขาจากคนรู้จักหลายคนว่าทำไมชื่อในการ์ดเชิญเป็นคนอื่นแต่เจ้าบ่าวกลับเป็นผม
คืนนั้นแจมินขอบคุณผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาบอกว่าให้เรื่องซาไปสักพักแล้วจะรีบหย่าให้ผมทันที ผมบอกว่าไม่ต้องรีบ ผมไม่เป็นไร ดีใจซะอีกที่ได้แต่งงานกับเพื่อนสนิทตัวเอง แจมินถึงยิ้มได้ เขาคงคิดว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่ในใจผมรู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
เราย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันหลังจากแต่งงาน เป็นบ้านเดี่ยวหนึ่งชั้นแต่มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอ กับสนามหญ้าหน้าบ้านขนาดย่อม บ้านของเราอยู่ห่างจากบ้านพ่อแม่เราประมาณสองสามซอย ในบ้านนั้นแจมินเป็นคนตกแต่งและออกแบบเอง มันอบอุ่นและน่าอยู่มาก
โลกของผมค่อย ๆ กลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากที่มีแจมินกลับเข้ามาอยู่ในชีวิตเหมือนเดิม แจมินดูแลผมดีมาก แม้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้แต่เขาก็ทำให้ ในทุกวันตอนเช้าหรือทุกครั้งที่ผมเลิกงานกลับมา จะมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ลอยออกมาจากในครัว กับภาพแผ่นหลังบางของแจมินที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหาร ซึ่งมันเป็นภาพที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ
แจมินไม่ได้ทำงานข้างนอก เขารับวาดภาพและแปลหนังสือดังนั้นจึงอยู่แต่ในบ้าน หลายครั้งในห้องทำงานของแจมินที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดภาพ สายลมเอื่อย ๆ พัดเข้ามาเบา ๆ ทำให้ผ้าม่านสีฟ้าปลิวไสว และดวงตะวันทอแสงอ่อนตกกระทบลงบนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาจนมันเป็นประกาย ช่วงเวลานั้นเองที่ผมมักจะเห็นแจมินนั่งเหม่อ มือเรียววาดรูปผู้ชายคนหนึ่งลงบนผืนผ้าใบอย่างใจลอย ผมรู้ว่าแจมินไม่เคยทำใจและลืมผู้ชายคนนั้นได้เลย ทว่าเขาก็เข้มแข็งมาก ๆ และแม้ว่าผมจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแจมินในช่วงเวลาเหล่านั้นช่างงดงามเหลือเกิน
ไม่นานหลังงานแต่งของเรา ผมกับแจมินก็มีอะไรกัน และมันเป็นความเต็มใจของเราทั้งสองคน ผมรู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากความรักของแจมิน เขาคงแค่อยากจะขอบคุณผม ทว่าเพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งของเรามันยิ่งทำให้ผมตกหลุมรักเขามากขึ้นและมากขึ้น นอกเหนือจากความสัมพันธ์ฉันมิตรที่เรามีให้แก่กัน
ภายหลังเกือบสามเดือนหลังจากที่เรามีอะไรกันหลายครั้ง แจมินก็ท้อง ผมดีใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนฝัน ตั้งแต่ที่ผมได้แต่งงานกับเขา ได้อยู่บ้านเดียวกัน ได้มีเขาเป็นคนสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนหลับตา และเป็นคนแรกที่ผมเห็นในตอนลืมตาตื่น แล้วในตอนนี้เขายังกำลังตั้งท้องลูกของเรา ผมบอกแจมินว่าจะดูแลเขากับลูกให้ดีที่สุด ทว่าแจมินกลับร้องไห้และบอกขอโทษผม มันทำให้ผมฉุกนึกได้ถึงเรื่องบางอย่างที่ผมเก็บไว้มาเนิ่นนาน ว่าแจมินยังไม่รู้ถึงหัวใจของผม
แจมินบอกว่าเขาจะเลี้ยงลูกเอง แล้วก็จะเซ็นใบหย่าให้ผมภายในอาทิตย์นั้นเลย ผมจะได้ไม่ต้องติดอยู่กับเขา ผมจะได้ไปมีความสุขกับใครสักคนที่ผมรักเสียที แต่ผมอยากบอกเขาเหลือเกิน ว่าเจ้าของใบหน้าหวาน ดวงตากลมโต และรอยยิ้มงดงามตรงหน้าผมนั่นแหละ ที่ผมรักมาแสนนาน
มันยากจริง ๆ ในการที่จะบอกออกไป แม้การกระทำของเราจะเกินเลยคำว่าเพื่อนมาแล้ว แต่ความรู้สึกของเขา ผมกลับยังเป็นเพียงเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเขา หากว่าผมบอกออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ผมไม่รู้เลยจริง ๆ
ผมทำใจไม่ได้หากจะต้องเลิกกับแจมิน วันนั้นผมออกจากบ้านในตอนกลางคืนและกลับเข้ามาในตอนหัวค่ำของอีกวัน ผมไม่ได้ไปไหนไกล แค่ไปนอนบ้านพ่อกับแม่เพื่อคิดอะไรก็เท่านั้น ซึ่งแจมินที่ไม่รู้ว่าผมไปไหนกลับไม่ได้นอนเลยทั้งคืนจนกระทั่งผมกลับมา เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงผมมาก ที่เห็นผมออกไปตอนดึก ๆ แบบนั้น และเขาไม่รู้สาเหตุที่ผมออกไป แต่ผมกลับโกรธเขามากกว่าที่ไม่ดูแลตัวเองอย่างนี้ เราเถียงกันเสียงดัง สุดท้ายผมก็รู้ตัวว่าผมทำให้เขาร้องไห้อีกแล้ว และมันเป็นความผิดผมเองที่ไม่ได้บอกเขาก่อน ผมขอโทษแจมินพลางกอดปลอบเขาอยู่นาน ด้วยความอ่อนเพลียแจมินจึงผล็อยหลับไปในอ้อมกอดผม
เช้าวันต่อมาผมทำอาหารให้แจมินทานเพื่อเป็นการง้อ เพียงแค่เห็นผมทำอาหารให้แจมินก็ยิ้มได้แล้ว หลังทานข้าวกันเสร็จผมบอกกับเขาว่าจะพาไปซื้อของเพื่อบำรุงร่างกายเขาและลูก แจมินมีสีหน้าไม่ดีนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้าตกลงทันที คงเพราะเขารู้สึกผิดกับผมและลูกที่ไม่ดูแลตัวเองก่อนหน้านี้ แต่ผมไม่โทษแจมินเลย มันเป็นความผิดของผมเอง
ผ่านมาหลายเดือนจนใกล้กำหนดคลอด และเราก็ยังอยู่ด้วยกัน เรื่องหย่านั้นถูกพับเก็บไปแล้วเพราะผมขอเอง แจมินไม่เข้าใจแต่ก็ยอมตามใจผม ส่วนเรื่องบอกความรู้สึกของผมนั้น ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะบอกเขาแน่นอน แต่ต้องเป็นหลังจากที่เขาคลอดลูกแล้ว เพราะผมไม่อยากให้ความเครียดง่ายจากฮอร์โมนคนท้องนั้นกระทบไปถึงเขาและลูก
ทุกวันนี้ท้องของแจมินใหญ่ขึ้นมาก เราไม่อยากอัลตราซาวด์เพราะอยากลุ้นกันเอง ผมเดาว่าเด็กผู้หญิง ในขณะที่แจมินมั่นใจว่าต้องเป็นเด็กผู้ชาย ผมต้องไปทำงานในตอนเช้าและกลับมาในตอนค่ำ ดังนั้นเวลาว่างผมมักจะให้เวลากับเขาอย่างการนอนบนตักนิ่มและหยอกล้อเขากับลูกในท้อง ซึ่งหลายครั้งลูกก็ตอบรับกลับมาด้วย แจมินหัวเราะคิกคักทุกครั้งที่ลูกถีบเขา ผมสัมผัสดูบางครั้งแรง บางครั้งเบา ถามแจมินด้วยความเป็นห่วงว่าเจ็บไหม เขาบอกว่าจั๊กจี้มากกว่า
บางครั้งผมเพียงแค่นอนนิ่ง ๆ โดยมีแจมินเล่านิทานให้ฟัง มือนิ่มสางเส้นผมของผมไปมากับน้ำเสียงหวาน ๆ นั้นทำให้ผมผ่อนคลายและหายเหนื่อยจากการทำงานไปได้มาก มีครั้งหนึ่งผมจับมือนิ่มที่กำลังลูบหัวผมอยู่มาจูบแผ่วเบาอย่างรักใคร่ แจมินชะงักเพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แบบที่แสดงออกว่าผมรักเขามากแค่ไหน แต่ผมก็เพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะมอบจูบแสนหวานให้กับริมฝีปากสีพีชของเขา ผมแค่กำลังหวังว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผมจากสายตาและจูบในครั้งนั้น
ในที่สุดวันที่เราเฝ้ารอก็มาถึง ผมตื่นเต้นจนไม่เป็นอันนั่งติดที่ เดินกระสับกระส่ายไปมาหน้าห้องคลอด พ่อแม่ผมกับพ่อแม่แจมินส่ายหัวและยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู พ่อของผมบอกว่าตอนที่แม่คลอดผมท่านก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ผ่านไปเกือบชั่วโมงเสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารกก็ดังขึ้น ผมดีใจมาก รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก นั่นคือเสียงลูกของผมเอง เขาคือลูกของผมกับแจมิน
สักพักหมอก็ออกมาบอกว่าเป็นเด็กผู้ชาย สมบูรณ์แข็งแรงดี และปลอดภัยทั้งแม่และลูก ก่อนจะมีพยาบาลเข็นรถเข็นเด็กออกมา ผมได้เห็นหน้าลูกครั้งแรกถึงกับร้องไห้ แจมินที่ถูกเข็นตามออกมามีสีหน้าอ่อนเพลียมากแต่ก็ส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่ทั้งเขาและลูกจะถูกพาไปที่ห้องพักพิเศษที่เราจองไว้
ครั้งแรกที่ผมได้อุ้มลูก ได้มองเจ้าตัวเล็กหลับพริ้มอยู่ในอ้อมกอด มันเกิดความรู้สึกที่มากมายล้นอยู่ในใจจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ รู้เพียงว่าผมรักเขามาก และต่อจากนี้ผมจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะให้กับลูกได้
แจมินกับลูกออกจากโรงพยาบาลมาได้หลายอาทิตย์แล้ว เพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ได้รู้ข่าวคราวของเราต่างพากันมาเยี่ยม ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าลูกหน้าเหมือนผมมาก แม้แต่พ่อกับแม่ของเราก็พูดแบบนั้น มีเพื่อนคนหนึ่งพูดประมาณว่าถ้าลูกหน้าเหมือนพ่อ แสดงว่าแม่รักพ่อมาก ผมไม่รู้ว่าแจมินได้ฟังแล้วคิดยังไง เพราะเขากำลังอุ้มเจ้าตัวเล็กพลางกล่อมให้หลับอยู่ แต่แจมินแย้มยิ้มอ่อนหวาน ผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะยิ้มให้กับลูก
'ลีซังซู' คือชื่อของลูกชายเรา มีความหมายว่าโชคชะตาหรือพรหมลิขิต แจมินเป็นคนตั้งเพราะผมให้สิทธิ์เขาในการตั้งชื่อลูก แจมินบอกว่ามันเปรียบเสมือนโชคชะตาที่ทำให้ซังซูได้มาเกิดเป็นลูกของเรา ผมคิดว่าเป็นชื่อที่เพราะมาก และเหมาะกับลูกเรามากจริง ๆ
เวลาผ่านไปจนซังซูอายุได้สิบเดือนกว่า ลูกเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีพัฒนาการที่ดีตามวัย เป็นเด็กชายหน้าตาน่ารัก ดวงตาเรียวรีดำขลับแต่เป็นประกายใสแจ๋ว แก้มนุ้ยสีชมพูระเรื่อกับริมฝีปากหยักเล็ก ๆ สีเดียวกัน ผิวขาวนวล ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ ซังซูเป็นเด็กฉลาด ทั้งยังอารมณ์ดี และชอบเสียงดนตรีมาก เวลาที่แจมินอุ้มลูกนั่งบนตักแล้วเล่นเปียโนให้ฟัง ลูกมักจะหัวเราะชอบใจและมีปฏิกิริยาที่ดีตอบกลับมาเสมอ ผมคาดหวังไว้ว่าโตขึ้นซังซูจะต้องเดินบนเส้นทางเดียวกับแจมินแน่นอน
อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดปีที่ยี่สิบสี่ของแจมิน ซึ่งวันนั้นที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะบอกทุกความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาให้เขาได้รับรู้ และมาถึงตอนนี้แจมินจะไม่รักผมตอบผมก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอแค่เราได้อยู่ด้วยกันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ก็พอ
แล้ววันเกิดแจมินก็มาถึง มันเป็นเช้าวันเสาร์ที่สดใสวันหนึ่งในฤดูร้อน แสงแดดตกกระทบบนใบหน้าปลุกให้ผมลืมตาตื่น ปรับสายตาให้เป็นปกติ มองเห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนคลอเคลียอยู่ตรงลำคอ เป็นเหมือนในทุกครั้งที่แจมินจะนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดผม โดยใช้ช่วงไหล่หนาของผมต่างหมอน ผมยิ้มให้กับภาพที่เห็นเป็นประจำทุกวันในตอนตื่นนอน กดจูบลงบนกลุ่มผมนิ่มของเขาแผ่วเบาพลางลูบไล้เอวบางอย่างเพลินมือ แจมินครางเบา ๆ ด้วยถูกรบกวน
"แจมิน ตื่นได้แล้วนะครับ"
"อื้ออ"
แจมินพลิกตัวคว่ำลงและถูหน้าไปมาบนอกผมสองสามครั้งก่อนจะเงยขึ้นมายิ้มน้อย ๆ ให้ผม เราบอกอรุณสวัสดิ์แก่กัน ก่อนเขาจะลุกขึ้นไปดูลูกและจัดการสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้านในตอนเช้าเฉกเช่นทุกวัน และมีผมที่คอยเป็นลูกมือช่วยเขาในทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์
วันนี้อาจเป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับเขา แต่กับผมแล้วมันไม่ใช่ ผมตื่นเต้นและอยู่ไม่สุขตลอดทั้งวัน คิดเตรียมคำพูดต่าง ๆ ไว้มากมาย และที่สำคัญคือผมจะขอเขาแต่งงาน เพราะงานแต่งครั้งนั้นของเรามันเหมือนเป็นการมัดมือชกและเป็นเพียงการแก้ปัญหาเท่านั้น ถ้าเขาตกลง ผมจะตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด อาจจะไม่หรูหราหรือใหญ่โต อาจจะมีแค่ครอบครัวของเราที่ร่วมงาน แต่มันจะอยู่ในความทรงจำของผมและเขาตลอดไป
หลังจากที่เรานั่งเล่นด้วยกันสักพักจนถึงหนึ่งทุ่ม เราก็พาลูกเข้านอน แจมินเป็นคนอุ้มลูกและกล่อมจนลูกหลับแล้วจึงวางนอนในเปล เขาหันมาบอกให้ผมดูลูกก่อนจะเดินออกไปที่ครัวเพื่อที่จะทำอาหารเพราะผมเคยขอเขาว่าอยากทานอะไรพิเศษ ๆ ในวันเกิดของเขา ไม่นานจานอาหารก็เรียงรายตรงหน้า ผมอวยพรวันเกิดให้เขาและบอกว่ามีของขวัญจะให้ แจมินยิ้มหวานให้ผมพลางขอบคุณ
หลังจากเราทานข้าวเสร็จแล้วผมกับแจมินก็ย้ายตัวเองมานั่งกันอยู่หน้าทีวี เราปิดไฟทุกดวง เปิดหนังดู ทำเหมือนที่เราชอบทำด้วยกันบ่อย ๆ ในวัยเยาว์ เรานั่งอิงแอบกันโดยแจมินเอนหลังพิงอกผมและผมกอดเขาไว้ทั้งตัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ประจำตัวของแจมินกระทบจมูกผมจนไม่มีสมาธิดูหนัง อดใจไม่ไหวที่จะต้องกดจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มนั้นซ้ำ ๆ จนแจมินอาจจะเริ่มรำคาญจึงเงยหน้ามามองผมพลางเลิกคิ้วถาม ผมส่ายหน้าให้เขายิ้ม ๆ ก่อนจะจูบลงไปบนริมฝีปากนิ่มเร็ว ๆ
แต่แจมินไม่หยุดแค่นั้น เขาเงยหน้าขึ้นจูบผมเช่นกัน และคราวนี้มันลึกซึ้งขึ้น เราเอียงหน้าเข้าหากันเพื่อปรับองศาให้ง่ายต่อการจูบ ผมใช้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดและหยอกล้อกับลิ้นเล็กซุกซนของเขาอยู่นานจนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักของผม
เสียงหอบหายใจของเรากับนัยน์ตาหวานของเขาทำให้ผมต้องอดกลั้นใจตัวเองไม่ให้ฟัดเขาก่อนจะได้ทำอะไรตามที่คิดไว้ แจมินโน้มตัวลงเอาหน้าซบไหล่ผม ผมกอดเอวเขาไว้หลวม ๆ พลางลูบไล้เล่นไปมา กระทั่งเสียงแหบหวานเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
"ไหนล่ะของขวัญ"
ผมหัวเราะขำที่เขาท้วงขึ้นมา แจมินผละออกมามองผมอย่างงอน ๆ ผมหมั่นเขี้ยวจนต้องบีบปากบึน ๆ นั้นไปเบา ๆ
"นี่ไง กำลังจะให้แล้ว"
"แจมิน ถ้าฉันจะบอก..."
"ถ้าฉันจะบอก ...ว่าฉันรักนาย"
"รักมาก รักมาตลอด ตั้งแต่ก่อนที่เราจะขึ้นม.ปลาย ก่อนที่นายจะย้ายไป ก่อนที่นายจะคบใคร"
"ฉันไม่เคยคิดกับนายแค่เพื่อนเลย ฉันไม่เคยบริสุทธิ์ใจในทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน"
"ฉันรักนาย รักมากและมากขึ้นทุกวัน"
"นายจะว่าอะไรมั้ย"
"..."
"ขนาดนี้แล้ว จะว่าอะไรได้ล่ะ"
"ก็เป็นของขวัญที่ฉันรอมาตลอดนี่นา"
"ฉันก็มีของขวัญจะให้นายเหมือนกัน"
"ฉันรักนาย"
"ลีเจโน่"
แจมินยิ้มหวานให้ผม ผมกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองได้ยินอะไรไป ผมตกใจ อ้าปากค้าง เบิกตาโต หน้าของผมมันคงตลกมากจนแจมินหัวเราะออกมา
"แจมินนนนน" ผมเรียกเขาเสียงดังจนโดนเขาตีที่แขน
"เบา ๆ เดี๋ยวลูกตื่น" แจมินเอ่ยเสียงดุ ผมส่งยิ้มตาหยีให้เขาเป็นการขอโทษ แจมินยิ้มกว้างตอบกลับมา ผมมีความสุขมากจริง ๆ
"แจมินรู้ได้ไงว่าฉันรัก" ผมถามเขาอย่างสงสัย
"ฉันเริ่มคิดตอนที่นายจูบฉันในตอนนั้น" ผมพยักหน้า รู้ว่าเขาหมายถึงตอนไหน
"แต่เพิ่งรับรู้ได้จริง ๆ ว่านายรักฉันก็ตอนที่ฉันออกมาจากห้องคลอดแล้วเห็นนาย ...ฉันอาจจะโง่ แต่นายน่ะ ปากแข็งมากเลยนะเจโน่"
"ขอโทษครับ แต่อย่าว่าตัวเองสิครับ ฉันแค่เก็บเก่งไปก็เท่านั้นเอง" ดูเหมือนแจมินจะเริ่มงอนผมจึงกล่าวกลั้วหัวเราะให้บรรยากาศมันผ่อนคลาย
"ถ้านายบอกฉันช้าไป ถ้าฉันไม่ได้รักนาย นายจะเป็นยังไงล่ะ ทำไมไม่คิดถึงตัวเองเลย" แจมินฮึดฮัด ผมลูบกลุ่มผมนุ่มของเขาให้ใจเย็นลง
"ตอนนี้แจมินก็รักฉันแล้วนี่นา"
"ใช่ รัก ...รักมาก รู้ไว้ด้วยลีเจโน่" ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งเขิน มีความสุขไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง ๆ แจมินที่เห็นผมยิ้มก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น แขนเรียวยกขึ้นคล้องคอผมก่อนจะมอบจูบหวาน ๆ ให้อีกครั้ง เนิ่นนานจนเขาเริ่มหายใจไม่ทันเราจึงผละออกมายิ้มให้กัน
"แล้วแจมินรักฉันตอนไหนเหรอ" ผมใช้นิ้วเกลี่ยผมที่ระต้นคอเขาเล่นอย่างเพลินมือ
"นายจำที่แฮชานพูดได้ไหม ที่ว่าลูกหน้าเหมือนพ่อมันเพราะแม่รักพ่อมากน่ะ"
"จำได้ครับ"
"ฉันคิดว่า ...ฉันอาจจะรักนายมานานแล้ว แต่ฉันแค่ไม่รู้ตัว ก็ฉันโง่นี่นา"
"ว่าตัวเองอีกแล้วนะ" ผมดุ
"งื้ออออ" แจมินส่งเสียงอ้อน ๆ ดวงหน้าหวานยู่ลงอย่างเอาแต่ใจ
"แต่ถ้ารู้ตัวจริง ๆ ว่ารักนาย ก็ตอนที่ออกมาแล้วเห็นนายร้องไห้เพราะเห็นหน้าลูกอีกนั่นแหละ ตอนนั้นหน้านายตลกมากเลยนะเจโน่"
"ก็คนมันมีความสุขนี่ครับ แต่จะว่าไป งั้นต่อไปฉันร้องไห้บ่อย ๆ ดีไหมนะ แจมินจะได้รู้ตัวบ่อย ๆ"
"บ้าเหรอ ฉันรู้แล้วก็รู้เลยสิ นายจะร้องไห้ทำไมบ่อย ๆ"
"ร้องเพราะมีความสุขไงครับ" ผมยักคิ้วกวน ๆ แจมินหยิกแก้มผมยืดออกอย่างหมั่นไส้
"นอนได้แล้ว จะสี่ทุ่มแล้ว" แจมินพูดพลางจะลุกออกจากตักผม แต่ผมรั้งเขาไว้
"ยังไม่อยากนอนเลย" ผมพูดอ้อน ๆ
"หืมม"
"แจมิน ฉันมีของขวัญอีกอย่างจะให้นาย" ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแหวนกลมเกลี้ยงสีเงินวงหนึ่งขึ้นมาก่อนจะสวมลงไปบนนิ้วเรียว
"นาแจมิน แต่งงานกับฉันนะ" ผมมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายและฉายความสุขอย่างคาดหวังในคำตอบ
"อื้อ ...ตกลง" แจมินยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย
end.
ความคิดเห็น