ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (nct) Tentania the Empress | doten

    ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 19 – Rumors of Queen

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.02K
      244
      6 มิ.ย. 63

     

    Chapter 19 – Rumors of Queen

     

                เหตุการณ์แบบเมื่อหลายวันก่อนเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง แม้ว่าดาริอัสจะขับไล่ผลักไส(?)ผู้หญิงคนนั้นไปอยู่กับเจเรเมีย แต่เพราะช่วงนี้เจเรเมียมักมาเยี่ยมเยียนเหล่าราชินีและจักรพรรดิอยู่บ่อยๆ ทำให้แม้ไม่อยากเจอแต่เธอก็ต้องเจอทั้งคู่ไปโดยปริยาย

                เดิมทีเธอมั่นใจว่าเธอเป็นคนที่เก็บอารมณ์เก่งมากในระดับหนึ่ง แต่ยามที่เจอทั้งคู่อยู่ตรงหน้า— ไม่สิ แค่ลอเรนน่าคนเดียวก็ได้ เธอกลับไม่สามารถเก็บสายตาชิงชังเย็นยะเยือกราวน้ำแข็งนั่นได้เลยแม้แต่นิดเดียว

                ไปๆมาๆ เรื่องที่เธอไม่ปลื้มลอเรนน่าก็กลายเป็นประเด็นร้อนภายในวังอย่างรวดเร็ว

    “นางข้าหลวงคนใหม่จากตระกูลเอฟเนอร์งดงามมาก ท่านเทนทาเนียคงไม่พอใจความงามของนาง”

    “อ๋อ เลดี้ลอเรนน่าน่ะหรือ ข้าว่าท่านเทนทาเนียงามกว่ามาก แต่เลดี้ลอเรนน่า— ก็ดูร่าเริงสดใสน่าเอ็นดูกว่าจริงๆ”

    “จะว่าไป ข้าได้ยินมาว่าจริงๆแล้วที่องค์ราชินีไม่ชอบนางเพราะหึงหวงองค์จักรพรรดิ”

    “เรื่องนั้นข้าก็ได้ยินเช่นกัน องค์จักรพรรดิกลัวราชินีไม่พอใจจึงส่งนางไปรับใช้องค์ชายเจเรเมีย”

    “แต่ข้าได้ยินมาว่าองค์ราชินีหึงหวงที่เลดี้เอฟเนอร์สนิทสนมกับองค์ชายเจเรเมีย”

    “ชู่ เจ้าพูดเสียงเบาหน่อยสิ อยากหัวขาดรึไง!

    ....

    ได้ยินหมดแล้วจ๊ะ

    “พวกนางกล้าดียังไง” ซาเนียถกแขนเสื้อขึ้น ท่าทีฟึดฟัดไม่ชอบใจ หากไม่ใช่เพราะเทนทาเนียดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้ เชื่อว่าสาวเจ้าคงพุ่งไปชี้หน้าด่านางกำนัลพวกนั้นเรียงตัวแน่ๆ “ให้ข้าไปจัดการพวกนางมั้ยเพคะ!

    เธอถามอย่างฉุนเฉียว เทนทาเนียส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    “ไม่ต้องหรอก” เธอว่า “แต่จำหน้ากับชื่อพวกนางเอาไว้”

     “เพคะ”

    ข่าวลือแพร่ไปเร็วแค่ไหนเธอย่อมรู้ดีที่สุด เพราะเธอก็เคยใช้ประโยชน์ของมันมาก่อนตอนที่จัดการมารีแอนน์ ข่าวลือมากมายที่ถูกแพร่งพรายปากต่อปากโดยไม่มีการไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ถูกใส่สีตีไข่จากความเชื่อที่แตกต่าง อคติส่วนบุคคล และจินตนาการของผู้คนที่ได้รับฟัง

    ข่าวลือคืออาวุธที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับสุภาพสตรีชนชั้นสูง

    ข่าวลือพวกนี้มีใครจงใจปล่อยมาเล่นงานเธอหรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญกันแน่?

     แค่ข่าวลือที่มีดาริอัสมาเกี่ยวข้องก็ว่าน่าหงุดหงิดแล้ว แต่เรื่องที่ว่าเธอหึงหวงเจเรเมีย— ตลกสิ้นดี แค่คิดก็อยากจะขำก๊ากออกมาดังๆ

    ต่อให้ใจจริงเธอจะเครียดจนยิ้มแทบไม่ออกก็เถอะ

    เพราะข่าวลือสามารถฆ่าคนได้

    สมมติว่าดาริอัสโง่กว่านี้ซักหน่อย และภายในร่างนั้นก็ไม่ใช่คิมโดยองผู้ลงเรือลำเดียวกันกับเธอไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน หากเกิดข่าวลือโง่ๆขึ้นมาว่าเธอมีความสัมพันธ์ลับๆกับบุรุษคนใดซักคน เพียงแค่นั้นจุดจบของเธอและตระกูลก็มีเพียงแท่นประหารที่รออยู่

    “ฝ่าบาทอยู่ไหน”

    “ยังไม่กลับวังเพคะ”

    “งั้นเหรอ”

    หญิงสาวพึมพำ นึกถึงสิ่งที่ดาริอัสบอกกับเธอเมื่อวันก่อน— ยูทารอธอาจมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับทางวิหาร และการสืบสวนเรื่องการเสียชีวิตของดยุคและดัชเชสแห่งโอไซไลน์กับการเสียชีวิตของท่านดยุคแห่งเมลวาสคงมีค่ามากพอที่จะลองดู

    ดาริอัสออกจากวังไปตั้งแต่เมื่อวานและยังไม่กลับมา

    ชั่วครู่หนึ่ง— เธอหวนนึกถึงบาดแผลที่มือข้างซ้ายของยูทารอธเมื่อ 3 ปีก่อน

    “แล้วเรื่องข่าวลือล่ะเพคะ” ซาเนียถาม

    หญิงสาวหลุบตาต่ำลงอย่างครุ่นคิด

                “ปล่อยมันไปเถอะ” เธอว่า

                “เดี๋ยวมันก็ซาไปเอง”

              ใช่ เดี๋ยวมันก็ซาไปเอง..

     


                ซะที่ไหนกันเล่า!

                เธอเหลือบมองเหล่านางข้าหลวงภายในวังที่รีบหลบหน้าหลบตาทันทีที่เธอเดินผ่านราวกับว่าการจับกลุ่มซุบซิบนินทากันเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากข่าวลือที่ว่านั่นเป็นเรื่องบังเอิญก็ดีไป แต่หากเป็นเรื่องที่ใครซักคนตั้งใจให้เกิดขึ้นล่ะก็— แสดงว่าอีกฝ่ายคงต้องการเหยียบเธอให้จมดินกันเลยทีเดียว

              “จากที่เป็นคนดังอยู่แล้ว ก็กลายเป็นว่ายิ่งดังเข้าไปอีกสินะ”

                เจนิซที่มาเยี่ยมเยียนเธอเมื่อสามวันก่อนพูดไว้แบบนี้

                ใครมันอยากดังด้วยชื่อเสียงแบบนี้กันวะ!?

                ยังดีที่ข่าวลือนี้ไม่ได้แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอก คิดว่าคงมีใครซักคนพยายามยับยั้งมันเอาไว้ ก็คงไม่พ้นพวกดาริอัสนั่นล่ะ

                “จะกลับวังมั้ยเพคะ” ซาเนียที่เป็นห่วงกลัวว่าเธอจะคิดมากกับสายตาสอดรู้สอดเห็นเหล่านั้นกระซิบถามเสียงเบา เธอไหวไหล่ก่อนเชิดหน้าขึ้น ริมฝีปากสีสดเหยียดยิ้มร้าย

                “ไม่” เธอว่า “หากข่าวลือพวกนี้มีคนจงใจสร้างขึ้น สิ่งที่พวกนั้นต้องการก็คือทำให้ข้าอับอายจนต้องหลบหน้าหลบตาเก็บตัวอยู่ในวังของตัวเอง”

                ซาเนียตาวาวเป็นประกายอย่างชื่นชมในความฉลาดหลักแหลมของผู้เป็นนาย

                หากไม่ติดว่าที่นี่ไม่ใช่วังตะวันออกและไม่มีสายตานับร้อยคู่จดจ้อง คิดว่าเธอคงปรบมือแปะๆเหมือนพ่อแม่ตอนเห็นลูกตัวเองสอบได้ที่ 1 ของสายชั้นอย่างแน่นอน

                “ข้าได้ข่าวว่าเฮนเดอริกเข้าวังหลวงมา ไปหาเขาก็แล้วกัน”

                “เพคะ!

                ให้มันรู้กันไปว่าระหว่างความอดทนของพวกมันกับความหน้าด้านหน้าทนของเธอ อะไรจะหมดลงก่อนกัน!

     


                เฮนเดอริกยังคงยุ่งเช่นเคย แม้จะอยู่ภายในวังหลวงแต่ก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดขลุกอยู่กับพวกแพทย์ในวังและคอยคิดสูตรยาร่ำเรียนวิชาแพทย์ในสาขาที่ตนไม่ถนัดอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะไปหาถึงที่ท่ามกลางสายตาแปลกๆของพวกหมอเฒ่า แต่สุดท้ายก็ได้คุยกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น

                “ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆพี่เนีย แต่ข้าต้องกลับไปทดลองยาต่อแล้ว”

              อา เด็กน้อยติดพี่สาวในวันนั้นโตถึงขนาดนี้แล้วสินะ

                เทนทาเนียคิดอย่างปลงตก ได้แต่โบกมือน้อยๆให้แผ่นหลังของน้องชายที่เดินกลับเข้าห้องพักแพทย์ไปด้วยใจวูบโหวง

                “จะไปไหนต่อดีเพคะ” นางข้าหลวงคนสนิทถาม เธอถอนหายใจ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินก่อนในสวนพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ควรทำในวันนี้

    ดาริอัสเองก็งานยุ่งแทบไม่มีเวลาว่าง เอลายน์ก็ไม่ได้ว่างคุยกับเธอเช่นเมื่อก่อนเพราะต้องคอยรีบสะสางงานก่อนเธอจะขึ้นเป็นจักรพรรดินี จีซูก็ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในวังตัวเองไม่สนโลก ส่วนนาร์ซิสซ่าก็ไม่ใช่คนประเภทที่เธอจะคุยด้วยได้อย่างสนิทใจเพราะรสนิยมและความชอบหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน

                “ไปห้องสมุด”

                “เพคะ? ห้องสมุด?” ซาเนียดูไม่เข้าใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมตามไปแต่โดยดี เทนทาเนียเชิดหน้าขึ้นเมินเฉยต่อเสียงซุบซิบนินทาและสายตาเสียดแทงของผู้คนตลอดเส้นทาง เธอยิ้มทักทายบรรณารักษ์วัยกลางคนที่ค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนบอกให้ซาเนียไปทำธุระของตัวเองต่อได้ ส่วนเธอก็เดินวนหาหนังสืออ่าน

                ห้องสมุดหลวงในวังซึ่งตั้งอยู่ในเขตคาลล่าลิลลี่นั้นนับว่าเป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเครซิเมอเรียเลยก็ว่าได้ มีทั้งหมดห้าชั้น แน่นอนว่าทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือมากมายทั้งที่เธอเคยเห็นและไม่เคยเห็นมาก่อน

                เธอเงยหน้าขึ้นมองชั้นหนังสือที่สูงชะลูดเลยศีรษะ เอื้อมมือไปแตะๆสันหนังสือแต่ละเล่มที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูจากฝุ่นที่เกรอะ คิดว่าห้องสมุดคงไม่ใช่สถานที่ยอดนิยมภายในวังหลวงนัก ดวงเนตรสีมรกตกวาดตามองชื่อหนังสือแต่ละเล่มอย่างพินิจ หวังว่าจะเจอซักเล่มที่น่าสนใจพอจะหยิบมาอ่าน

                แต่แล้วเงาที่พาดมาจากด้านหลังก็ทำให้หญิงสาวชะงักไป

                “งานเสร็จแล้วเหรอ” เธอถามโดยไม่ได้หันไปมองหน้าผู้มาเยือน ดาริอัสกลั้วหัวเราะในลำคอ พาดแขนกับไหล่แคบด้วยความเคยชินพลางเหลือบมองชั้นหนังสือที่หญิงสาวจ้องตาเป็นมัน

                “ก็เหนื่อย เลยมาพักซักหน่อย”

                “ด้วยการเดินจากเขตพีโอนีมาเขตคาลล่าลิลลี่เนี่ยนะ?

                ดาริอัสยิ้มตอบ เหลือบมองซ้ายขวาก่อนก้มลงกระซิบ “ก็รู้ว่าเธออยู่ที่นี่”

                เทนทาเนียมองสายตากะลิ้มกะเหลี่ยด้วยสายตาเหนื่อยใจ มือเรียวผลักหน้าอีกฝ่ายออกห่างแล้วกระซิบตอบ “ฉันไม่หลงคารมนายหรอกนะ”

              บอกไม่หลงคารมแต่หน้าแดงถึงหู

                ดาริอัสคิดอย่างขำขัน เขามองเทนทาเนียที่เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในชั้นออกมาด้วยสายตาระคนเอ็นดู หญิงสาวนำมันไปกางบนโต๊ะ พอเห็นเขาจะเดินตามก็หันมองตาขวาง คงคิดว่าหน้าตาน่ากลัวมากมั้ง เหมือนแมวไม่ก็พวกปีศาจน้อยต่างหาก

                “อ่านอะไรน่ะ” ดาริอัสเดินอ้อมหลังพลางชะโงกหน้ามาถาม เธอยื่นหน้าปกให้อีกฝ่ายดู “มหาราชแห่งเครซิเมอเรีย?

                “ประวัติของ เคนซีย์ ไฮเพอเรียน”

                เคนซีย์ ไฮเพอเรียนคือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเครซิเมอเรียที่มีชีวิตอยู่เมื่อเกือบ 700 ปีก่อน เป็นมหาราชเพียงคนเดียวจากบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด เนื่องจากเป็นจักรพรรดิที่นำพาจักรวรรดิให้ข้ามผ่านยุคมืดไปได้ ชื่อกลางของดาริอัสเอง— ก็มาจากชื่อของจักรพรรดิพระองค์นี้

                “เล่มนี้เขียนโดยตระกูลเลย์ลาเบล” เธอว่า

                “นอกจากเล่มนี้ก็ยังมีอีกหลายเล่มเลย ทั้งเรื่องของจักรพรรดินีเกวนดาห์เลีย เรื่องของราชินีแมรี่ เรื่องของจักรพรรดิวิคเตอร์ มีเรื่องรักต้องห้ามเมื่อหลายร้อยปีก่อนระหว่าง ดาวิด กวินฟอร์ มาร์ควิสต์แห่งเอนเดลไพรด์กับองค์ชายลำดับที่ 10 ทาเอล ไฮเพอเรียน ด้ว— ” ไม่ทันที่จะได้พูดจบ คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

                ทั้งหมดนี่เขียนโดยตระกูลเลย์ลาเบล ตระกูลเลย์ลาเบล..

                “เอเมอรัลด์ เลย์ลาเบล..” เธอพึมพำชื่อหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ดวงเนตรสีมรกตเบิกกว้าง วางหนังสือในมือบนโต๊ะอย่างแรงก่อนหุนหันเดินออกจากห้องสมุดไปโดยไม่สนจักรพรรดิหนุ่มที่ได้แต่ยืนงงอยู่ที่เดิม

                “ลูคัสอยู่ไหน” ทันทีที่เดินออกมาจากห้องสมุดเธอก็ถามหาอัศวินหนุ่มจากซาเนียทันที นางข้าหลวงสาวเมื่อเห็นท่าทีรีบเร่งของเธอก็ทำได้เพียงนำเธอไปหาเจ้าของนามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอพูดคุยกับลูคัสอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลับวังไปเพื่อเปลี่ยนชุดและเตรียมตัวสำหรับการออกนอกวังหลวง หญิงสาวร่างบางภายใต้ผ้าคลุมสีทึบก้าวขายาวๆขึ้นรถม้าไปโดยมีอัศวินคนสนิทขี่ม้าตามตลอดเส้นทาง



                ทันทีที่ถึงเมืองหลวง เธอก็พาเขาไปนั่งในร้านอาหารธรรมดาๆไม่ได้หรูหรานักร้านหนึ่ง เธอหลุบตาต่ำมองเมนูในมือคล้ายว่าตัวเองเป็นเพียงชาวเมืองธรรมดาๆและกำลังเลือกเมนูอาหาร ทว่าปากก็ยังพูดคุยกับอัศวินหนุ่มร่างสูงที่นั่งตรงข้ามด้วยเสียงเบาราวเสียงกระซิบ

                “เรื่องของตระกูลเลย์ลาเบล”

                “ท่านจะให้ข้าสืบเรื่องพวกเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

                “ใช่” เธอว่า ตระกูลเลย์ลาเบลเป็นตระกูลที่อยู่มาช้านาน ทำหน้าที่คอยบันทึกประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ เรื่องนั้นเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาวเมือง ทว่าตระกูลนี้ลึกลับนัก การจะพบตัวคนในตระกูลซักคนเป็นเรื่องที่ยากมาก พวกเขาไม่เคยเปิดเผยตัวตนในหมู่สังคมชนชั้นสูง คล้ายว่าจะทำตัวกลมกลืนไปกับทุกสิ่งอย่าง แต่ทั้งที่ไม่เปิดเผยตัวตน— กลับสามารถบันทึกประวัติศาสตร์ได้ละเอียดถึงขนาดนั้น

                ละเอียดถึงขนาดที่รู้ว่าใครพูดอะไรกับใครยังไงบ้าง

                นั่นแสดงว่าพวกเขาแฝงตัวอยู่ในวังหลวงและตระกูลขุนนางมานาน อาจจะปกปิดตัวตนของตัวเองแล้วซุกซ่อนอยู่ตามวังและคฤหาสน์ในฐานะคนใช้ คนสวน นางกำนัล หรืออะไรก็ตามแต่ เพื่อบันทึกทุกสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น

                พวกเขามีคนมากมายขนาดไหนกันถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นได้

                “แล้วให้สืบเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ สมาชิกของพวกเขา? การทำงาน? เครือข่าย? หรือว่าแหล่งที่ตั้งของพวกเขา”

                “ทุกเรื่อง” เธอตอบ ดวงเนตรวาววับครู่หนึ่ง “โดยเฉพาะเรื่อง เอเมอรัลด์ เลย์ลาเบล สืบให้ข้าว่าในตระกูลเลย์ลาเบลมีคนชื่อนี้อยู่รึเปล่า”

              เอเมอรัลด์ เลย์ลาเบล ถ้าชื่อนี้มีอยู่จริงล่ะก็..

                เธอเงียบไป ก่อนจะละทิ้งความคิดในหัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าที่นั่งอยู่ตรงข้าม ลูคัสดูไม่เข้าใจนัก แต่เขาก็ยอมพยักหน้าอย่างว่าง่าย

                “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เทนทาเนียเท้าคางกับโต๊ะ มองอัศวินหนุ่มที่ไม่หือไม่อือไม่ถามอะไรซักอย่างด้วยสายตาเป็นประกาย

                “เจ้านี่ว่าง่ายดีเนาะ ไม่ถามอะไรซักคำ”

                คนตัวสูงทำหน้าเหลอหลา “เอ่อ ก็นั่นเป็นคำสั่ง..”

                “แต่เจ้าที่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”

                หมอนี่เป็นแบบนี้ตลอด เธอว่าไงเขาว่าตามกัน เป็นคนซื่อๆที่เออออห่อหมกกับทุกสิ่งที่เธอพูด บางทีก็เด๋อๆด๋าๆและไม่ค่อยทันคนเท่าไหร่ แต่ก็ดี— เธอชอบคนไม่มีเล่ห์แบบนี้

                การมีคนฉลาดอยู่รอบตัวมากๆ บางทีมันก็น่าเบื่อเหมือนกัน

                เธอเหนื่อยกับการต้องมาเดาว่าใครคิดอะไร รู้สึกยังไง

                หลังจากนั้นเธอกับลูคัสก็นั่งทานข้าวด้วยกันเงียบๆอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เธอจะให้ลูคัสพาเดินดูรอบเมืองเพื่อผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาอย่างยาวนาน หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ บิดกายไปมาขับไล่ความเมื่อยล้า นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองไปรอบเมือง ก่อนสะดุดกับหอคอยสูงที่จำได้เลือนรางว่านั่นน่าจะเป็นหอคอยของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง

              ยูทารอธอาจมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับทางวิหาร

                เธอนึกถึงคำพูดนั้นของดาริอัสอย่างเงียบงัน

                “ไปวิหารกัน”

                “เอ๋? วิหารเหรอพ่ะย่ะค่ะ” ลูคัสดูงุนงน แต่ก็เดินนำเธอไปยังวิหารที่อยู่ไกลออกไปไม่มากทันที

    วิหารศักดิ์สิทธิ์ในเมืองหลวงนั้นต่างจากวิหารตามเมืองหรือเขตต่างๆเป็นอย่างมาก ทั้งใหญ่และงดงามจนแม้แต่วิหารที่เทนทาเนียเคยไปขอพรเองยังเทียบไม่ติด ตัวอาคารทั้งหมดเป็นสีขาวพิสุทธิ์ดูสะอาดตา หลายอาคารทำจากหินอ่อนราคาสูงลิ่วเทียบเท่ากับหินอ่อนในพระราชวัง ทั้งกลิ่นหอมประหลาดที่ลอยมาตามลมก็ทำให้รู้สึกสงบใจน่าประหลาด

                เทนทาเนียเองก็เคยมาที่วิหารแห่งนี้เพียงสองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือเมื่อสองปีก่อน— มากับพระชนนีเพื่อขอพรให้ดาริอัสมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงหายจากโรคภัย และครั้งที่สองคือครึ่งปีที่ผ่านมา

                ตอนนั้นมาเพื่ออะไรนะ

                อ้อ มาร่วมพิธีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับการอวยพรให้จักรวรรดิ

                “เข้าไปข้างในกันเถอะ”

                “พ่ะย่ะค่ะ”

                เธอกระชับผ้าคลุมก่อนเดินนำอัศวินหนุ่มร่างสูงเข้าไปในประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นประตูที่กั้นอาณาเขตระหว่างวิหารกับโลกภายนอก มีเพียงชนชั้นสูงและขุนนางเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์สาขาหลักแห่งนี้ มันจึงไม่แปลกที่ที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนในชุดหรูหรางดงามเดินสวนกันไปมา

                “ถ้าจำไม่ผิด ท่านฟรานซิส หัวหน้านักบวชคนก่อนจะพึ่งเกษียณตัวเองออกไป ถ้าเจ้าไปสืบเรื่องราวจากเขาได้จะดีมา— ”

                ร่างบางชะงัก ดวงเนตรสีมรกตที่เหลือบมองไปยังผู้คนมากมายชั่วครู่เบิกกว้าง มือที่กระชับผ้าคลุมศีรษะร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงโดยที่ไม่รู้ตัว เธอดึงแขนลูคัสมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่งแล้วเม้มริมฝีปาก สีหน้าเคร่งเครียดที่แสดงออกมาทำให้อัศวินร่างสูงไม่กล้าซักถามอะไร

                “พวกเขามาทำอะไรที่นี่”

                เธอกะพริบตาปริบๆ หันไปมองทางเดิมอีกครั้ง

                มันไม่ใช่ภาพหลอน

                ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น— ร่างสูงโปร่งผู้มีผมสีบลอนด์อ่อนและชายหนุ่มอีกคนเจ้าของกลุ่มผมสีดำขลับราวท้องฟ้ายามรัตติกาลและดวงเนตรสีน้ำตาลทอง

                “ทำไมจูเลียนกับเจเรเมียถึงมาอยู่ที่นี่!?



    -----|-----|-----|-----|-----|-----

    เจเรเมียมาเยี่ยมเนียบ่อยๆเลยเกิดข่าวลือ แต่ว่าเตง นางมาเยี่ยมน้องเนียตามที่ใครบอกนะ ?

    ไหนจะจูเลียนกับยูทารอธนั้นอีก จูเลียนมาวิหารกับเจเรเมียทำไมกันนะ ส่วนยูทารอธ หลังจากหายไปนานตอนหน้าจะกลับมามีบทค่ะ อ้อ ใน 3 คนนี้มีคนร้ายจริงค่ะ แต่ก็มีตัวหลอกด้วย สู้ๆกับการตามหาคนร้ายที่แท้จริงนะคะ! เราเป็นกำลังใจให้ (ฮา)

    ย้ำอีกครั้ง ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคฟีลกู้ด (ฟีลกู้ดบ้านแกสิ) แม้ช่วงหลังจะเนื้อหาหนักไปหน่อย (ไม่หน่อยแล้วมั้ง) แต่ก็พยายามใช้ภาษาให้มันดูซอฟๆอยู่ค่ะ แหะ ยังไงก็ตาม อย่าไปเครียดกับมันมาก ถือว่ามาอ่านเล่นๆ(?)แล้วกันค่ะ สำหรับเราแค่ทุกคนรู้สึกว่ามันสนุกเราก็โอเคแล้ว 

    #เทนทาเนียdt

     

    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×