คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 – เข้าวัง
03 – เข้าวัง
‘หลี่โยวไท่’ หรือ ‘โยวอ๋อง’
โอรสลำดับที่ 7 ในองค์จักรพรรดิหลี่ตงไห่ที่เกิดกับอูหย่าซิวหรง
พระสนมนางหนึ่งขององค์จักรพรรดิผู้ซึ่งเสียชีวิตในทันทีที่ให้กำเนิดพระโอรส
เพราะเหตุนั้น— เขาจึงกลายเป็นโอรสบุญธรรมของจินกุ้ยเฟย
สนมเอกผู้มีอำนาจและได้รับการโปรดปรานมากที่สุดในวังหลัง
โยวไท่อายุมากกว่าหย่งชินเกือบ
9 ปี
ที่จริง
หากคนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาง
ย่อมคิดว่าเขากับนางไม่น่าจะมีโอกาสได้มาพบรักกันได้
เพราะโยวไท่เป็นถึงบุตรบุญธรรมของจินกุ้ยเฟย
คงเกิดมาเพียบพร้อมและเติบโตอย่างดีอยู่ในรั้ววัง
ไม่มีทางที่จะได้ออกมาพบกับหย่งชินซึ่งเติบโตอยู่นอกรั้ววังเป็นแน่
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่
ถึงอย่างไรเสียก็เป็นเพียงบุตรบุญธรรม..จินกุ้ยเฟยซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในวัยสาวย่อมไม่คิดจะเอาใจใส่บุตรที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
เพราะคิดว่าอีกไม่นานตนก็คงมีโอรสเป็นของตัวเองได้ไม่ยาก เพราะเช่นนั้นโยวไท่จึงเติบโตมาโดยไร้อำนาจ
ไร้ความสนใจ ไร้การปกป้อง
ไหนจะเรื่องที่มารดาแท้ๆเป็นองค์หญิงจากดินแดนป่าเถื่อนอันห่างไกล
ในสายตาชาวต้าหลี่..คงมองว่าเลือดเนื้อครึ่งหนึ่งของเขาเป็นของชาวต่างแดน
มีเลือดสกปรกของพวกป่าเถื่อนไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
นั่นยิ่งทำให้แม้มีฐานะเป็นถึงองค์ชาย—
แต่กลับดูไม่ต่างอะไรจากชนชั้นผู้น้อยภายในวัง
ต้องนึกขอบคุณสวรรค์ที่จินกุ้ยเฟยไม่มีโอรส
ในสายตานางเขาจึงกลับมามีประโยชน์ต่อนางอีกครั้ง
จากองค์ชายผู้ถูกกลั่นแกล้งและเกลียดชัง
แปรเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่อาจจะได้รับการคัดเลือกเป็นองค์รัชทายาทในชั่วค่ำคืน
แต่นั่นมันก็อดีต
อย่างที่รู้กันว่าในยามนี้ผู้ที่ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือ ‘หลี่ไท่อี’ โอรสที่เกิดจากฮองเฮาจางหรูอี้ผู้สูงศักดิ์
“ข้าได้ยินมาว่าฮองเฮาจะจัดพิธีคัดเลือกไท่จื่อเฟย[1]ในเร็วๆนี้” หย่งชินเกริ่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หย่อนขาลงในสระบัวที่เย็นเยียบ
ก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายคนรักที่นั่งห่างไม่ถึงคืบแล้วเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นกับชายาองค์ก่อน”
“นางสิ้นพระชนม์แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้”
นางส่ายหน้า “พระองค์เลือกพระชายาใหม่มา 3 ครั้งแล้ว อีกอย่าง
พระชายาสกุลเติ้งก็พึ่งมารับตำแหน่งได้ไม่ถึงปีครึ่งด้วยซ้ำ ท่านจะบอกว่านางสิ้นพระชนม์?”
โยวไท่พยักหน้า
หวนนึกถึงใบหน้าของไท่จื่อเฟยสกุลเติ้ง—
พี่สะใภ้คนล่าสุดที่พึ่งเสียชีวิตไปได้สามวันเศษ หย่งชินเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง
นัยน์ตาสั่นไหว แม้แต่สายธาราที่เย็นยะเยือกยังสู้ไม่ได้กับความหนาวเหน็บที่ไหววูบเข้ามาในใจนางตอนนี้
นางเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง “นี่คงไม่ใช่ฝีมือท่าน”
“...”
“โยวไท่”
ร่างสูงเบนสายตาไปทางอื่น
ไม่คิดสบตากับดวงเนตรที่สั่นไหวราวเปลวเทียนต้องลมของสตรีคนรัก หย่งชินหลับตาลง
ใจหนึ่งนางคิดเอาไว้แล้วว่ามันคงเป็นเช่นนี้
แต่เดิมองค์รัชทายาทไท่อีก็หาใช่คนดีอะไร
พระชายาคนแรกสิ้นพระชนม์อย่างปริศนา
พระชายาคนที่สองก็เกิดสติไม่สมประกอบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเกิดข่าวลือมากมาย
บ้างก็ว่างเป็นองค์รัชทายาทไท่อีเองที่สังหารชายาคนแรก
บ้างก็ว่าองค์รัชทายาทไท่อีโหดร้ายทารุณ รังแกบ่าวและข้ารับใช้ จนทำให้พระชายาคนแรกทนไม่ได้ชิงฆ่าตัวตาย
ส่วนชายาคนที่สองก็ถูกทำร้ายจนจิตพิกลพิการ
สิ่งที่โยวไท่ทำ
ก็เป็นเพียงการสุมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟที่มีอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น
“เจ้าโกรธข้าหรือ”
หย่งชินไม่ตอบ
โยวไท่หยัดตัวลุกขึ้นจากขอบสระบัว ดึงแขนสตรีคนรักอย่างแรงจนหย่งชินต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้
นัยน์ตาคมจดจ้องใบหน้างามของคุณหนูใหญ่สกุลหวงด้วยสายตาอ่านยาก
“ที่ข้าทำทั้งหมดนี่ก็เพื่อเป้าหมายของข้า เพื่อความฝันของข้า เพื่อเจ้า”
“ข้ารู้”
นางหลับตาลง “ข้าเพียงแต่สงสารพระชายา นางอายุยังน้อยนัก”
“อีกไม่กี่วันจะมีการส่งตัวธิดาของขุนนางชั้นสูงทุกตระกูลไปเข้าร่วมการคัดเลือกไท่จื่อเฟย”
โยวไท่เกริ่น รวบตัวหย่งชินมากอดเอาไว้แนบอก เกยคางไว้บนไหล่แคบ
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไป แต่ได้โปรดอย่าทำตัวเป็นจุดเด่นนัก ข้าต้องเป็นบ้าแน่หากไท่อีหลงรักเจ้าเข้า”
“แล้วถ้าเขาเกิดชอบพอข้าขึ้นมาเล่า”
นัยน์ตาคมเย็นยะเยือก
“ข้าจะฆ่าเขาซะ”
หย่งชินคลี่ยิ้ม นางรู้ว่าสิ่งที่ชายตรงหน้ากล่าวไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่ประการใด
ไม่มีสิ่งใดที่โยวไท่ไม่กล้าทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ชั่วครู่หนึ่ง
ในใจของนางเกิดคำถาม เขาจะกล้าทิ้งนางเพื่อเป้าหมายของเขาหรือไม่
ดวงเนตรสีนิลสั่นไหวยามคาดเดาถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ลมหนาวยามราตรีพัดพาความหนาวเหน็บเข้าสู่หัวใจของนาง หย่งชินเม้มริมฝีปาก
“สัญญากับข้า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจะไม่มีวันทอดทิ้งข้าไว้ข้างหลัง”
ร่างสูงสบตากับสตรีผู้เปรียบเสมือนบุหลันงามแห่งใต้หล้านิ่ง
แววตาที่แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง
แต่กลับซุกซ่อนความเปราะบางเอาไว้ภายในได้อย่างแนบเนียน
“ข้าสัญญา”
“...”
“ข้าหลี่โยวไท่ขอสาบาน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า หากผิดคำสาบาน
ขอให้ข้าต้องตายด้วยน้ำมือของผู้ที่ข้ารักมากที่สุด”
ใบไม้โดยรอบสั่นไหว
ลมพัดแรงราวกับจะพัดพาคำมั่นของชายหนุ่มให้ได้ยินไปถึงสรวงสวรรค์เบื้องบน
แสงจันทร์สาดทอแสงลงมายังใบหน้างามของคุณหนูใหญ่ตระกูลหวง
และแล้วดอกอวี้หลัน[2]ที่เคยบานสะพรั่งก็ร่วงโรย
หย่งชินมองสาส์นเชิญตัวเข้าวังหลวงด้วยแววตาหลากหลาย
หลังจากที่กลับมายังจวนตระกูลหวง บิดาของนางก็เรียกตัวนางเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับการคัดเลือกไท่จื่อเฟยที่ฮองเฮาเป็นผู้จัดขึ้น
ตระกูลหวงของนางและตระกูลอู๋ซึ่งเป็นตระกูลพันธมิตรไม่เคยคิดฝักใฝ่ฝ่ายใด
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของฮองเฮาหรือจินกุ้ยเฟย
ข้อดีคือไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายกับการแก่งแย่งชิงอำนาจในหมู่ขุนนาง
แถมยังได้รับการไว้วางใจจากองค์ฮ่องเต้
ส่วนข้อเสีย—
ก็คือการถูกระแวงและถูกจ้องโจมตีจากขุนนางทั้งสองฝ่าย รวมถึงไม่มีเชื้อพระวงศ์สนับสนุน
ทำให้ยากที่จะมีฐานอำนาจที่มั่นคง
พวกขุนนางเหล่านั้นกำลังระแวงเรื่องที่ตระกูลหวงและตระกูลอู๋อาจไปสนับสนุนองค์ชายพระองค์อื่นขึ้นมาจนกลายเป็นฐานอำนาจกลุ่มใหม่
และทำให้การแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทยากเย็นขึ้นไปอีก
เพราะแบบนั้นฝ่ายตระกูลจินจึงต้องการทำลาย
ส่วนฝ่ายตระกูลจางก็ต้องการจะดึงไปสนับสนุนฝ่ายตัวเอง
น่าเสียดาย
ตระกูลหวงและตระกูลอู๋อาจจะเข้าร่วมกับตระกูลจางไปนานแล้ว หากไม่ติดว่าพวกเขาไม่ชอบใจองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันที่ฝ่ายตระกูลจางหนุนหลังอยู่เท่าใดนัก
เพราะแบบนั้นบิดาของนางจึงย้ำนักย้ำหนาว่านางต้องไม่เป็นไท่จื่อเฟยขององค์รัชทายาทไท่อีโดยเด็ดขาด
“หากเจ้าได้รับเลือกเป็นชายา
นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าจะกลายเป็นตัวประกันที่ตระกูลจางใช้เพื่อให้พวกข้าสนับสนุนพวกเขา”
นั่นคือคำพูดที่บิดากล่าวกับนาง
หย่งชินพยักหน้ารับรู้
ตอนนี้ภายในห้องโถงมีบิดาของนางกำลังนั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้นำตระกูลซึ่งตั้งอยู่เหนือที่อื่นๆ
นอกจากนั้นก็ยังมีมารดาเลี้ยงทั้งสอง และพี่น้องของนางอีก 4
ชีวิตนั่งที่ๆอยู่ระดับลดหลั่นลงมา
“ท่านพ่อ ข้าสงสัย”
กวนเฮิงนั่งอยู่ถัดจากนางยกมือขึ้น เงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อเราไม่พอใจองค์รัชทายาทไท่อี
เลยไม่เข้าร่วมกับตระกูลจาง แล้วเหตุใดถึงไม่คิดสนับสนุนตระกูลจินเล่าขอรับ
ข้ารู้ว่าท่านอ๋องหลี่โยวไท่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังฉลาดหลักแหลม
เหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้ของใต้หล้ามิใช่หรือ”
หวงจื่อเทาสบตากับบุตรชายคนรองของตนอยู่พักหนึ่ง
ก่อนถอนหายใจแล้วหยิบจอกสุราขึ้นดื่ม “แม้ฉลาดหลักแหลมมีไหวพริบ
แต่หากไร้เมตตาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร ไม่ฆ่าข้าราชบริพารตายหมดรึ”
หย่งชินฟังบทสนทนาโดยไม่แสดงความเห็นใดออกไป
นางไม่เคยคิดเรื่องการใหญ่อย่างเรื่องสับเปลี่ยนองค์รัชทายาท
เรื่องการชิงอำนาจระหว่างฮองเฮาและจินกุ้ยเฟย หรือแม้แต่เรื่องการสนับสนุนองค์ชายซักองค์ให้ขึ้นครองราชย์
ผู้คนมากมายรวมถึงโยวไท่อาจจะมองว่านางเป็นคนที่เด็ดขาด
มีอำนาจมากล้น ควรได้อภิเษกกับผู้มีศักดิ์เป็นองค์รัชทายาทแล้วขึ้นเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้รัชกาลถัดไป
แต่สิ่งที่นางต้องการจริงๆก็เป็นเพียงการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนที่ตัวเองรักเท่านั้น
นางแค่ต้องการให้โยวไท่—
คนรักของนางมีความสุข นางต้องการให้ฝันของเขาเป็นจริง ส่วนเรื่องการจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาอะไรนั่นไม่ได้สำคัญกับนางเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาทำไม่สำเร็จและเป็นเพียงองค์ชายธรรมดาๆ นางก็คงรักเขาอยู่ดี
“หลังจากที่เข้าวัง
คงใช้เวลาเกือบเดือนเจ้าถึงจะได้กลับ” จื่อเทาหันมากล่าวกับบุตรสาวคนโต
ใบหน้าคมที่มีริ้วรอยของกาลเวลามองนางด้วยสายตาอบอุ่น “จำคำข้าเอาไว้
ดูแลรักษาตัวให้ดี อย่าฝักใฝ่ฝ่ายใด อย่าโดดเด่น
อย่ากลายเป็นเหยื่อของนายพรานพวกนั้น”
“....”
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่
ระหว่างนั้นยูฉีกับอู๋ต้าวอิงจะคอยดูแลเจ้าเอง”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ผู้นำตระกูลหวงยกยิ้มอย่างพอใจ
“เอาล่ะ
นี่ก็ยามจื่อ[3]แล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด
โดยเฉพาะเจ้า..หย่งชิน รีบเข้านอน
การเดินทางในวันรุ่งขึ้นของเจ้าคงนักหนาเอาการนัก”
“เจ้าค่ะ”
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อดวงตะวันโผล่พ้นจากขอบฟ้า
คุณหนูใหญ่สกุลหวงในชุดผ้าไหมสีทึบปักลวดลายดอกเหมยกล่าวลากับครอบครัว แน่นอน
แม้หลายคนจะไม่ยินดีกับการที่ผู้จัดการเรื่องราวในจวนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยต้องออกเดินทางกระทันหันเช่นนี้
แต่คนที่ดูจะปรีดาก็มีอยู่
นัยน์ตาสีรัตติกาลเหลือบมองแม่เลี้ยงสกุลเจินด้วยสายตาอ่านยาก
ขอแค่นางคนนั้นไม่ก่อปัญหาใดๆให้จวน
แค่นี้นางก็พอใจแล้ว
กวนเฮิงเดินเข้ามาหยุดปลายเท้าอยู่ตรงหน้านาง
กางแขนสวมกอดพี่สาวร่วมมารดาเพียงหนึ่งเดียว หย่งชินสวมกอดกลับ
กวนเฮิงรู้ดีว่านางนั้นฉลาดหลักแหลม มีไหวพริบ สามารถเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์
หากแต่ในวังหลวงนั้นต่างกัน— ผู้คนนับพันมีแสนเล่ห์เหลี่ยม
ในเมืองนี้พี่สาวของเขาเป็นที่รักใคร่ แต่ในวังนั้นจะเหมือนกันได้อย่างไร
นางจิ้งจอกพวกนั้นได้หาทางเล่นงานหย่งชินเป็นแน่
“ข้าไม่เป็นไร”
หย่งชินกล่าวเพื่อคลายกังวลน้องชาย กวนเฮิงผละตัวออกมา พยักหน้ารับอย่างจำใจ
เชื่อใจในความสามารถของพี่สาว แต่ก็ยังคงเป็นห่วงไม่หาย ได้แต่หวังว่าอู๋ต้าวอิง—
ลูกพี่ลูกน้องสกุลอู๋ผู้นั้นจะสามารถปกปักษ์หย่งชินจนพ้นภัย
หลังจากการนั่งรถม้าโดยใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวัน
รถม้าที่ขับเคลื่อนโดยบ่าวรับใช้ในจวนหยุดอยู่หน้าประตูวังพร้อมกับรถม้าอีกหลายคันของสตรีจากหลายตระกูล
หย่งชินแหวกม่านลูกปัดออก ก้าวขาลงจากรถม้าด้วยทวงท่าสง่างามไร้ที่ติ
ตรงหน้านางคืออู๋ต้าวอิง บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นบุตรชายคนรองของท่านลุงอู๋อี้ฟาน
แม่ทัพใหญ่ของต้าหลี่
“เจ้าดูโตขึ้นมาก”
ต้าวอิงทักทาย “โอ้ แต่ดูท่าจะหน้าตาน่าเกลียดขึ้นนะ”
หย่งชินกลอกตา
“นี่คือคำทักทายลูกพี่ลูกน้องของเจ้ารึ ไร้มารยาทจริงๆ”
“เราก็โตกันมาเฉกเช่นพี่น้อง
เหตุใดต้องเคร่งมารยาทนัก
ต้องให้ข้าพูดหรือไม่ว่าตอนยังเยาว์วัยเจ้าชอบร้องโยเยมาอ้อนข้— “
หย่งชินมองชายตรงหน้าตาโต รีบพุ่งเข้าไปตะครุบปากแทบไม่ทัน
ท่ามกลางการถกเถียงเล็กๆของหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษผู้เป็นญาติสนิท
ซ่งยูฉีลอบขำขันกับท่าทีเป็นเด็กๆที่คุณหนูของนางจะแสดงออกเฉพาะต่อหน้าคุณชายอู๋เท่านั้น
ใครว่าคุณหนูของนางไม่มีมุมน่ารัก
คนผู้นั้นช่างมีตาหามีแววไม่!
ผู้ที่ได้รับราชโองการเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกไท่จื่อเฟยจะสามารถเข้าวังโดยมีผู้ดูแลได้สองคนเป็นอย่างมาก
หนึ่งคือบ่าวรับใช้ที่เป็นสตรีเท่านั้น สองคือคนรู้จักหรือญาติสนิทมิตรสหายที่รับตำแหน่งอยู่ในวังหลวงอยู่ก่อนแล้ว
เช่น ทหารองครักษ์ หรือนางกำนัล
ครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ราวๆ
12 ปีเศษ นางเคยเข้าวังมาเพื่อเป็นสหายขององค์หญิง
แต่นั่นมันก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆไม่ถึงปีครึ่งด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม
มันทำให้นางไม่ได้ตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่และสวยงามตระการตาของพระราชวังเท่าที่สตรีจากตระกูลอื่นเป็น
เมื่อเหล่าสตรีผู้ที่จะมาเข้ารับการคัดเลือกไท่จื่อเฟยก้าวขาเข้ามาในวัง
ก็จะมีนางกำนัลอาวุโสมาชี้แนะเรื่องกฎระเบียบภายในวังและการพักอาศัยที่ตำหนักหย่งเหอกงซึ่งเป็นตำหนักรับรองทางฝั่งตะวันออกของราชวัง
โดยในตำหนักจะมีเรือนหลักอยู่หนึ่ง และเรือนย่อยอีกหลายเรือน มอบให้สตรีผู้มารับการคัดเลือกตระกูลละเรือนไป
การคัดเลือกไท่จื่อเฟยจะเริ่มขึ้นในอีก
5 วัน
ฮองเฮาและตระกูลจางต้องการดึงตระกูลของนางไปสนับสนุนฝ่ายตัวเองมากเพียงใด
นางย่อมรู้ดี และนางคือตัวประกันชั้นเยี่ยม— นางจะไม่มีวันพลาด
นางจะไม่ทำให้วงศ์ตระกูลต้องขายขี้หน้า
และในทางกลับกัน..ตำแหน่งไท่จื่อเฟยจะต้องไม่ใช่นาง!
ภายในอุทยานฝั่งตะวันตกของวังหลวง
องค์ชายไท่หรงยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ มือหนาจับลำต้นไว้
สายตาเหม่อมองออกไปยังบึงน้ำใส ต้องขอบคุณที่อุทยานในฝั่งนี้ไม่ได้มีนางกำนัลหรือขันทีเดินชมมากมายนัก
คงเพราะวันนี้เป็นวันที่สตรีชนชั้นสูงจากตระกูลดังมากมายได้รับราชโองการเรียกตัวเข้ามารับการคัดเลือกเป็นไท่จื่อเฟย
ซ้ำยังพักอาศัยอยู่ที่ตำหนักหย่งเหอทางฝั่งตะวันออก
เหล่าขันทีและนางกำนัลจึงให้ความสนใจกับที่นั่นจนไม่มีเวลาว่างมาเดินเล่นที่อุทยานทางฝั่งนี้
นั่นนับเป็นเรื่องดี
ใช่ เรื่องดี
“ข้าน้อยไม่เข้าใจเลยขอรับ”
เสียงของเหนียนข่ายช่าน
ข้ารับใช้คนสนิทเรียกความสนใจขององค์ชายหนุ่มจากดอกเหลียนฮวา[4]ในบึง “ในเมื่อเป็นพิธีคัดเลือกไท่จื่อเฟย แล้วทำไมต้องเรียกตัวท่านกลับเมืองหลวงด้วย”
“คงเป็นความคิดขององค์รัชทายาทกระมั้ง
ข้าจะไปเข้าใจการคิดการอ่านของเขาได้เช่นไร”
“โธ่
ท่านอ๋อง!” ข้ารับใช้ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ
“เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทไม่ประสงค์ดีกับท่าน เพราะงั้นช่วยสนใจหน่อยเถิดขอรับ!”
“ชู่ว”
บ่าวรับใช้ตัวน้อยยกมือขึ้นอุดปาก ไท่หรงหันมากล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงค่อนไปทางดุ “ในวังหลวง
หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เจ้าควรระวังมากกว่านี้”
“ข้าน้อยขออภัย
ข้าน้อยผิดไปแล้ว”
“ช่างเถอะ”
ไท่หรงถอนหายใจ ไม่คิดถือสาเอาความ ภายในวังหลวงแห่งนี้ จะพูดสิ่งใด จะทำอะไรย่อมต้องระวังเอาไว้ให้มาก
ใครเล่าจะรู้ อาจมีราชโองการจับตัวไปลงโทษถูกส่งไปที่จวนในวันรุ่งขึ้นก็เป็นได้
“จะว่าไป
ข้าได้ยินมาว่าการคัดเลือกไท่จื่อเฟยครั้งนี้บุตรีคนโตของท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าร่วมด้วยนะขอรับ”
“เจ้าหมายถึง..คุณหนูหวงน่ะหรือ?”
“ขอรับ”
“งั้นก็สมควรแล้ว
การคัดเลือกไท่จื่อเฟยเมื่อ 3 คราก่อนตระกูลหวงหาทางบ่ายเบี่ยงตลอดมา
หากจะบ่ายเบี่ยงอีกครั้งคงโดนครหาจนไร้จุดยืน ก็ถือว่าท่านอัครเสนาบดีทำถูกแล้ว”
ไท่หรงว่าเสียงเรียบ องค์รัชทายาทไท่อีจัดพิธีคัดเลือกพระชายามาได้ 3 ครั้งถ้วน
และครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ตลอดสามครั้งสามคราที่ผ่านมาไร้ซึ่งวี่แววบุตรีสายหลักของตระกูลหวงและตระกูลอู๋
แต่ละครั้งก็อ้างเหตุผลต่างกันไป
ที่ส่งมาก็มีเพียงหญิงสาวเครือญาติห่างๆเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองตระกูลพยายามหลีกเลี่ยงการเข้ามาเกี่ยวดองกับองค์รัชทายาท
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หวนนึกถึงใบหน้างดงามของคุณหนูใหญ่สกุลหวง
ท่าทางเด็ดเดี่ยวและจริงจัง ดูพึ่งพาได้และมีความเป็นผู้นำอย่างหาได้ยาก
คิ้วที่โก่งดั่งคันธนู นัยน์ตากลมคมกริบราวกับมองทุกสิ่งบนโลกทะลุปรุโปร่ง
ริมฝีปากกระจับสีชาด ใบหน้าเรียวรูปไข่ ผิวเนียนใสดุจน้ำนม
อา..
ต้องยอมรับว่านางช่างงดงาม
ไหนจะกิริยามารยาท
ความเพียบพร้อม ความมั่งคั่ง อีกทั้งยังมีหน้ามีตาในสังคม
ไม่แปลกที่ฮองเฮาจะอยากได้นางมาเป็นสะใภ้หนักหนา
“โอ้
นั่นใครกัน น้องสิบสามนี่เอง” รอยยิ้มจางบนใบหน้ามลายหายไปในทันที ไท่หรงกระพริบตาสองสามครั้ง
ก่อนที่จะกลับมาแย้มสรวลดังเดิมแล้วหันไปมองผู้มาเยือน องค์รัชทายาทในอาภรณ์สีเหลืองหม่นปรากฎอยู่ตรงหน้า
ใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้มเหยียด นัยน์ตามองผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายต่างมารดาอย่างดูแคลน
ไท่หรงแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเช่นนั้น
ค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม เอ่ยถวายบังคมด้วยน้ำเสียงนิ่งดุจสายน้ำ
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ไท่อีแค่นหัวเราะในลำคอ “ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน
แต่เจ้าก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด”
“พระองค์หมายถึงสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช้ชีวิตไปอย่างไร้ค่า
แต่ก็..” ไท่อีมีสีหน้าครุ่นคิด “เหมาะสมแล้วนี่นะ เจ้ามันพวกรักตัวกลัวตาย
ใช้ชีวิตไปวันๆแบบไร้ตัวตนในสายตาคนทั้งวังเช่นนี้ก็สมควร”
บ่าวรับใช้อย่างข่ายช่านกำมือแน่น
รู้สึกขุ่นเคืองแทนผู้เป็นนาย หวนนึกถึงอดีตทีไรก็อดที่จะรู้สึกแย่ขึ้นมาไม่ได้
องค์รัชทายาทไท่อียามเจอองค์ชายไท่หรง ไม่จิกกัดเรื่องชาติกำเนิดที่มีมารดาอ่อนแอมากโรค
ก็เสียดสีเรื่องที่ไท่หรงเป็นองค์ชายแต่กลับถูกบ่าวรับใช้ในวังหมางเมิน
ไหนจะเรื่องแม่นางสกุลโจวคนนั้—
“คนอย่างเจ้า
อยู่เงียบๆเจียมตนไปแต่แรกก็ดีอยู่แล้ว” ไท่อีเหยียดยิ้มอย่างร้ายกาจ ยกขาขึ้นออกแรงถีบน้องชายต่างมารดาจนล้มลงไปกับพื้น
ไท่หรงพยายามหยัดตัวขึ้น มองใบหน้าของผู้ครองตำแหน่งไท่จื่อด้วยดวงเนตรสั่นไหวเล็กน้อย
ก่อนที่จะแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเมื่อถูกเตะซ้ำอีกครั้งที่เดิมจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่
บ่าวคนสนิทรีบเข้ามาช่วยพยุง
“ท
ท่านอ๋อง”
“ฮะฮะฮ่าๆๆๆๆ”
ผู้มีศักดิ์สูงกว่าหัวเราะร่วนราวกับกำลังสมเพชน้องชายต่างมารดา อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยยามที่ได้ระบายโทสะหลังจากต้องเจ็บใจเพราะถูกโยวไท่ทำให้เสียหน้าต่อหน้าพระพักต์ของพระบิดา
ไท่อีเดินจากไปพร้อมกับขันทีและทหารองครักษ์
เหลือทิ้งไว้แต่เพียงไท่หรงกับบ่าวที่พยายามพยุงนายของตัวเองให้ลุกขึ้น
“เขามองท่านเป็นที่ระบายโทสะของเขา
แล้วเหตุใดท่านต้องยอมเขาเสมอ” ข่ายช่านถาม
ไท่หรงยิ้มตอบ “ไม่รู้สิ”
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานที่เกิดเหตุมากนัก
หย่งชินนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่
ข้างกายมีบ่าวคนสนิทอย่างยูฉีและลูกพี่ลูกน้องอย่างต้าวอิงขนาบข้าง ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแต่ประการใด—
แค่บังเอิญเดินมาชมอุทยานแล้วดันมาได้ยินเข้า
“นั่นองค์รัชทายาท..กับใคร?” นางถามโดยที่ไม่ได้หันไปมองสถานที่ที่เกิดเหตุเลยด้วยซ้ำ
เมื่อครู่ก็เห็นหน้าผ่านๆ มองไม่ชัดนัก
“คงเป็นองค์ชายสิบสาม”
ต้าวอิงตอบ
“ไท่อ๋องน่ะหรือเจ้าคะ?” ยูฉีถามเสียงหลง “ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่ใช่คนที่โดดเด่นนัก
จริงๆก็เกือบจะถูกลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่สู้คน ซ้ำยังอ่อนแอ แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”
“ระวังคำพูดเจ้าหน่อย”
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”
ยูฉีก้มหน้าลงต่ำอย่างสำนึกผิดเมื่อถูกตักเตือนว่ากล่าว ต้าวอิงที่เห็นลูกพี่ลูกน้องไม่ได้กล่าวแสดงความเห็นใดๆขมวดคิ้ว
“แล้วเจ้าล่ะ คิดว่าอย่างไร”
“ไม่รู้สิ”
“คำตอบอะไรกันล่ะนั้น”
หย่งชินแสร้งหัวเราะน้อยๆ
“หากเขาเป็นเพียงองค์ชายที่แสนอ่อนแอและไม่ได้ความคนหนึ่งก็คงดีไป”
นัยน์ตาเรียวเป็นประกาย “แต่ถ้าสิ่งที่เขากำลังทำเป็นการนั่งบนภูดูเสือกัดกัน[5] นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาน่ากลัวที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมดหรอกหรือ"
------|------|------|------|------|------
[1] ไท่จื่อเฟย - พระชายาองค์รัชทายาท
[2] ดอกอวี้หลัน - ดอกแมกโนเลีย
[3] ยามจื่อ - ช่วง 23.00 - 24.59 น.
[4] ดอกเหลียนฮวา - ดอกบัว
[5] นั่งบนภูดูเสือกัดกัน - (สำนวนจีนโดยขงเบ้ง) เปรียบถึงการรอคอยโอกาสเพื่อฉกชิงผลประโยชน์เมื่อผู้อื่นพลาดพลั้ง / ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา
ไม่ต้องคิดมากแกรรรร มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นนนนนน ไม่ดราม่า(?)ค่ะ! ผ่านช่วง 10 ตอนแรกไปได้ก็สบาย(?)แล้ว~
ทีมไท่หรงกด 1 ทีมโยวไท่กด 2 !!
เลือกทีมต้าวอิงไม่ได้ ลูกพี่ลูกน้อง เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรือบาป
ลืมบอก หย่งชิน - เตนล์ , ไท่หรง - แทยง . โยวไท่ - ยูตะ , กวนเฮิง - เฮนเดอรี่ , ซวี่ซี - ลูคัส ,
ต้าวอิง - โดยอง , ข่ายช่าน - แฮชาน , ไท่อี - แทอิล
(ไว้ว่างๆจะมาทำทำเนียบตัวละครให้ค่ะ แต่เราตัดต่อรูปไม่สวยเลย ;-;)
ปล.เชิญหวีดกันได้ที่ #ท่านอ๋องกลัวเมีย ในทวิตภพเจ้าค่ะ!
ความคิดเห็น