คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 – คนรัก
02 – คนรัก
“ยินดีต้อนรับกลับจวนเจ้าค่ะ ใต้เท้า”
เหล่าบ่าวไพร่ภายในจวนทำความเคารพนายใหญ่ของจวนด้วยความพร้อมเพียง
หวงจื่อเทาพยักหน้ารับรู้ก่อนโบกมือเป็นการให้สัญญาณแยกย้าย
หัวหน้าพ่อบ้านวัยชราเดินนำทางนายเหนือหัวของตนเข้าไปในจวนพร้อมกับจัดแจงน้ำชาไว้บนโต๊ะ
“หย่งชินไปไหน”
“คุณหนูใหญ่ยังมิได้กลับเรือนขอรับ”
จื่อเทาเลิกคิ้ว
“แล้วคนอื่นๆเล่า”
“คุณหนูรองพักผ่อนอยู่ในเรือน
คุณชายใหญ่ไปงานเลี้ยงฉลองกับสหาย คุณชายรองกำลังเรียนวิชาดาบ
ส่วนคุณชายเล็กถูกทำโทษ โดนคุณหนูใหญ่กักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนขอรับ”
อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย
หวงจื่อเทา มีบุตรทั้งหมด 5 คน จากทั้ง 5 คนนั้น มีเพียง 2
คนที่เกิดจากภรรยาเอกหรือฮูหยินใหญ่ นั่นก็คือ คุณหนูใหญ่หวงหย่งชินและคุณชายรองหวงกวนเฮิง
ในขณะที่คุณชายใหญ่
‘หวงซวี่ซี’ และคุณหนูรอง ‘หวงฟางซิน’ นั้นเกิดจากฮูหยินรองจากสกุลเจิน
และคุณชายเล็ก หวงเหรินจวิ้น เกิดจากฮูหยินรองสกุลจ้าว
“ปกติหย่งชินโอ๋เหรินจวิ้นมากกว่าใคร
ดูท่าครั้งนี้เหรินจวิ้นคงไปทำอะไรให้นางไม่พอใจเข้าจริงๆ”
“ฮะๆ
ขอรับ คุณหนูใหญ่โอ๋คุณชายเล็กมากกว่าน้องแท้ๆอย่างคุณชายรองเสียอีก”
“ท่านพ่อ
ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” หวงฟางซินเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีขี้เล่น
นางมุ่งไปกอดคอชายผู้เป็นบิดาอย่างแสนรัก ใบหน้าหวานใสคลอเคลียอย่างออดอ้อน
ท่าทีขี้เล่น เป็นมิตร และน่าเอ็นดูของนางทำให้จื่อเทาที่อ่อนล้าจากการตรากตรำทำงานและเดินทางจากเมืองหลวงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“เจ้าไม่พักผ่อนต่อแล้วหรือ”
นางส่ายหน้า
“ท่านพ่อกลับบ้านทั้งที ข้าก็ต้องมาดูแลท่านสิเจ้าคะ”
คุณหนูใหญ่สกุลหวงที่กลับมาได้ซักพักยืนกอดอกพิงขอบประตูมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย
นิสัยของฟางซินไม่ใช่สิ่งที่หย่งชินชอบนัก
โดยเฉพาะในยามที่ฟางซินทำนิสัยแบบนั้นกับนาง แต่ก็ไม่ได้เกลียด แค่ ไ ม่ ค่ อ ย ช
อ บ
“พี่หญิง
ท่านกลับมาแล้ว” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหย่งชินทันทีที่ฟางซินหันมา
ราวกับปฏิกิริยาเฉยเมยเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนที่นางจะทำความเคารพผู้เป็นบิดาแล้วขอตัวกลับไปพักผ่อนในเรือน
“ดูซิ
ไม่กล่าววาจาทักทายพ่ออย่างข้าซักคำ”
ฟางซินหัวเราะ
“ท่านพี่คงเหนื่อยมากน่ะเจ้าค่ะ ทุกวันนี้นอกจากต้องคอยจัดการงานในจวน
ยังต้องไปพบปะสังสรรค์กับบุตรีตระกูลอื่นอีก”
“งั้นหรอกรึ”
จื่อเทายกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความพึงพอใจ ฟางซินไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
รู้สึกน้อยใจนักยามที่ได้เห็นสายตาที่แสดงถึงความภาคภูมิใจที่บิดามีต่อพี่สาวต่างมารดา
นางหย่อนกายนั่งลงก่อนค่อยๆนวดแขนของผู้เป็นบิดา
นัยน์ตาเหม่อมองถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมกลุ่น
ช่าง—
น่าริษยาเสียเหลือเกิน
เช้าวันรุ่งขึ้น
หย่งชินแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึบปักลวดลายบุปผา
นางมองภาพสะท้อนของตนเองผ่านทางกระจกทองเหลือง
เกศาสีดำสนิทถูกปล่อยยาวสยายจนถึงกลางหลัง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้างดงาม
ทว่านัยน์ตากลับไร้ประกาย
กวนเฮิงปรากฏตัวอยู่ด้านหลัง
“เหรินจวิ้นสำนึกผิดแล้ว”
“งั้นรึ”
มือเรียวหวีผมต่อ ทำทีท่าไม่สนใจ
“ท่านพี่
ข้าก็สำนึกผิดแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
กายบางหยัดตัวลุกขึ้น
สบตากับเนตรคมของผู้เป็นน้องชายร่วมสายเลือด
กวนเฮิงเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริงและเป็นมิตร กล้าหาญ รักความยุติธรรม
แล้วยังมีจิตใจที่ดีงาม แม้ไม่ใช่บุตรชายคนโต แต่ก็เป็นบุตรของภรรยาเอก
ซึ่งตามหลักแล้วก็มีสิทธิที่ได้จะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหวงต่อจากบิดา
แน่นอนว่ายิ่งเป็นน้องชายร่วมสายเลือด
หย่งชินยิ่งรักกวนเฮิงมากกว่าใคร และเมื่อยิ่งรัก..ก็จะยิ่งเข้มงวด
“เข้าใจแล้ว
ข้าจะสั่งยกเลิกการกักบริเวณเขา”
กวนเฮิงเริ่มยิ้มออก
ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของนาง
“แต่เจ้าต้องศึกษาเล่าเรียนให้หนักขึ้น
ขยันมากขึ้น ข้าถึงจะยกโทษให้เจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว” กวนเฮิงตอบไม่เต็มเสียงนัก อย่างที่กล่าวไป
แม้กวนเฮิงจะจิตใจดี มีเมตตา หรือกล้าหาญเพียงใด
แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างขี้เกียจและรักสนุก
มันทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างเจ้าตัวกับหวงซวี่ซีผู้เป็นบุตรคนโต
และหย่งชินยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
นางคือพี่สาวแท้ๆ
นางใกล้ชิดกับกวนเฮิงที่สุด นางรู้ว่ากวนเฮิงเป็นเด็กฉลาดเฉลียว มีเล่ห์กล
มีไหวพริบ แต่ด้วยเหตุบางอย่าง กวนเฮิงกลับปิดซ่อนมันเอาไว้อย่างมิดชิด
และหย่งชินไม่ชอบใจการกระทำเช่นนั้น
เสียของ
นี่คงเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด
ทั้งที่เกิดมาเพียบพร้อมทั้งยังเฉลียวฉลาด แต่กลับทำตัวไม่เอาอ่าวเช่นนี้
“คุณหนู”
ยูฉีเปิดประตูเข้ามา ดูสีหน้าไม่ค่อยดี “ฮูหยินรองมาขอพบเจ้าค่ะ”
สีหน้ากระอักกระอวนเช่นนี้
ย่อมหมายความว่า ‘ฮูหยินรอง’ ที่หมายถึงไม่ใช่นางสกุลจ้าว แต่เป็นหญิงจากสกุลเจินนางนั้น
หย่งชินตีสีหน้าเรียบเฉย บอกให้ยูฉีพากวนเฮิงออกไปข้างนอก
ก่อนที่นางจะให้สาวใช้คนอื่นเชิญมารดาเลี้ยงเข้ามาในเรือน
เจินเฟยลี่เป็นสตรีวัยเกือบ
40 ทว่ายังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์และนัยน์ตาดำขลับเป็นประกาย
นางเกิดในตระกูลชนชั้นสูง มีแววตาเด็ดเดี่ยวและทะเยอทะยาน
หากจ้าวหมิงเยว่คือต้นแบบของอนุภรรยาที่เจียมตน
เจินเฟยลี่ก็คือต้นแบบของอนุภรรยาที่พร้อมจะกระชากตำแหน่งฮูหยินเอกมาเป็นของตัวเองได้ทุกเมื่อ
นางยโสโอหัง
เย่อหยิ่ง แถมยังชอบวางอำนาจ
เพียงเพราะนางคือผู้ให้กำเนิดคุณชายใหญ่ของจวน
“ดูท่าวันนี้ดวงอาทิตย์คงขึ้นทิศตะวันตกเสียแล้ว
ท่านถึงได้มาเยือนเรือนข้าได้” คนอายุมากกว่ายิ้มรับ ไม่คิดตอบโต
ค่อนๆหย่อนกายนั่งลงมองเหล่าสาวใช้ที่นำถ้วยชาและกาน้ำมามองรับรองตามมารยาท
“เจ้าก็กล่าวเกินไป
ข้าเพียงแค่มาแจ้งข่าวดีก็เท่านั้น”
หย่งชินยิ้ม
“ข่าวดีหรือ”
“ข้าได้ปรึกษากับท่านหวง
และเห็นตรงกันว่า— นี่คงถึงเวลาที่เจ้าและกวนเฮิงจะหาคู่แต่งงาน”
นัยน์ตาดำขลับมองไปยังสตรีผู้มีศักดิ์เป็นมารดาเลี้ยงด้วยสายตาอ่านยาก
มือเรียวที่วางอยู่ข้างลำตัวกำแน่น หากแต่ริมฝีปากยังคงวาดรอยยิ้มสรวลคล้ายไม่รู้สึกรู้สา
“งั้นหรือ”
“แต่งเป็นอนุขององค์ชาย
4 เจ้าคิดว่าอย่างไร”
อนุ..?
อนุงั้นหรือ?
“ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว”
หย่งชินตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าเป็นถึงบุตรีคนโต ซ้ำยังเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
จะให้ไปแต่งเป็นอนุของผู้อื่นได้อย่างไร ที่สำคัญ..”
นางสบตากับสตรีอายุมากกว่า
นัยน์ตาเรืองรองดูมีอำนาจ สร้างความกดดันให้กับผู้ที่กำลังสนทนาด้วยเป็นอย่างมาก
“ท่านเป็นเพียงแค่ภรรยาน้อย กล้าดีอย่างไรมาจัดการเรื่องบุตรีของภรรยาเอก”
บ่าวรับใช้ทั่วทั้งจวนต่างรู้ดีว่าฮูหยินรองจากสกุลเจินกับคุณหนูใหญ่ไม่ถูกกันเพียงใด
ทั้งหมดนี้เพราะว่า
แม้ อู๋เหมยซี
ผู้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายจะล้มป่วยและลากลับไปพักผ่อนยังเมืองบ้านเกิดได้สามเดือนเศษ
แต่อำนาจในการจัดการเรื่องภายในจวนกลับตกอยู่ในมือของคุณหนูใหญ่ที่อายุเพียง 17
แทนที่จะเป็นผู้อาวุโสกว่าอย่างนาง
ไหนจะเรื่องราวในอดีตที่สร้างความบาดหมางอันยากจะลบเลือนนั้นอีก
“ท่านแม่ของข้าคือฮูหยินใหญ่ของจวน
และนางยังสบายดี มิได้ตายจากไปไหน ท่านเองก็อย่าพึ่งมาวางอำนาจแถวนี้เสียจะดีกว่า
กลับไปดูแลบุตรสาวของท่านเถิด ข้ายังมีงานในจวนที่ต้องสะสาง
แต่คนว่างงานอย่างนางคงเหมาะจะแต่งงานออกเรือนมากกว่ากระมั้ง”
สำหรับหย่งชินแล้ว นางเจินเฟยลี่ผู้นี้ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด
ความคิดตื้นเขิน
เดาทางได้ง่าย
ไม่ได้มีค่าพอให้อยากต่อกร
ว่ากันว่า—
ความปรารถนาคือสิ่งที่ยากจะละได้ของมนุษย์
ดวงเนตรเรียวเหลือบมองสองสตรีหนึ่งบุรุษที่กำลังด่าทอตบตีกันอยู่แถวหน้าโรงน้ำชา
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คงไม่พ้นการทะเลาะวิวาทที่เกิดจากการแย่งสามีหรือการนอกใจ
ชายผู้นั้นหน้าตาไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกใจเต้นแต่อย่างใด
เรียกได้ว่าเป็นหน้าตาบ้านๆที่หาได้ทั่วไปเกลื่อนถนน
แต่เพราะเหตุใดสตรีทั้งสองถึงต้องลดตัวไปตบตีแย่งชินกันเหมือนสุนัขเพียงเพราะบุรุษคนเดียวด้วย
นัยน์ตาสีดำขลับมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
ไม่ทันได้สังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่มาหยุดปลายเท้าอยู่เคียงข้าง
“การที่ข้าได้บังเอิญมาพบกับแม่นางอีกครั้ง
คงเพราะพรหมลิขิตเป็นแน่” นางเลิกคิ้ว หันไปมองผู้เปิดบทสนทนา
คือไท่หรงเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
เขายังคงสวมอาภรณ์ธรรมดาๆไม่โดดเด่น
ข้างกายมีชายอีกคนหนึ่งที่นางจำได้ลางๆว่าเคยเจอเมื่อหลายวันก่อน
คล้ายจะชื่อ
เฉียนคุน หากนางจำไม่พลาด
“อา”
นางยิ้ม “หย่งชินยินดีที่ได้พบคุณชายอีกครั้ง”
“แต่หน้าท่านดูไม่ได้ยินดีเช่นที่พูดเลยซักนิด”
หย่งชินหัวเราะกับถ้อยคำตัดพ้อแบบไม่จริงจังนั้น
นางเหม่อมองไปยังผู้คนที่เดินขวักไขว่
“ต้องขออภัยคุณชาย
ข้าเพียงแต่ไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีความบังเอิญอยู่จริง”
ช่างเป็นความเชื่อที่..
“มองโลกในแง่ร้าย”
หย่งชินส่ายหน้า
“ข้ามองโลกในความเป็นจริงต่างหาก”
นางผายมือไปทางสองสตรีหนึ่งบุรุษที่ยังคงโต้เถียงเสียงดัง เจ็ดในสิบส่วนเป็นการด่าทอดราม่าน้ำตาแตกของฝ่ายหญิง
อีกสามส่วนเป็นคำปลอบประโลมที่ดูอย่างไรก็โคตรเฮงซวยของฝ่ายชาย
“มนุษย์เต็มไปด้วยความปรารถนาและความโลภ
อย่างเช่นสตรีผู้นั้น..” ปลายนิ้วเรียวชี้ไปทางสตรีร่างโปร่งบางชุดมอมแมม
ใบหน้าสละสวยไร้เครื่องประทินโฉมใดๆ เกศาสีดำยาวถูกปล่อยสยายจนยุ่งเหยิง
ไท่หรงมองตาม “ดูจากลักษณะหน้าตาและการกระทำของนาง นางเป็นอนุของชายผู้นั้น นางหวังที่จะจับบุรุษคนนั้นให้อยู่หมัด”
“ส่วนสตรีอีกนางหนึ่ง
นางแต่งตัวดีกว่ามาก ท่าทางดูเป็นผู้ดี นางดูโกรธเกรี้ยว นั่นหมายความว่านางคือเมียเอก”
หย่งชินเงียบไปครู่หนึ่ง “ความปรารถนาของนางคือการเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของคนที่ตัวเองรัก”
ไท่หรงขมวดคิ้ว
“แล้วชายคนนั้นเล่า”
หย่งชินแย้มสรวล
“เขาน่าจะเป็นบุตรชายของพวกพ่อค้าระดับกลาง แม้จะมีหญิงผู้เพียบพร้อมอยู่ข้างกาย
แต่ก็ยังโลภและปรารถนาที่จะมีอนุเพิ่ม เขาต้องการที่จะครองสาวงามนางหนึ่ง
และอำนาจจากภรรยาอีกนางหนึ่งไปพร้อมๆกัน”
เฉียนคุนไม่ได้กล่าวแทรกอะไร
ดูเหมือนจะยังพอเข้าใจสิ่งที่แม่นางน้อยต้องการสื่อ ไท่หรงยิ้มคล้ายไม่ยินดียินร้าย
“แล้วหากชายผู้นั้นกับแม่นางผู้เป็นอนุรักกันจริงเล่า
ระหว่างพวกเขาอาจจะเป็นรักแท้ที่มิมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แม่นางน้อยผู้นั้นดูแล้วก็หาใช่หญิงไม่ดี”
หย่งชินหัวเราะขบขัน
“หญิงดีๆที่ไหนคิดแย่งสามีชาวบ้านเล่า”
ไท่หรงไม่ตอบ “อีกอย่าง หากเขารักแม่นางน้อยผู้นั้นจริง
ทำไมไม่หย่ากับภรรยาเอกของตัวเองเสีย”
“...”
“การที่เขาเลือกที่จะไม่หย่ากับภรรยาเอก
แต่เลือกที่จะนำแม่นางคนนั้นมาเป็นอนุให้ฮูหยินของตัวเองโขกสับ
มันก็เห็นชัดแล้วไม่ใช่หรือ ว่าความรักที่เขามีต่ออำนาจที่ฝ่ายภรรยาให้ มันมากกว่าความรักที่เขามีต่อแม่นางน้อยผู้นั้น”
ไม่มีคำค้านใดๆออกมา
คล้ายผู้ฟังกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง หย่งชินไม่อยู่สนทนาต่อ นางกล่าวบอกลาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของตัวเองตั้งแต่แรก
แม้จะได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยค
และพึ่งพบเจอกันได้เพียงสองถึงสามครั้ง
แต่หย่งชินก็ค้นพบว่านางกับไท่หรงมีหลายอย่างที่แตกต่างและสวนทางกันเสียจนน่าเสียดาย
ทั้งนิสัย ความคิด การใช้ชีวิต คำพูด หรือแม้กระทั่งทัศนคติ
เขามองโลกในแง่ดี
นางมองโลกในแง่ร้าย
เขาคิดว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ควรทำ
แต่นางคิดว่ามันมีแต่จะก่อความเดือดร้อนให้ตัวเอง
แต่มีอย่างหนึ่งที่แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ย
ก็ต้องอดยอมรับไม่ได้ว่านางเห็นตรงกันกับเขา เขาเชื่อว่ารักแท้มีอยู่จริง..
นางเองก็เชื่อเช่นกัน
อ้อ
แต่กรณีของสองสตรีหนึ่งบุรุษนั่นไม่ใช่ความรักหรอกนะ
“ท่านควรกลับวังได้แล้ว”
คำกล่าวของสหายใกล้ชิดทำให้ไท่หรงต้องจำใจพยักหน้ารับ
ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองไปยังเส้นทางที่แม่นางผู้นั้นได้เดินจากไป
ก็เบือนไปมองสองสตรีหนึ่งบุรุษที่ดูท่าจะไม่ล้มเลิกการโต้เถียงกันง่ายๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงพูดเช่นนั้น”
เช่นนั้นที่ว่า
คงเป็นเรื่องที่นางพูดเชิงไม่เห็นด้วยที่สามีจะมีภรรยาน้อย
“ข้ารู้เพียงว่าบิดาของนางมีอนุ
2 นาง และหนึ่งใน 2 นางนั้นเป็นคนให้กำเนิดคุณชายใหญ่ หวงซวี่ซี
หลังจากนั้นจวนก็ตกอยู่ในบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
โดยเฉพาะยิ่งภรรยาเอกอย่างฮูหยินอู๋เหมยซีให้กำเนิดบุตรคนแรกเป็นบุตรสาวด้วยแล้ว”
“แต่ข้าได้ยินว่าบรรยากาศในจวนท่านอัครเสนาบดีก็ดีขึ้นหลังจากที่ฮูหยินให้กำเนิดบุตรชายคนรองไม่ใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ
แต่หลังจากนั้นก็มีปัญหาเรื่องผู้สืบทอดตระกูลตามมาอีก ทำให้ภายในจวนยังคงมีบรรยากาศไม่สู้ดีนักมาจนถึงทุกวันนี้
นี่เป็นสิ่งที่ข้าพอรู้ หากท่านถามลึกกว่านี้ ข้าก็เกรงว่าตัวข้าจะจนปัญญาเสียแล้ว”
ไท่หรงพยักหน้ารับรู้
ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใครบางคนที่ตนแสนคุ้นเคยเดินปะปนอยู่ท่ามกลางสามัญชนเหล่านั้น
มือเรียวคว้าแขนสหายคนสนิทไปหลบอยู่ในตรอกแทบจะในทันที แม้จะสวมใส่อาภรณ์สีทึบให้ไม่โดดเด่นและดูกลมกลืนไปกับฝูงชน
แต่ใครบ้างจะจำพี่ชายร่วมบิดาของตัวเองไม่ได้
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่
หลี่โยวไท่
รถม้าที่หย่งชินและยูฉีนั่งหยุดลงหน้าเรือนขนาดกลางหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก
หย่งชินค่อยๆก้าวขาลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง
“คุณหนู
ให้ข้าน้อยตามไปด้— “
นางส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องรอให้สาวใช้พูดจบ
ยูฉีเป็นห่วง เรื่องนี้นางรู้ดียิ่งกว่าใคร
เพราะแบบนั้นนางจึงไม่ต้องการให้ยูฉีเข้าไป “เจ้ารออยู่ข้างนอก หากมีเรื่องอะไรให้รีบเข้าไปรายงานข้า
เข้าใจหรือไม่”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ไม่กล่าวอะไรอีกมากมาย
ร่างระหงของคุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลหวงก็ก้าวขาเข้าไปในเรือนอย่างไม่เร่งรีบ
นี่เป็นเรือนที่นางใช้เงินตราที่ตัวเองสะสมมาซื้อต่อจากนายหน้าคนหนึ่ง แม้จะไม่กว้างขวางเท่าจวนของนาง
แต่ก็ใหญ่มากพอที่จะมีสระบัวและสวนบุปผาเล็กๆให้เชยชม
นางมองเหล่าบุปผางามที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา
ก่อนตัดสินใจหย่อนตัวลงนั่งบนโต๊ะไม้หินอ่อนที่เจ้าของเรือนคนก่อนทิ้งเอาไว้ให้ สายลมยามเย็นพัดผ่านผิวกายจนรู้สึกหนาววูบ
แต่มันกลับไม่ได้ทำให้นางมีความคิดที่จะเข้าไปพักในตัวเรือนแต่อย่างใด
ในตอนนั้นเอง
นางได้ยินเสียงย่ำเท้าของใครบางคนเคลื่อนเข้ามา เสียงนั้นหยุดอยู่ที่ด้านหลัง
สิ่งที่สัมผัสได้อย่างต่อมาคืออ้อมกอดที่แม้จะไม่ได้อุ่นจนสามารถคลายความหนาวเย็นได้
แต่กลับทำให้เรื่องไม่สบายใจในความคิดมลายหายไปเสียแปดในสิบส่วน
“ท่านมาช้า”
นางคลี่ยิ้ม เอี้ยวหน้าไปมองบุรุษผู้ที่สวมกอดนางโดยไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย เขาผละตัวออกไป
ใบหน้าคมคายประดับไปด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงเนตรคล้ายกวางกระจ่างใสทอประกายกล้า
หย่งชินหยัดตัวลุกขึ้นตามในทันที มือเล็กเอื้อมไปสัมผัสใบหน้าของชาย ‘คนรัก’ อย่างแผ่วเบา
เช่นเดียวกับนัยน์ตาคมที่มองมายังนางโดยไม่ละสายตา
“เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันยากขนาดไหนกับการหลบให้พ้นจากสายตาของท่านแม่ของข้า”
“ถึงจะไม่ใช่บุตรแท้ๆ
แต่ท่านก็คือความหวังเดียวของจินกุ้ยเฟยในการขึ้นเป็นไทเฮา ไม่แปลกที่นางจะจับตามองท่าน”
“ข้าเริ่มจากการที่ไม่มีอะไรเลย
หย่งชิน ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ข้ามีเพียงเจ้า”
“ข้ารู้
ข้ารู้— “ นางรู้จักกับบุรุษตรงหน้ามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้รับการอุปการะจากจินกุ้ยเฟยคนนั้นเสียอีก
ทุกสิ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่เขาช่วยฉุดนางขึ้นมาจากประตูยมโลก
นางเกือบตายไปแล้วครั้งหนึ่ง และเขาคือคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้
พวกเราทั้งคู่เป็นคนประเภทเดียวกัน
เพราะเช่นนั้นจึงเข้าใจกันและกันยิ่งกว่าใคร
“ซักวันเมื่อข้าได้เป็นองค์รัชทายาทแทนไท่อี
ข้าจะให้เจ้าเป็นพระชายาของข้า และเมื่อข้าได้เป็นฮ่องเต้
เจ้าจะได้เป็นฮองเฮาของข้า”
สิ่งเดียวที่เขาและนางต่างกัน
คงเป็นการที่ชายตรงหน้าต้องการอำนาจ
ส่วนนางต้องการเพียงอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น
“ข้ารอท่านมา 5 ปีแล้ว ท่านอ๋อง รออีกซักหน่อยจะเป็นไรไป”
“เรียกชื่อข้า”
หย่งชินหัวเราะน้อยๆกับน้ำเสียงแกมบังคับเช่นนั้น
สำหรับนางแล้ว บุรุษตรงหน้าคือผู้ชายที่ร้ายกาจที่สุด โหดร้ายที่สุด ทะเยอทะยานที่สุด
และใฝ่สูงที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น
“โยวไท่”
แต่เขา..ก็เป็นคนที่นางรักมากที่สุด
ความคิดเห็น