ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (nct) the rising moon | taeten

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 – คนรัก

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 63


     

    02 – คนรัก

     

                “ยินดีต้อนรับกลับจวนเจ้าค่ะ ใต้เท้า”

                เหล่าบ่าวไพร่ภายในจวนทำความเคารพนายใหญ่ของจวนด้วยความพร้อมเพียง หวงจื่อเทาพยักหน้ารับรู้ก่อนโบกมือเป็นการให้สัญญาณแยกย้าย หัวหน้าพ่อบ้านวัยชราเดินนำทางนายเหนือหัวของตนเข้าไปในจวนพร้อมกับจัดแจงน้ำชาไว้บนโต๊ะ

                “หย่งชินไปไหน”

                “คุณหนูใหญ่ยังมิได้กลับเรือนขอรับ”

                จื่อเทาเลิกคิ้ว “แล้วคนอื่นๆเล่า”

                “คุณหนูรองพักผ่อนอยู่ในเรือน คุณชายใหญ่ไปงานเลี้ยงฉลองกับสหาย คุณชายรองกำลังเรียนวิชาดาบ ส่วนคุณชายเล็กถูกทำโทษ โดนคุณหนูใหญ่กักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนขอรับ”

                อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย หวงจื่อเทา มีบุตรทั้งหมด 5 คน จากทั้ง 5 คนนั้น มีเพียง 2 คนที่เกิดจากภรรยาเอกหรือฮูหยินใหญ่ นั่นก็คือ คุณหนูใหญ่หวงหย่งชินและคุณชายรองหวงกวนเฮิง

                ในขณะที่คุณชายใหญ่ หวงซวี่ซี และคุณหนูรอง หวงฟางซิน นั้นเกิดจากฮูหยินรองจากสกุลเจิน และคุณชายเล็ก หวงเหรินจวิ้น เกิดจากฮูหยินรองสกุลจ้าว

                “ปกติหย่งชินโอ๋เหรินจวิ้นมากกว่าใคร ดูท่าครั้งนี้เหรินจวิ้นคงไปทำอะไรให้นางไม่พอใจเข้าจริงๆ”

                “ฮะๆ ขอรับ คุณหนูใหญ่โอ๋คุณชายเล็กมากกว่าน้องแท้ๆอย่างคุณชายรองเสียอีก”

                “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” หวงฟางซินเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีขี้เล่น นางมุ่งไปกอดคอชายผู้เป็นบิดาอย่างแสนรัก ใบหน้าหวานใสคลอเคลียอย่างออดอ้อน ท่าทีขี้เล่น เป็นมิตร และน่าเอ็นดูของนางทำให้จื่อเทาที่อ่อนล้าจากการตรากตรำทำงานและเดินทางจากเมืองหลวงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

                “เจ้าไม่พักผ่อนต่อแล้วหรือ”

                นางส่ายหน้า “ท่านพ่อกลับบ้านทั้งที ข้าก็ต้องมาดูแลท่านสิเจ้าคะ”

                คุณหนูใหญ่สกุลหวงที่กลับมาได้ซักพักยืนกอดอกพิงขอบประตูมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย นิสัยของฟางซินไม่ใช่สิ่งที่หย่งชินชอบนัก โดยเฉพาะในยามที่ฟางซินทำนิสัยแบบนั้นกับนาง แต่ก็ไม่ได้เกลียด แค่ ไ ม่ ค่ อ ย ช อ บ

                “พี่หญิง ท่านกลับมาแล้ว”  รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหย่งชินทันทีที่ฟางซินหันมา ราวกับปฏิกิริยาเฉยเมยเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนที่นางจะทำความเคารพผู้เป็นบิดาแล้วขอตัวกลับไปพักผ่อนในเรือน

                “ดูซิ ไม่กล่าววาจาทักทายพ่ออย่างข้าซักคำ”

                ฟางซินหัวเราะ “ท่านพี่คงเหนื่อยมากน่ะเจ้าค่ะ ทุกวันนี้นอกจากต้องคอยจัดการงานในจวน ยังต้องไปพบปะสังสรรค์กับบุตรีตระกูลอื่นอีก”

                “งั้นหรอกรึ” จื่อเทายกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความพึงพอใจ ฟางซินไม่ได้กล่าวอะไรต่อ รู้สึกน้อยใจนักยามที่ได้เห็นสายตาที่แสดงถึงความภาคภูมิใจที่บิดามีต่อพี่สาวต่างมารดา นางหย่อนกายนั่งลงก่อนค่อยๆนวดแขนของผู้เป็นบิดา นัยน์ตาเหม่อมองถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมกลุ่น

              ช่าง— น่าริษยาเสียเหลือเกิน

     

                เช้าวันรุ่งขึ้น หย่งชินแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึบปักลวดลายบุปผา นางมองภาพสะท้อนของตนเองผ่านทางกระจกทองเหลือง เกศาสีดำสนิทถูกปล่อยยาวสยายจนถึงกลางหลัง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้างดงาม ทว่านัยน์ตากลับไร้ประกาย

                กวนเฮิงปรากฏตัวอยู่ด้านหลัง

                “เหรินจวิ้นสำนึกผิดแล้ว”

                “งั้นรึ” มือเรียวหวีผมต่อ ทำทีท่าไม่สนใจ

                “ท่านพี่ ข้าก็สำนึกผิดแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวอีกแล้ว”

                กายบางหยัดตัวลุกขึ้น สบตากับเนตรคมของผู้เป็นน้องชายร่วมสายเลือด กวนเฮิงเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริงและเป็นมิตร กล้าหาญ รักความยุติธรรม แล้วยังมีจิตใจที่ดีงาม แม้ไม่ใช่บุตรชายคนโต แต่ก็เป็นบุตรของภรรยาเอก ซึ่งตามหลักแล้วก็มีสิทธิที่ได้จะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหวงต่อจากบิดา

                แน่นอนว่ายิ่งเป็นน้องชายร่วมสายเลือด หย่งชินยิ่งรักกวนเฮิงมากกว่าใคร และเมื่อยิ่งรัก..ก็จะยิ่งเข้มงวด

                “เข้าใจแล้ว ข้าจะสั่งยกเลิกการกักบริเวณเขา”

                กวนเฮิงเริ่มยิ้มออก ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของนาง

                “แต่เจ้าต้องศึกษาเล่าเรียนให้หนักขึ้น ขยันมากขึ้น ข้าถึงจะยกโทษให้เจ้า”

                “ข้าเข้าใจแล้ว”  กวนเฮิงตอบไม่เต็มเสียงนัก อย่างที่กล่าวไป แม้กวนเฮิงจะจิตใจดี มีเมตตา หรือกล้าหาญเพียงใด แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างขี้เกียจและรักสนุก มันทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างเจ้าตัวกับหวงซวี่ซีผู้เป็นบุตรคนโต

                และหย่งชินยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้

                นางคือพี่สาวแท้ๆ นางใกล้ชิดกับกวนเฮิงที่สุด นางรู้ว่ากวนเฮิงเป็นเด็กฉลาดเฉลียว มีเล่ห์กล มีไหวพริบ แต่ด้วยเหตุบางอย่าง กวนเฮิงกลับปิดซ่อนมันเอาไว้อย่างมิดชิด และหย่งชินไม่ชอบใจการกระทำเช่นนั้น 

                เสียของ

                นี่คงเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด ทั้งที่เกิดมาเพียบพร้อมทั้งยังเฉลียวฉลาด แต่กลับทำตัวไม่เอาอ่าวเช่นนี้

                “คุณหนู” ยูฉีเปิดประตูเข้ามา ดูสีหน้าไม่ค่อยดี “ฮูหยินรองมาขอพบเจ้าค่ะ”

                สีหน้ากระอักกระอวนเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ฮูหยินรองที่หมายถึงไม่ใช่นางสกุลจ้าว แต่เป็นหญิงจากสกุลเจินนางนั้น หย่งชินตีสีหน้าเรียบเฉย บอกให้ยูฉีพากวนเฮิงออกไปข้างนอก ก่อนที่นางจะให้สาวใช้คนอื่นเชิญมารดาเลี้ยงเข้ามาในเรือน

                เจินเฟยลี่เป็นสตรีวัยเกือบ 40 ทว่ายังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์และนัยน์ตาดำขลับเป็นประกาย นางเกิดในตระกูลชนชั้นสูง มีแววตาเด็ดเดี่ยวและทะเยอทะยาน

                หากจ้าวหมิงเยว่คือต้นแบบของอนุภรรยาที่เจียมตน เจินเฟยลี่ก็คือต้นแบบของอนุภรรยาที่พร้อมจะกระชากตำแหน่งฮูหยินเอกมาเป็นของตัวเองได้ทุกเมื่อ

                นางยโสโอหัง เย่อหยิ่ง แถมยังชอบวางอำนาจ

                เพียงเพราะนางคือผู้ให้กำเนิดคุณชายใหญ่ของจวน

                “ดูท่าวันนี้ดวงอาทิตย์คงขึ้นทิศตะวันตกเสียแล้ว ท่านถึงได้มาเยือนเรือนข้าได้” คนอายุมากกว่ายิ้มรับ ไม่คิดตอบโต ค่อนๆหย่อนกายนั่งลงมองเหล่าสาวใช้ที่นำถ้วยชาและกาน้ำมามองรับรองตามมารยาท

                “เจ้าก็กล่าวเกินไป ข้าเพียงแค่มาแจ้งข่าวดีก็เท่านั้น”

                หย่งชินยิ้ม “ข่าวดีหรือ”

                “ข้าได้ปรึกษากับท่านหวง และเห็นตรงกันว่า— นี่คงถึงเวลาที่เจ้าและกวนเฮิงจะหาคู่แต่งงาน”

                นัยน์ตาดำขลับมองไปยังสตรีผู้มีศักดิ์เป็นมารดาเลี้ยงด้วยสายตาอ่านยาก มือเรียวที่วางอยู่ข้างลำตัวกำแน่น หากแต่ริมฝีปากยังคงวาดรอยยิ้มสรวลคล้ายไม่รู้สึกรู้สา “งั้นหรือ”

                “แต่งเป็นอนุขององค์ชาย 4 เจ้าคิดว่าอย่างไร” 

              อนุ..?

              อนุงั้นหรือ?

                “ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว” หย่งชินตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าเป็นถึงบุตรีคนโต ซ้ำยังเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะให้ไปแต่งเป็นอนุของผู้อื่นได้อย่างไร ที่สำคัญ..”

                นางสบตากับสตรีอายุมากกว่า นัยน์ตาเรืองรองดูมีอำนาจ สร้างความกดดันให้กับผู้ที่กำลังสนทนาด้วยเป็นอย่างมาก “ท่านเป็นเพียงแค่ภรรยาน้อย กล้าดีอย่างไรมาจัดการเรื่องบุตรีของภรรยาเอก”

                บ่าวรับใช้ทั่วทั้งจวนต่างรู้ดีว่าฮูหยินรองจากสกุลเจินกับคุณหนูใหญ่ไม่ถูกกันเพียงใด

                ทั้งหมดนี้เพราะว่า แม้ อู๋เหมยซี ผู้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายจะล้มป่วยและลากลับไปพักผ่อนยังเมืองบ้านเกิดได้สามเดือนเศษ แต่อำนาจในการจัดการเรื่องภายในจวนกลับตกอยู่ในมือของคุณหนูใหญ่ที่อายุเพียง 17 แทนที่จะเป็นผู้อาวุโสกว่าอย่างนาง

                ไหนจะเรื่องราวในอดีตที่สร้างความบาดหมางอันยากจะลบเลือนนั้นอีก

                “ท่านแม่ของข้าคือฮูหยินใหญ่ของจวน และนางยังสบายดี มิได้ตายจากไปไหน ท่านเองก็อย่าพึ่งมาวางอำนาจแถวนี้เสียจะดีกว่า กลับไปดูแลบุตรสาวของท่านเถิด ข้ายังมีงานในจวนที่ต้องสะสาง แต่คนว่างงานอย่างนางคงเหมาะจะแต่งงานออกเรือนมากกว่ากระมั้ง”

                สำหรับหย่งชินแล้ว นางเจินเฟยลี่ผู้นี้ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด

                ความคิดตื้นเขิน เดาทางได้ง่าย

                ไม่ได้มีค่าพอให้อยากต่อกร

     

                ว่ากันว่า— ความปรารถนาคือสิ่งที่ยากจะละได้ของมนุษย์

                ดวงเนตรเรียวเหลือบมองสองสตรีหนึ่งบุรุษที่กำลังด่าทอตบตีกันอยู่แถวหน้าโรงน้ำชา ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คงไม่พ้นการทะเลาะวิวาทที่เกิดจากการแย่งสามีหรือการนอกใจ ชายผู้นั้นหน้าตาไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกใจเต้นแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นหน้าตาบ้านๆที่หาได้ทั่วไปเกลื่อนถนน

                แต่เพราะเหตุใดสตรีทั้งสองถึงต้องลดตัวไปตบตีแย่งชินกันเหมือนสุนัขเพียงเพราะบุรุษคนเดียวด้วย

                นัยน์ตาสีดำขลับมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ทันได้สังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่มาหยุดปลายเท้าอยู่เคียงข้าง

                “การที่ข้าได้บังเอิญมาพบกับแม่นางอีกครั้ง คงเพราะพรหมลิขิตเป็นแน่” นางเลิกคิ้ว หันไปมองผู้เปิดบทสนทนา คือไท่หรงเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน เขายังคงสวมอาภรณ์ธรรมดาๆไม่โดดเด่น ข้างกายมีชายอีกคนหนึ่งที่นางจำได้ลางๆว่าเคยเจอเมื่อหลายวันก่อน

                คล้ายจะชื่อ เฉียนคุน หากนางจำไม่พลาด

                “อา” นางยิ้ม “หย่งชินยินดีที่ได้พบคุณชายอีกครั้ง”

                “แต่หน้าท่านดูไม่ได้ยินดีเช่นที่พูดเลยซักนิด” หย่งชินหัวเราะกับถ้อยคำตัดพ้อแบบไม่จริงจังนั้น นางเหม่อมองไปยังผู้คนที่เดินขวักไขว่

                “ต้องขออภัยคุณชาย ข้าเพียงแต่ไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีความบังเอิญอยู่จริง”

                ช่างเป็นความเชื่อที่..

                “มองโลกในแง่ร้าย”

                หย่งชินส่ายหน้า “ข้ามองโลกในความเป็นจริงต่างหาก”

                นางผายมือไปทางสองสตรีหนึ่งบุรุษที่ยังคงโต้เถียงเสียงดัง เจ็ดในสิบส่วนเป็นการด่าทอดราม่าน้ำตาแตกของฝ่ายหญิง อีกสามส่วนเป็นคำปลอบประโลมที่ดูอย่างไรก็โคตรเฮงซวยของฝ่ายชาย

                “มนุษย์เต็มไปด้วยความปรารถนาและความโลภ อย่างเช่นสตรีผู้นั้น..” ปลายนิ้วเรียวชี้ไปทางสตรีร่างโปร่งบางชุดมอมแมม ใบหน้าสละสวยไร้เครื่องประทินโฉมใดๆ เกศาสีดำยาวถูกปล่อยสยายจนยุ่งเหยิง ไท่หรงมองตาม “ดูจากลักษณะหน้าตาและการกระทำของนาง นางเป็นอนุของชายผู้นั้น นางหวังที่จะจับบุรุษคนนั้นให้อยู่หมัด”

                “ส่วนสตรีอีกนางหนึ่ง นางแต่งตัวดีกว่ามาก ท่าทางดูเป็นผู้ดี นางดูโกรธเกรี้ยว นั่นหมายความว่านางคือเมียเอก” หย่งชินเงียบไปครู่หนึ่ง “ความปรารถนาของนางคือการเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของคนที่ตัวเองรัก”

                ไท่หรงขมวดคิ้ว “แล้วชายคนนั้นเล่า”

                หย่งชินแย้มสรวล “เขาน่าจะเป็นบุตรชายของพวกพ่อค้าระดับกลาง แม้จะมีหญิงผู้เพียบพร้อมอยู่ข้างกาย แต่ก็ยังโลภและปรารถนาที่จะมีอนุเพิ่ม เขาต้องการที่จะครองสาวงามนางหนึ่ง และอำนาจจากภรรยาอีกนางหนึ่งไปพร้อมๆกัน”

                เฉียนคุนไม่ได้กล่าวแทรกอะไร ดูเหมือนจะยังพอเข้าใจสิ่งที่แม่นางน้อยต้องการสื่อ ไท่หรงยิ้มคล้ายไม่ยินดียินร้าย  

                “แล้วหากชายผู้นั้นกับแม่นางผู้เป็นอนุรักกันจริงเล่า ระหว่างพวกเขาอาจจะเป็นรักแท้ที่มิมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แม่นางน้อยผู้นั้นดูแล้วก็หาใช่หญิงไม่ดี”

                หย่งชินหัวเราะขบขัน

                “หญิงดีๆที่ไหนคิดแย่งสามีชาวบ้านเล่า” ไท่หรงไม่ตอบ “อีกอย่าง หากเขารักแม่นางน้อยผู้นั้นจริง ทำไมไม่หย่ากับภรรยาเอกของตัวเองเสีย”

                “...”

                “การที่เขาเลือกที่จะไม่หย่ากับภรรยาเอก แต่เลือกที่จะนำแม่นางคนนั้นมาเป็นอนุให้ฮูหยินของตัวเองโขกสับ มันก็เห็นชัดแล้วไม่ใช่หรือ ว่าความรักที่เขามีต่ออำนาจที่ฝ่ายภรรยาให้ มันมากกว่าความรักที่เขามีต่อแม่นางน้อยผู้นั้น”

                ไม่มีคำค้านใดๆออกมา คล้ายผู้ฟังกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง หย่งชินไม่อยู่สนทนาต่อ นางกล่าวบอกลาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของตัวเองตั้งแต่แรก

                แม้จะได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยค และพึ่งพบเจอกันได้เพียงสองถึงสามครั้ง แต่หย่งชินก็ค้นพบว่านางกับไท่หรงมีหลายอย่างที่แตกต่างและสวนทางกันเสียจนน่าเสียดาย ทั้งนิสัย ความคิด การใช้ชีวิต คำพูด หรือแม้กระทั่งทัศนคติ

                เขามองโลกในแง่ดี นางมองโลกในแง่ร้าย

                เขาคิดว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่นางคิดว่ามันมีแต่จะก่อความเดือดร้อนให้ตัวเอง

                แต่มีอย่างหนึ่งที่แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ย ก็ต้องอดยอมรับไม่ได้ว่านางเห็นตรงกันกับเขา เขาเชื่อว่ารักแท้มีอยู่จริง.. นางเองก็เชื่อเช่นกัน

                อ้อ แต่กรณีของสองสตรีหนึ่งบุรุษนั่นไม่ใช่ความรักหรอกนะ

     

                “ท่านควรกลับวังได้แล้ว” คำกล่าวของสหายใกล้ชิดทำให้ไท่หรงต้องจำใจพยักหน้ารับ ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองไปยังเส้นทางที่แม่นางผู้นั้นได้เดินจากไป ก็เบือนไปมองสองสตรีหนึ่งบุรุษที่ดูท่าจะไม่ล้มเลิกการโต้เถียงกันง่ายๆ

                “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงพูดเช่นนั้น”

                เช่นนั้นที่ว่า คงเป็นเรื่องที่นางพูดเชิงไม่เห็นด้วยที่สามีจะมีภรรยาน้อย

                “ข้ารู้เพียงว่าบิดาของนางมีอนุ 2 นาง และหนึ่งใน 2 นางนั้นเป็นคนให้กำเนิดคุณชายใหญ่ หวงซวี่ซี หลังจากนั้นจวนก็ตกอยู่ในบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง โดยเฉพาะยิ่งภรรยาเอกอย่างฮูหยินอู๋เหมยซีให้กำเนิดบุตรคนแรกเป็นบุตรสาวด้วยแล้ว”

                “แต่ข้าได้ยินว่าบรรยากาศในจวนท่านอัครเสนาบดีก็ดีขึ้นหลังจากที่ฮูหยินให้กำเนิดบุตรชายคนรองไม่ใช่หรือ”

                “พ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากนั้นก็มีปัญหาเรื่องผู้สืบทอดตระกูลตามมาอีก ทำให้ภายในจวนยังคงมีบรรยากาศไม่สู้ดีนักมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าพอรู้ หากท่านถามลึกกว่านี้ ข้าก็เกรงว่าตัวข้าจะจนปัญญาเสียแล้ว”

                ไท่หรงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใครบางคนที่ตนแสนคุ้นเคยเดินปะปนอยู่ท่ามกลางสามัญชนเหล่านั้น มือเรียวคว้าแขนสหายคนสนิทไปหลบอยู่ในตรอกแทบจะในทันที แม้จะสวมใส่อาภรณ์สีทึบให้ไม่โดดเด่นและดูกลมกลืนไปกับฝูงชน แต่ใครบ้างจะจำพี่ชายร่วมบิดาของตัวเองไม่ได้

                ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่

                หลี่โยวไท่

     

                รถม้าที่หย่งชินและยูฉีนั่งหยุดลงหน้าเรือนขนาดกลางหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก หย่งชินค่อยๆก้าวขาลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง

                “คุณหนู ให้ข้าน้อยตามไปด้— “

                นางส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องรอให้สาวใช้พูดจบ ยูฉีเป็นห่วง เรื่องนี้นางรู้ดียิ่งกว่าใคร เพราะแบบนั้นนางจึงไม่ต้องการให้ยูฉีเข้าไป “เจ้ารออยู่ข้างนอก หากมีเรื่องอะไรให้รีบเข้าไปรายงานข้า เข้าใจหรือไม่”

                “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

                ไม่กล่าวอะไรอีกมากมาย ร่างระหงของคุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลหวงก็ก้าวขาเข้าไปในเรือนอย่างไม่เร่งรีบ นี่เป็นเรือนที่นางใช้เงินตราที่ตัวเองสะสมมาซื้อต่อจากนายหน้าคนหนึ่ง แม้จะไม่กว้างขวางเท่าจวนของนาง แต่ก็ใหญ่มากพอที่จะมีสระบัวและสวนบุปผาเล็กๆให้เชยชม

                นางมองเหล่าบุปผางามที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ก่อนตัดสินใจหย่อนตัวลงนั่งบนโต๊ะไม้หินอ่อนที่เจ้าของเรือนคนก่อนทิ้งเอาไว้ให้ สายลมยามเย็นพัดผ่านผิวกายจนรู้สึกหนาววูบ แต่มันกลับไม่ได้ทำให้นางมีความคิดที่จะเข้าไปพักในตัวเรือนแต่อย่างใด

                ในตอนนั้นเอง นางได้ยินเสียงย่ำเท้าของใครบางคนเคลื่อนเข้ามา เสียงนั้นหยุดอยู่ที่ด้านหลัง สิ่งที่สัมผัสได้อย่างต่อมาคืออ้อมกอดที่แม้จะไม่ได้อุ่นจนสามารถคลายความหนาวเย็นได้ แต่กลับทำให้เรื่องไม่สบายใจในความคิดมลายหายไปเสียแปดในสิบส่วน

                “ท่านมาช้า” นางคลี่ยิ้ม เอี้ยวหน้าไปมองบุรุษผู้ที่สวมกอดนางโดยไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย เขาผละตัวออกไป ใบหน้าคมคายประดับไปด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงเนตรคล้ายกวางกระจ่างใสทอประกายกล้า หย่งชินหยัดตัวลุกขึ้นตามในทันที มือเล็กเอื้อมไปสัมผัสใบหน้าของชาย คนรักอย่างแผ่วเบา

                เช่นเดียวกับนัยน์ตาคมที่มองมายังนางโดยไม่ละสายตา

                “เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันยากขนาดไหนกับการหลบให้พ้นจากสายตาของท่านแม่ของข้า”

                “ถึงจะไม่ใช่บุตรแท้ๆ แต่ท่านก็คือความหวังเดียวของจินกุ้ยเฟยในการขึ้นเป็นไทเฮา ไม่แปลกที่นางจะจับตามองท่าน”

                “ข้าเริ่มจากการที่ไม่มีอะไรเลย หย่งชิน ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ข้ามีเพียงเจ้า”

                “ข้ารู้ ข้ารู้— “ นางรู้จักกับบุรุษตรงหน้ามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้รับการอุปการะจากจินกุ้ยเฟยคนนั้นเสียอีก ทุกสิ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่เขาช่วยฉุดนางขึ้นมาจากประตูยมโลก นางเกือบตายไปแล้วครั้งหนึ่ง และเขาคือคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้

                พวกเราทั้งคู่เป็นคนประเภทเดียวกัน เพราะเช่นนั้นจึงเข้าใจกันและกันยิ่งกว่าใคร

                “ซักวันเมื่อข้าได้เป็นองค์รัชทายาทแทนไท่อี ข้าจะให้เจ้าเป็นพระชายาของข้า และเมื่อข้าได้เป็นฮ่องเต้ เจ้าจะได้เป็นฮองเฮาของข้า”

                สิ่งเดียวที่เขาและนางต่างกัน

                คงเป็นการที่ชายตรงหน้าต้องการอำนาจ ส่วนนางต้องการเพียงอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น

                “ข้ารอท่านมา 5 ปีแล้ว ท่านอ๋อง รออีกซักหน่อยจะเป็นไรไป”

                “เรียกชื่อข้า”

                หย่งชินหัวเราะน้อยๆกับน้ำเสียงแกมบังคับเช่นนั้น สำหรับนางแล้ว บุรุษตรงหน้าคือผู้ชายที่ร้ายกาจที่สุด โหดร้ายที่สุด ทะเยอทะยานที่สุด และใฝ่สูงที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น

                โยวไท่

                แต่เขา..ก็เป็นคนที่นางรักมากที่สุด

     

     


     

    -----|-----|-----|-----|------|------

    ท่านอ๋องของเรามีศัตรูหัวใจ!!

    สามารถตามไปหวีดและตามฟิคกันได้ที่ #ท่านอ๋องกลัวเมีย ในทวิตภพค่ะ!!

               

               

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×