ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (nct) the rising moon | taeten

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 – แรกพบ

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 63


     


    01 – แรกพบ

     

              ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน ในปีครองราชย์ที่ 20 ขององค์จักรพรรดิตงไห่ พระสนมลิ่งเต๋อเฟยแห่งตำหนักเต๋อเสวียน พระมารดาขององค์ชาย 4 ซื่ออ๋องหรือองค์ชายหลี่ไท่หมินสิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษ เหล่าขันทีและนางกำนัลทั่วพระราชวังถูกนำตัวไปสอบสวนเพื่อหาว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์ 1 ใน 4 สนมขั้นเฟยซึ่งถือเป็นสนมเอกที่เป็นรองเพียงฮองเฮาแห่งต้าหลี่เท่านั้น ในขณะเดียวกัน เหล่าขุนนางทั่วท้องพระโรงต่างยื่นฎีกาเสนอให้มีการคัดเลือก ไท่จื่อ[1] หรือ องค์รัชทายาท ขึ้น

                ขุนนางในราชสำนักแตกออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนองค์ชายผู้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นไท่จื่อ และในบรรดาทั้งหมด— มีเพียงสองฝ่ายเท่านั้นที่มีอำนาจมากพอในการตัดสินใจเลือกไท่จื่อขององค์ฮ่องเต้

                หนึ่งคือฝ่ายตระกูลจาง นำโดย จางอี้ชิง เสนาบดีแห่งกรมขุนนาง พี่ชายของ จางหรูอี้ หรือที่รู้จักกันในนาม ฮองเฮาจางแห่งราชวงศ์ต้าหลี่ ให้การสนับสนุนองค์ชาย 5 อิลอ๋อง หรือก็คือ หลี่ไท่อี บุตรชายเพียงคนเดียวของฮองเฮาและฮ่องเต้

                สองคือฝ่ายตระกูลจิน นำโดย จินจุนเหมียน อัครเสนาบดีฝ่ายขวา น้องชายของ จินไท่เหยียน หรือก็คือ จินกุ้ยเฟย สนมเอกผู้มีอำนาจมากที่สุดในวังหลัง ว่ากันว่าพระนางมีอำนาจมากกว่าฮองเฮาผู้ถือเป็นนายหญิงแห่งวังหลังเสียอีก ให้การสนับสนุนองค์ชาย 7 โยวอ๋อง หลี่โยวไท่

                 อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแย่งชิงอำนาจและการต่อสู้ทางการเมืองของเหล่าขุนนางทั้งสองฝ่าย ก็ยังคงมีขุนนางฝ่ายที่สามผู้ไม่สนับสนุนองค์ชายพระองค์ใด วางตัวเป็นกลาง เปรียบเสมือนที่ปรึกษาผู้ภักดีขององค์จักรพรรดิ และได้รับความไว้วางใจในการจัดการเรื่องต่างๆโดยเฉพาะด้านกองทัพ

                นั่นก็คือ ตระกูลหวงและ ตระกูลอู๋สองตระกูลผู้เป็นพันธมิตรกันมายาวนานนับสิบๆปี

    และหลังจากการต่อสู้ทางการเมืองอันยาวนานกว่า 4 ปี ในปีการครองราชย์ที่ 24 องค์จักรพรรดิตงไห่ก็ได้แต่งตั้งองค์ชายหลี่ไท่อีขึ้นเป็นองค์รัชทายาทในที่สุด

                แต่เรื่องราวมันกลับไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่นั้น—

                ตระกูลจางที่ผ่านการแย่งชิงอำนาจกับตระกูลจินมาอย่างยาวนานเริ่มตกอยู่ในสภาวะตกต่ำ ในขณะที่ตระกูลจินกลับมีอำนาจมากขึ้นแม้องค์ชายที่สนับสนุนจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์ และในขณะเดียวกัน— ตระกูลหวงและตระกูลอู๋กลับยิ่งมีอำนาจและอิทธิพลมากขึ้น กลายเป็นที่ไว้วางใจขององค์จักรพรรดิและประชาชน จนกลายเป็น 1 ในตระกูลขุนนางมหาอำนาจแห่งราชสำนักในที่สุด

     

                “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลพู่ต้องการสู่ขอคุณหนูใหญ่ตระกูลหวง” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งกระซิบกระซาบกับกลุ่มมิตรสหายพลางเหล่ตามองผู้คนที่สัญจรไปมาตามถนน

                “แต่ไม่ใช่ว่าตระกูลต่งหมายตานางเอาไว้อยู่แล้วหรือ” อีกคนแย้ง

                เสียงพูดคุยของพวกนางเริ่มดังขึ้นจนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลชะโงกหน้ามาเพื่อเข้าร่วมบทสนทนา “พวกเจ้าช่างมั่วนัก ข้าได้ยินว่าตระกูลจางต่างหากที่ต้องการจะหมั้นหมายกับนาง”

                “งั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงนี้คงงดงามแท้ ใครๆต่างก็อยากจะสู่ขอนางเข้าตระกูลกันทั้งนั้น” สตรีวัยกลางคนคนเดิมทำหน้าเพ้อฝัน พลางจินตนาการถึงใบหน้าของบุตรีคนโตของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ตนไม่เคยพบหน้ามาก่อน

                “ใช่ ใครๆก็บอกว่านางงดงามปานเทพธิดาเลยทีเดียว”

                “แต่นางอายุ 17 ปีแล้ว ไม่คิดว่าแต่งงานช้าไปหน่อยหรือ หากเป็นสตรีวัยเดียวกันคงลูก 2 ไปแล้วกระมั้ง”

                “พูดถึงเรื่องลูก พวกเจ้ารู้มั้ย หลานข้าอายุแค่ 3 ขวบแต่กลับเริ่มพูดได้แล้ว วาจาฟังแล้วช่างฉอเลาะนัก โตขึ้นคงฉลาดหลักแหลมเหมือนข้าแน่ๆ”

                “โธ่ ตาแก่ ท่านไม่หลงตัวเองไปหน่อยหรือ”

                หวงหย่งชินละความสนใจจากกลุ่มคนที่กำลังสนทนาอยู่ในทันทีที่พบว่าหัวข้อในบทสนทนาไม่ได้น่าสนใจอีกต่อไป นางเท้าคางกับโต๊ะไม้ขนาดเล็ก เคาะนิ้วเป็นจังหวะ สายตาก็มองไปรอบๆไม่หยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เกศาสีดำสนิทถูกปล่อยยาวสยายจนถึงกลางหลังไหวพลิ้วไปตามแรงลม ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูงดงามสมกับที่เป็นสตรีชนชั้นสูง ผิวขาวนวลละเอียดผุดผ่อง เสื้อผ้าอาภรณ์สีเข้มขับผิวให้ดูสว่างยิ่งขึ้น ไม่ว่าชายใดที่อยู่แถวนั้น ต่างเริ่มให้ความสนใจกับสตรีผู้เลอโฉมนางนี้เป็นอย่างยิ่ง

                หวงหย่งชินสตรีที่ชายใดต่างก็ต้องการมาสู่ขอไปเป็นภรรยามากที่สุด คุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลหวง บุตรีคนโตของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายหวงจื่อเทากับฮูหยินใหญ่ตระกูลอู๋ อู๋เหมยซี

                “เถ้าแก่ ข้าขอซุปกระดูกหมู 3 ถ้วย!” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งเรียกความสนใจของนางจากผู้คนบนถนน ชายผู้นั้นแต่งกายดูคล้ายพวกบุตรขุนนางระดับกลาง ผมยาวสยายเป็นตัวบ่งบอกว่ายังมิได้ผ่านพิธีวิวาห์มาก่อน ใบหน้าหล่อเหลาแบบที่สาวในเมืองคนรุมชอบได้ไม่ยาก เขาเดินมานั่งที่โต๊ะไม้ไม่ห่างจากนางมากนัก พร้อมกับชายอีกคนที่น่าจะเป็นสหายมากกว่าผู้ติดตาม

                “คุณชาย ข้าขอพูดอะไรหน่อยเถอะ” ชายผู้น่าจะเป็นสหายพูดขึ้น

                คุณชาย?

                “ข้าบอกแล้วว่าอยู่ข้างนอกห้ามเรียกข้าว่าคุณชาย” ชายคนนั้นขมวดคิ้ว ผู้ที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เรียกสหายของตนว่า คุณชาย กระแอมสองสามทีก่อนเปลี่ยนสรรพนามเสียใหม่

                ไท่หรง

    ”เออ ว่ามาสิ เจ้ามีอะไร”

                “ปีนี้เจ้าก็อายุ 19 แล้ว ไม่คิดจะแต่งงานหน่อยหรือ”

                “ข้ายังไม่เจอสตรีที่ถูกใจ” ชายผู้มีนามว่าไท่หรงตอบพลางตักซุปที่พึ่งถูกนำมาวางเรียงไว้บนโต๊ะเข้าปาก สหายที่นั่งตรงข้ามกันขมวดคิ้วเป็นปม “งั้นสตรีที่ท่านชอบเป็นสตรีแบบใดกันเล่า”

                คนถูกถามคลี่ยิ้มบางเบาบนใบหน้า

                “งดงามดั่งไซซี เรียบร้อยอ่อนหวาน กล้าหาญชาญชัย มัธยัสถ์อดออม พร้อมด้วยคุณธรรม ซื่อสัตย์ภักดี รักสงบไม่ก้าวร้าว ฉลาดหลักแหลม มีความอดทน มี— “

                “โทษนะ” เฉียนคุนเอ่ยขัดจังหวะ มองหน้าสหายของตนด้วยสีหน้าจริงจัง

                “ท่านแน่ใจหรือว่านั่นท่านต้องการภรรยา ไม่ใช่พระพุทธเจ้า”

               

                “คุณหนูใหญ่! คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!

                ซ่งยูฉี สาวใช้คนสนิทซึ่งอายุมากกว่าเกือบปีกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่จะนางจะชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลหวง

                “คุณหนูใหญ่ ท่าน..ยิ้ม?

                หย่งชินขบขันกับท่าทางตกอกตกใจของนาง “มันแปลกขนาดนั้นเลยรึ”

                สาวใช้ส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ มันดีมากต่างหาก ถือว่าหาได้ยากจริงๆที่ท่านจะอารมณ์ดีเช่นนี้”  

                คุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มขบขัน มองเหล่าข้ารับใช้ที่พากันออกมาต้อนรับด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นนางดูท่าทางอารมณ์ดี

                “พอดีข้าเจอคนแปลกๆ เขาตลกดี”

                “บุรุษหรือเจ้าคะ ท่านชอบเขาหรือ”

                “ไม่” นางส่ายหน้า “แค่คิดว่าเป็นคนที่น่าสนใจก็เท่านั้น”

                หย่งชินเดินนำสาวรับใช้คนสนิทเข้าไปในเรือนที่พักของนาง จวนตระกูลหวงถูกแบ่งออกเป็นหลายเรือนใหญ่ๆ หนึ่งในนั้นคือเรือนของคุณหนูใหญ่— หรือก็คือเรือนของนางเอง ซึ่งนอกจากเรือนของนางแล้ว ก็ยังมีเรือนของฮูหยินใหญ่ อู๋เหมยซี มารดาของนาง เรือนของเหล่าอนุภรรยาของบิดา และเรือนของพี่ชายและน้องชาย

                “ท่านพี่” ไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าเข้าไปในเรือน เสียงทุ้มที่นางจำได้ขึ้นใจว่าเป็นเสียงของน้องชายร่วมสายเลือดก็ดังขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมอง หวงกวนเฮิง น้องชายร่วมบิดามารดาเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

                “คุณชายรอง?” ยูฉีมองหน้าคุณชายรองของเรือนด้วยความฉงน

                กวนเฮิงมีสีหน้าอึดอัด เหมือนต้องการจะกล่าวบางอย่าง หย่งชินสบตากับยูฉี เป็นการสั่งกลายๆให้นางอยู่รอภายนอก ในขณะที่ตัวนางเองก็นำน้องชายร่วมสายเลือดเดินเข้าไปในเรือน ทั้งสองหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลัก

                “เจ้ามีธุระอะไร”

                เหงื่อไหลซึมเต็มขมับ เป็นการสื่อว่าสิ่งที่ผู้เป็นน้องชายกำลังจะกล่าวต่อไปนี้คงไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไหร่ “ท่านพี่ เหรินจวิ้นหายตัวไป”

                เหรินจวิ้น หรือ หวงเหรินจวิ้น คือคุณชายเล็กของบ้าน เป็นบุตรของท่านอัครเสนาบดีกับอนุภรรยาสกุลจ้าว และยังเป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาบุตรทั้งหมดที่มีอยู่

                “หายไปไหน” หย่งชินเม้มริมฝีปาก พยายามไม่แสดงอาการตื่นตระหนก

                “ข้าไม่รู้ ข้าแค่พาเขาไปเที่ยวตามที่เขาขอร้องเท่านั้น เขาบอกอยากกินถังหูลู่[2] ข้าจึงเดินไปซื้อให้ แต่เมื่อหันมาอีกทีเขาก็หายไปเสียแล้ว”

                “เขาหายไปนานเท่าไหร่”

                “ประมาณครึ่งชั่วยาม[3]เห็นจะได้”

              เด็กอายุเพียง 12 จะเดินหายไปได้ไกลซักเพียงใดกัน

                หย่งชินหยักตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว นางเดินไปยังเรือนใหญ่สุดของบ้าน ข้างกายมีกวนเฮิงเดินตามอยู่ไม่ห่าง ยูฉีผู้รู้หน้าที่ตัวเองดีส่งสัญญาณเรียกข้ารับใช้ทุกคนมารวมตัวกันหน้าเรือนใหญ่ นัยน์ตาคมของคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงปรายตามองเหล่าคนที่อยู่ใต้การดูแลของตนเอง

                “ตามหาเหรินจวิ้นทุกซอกทุกมุม ต่อให้ต้องพลิกเมือง พวกเจ้าก็ต้องตามหาเขาให้เจอให้ได้”

                “ขอรับ!/เจ้าค่ะ!

                เหล่าข้ารับใช้แยกย้ายกันออกไปยังนอกจวนเพื่อตามหาคุณชายเล็กของบ้าน หย่งชินหันมามองหน้ากวนเฮิง เมื่อมองเลยไปเล็กน้อยก็พบกับฮูหยินรองสกุลจ้าว มารดาของเหรินจวิ้นกำลังมองมาที่นางและกวนเฮิงด้วยสีหน้าเป็นกังวล

                “คุณหนูใหญ่ ข้าขอบคุณมาก ขอบคุณมากจริงๆเจ้าค่ะ ข้าเป็นหนี้ท่าน” ผู้อาวุโสกว่าก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ตนเองพึ่งพามาโดยตลอด ในบรรดาฮูหยินทั้งสามของจวนตระกูลหวง นางมีอำนาจน้อยที่สุด อีกทั้งยังไม่ได้มาจากชนชั้นขุนนาง เป็นเพียงไพร่คนหนึ่งที่ได้รับความกรุณาจากนายท่านของจวนก็เท่านั้น

                หากไม่ได้รับการช่วยเหลือและการดูแลจากคุณหนูใหญ่แล้วล่ะก็ นางกับบุตรชายคงไม่พ้นโดยฮูหยินคนอื่นไล่ออกจากจวนจนต้องไปใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน

                “พอเถอะ ข้ารับคำขอบคุณนั้นไว้ไม่ได้หรอก” หย่งชินเงียบไปครู่หนึ่ง นางพึมพำเสียงเบา “เหรินจวิ้นเกิดในตระกูลหวง ก็นับเป็นน้องชายของข้าคนหนึ่งเช่นกัน”

                นางหันหลัง ก้าวขาเดินออกไปจากจวนพร้อมกับกวนเฮิง ยูฉี และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง จ้าวหมิงเยว่มองภาพนั้น หยาดน้ำตาเอ่อคลอด้วยความปลื้มปิติ

                นางหวังเหลือเกิน ขอเพียงบุตรชายของนางปลอดภัย นางจะอุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับคุณหนูใหญ่คนนั้น

     

                หย่งชินควบอาชาสีขาวพิสุทธิ์ไปตามเส้นทางบนถนน กวาดสายตามองหาน้องชายคนเล็กของตนไปทั่วทุกที่ที่ผ่าน ปกติแล้วนางไม่ใช่คนที่ขี่ม้าบ่อยมากนัก เพราะสตรีส่วนมากล้วนถูกจำกัดสิทธิในหลายๆเรื่อง ต้องขอบคุณบิดาของนาง ที่มองว่าการเรียนขี่ม้าและเรียนวิชาดาบก็เป็นการช่วยให้นางสามารถป้องกันตัวเองจากภัยอันตรายได้ จึงไม่คิดขัดขวาง

                “ไอเด็กเหลือขอนี่! ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!” เสียงโวยวายจากที่ไกลๆเรียกความสนใจของหย่งชินแทบจะในทันที อาจจะด้วยลางสังหรณ์หรืออะไรก็ตาม นางเปลี่ยนทิศทางแทบจะในทันที อาชาไนยสีขาวค่อนๆย่างก้าวไปทางเสียงนั้นตามที่ผู้เป็นนายควบคุม

                ภาพที่ปรากฏตรงหน้า บุรุษรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ในชุดผ้าไหมราคาแพงกำลังถูกข้ารับใช้จับตัวเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้ก่อเรื่อง ตรงหน้ามีน้องชายของนางกำลังยืนกางแขนราวกับกำลังปกป้องเด็กขอทานในชุดมอมแมมด้านหลังตัวเองอยู่

                “ข้าจะเอาเลือดหัวมันออก! กล้าดียังไงมาทำชุดของข้าเปื้อน!!” สีหน้าของเหรินจวิ้นดูไม่ดีนักเมื่อโดนตวาด เดิมทีเจ้าตัวก็ไม่ได้มีนิสัยกล้าหาญหรืออะไร แทบจะเรียกได้ว่าเรียบร้อยเจียมตนและไม่เคยก่อปัญหาใดๆให้นางต้องปวดหัว

                “ต แต่ท่านเป็นคนเดินชนเข— “ เหรินจวิ้นเถียงเสียงเบา

                “ว่าไงนะ!? เจ้าก็อีกคน! ไอเด็กเวร! พวกเจ้าก็เหมือนๆกันหมด!” ชายร่างท้วมคนนั้นหลุดจากการเกาะกุมของบ่าวไพร่ในที่สุด หย่งชินรีบลงจากม้าเมื่อเห็นท่าไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อชายแปลกหน้าง้างมือขึ้นหวังจะทำร้ายน้องชายของนาง

                เหรินจวิ้นหลับตาปี๋

                หมับ!

                มือที่กำลังจะเหวี่ยงเพื่อตบหน้าของเด็กชายอายุน้อยลอยคว้างอยู่ในอากาศ ผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเป็นชายหนุ่มในชุดคล้ายพวกบุตรตระกูลขุนนางชั้นกลาง หย่งชินชะงักไป นางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้ที่เข้ามาหยุดชายร่างท้วมคนนั้นไม่ให้ทำร้ายเหรินจวิ้น

                เขาคือไท่หรง..ชายที่นางเจอที่โรงน้ำชาคนนั้น

                “เกิดอะไรขึ้นหรือคุณชาย” ไท่หรงฉีกยิ้มสบายๆ มองไปยังฝ่ายตรงข้ามที่ยังไม่หลุดจากการเกาะกุมของเขา “ทำไมท่านถึงต้องการจะทำร้ายเด็กพวกนี้ล่ะ”

                ชายร่างท้วมชักสีหน้า “ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า!

                “จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็เด็กนั่น—คนที่อยู่ด้านหลังของนายน้อยคนนี้น่ะ คือลูกชายของบ่าวไพร่ในจวนข้าเอง” โกหก หย่งชินผู้ยังไม่ยอมออกไปแสดงตัวคิดในใจ

                “เจ้า— !!!

                “ข้าเห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้น ท่านเป็นคนเดินชนเด็กคนนี้ ทำไมถึงโทษว่าเขาเป็นคนเดินชนท่านเล่า? แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ? การที่นายน้อยท่านนี้ปกป้องบ่าวไพร่คนนี้เอาไว้มันผิดตรงไหน”

                “เจ้าคนอวดดี!!! พวกแก! จับมันเอาไว้!” ชายร่างท้วมหันไปสั่งลูกน้อง

                “แต่คุณชาย นายท่านไม่ต้องการให้คุณชายสร้างปัญห— “

                “ช่างท่านพ่อสิ!! จับพวกมันทั้งหมดเอาไว้!!

                ไท่หรงหน้าเหวอ “เดี๋ยวสิท่าน ข้าพูดความจริง ทำไมท่านจะต้องโกรธด้วย”

    ร่างของไท่หรงรวมถึงเหรินจวิ้นและบ่าวอายุน้อยถูกบ่าวไพร่ของชายร่างท้วมจับกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง เหล่าชาวบ้านที่เห็นสถานการณ์ต่างหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาช่วยเหลือ หย่งชินมองภาพนั้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

                “เจ้าคนไร้ยางอาย..” นางพึมพำ นัยน์ตาแข็งกร้าว ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปใกล้คุณชายร่างท้วมจากด้านหลัง ก่อนที่จะคว้ามีดสั้นที่ซุกซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อตวัดจ่อไปที่ลำคออวบโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว

                “น นี่ เจ้า!!

                “ลองเจ้าขยับตัวดูสิ” หญิงสาวกล่าวเสียงเย็นเยียบ “ศีรษะเน่าๆของเจ้าได้หลุดออกจากบ่าแน่”

                จริงๆแล้วหย่งชินไม่ได้มีพละกำลังมากพอจะทำแบบนั้น ไม่สิ หากชายร่างท้วมคนนี้ตั้งใจขัดขืนเสียหน่อยก็สามารถหลุดจากการกอบกุมของนางได้แท้ๆ แต่เพราะเขาขี้ขลาด— ใช่ ขี้ขลาด ขาสั่นราวกับขาลูกแพะแรกเกิด เหงื่อไหลท่วมตัว เรี่ยวแรงอ่อนเปลี้ย ทั้งหมดเป็นเพราะความหวาดกลัวในสิ่งมีคมที่อยู่ห่างจากลำคอไม่ถึงครึ่งชุ่น[4]

                หย่งชินหันหน้าไปมองบ่าวไพร่ของชายนิสัยเสียก่อนออกคำสั่งเสียงดังฟังชัด “ปล่อยพวกเขาซะ”

                ทั้งหมดมีสีหน้าลังเล นางเหลือบมองชายที่ทำท่าจะเป็นลมเพียงเพราะโดนสตรีเอามีดจ่อคอ ก่อนแค่นหัวเราะ “ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยพวกเขา คุณชายคนนี้ได้ตายคามือข้าแน่”

                “ป ปล่อยพวกมันสิเจ้าพวกโง่ ปล่อยพวกมัน!” ชายร่างท้วมผู้อยากรักษาชีวิตตัวเองมากกว่าศักดิ์ศรีใดๆตะโกนก้อง บ่าวไพร่ค่อยๆปล่อยคนที่ตัวเองจับไว้ให้เป็นอิสระ เช่นเดียวกัน หย่งชินผละออกจากอริแทบจะในทันที นางปรายตามองชายร่างท้วมด้วยสายตาเย็นชา

                “จริงๆเจ้าจะฆ่าไพร่นั่นหรือฆ่าชายคนนั้น— ” นิ้วเรียวชี้ไปที่ไท่หรง “ข้าก็ไม่คิดจะสน”

                “แต่เหรินจวิ้นเป็นน้องชายข้า หากเจ้าทำร้ายเขาแม้แต่เพียงปลายก้อย— ข้าจะตามถอนรากถอนโคนเจ้าจนไม่เหลือซาก”

                เสียงของนางนั้นเย็นเยียบจนไท่หรง หรือแม้แต่เฉียนคุนที่ลอบมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่มุมหนึ่งเสียวสันหลังวาบไปทั้งกาย อย่าว่าแต่พวกเขาเลย คุณชายนิสัยเสียคนนั้นล้มพับไปกับพื้น แข้งขาสั่นจนลุกขึ้นไม่รอด ต้องให้บ่าวไพร่ของตัวเองแบกขึ้นหลังไป

                หย่งชินเก็บมีดเข้าที่ ก่อนที่นางจะค่อยๆย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้น้องชายของนางที่เอาแต่เป็นห่วงเป็นใยเด็กไพร่นั่นไม่หยุด

                “ท ท่านพี่”

                “ข้าหวังว่า ชั่วชีวิตนี้ของเจ้า— นี่จะเป็นปัญหาเดียวที่เจ้าก่อ ความใจดีไม่เข้าเรื่องของเจ้าคงได้ทำให้ตัวเจ้าเองเดือดร้อนในซักวัน”

                คุณชายเล็กตระกูลหวงก้มหน้างุด “ข้าเข้าใจแล้ว”

                “แม่นางก็อย่าไปดุคุณชายตัวน้อยนักเลย” ไท่หรงที่ยืนฟังอยู่ซักพักกล่าวแทรกขึ้น สตรีเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ตนกับน้องชาย นางหันมามองผู้พูดพลางขมวดคิ้วเป็นปม ไท่หลงฉีกยิ้ม

                “การที่ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรกระทำอยู่แล้วมิใช่หรอกหรือ”

                หย่งชินถอนหายใจ “มันก็ใช่”

                สิ่งที่ชายคนนี้กล่าวนั้นมันก็ถูก การช่วยเหลือผู้อ่อนแอคือสิ่งที่พึงกระทำ แต่ว่า.. มันจะถูกต้องก็ต่อเมื่อการช่วยเหลือนั้นไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง เพราะหากมันสร้างความเดือดร้อนขึ้นมา นั่นไม่ใช่การมีจิตเมตตาอารี มันก็แค่การหาเรื่องใส่ตัว

                “ว่าแต่แม่นางมีนามว่าอะไรหรือ” หย่งชินค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนระบายรอยยิ้มสรวลบนใบหน้า มันเป็นรอยยิ้มที่ดูงดงามราวกับบุปผาที่เบ่งบานในยามเหมันตฤดู

                “ข้ามีนามว่า หวงหย่งชิน บุตรีท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ส่วนนั่นคือหวงเหรินจวิ้น น้องชายของข้า เมื่อครู่ที่ข้าชี้หน้าท่าน..” นางกระแอม กล่าวถึงตอนที่นางพูดกับคุณชายร่างท้วมคนนั้น “ข้าต้องขออภัยด้วย หย่งชินเสียมารยาทกับคุณชายแล้ว”

                ไท่หรงหัวเราะขบขันคล้ายไม่ยินดียินร้าย แต่..แม้จะเป็นเพียงครู่เดียว หย่งชินก็สัมผัสได้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยในยามที่นางกล่าวถึงบิดาของนาง

                “ดูท่าว่าข้าจะทำการเสียมารยาทกับท่านไปเสียแล้ว ต้องขออภัยคุณหนูใหญ่สกุลหวงด้วย”

                หย่งชินส่ายหน้า คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร

                “แล้วท่านเล่า ท่าน..คือใคร”

                ไท่หรงค้อมศีรษะลง ใบหน้าเรียวคมยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม

                “ข้ามีนามว่าไท่หรง..” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาคมทอประกาย “เป็นเพียงบุตรชายตระกูลพ่อค้าเท่านั้น”

     

                แผ่นหลังเล็กทว่าสง่างามของคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงควบม้าจากไป ทว่าชายผู้แนะนำตัวว่าเป็นบุตรชายตระกูลพ่อค้ายังคงอยู่ ไท่หรงมองตามแผ่นหลังของนางจนลับตา นัยน์ตาสีนิลทอประกาย ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้ม

                เพียงแรกพบเจอ กลับตราตรึงจนน่าฉงน

                “ทำไมท่านถึงต้องโกหกเล่า” เฉียนคุนเดินออกมาจากที่ซ่อน ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

                “ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลที่ต้องบอกความจริง บอกไปแล้วไงเล่า นางจะหันมาสนใจข้าหรืออย่างไร”

                “....”

                “องค์ชายที่แสนต่ำต้อยเช่นข้า คงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับนาง”

                “ท่านชอบนางหรือ รักแรกพบ?” เฉียนคุนถาม

                ไท่หรงมีสีหน้าขบคิด ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่..”

                “แล้วทำไม..”

                “ข้าเพียงแค่สนใจนางเล็กน้อยเท่านั้น”

                ใช่ สตรีผู้นั้นช่างน่าสนใจ

                แม้งดงามและอ่อนโยน แต่ก็ดูเลือดเย็น

                แม้สูงศักดิ์และเพียบพร้อม แต่ก็ดูทะเยอทะยานและไร้หัวใจ

                หลายๆสิ่งในตัวนางนั้นช่างขัดแย้งกันเสียจนน่าประหลาด แต่เพียงแค่มองพินิจใบหน้านั้น ก็ราวกับกำลังถูกดึงดูดจนไม่เป็นของตัวเอง หากให้เปรียบ นางคงเปรียบเสมือนบุหลันงามที่ลอยเด่นอยู่เหนือนภา งดงาม เยือกเย็น สูงศักดิ์ ใครๆต่างก็อยากจะครอบครอง

                ทว่า—

                ไท่หรงกลับเข้าใจบางสิ่งได้ในทันทีที่ได้สบตากับนัยน์ตาเรียวคมไร้ประกายทว่างดงามคู่นั้น

                เพราะเป็นดั่งจันทราสูงศักดิ์ นางจึงโดดเดี่ยว

                ผู้ที่จะสามารถครอบคู่กับนางได้ คงมีเพียงโอรสสวรรค์ผู้ครองใต้หล้า

                น่าเสียดาย ที่ หลี่ไท่หรงผู้นี้เป็นเพียงมังกรป่วย ที่แม้ชาตินี้ชาติหน้า ก็คงไม่มีวาสนาได้เป็นชายผู้นั้น




    -----|-----|------|-----|-----|-----

    [1] ไท่จื่อ - องค์รัชทายาท (ว่าที่ฮ่องเต้คนต่อไป)

    [2] ถังหูลู่ - ขนมกินเล่นของจีน ทำจากผลซานจา ชื่อถังหูลู่หมายถึง น้ำเต้าเคลือบน้ำตาล

    [3] ชั่วยาม - 2 ชั่วโมง ( ครึ่งชั่วยาม = 1 ชั่วโมง)

    [4] ชุ่น - 1 นิ้ว (ครึ่งชุ่น = ครึ่งนิ้ว)


    พระเอกมาแล้วๆๆๆๆๆ

    ทำไมพอก๊อปจาก word มาลงในเด็กดีแล้ววรรคกับย่อหน้ามันรวนอ่า ;-;

    เดี๋ยวจะหาทางมาแก้ไขนะคะ T^T


     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×