คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : stage 00 – red snow
นานมาแล้วหลายศตวรรษที่มนุษย์เคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
พวกเขาปกครองโลกใบนี้ สรรค์สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย พวกเขามั่นใจเหลือเกินว่าโลกใบนี้เป็นของพวกเขา
มั่นใจเหลือเกินว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดและไม่มีสิ่งใดมาเทียบเท่าได้
และเพราะแบบนั้น..
พวกเขาจึงคาดไม่ถึงว่ายุคสมัยของมนุษย์จะจบอย่างรวดเร็วราวกับสายลมที่พัดผ่าน
เพียงเพราะความโลภในการขวนขวายหาพลัง
เพียงเพราะความไม่รู้จักพอในการขูดรีดธรรมชาติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
เพียงเพราะตื่นตาตื่นใจกับ ‘สิ่งประหลาด’ ที่พวกเขาพบเจอในป่าลึกลับแห่งนั้น
พวกเขานำมันมาทดลอง
นำมันมากักขัง จากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสาม จากสามกลายเป็นสี่
และกลายเป็นนับไม่ถ้วน
เพื่อทดลองว่าพวกเขาสามารถทำให้
‘พวกมัน’ เชื่องได้หรือไม่
เพียงเพื่อการทดลองงี่เง่าแสนบัดซบนั่น
ท้ายที่สุดแล้วพวกมนุษย์จึงถูกธรรมชาติเอาคืน
เหล่าสิ่งที่พวกเขาเคยตราหน้าว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานหยัดลุกขึ้นสู้
ถล่มทำลายอารยธรรมที่มนุษย์เพียรสร้างมากว่าพันกว่าหมื่นปีอย่างยากลำบากด้วยกรงเล็บที่แหลมคมจนแทบจะสะบั้นต้นไม้ขาดเป็นท่อนในการตวัดเพียงครั้งเดียว
พวกมันที่เคยหลบซ่อนในมุมมืดต่างปรากฏกายเพื่อต่อสู้
พวกมันโกรธเกรี้ยว ทุกอณูในความคิดเต็มไปด้วยโทสะ
พรากบ้าน
พรากครอบครัว พรากคนรัก พรากอาหาร และพรากชีวิต
มนุษย์ทำกับพวกมันเช่นไร
พวกมันย่อมเอาคืนเช่นนั้น
จากประเทศหนึ่ง สู่อีกประเทศหนึ่ง—
ท้ายที่สุดเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ล่มสลาย จากเผ่าพันธุ์ที่เป็นใหญ่ ก็กลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตใต้อาณัติของผู้ที่มีพลังอำนาจเหนือกว่า
จากผู้ปกครอง— สู่ผู้รองมือรองเท้า จากผู้จับสายจูง— กลายเป็นผู้ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน
ในฤดูหนาวที่ไร้ซึ่งซานต้า
เหล่าเด็กเล็กพากันหลบอยู่ในบ้านพร้อมกับไฟที่ถูกปิดจนมืด พวกเขาต่างขดตัวอยู่ใต้โต๊ะ
สั่นผวายามได้ยินเสียงกรีดร้องและกลิ่นเลือดคาวจมูกด้านนอกนั่น
หิมะที่ขาวสะอาดถูกย้อมเป็นสีแดงเช่นเดียวกับสีโลหิตที่หลั่งไหล เสียงคำรามกรรโชกของสัตว์ดุร้ายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับราตรีที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ไม่มีใครอยากตกเป็นเบี้ยล่าง
ไม่มีใครอยากถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไป
ทั้ง ‘มนุษย์’ ทั้ง ‘พวกมัน’
ต่างสูญเสียกันมามากเหลือเกิน
ในฤดูหนาวปีคริสต์ศักราชที่
2020 เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ล่มสลาย พร้อมกับเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ก้าวเท้าเข้าหาแสงสว่างเพื่อปกครองโลกใบนี้
‘อันเดลไฮส์’
โลกของมนุษย์หมาป่า
และนี่คือเหตุการณ์ในอีก
1000 ปีหลังจากนั้น
เสียงลมพัดโหยหวนดังขึ้นจากทุกสารทิศ
พร้อมกับหิมะสีขาวบริสุทธิ์ที่ตกลงมากองจนเกือบท่วมถนนรถม้าสายหลักซึ่งกั้นกลางอยู่ระหว่างร้านอาหารจานเด็ดอย่างเนื้อหมักไวน์สดกับร้านดอกไม้ชื่อดังที่บัดนี้กลับไม่มีใครมาใช้บริการเลยแม้แต่คนเดียว
ค่ำคืนที่มีเพียงแสงจากเสาไฟทรงโบราณตามทางและแสงจันทร์บนฟากฟ้านั้นช่างเงียบเหงา
ทั้งความหนาวเหน็บที่พาลทำให้ตัวสั่น
ทั้งกลิ่นไอเย็นที่ทำให้จมูกของเด็กน้อยแดงระเรื่ออย่างน่ากลัว
แขนบอบบางภายใต้เสื้อไหมพรมตัวหนาที่ผู้เป็นมารดาบอกว่าซื้อมาในราคาถูกกอดตัวเองอย่างหลวมๆ
ดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องฟ้ายามนี้กะพริบตาขับไล่ความง่วงงุนพลางสอดส่องมองไปรอบด้านเพื่อหามารดาที่ทิ้งตนไว้แล้วจากไปตั้งแต่เมื่อราวๆ
6 ชั่วโมงก่อน
เสียงกังวานของหอนาฬิกาใจกลางเมืองดังขึ้น
ร่างเล็กก้มหน้าลงปกปิดริมฝีปากที่ซีดเผือดและสั่นเทาเพราะพิษของหิมะที่ตกมาตลอดโดยไม่มีหยุดพัก
“เที่ยงคืนแล้ว..”
เขากระซิบกับตัวเองเสียงแผ่ว ในใจพร่ำภาวนาขอให้ผู้เป็นมารดารีบกลับมารับเขากลับบ้านไปเสียที
“ธุระของคุณแม่ยังไม่เสร็จรึไงนะ”
เด็กชายตัวน้อยผู้มีผิวขาวราวหิมะและใบหน้าที่หากโตขึ้นคงหล่อเหลาราวรูปปั้นสลักขยับตัวขยุกขยิกบนม้านั่ง
ใจดวงน้อยที่บริสุทธิ์สมวัยเต้นอ่อนลงยามเผลอคิดขึ้นมาว่าตนอาจถูกทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว
‘เจค รออยู่ที่นี่นะ อย่าไปไหน ไว้แม่เสร็จธุระแล้วแม่จะกลับมารับ’
เสียงอ่อนโยนของมารดายังคงดังก้องอยู่ในหู
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้หมู่ดาวเนื่องจากถูกเมฆบดบังจนหมด
ใจหนึ่งยังคงเชื่อมั่นในคำพูดนั้น— ทว่าอีกใจหนึ่งกลับหมดหวังและเริ่มรู้สึกต่อต้าน
หากคุณแม่จะกลับมา
คงกลับมานานแล้วไม่ใช่หรือ
เด็กชายเอนกายลงนอนบนโซฟาเย็นเยียบ
หวังเพียงเมื่อตื่นขึ้นมาจะพบกับใบหน้าของผู้เป็นมารดาที่เขาเฝ้าถวิลหา
ทว่าท่ามกลางไอเย็นจนแสบจมูกนั้น
เขาได้กลิ่นคาวเลือดปะปนมา
เด็กชายผุดลุกขึ้นยืนในทันทีอย่างหวาดระแวง
ดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มล้ำลึกขยายม่านตากว้างขึ้นตามสัญชาตญาณ ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่นัก
เขาเห็นเงาคนเลือนรางเดินออกมาจากมุมอาคารหนึ่งอย่างทุลักทุเล กลิ่นคาวของโลหิตเด่นชัดขึ้น..เช่นเดียวกับกลิ่นเย็นๆที่ไม่ใช่กลิ่นของหิมะ
คล้ายกลิ่นของดอกไม้ป่า—
แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่
มันเป็นกลิ่นหอมเย็นที่ทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่แล้วกลิ่นเหล่านั้นก็ถูกกลบด้วยกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงยิ่งกว่ายามที่ชายร่างโปร่งบางคนนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
โลหิตสีแดงที่อาบมือและร่างกายของเขาหยดแหมะลงบนหิมะ กระจายเป็นวงกว้างย้อมหิมะสีขาวพิสุทธิ์ตามทางเดินเหล่านั้นกลายเป็นสีแดงฉานน่าขนลุก
เมื่อได้มองหน้าใกล้ๆ
เขาจึงเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นบุรุษวัยประมาณ 18-19 ปีผู้มีใบหน้าหวานหยด
แม้ไม่ได้งามแบบสตรีที่เขาเคยพบเห็น แต่ก็นับได้ว่ามีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
ซ้ำยังตราตรึงราวกับรอยสักที่ไม่สามารถลบเลือนออกไปจากความคิดได้ ผมสีเทาควันบุหรี่ตัดสั้นละต้นคอ
ดวงเนตรสีทองเข้มไร้ประกายที่มองมายังเขาคล้ายกับกำลังประเมินบางสิ่ง
น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกกลัวกับสายตานั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
มีเพียงเสียงก้อนเนื้อตรงหน้าอกข้างซ้ายเท่านั้น
ที่ดังจนเขากลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
ทั้งที่ชายตรงหน้าเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต
ทั้งที่ใบหน้านั่นฉายแววเยือกเย็นระคนเศร้าหมอง ทั้งที่เป็นแบบนั้น
เขากลับคิดว่าภาพตรงหน้าช่างงดงามนัก
“เจค..”
หัวใจของเขาเต้นระรัวยามได้ยินเสียงหวานนั่นเอ่ยเรียกชื่อของเขา
“ฉันชื่อ
เทนเลอร์ ดาร์เคอตัน ฉันได้รับมอบหมายให้มารับเธอ”
แม้ว่าจะยังเด็กนัก แต่เขาก็รู้ว่า ดาร์เคอตัน คืออะไร
‘ราชวงศ์’
“ผ
ผม..”
“ตั้งแต่นี้ต่อไป
เธอคือ เจควินน์ แลนฟอร์ด ลูกชายเพียงคนเดียวของโคลวิส แลนฟอร์ด
ขุนนางระดับสูงผู้ภักดีต่อราชวงศ์”
มันคือจุดเริ่มต้น
-----|-----|-----|-----|-----|-----
เปิดเรื่องใหม่แล้ว!!
ใครที่ไม่เคยอ่านฟิคของเรา ลองไปแง้มๆดูเรื่องเทนทาเนียกับท่านอ๋องกลัวเมียได้นะคะ!
เรื่องนี้ธีมเรื่องเดียวกับเทนทาเนียนะคะ (ยุโรปแฟนตาซีพีเรียด ออกแนววิคตอเรียนหน่อยๆ) แต่โทนเรื่องนี้ค่อนข้างดาร์คและเหมาะกับเรามากกว่า (เทนทาเนียฟีลกู๊ด..
ย้ำว่าฟีลกู๊ดค่ะ หมายถึงช่วงแรก)
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวในโลกหลังจากที่เผ่าพันธุ์หมาป่าเอาชนะเผ่าพันธุ์มนุษย์และกลายเป็นผู้ปกครองโลกได้ค่ะ
เป็นแนวๆ Omegaverse โทนเรื่องจะดาร์คประมาณนึง และอิงการแต่งกายกับวัฒนธรรมสมัยวิคตอเรียนมาส่วนนึงด้วยค่ะ
โดยจะมีตัวละครหลัก 2 ตัวคือ เจควินน์ แลนฟอร์ด พระเอกของเรื่อง และ เทนเลอร์ ดาร์เคอตัน
นายเอกของเรื่อง (ย้ำว่านายเอก ไม่ใช่ fem แบบเรื่องเทนทาเนียแล้วค่ะ)
สำหรับใครที่อยากติดตามเรา/ทวงฟิค/ส่องความเคลื่อนไหว
สามารถดูได้ที่ @EVE05x07 และ
#ท่านลอร์ดโอเมก้า ในทวิตเตอร์ค่ะ!
ความคิดเห็น