ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    At Gwanghwamun [ KyuHyuk ]

    ลำดับตอนที่ #4 : Third & Fourth - ผมจะทำให้คุณยิ้มเอง :^)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 57


     

    Third & Fourth

     

    ผมจะทำให้คุณยิ้มเอง :^)

     

     

     

     

     

     

     

     

    ฮยอกแจถอดเสื้อโค้ดของตัวเองแขวนไว้ที่หน้าประตูและก้าวเข้ามาภายในบ้าน แต่เพียงแค่มองจากตรงนี้ก็ต้องเท้าเอวมองคนป่วยที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ถูกกระชับแน่นแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นได้เท่าไหร่นักหรอก ฮยอกแจถอนหายใจและเดินไปใกล้พร้อมกับวางถุงยาไว้บนโต๊ะ จะเอื้อมมือไปวัดไข้แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามือตัวเองยังเลอะอยู่ ฮยอกแจมองใบหน้าอ่อนแรงที่แนบอยู่กับโต๊ะด้วยสายตาว่างเปล่าและเลือกจะเดินแยกออกมาเพื่อไปล้างมือให้สะอาด ผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับมาถูกพับเก็บลงในกระเป๋าเสื้อไม่ได้ใช้งานอะไรมากกว่านั้น

     

     

    “ทงเฮลุกมากินยา” ฮยอกแจพูดเมื่อเดินกลับมาตรงหน้าผู้ป่วยอีกครั้ง มือทาบลงที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ และแน่นอนว่ามันไม่ได้แตกต่างจากก่อนหน้านี้เลย

     

    “มึงไม่ได้ไข้ขึ้นจนหมดสติขนาดนั้นหรอกอย่ามาตอแหล” ฮยอกแจแกล้งผลักหัวอีกฝ่ายจนทงเฮต้องเมินหน้าหนี ก่อนจะใช้แขนช่วยยันตัวเองขึ้นมาได้

     

    “....กูดูเหมือนคนปกติมากงั้นสิ ที่ทำอยู่นี่มึงคิดว่ากูแกล้งเหรอ กูตัวร้อนเป็นไฟขนาดนี้เพราะอะไรนะ กูจะแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หรือไง”

     

    “กวนตีนกูทำไมเนี่ย”

     

    “แล้วกูเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะ แล้วนี่ยังไม่ได้นอนจนอาการหนักขึ้นเพราะมานั่งหนาวอยู่ตรงนี้เพราะใครทิ้งกูไว้...โอ๊ยๆๆๆๆ” พอทงเฮบ่นมากๆเข้าฮยอกแจเลยจัดการดึงแก้มไอ้คนป่วยที่ยังมีหน้ามาด่าไม่หยุดปากคนนี้ซะ

     

     

    ฮยอกแจรู้ว่าที่มันต้องมานอนอยู่แบบนี้เพราะเขา

     

    แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าเขาสั่งให้มันมานอนอยู่ตรงนี้เสียที่ไหน

     

     

    “ถ้าอยากให้กูอยู่ด้วยก็พูดดีๆ พูดแค่ว่ากูป่วยจริงๆ กูอยากให้มึงอยู่ดูแล ไม่ต้องมาพล่ามว่ากูทำนู่นทำนี่  ไม่ต้องมาโยนความผิดทุกอย่างบนโลกมาใส่กูเพราะบอกเลยว่ากูไม่รู้สึกผิดแน่ๆ” ฮยอกแจพูดยาวและนั่นดูจะทำให้ทงเฮสงบลงได้จริงๆ จากใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งและมือที่เคยปัดป้องตัวเองก็จับซ้อนลงบนมือที่ดึงแก้มตัวเองอยู่มือ ฮยอกแจค่อยๆปล่อยมือออกและนั่นทำให้ทงเฮกุมมือนั้นมาทาบไว้ที่แก้ม

     

    “อยู่ด้วยกัน... จนกว่าแม่จะมาได้ไหม” ทงเฮพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เงยหน้ามองพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ  

     

    “กูไม่อยากอยู่คนเดียว” ทงเฮเอ่ยคำพูดอ้อนวอนพร้อมกับกระชับมือให้แน่นขึ้น เฝ้ารอคำตอบด้วยใจหวั่นๆ

     

     

    เพราะรู้ตัวว่าวันนี้อีทงเฮงี่เง่าจนแทบจะเลยลิมิตของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ

     

     

    “ยา” ทงเฮยิ้มออกมาและพยักหน้ารับคำสั่งสั้นๆนั้น เลื่อนมือลงมาวางที่โต๊ะแต่ก็ยังจับไว้แน่นราวกับอีกคนจะหายไป ใช้เพียงมือเดียวหยิบยามากินและดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย เงยหน้ามองฮยอกแจเพราะหวังจะเห็นใบหน้าที่พึงพอใจขึ้นมาบ้าง แต่ว่าใบหน้าหวานยังคงเรียบตึงอยู่เหมือนเดิม

     

    “กินยาเสร็จแล้วไปนอนสิ นั่งอยู่แบบนี้เดี๋ยวก็มาด่ากูทรมานมึงอีก” ฮยอกแจพูดและกระชับมือที่จับกันไว้เอง พยายามฉุดรั้งให้ทงเฮลุกขึ้นตาม ทงเฮยิ้มออกมาก่อนจะเดินตามฮยอกแจไปโดยที่ไม่มีคำพูดอะไรอีก มองมือที่กุมไว้และนั่นยิ่งทำให้รอยยิ้มนี้กว้างมากขึ้นไปอีก

     

     

    จริงๆทงเฮนึกว่าจะถูกสะบัดออกแล้วด้วยซ้ำ

     

     

    “.....” ทงเฮมองตามมือเล็กอย่างอาลัยแต่ก็ยอมนั่งลงบนเตียงตามที่นิ้วนั้นชี้สั่ง ฮยอกแจเองก็นั่งลงบนเตียงและผลักให้ทงเฮล้มตัวลงนอนเสียที

     

    “มึงจะไม่ไปไหนแน่นะ...”

     

    “ให้กูอยู่จนกว่ามึงจะหายเลยดีไหม” ฮยอกแจพูดประชดและนั่นทำให้ทงเฮแค่นหัวเราะออกมา

     

    “ถ้าได้กูจะยอมป่วยตลอดชีวิตเลย”

     

    “....” ฮยอกแจนิ่งเงียบจนกระทั่งทงเฮกัดปากตัวเองไว้

     

    “คือกู...หมายถึง”

     

    “นอนไป กูจะอยู่นี่แหละ” ฮยอกแจนั่งพิงกับหัวเตียงและหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น ทงเฮมองคนข้างก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมตัว จับเลยให้คลุมขาของฮยอกแจที่นั่งอยู่บนเตียงด้วย สายตานั้นมองกลับมาหา มือเล็กเอื้อมมายีหัวคนที่นอนอยู่จนยุ่งเหยิงก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง สุดท้ายทงเฮถึงเลือกที่จะเอาหน้าผากมาวางทาบอยู่กับเอวของอีกฝ่าย หลับตาลงและยิ้มออกมาเมื่อฮยอกแจวางศอกลงมาบนหัวเพื่อลงโทษคนขี้อ้อนอย่างเขา...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ทงเฮขยับลุกขึ้นมาก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาภายในห้อง ผ่านไปเกือบ8 ชั่วโมง เขาคงจะหลับยาวด้วยฤทธิ์ยาถึงได้มาตื่นเอาซะค่ำมืดแบบนี้ ทงเฮยกมือขึ้นมาวัดไข้ด้วยตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาเพราะเมื่อมองเลยคนที่นั่งหลับอยู่บนเตียงก็พบกับอ่างน้ำเล็กๆและผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ค่อยๆขยับตัวอย่างระวังก่อนจะเอื้อมมือไปลูบแก้มของคนที่หลับใหล ริมฝีปากทาบลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆแทนคำขอบคุณ แต่อยู่ๆคนที่ทงเฮคิดว่านอนหลับไม่รู้เรื่องกลับลืมตาขึ้นมา ใบหน้าที่อยู่ใกล้กันจนแทบจะชิดนั่นทำให้ฮยอกแจจ้องกลับไปที่ดวงตานั้น สายตาว่างเปล่าทำให้ทงเฮต้องรีบเด้งตัวออกห่าง

     

    “โอ้ย!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดนั่นอาจจะเกิดขึ้นเพราะเตียงนี่แคบเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะคนทำผิดลนลานเกินกว่าเหตุ ฮยอกแจยืดตัวขึ้นมานั่งก่อนจะหันมองคนที่คลานขึ้นมาจากพื้น

     

     

    ล้มลงไปเองทั้งที่ยังไม่มีใครทำอะไรแบบนั้น

     

     

    “สมควร” ฮยอกแจพูดเสียงเรียบและลุกขึ้น

     

    “ฮยอกแจ” ทงเฮเรียกก่อนจะรีบลุกตามมายืนขวางไว้

     

    “กูจะกลับบ้าน”

     

    “กู...” ทงเฮเอื้อมมือมาจับข้อมือไว้เพราะอยากจะอธิบายแต่ว่าฮยอกแจกลับส่งสายตาอาฆาตมาให้ และรีบดึงมือออกจนแทบจะเป็นกระชากกลับ

     

    “ทำไม... กูยังกลับไม่ได้อีกเหรอ” คำถามนั้นทำเอาทงเฮพูดไม่ออก

     

    “แล้ววันจันทร์ไปเรียนด้วยล่ะ อย่าหาเรื่องโดด” ฮยอกแจเดินสวนไปโดยที่ทงเฮได้แต่หันมองตาม และทันทีที่ประตูปิดลง มือนั้นก็รีบหยิบหมอนบนเตียงโยนไปกระแทกผนังเพื่อระบายอารมณ์

     

    “ปึง!” ฮยอกแจถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันก่อนจะรีบเดินออกจากบ้านถึงแม้จะได้ยินเสียงคุณแม่ที่เพิ่งกลับมาเรียกจากในครัวก็ตาม

     

     

    เขายังไม่อยากเจอแม่ทงเฮ เพราะตอนนี้เขาก็ไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงเหมือนกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    การเรียนในวันจันทร์ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวอย่างที่ทงเฮกังวล ฮยอกแจยังคงยิ้มและหัวเราะกับเรื่องงี่เง่าที่เขาทำ รวมไปถึงยังวิ่งมากอดคอไปกินข้าวได้เหมือนกับปกติ แต่ทงเฮก็พอจะรับรู้ได้เมื่ออยู่กันสองคน ฮยอกแจจะชอบขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่พอหันมาหาทงเฮก็จะปั้นยิ้มออกมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

    “พวกกูจะไปซ่อมเลข มึงอ่ะ”

     

    “กูผ่านตั้งแต่คราวที่แล้วละ” ทงเฮตอบกลับและนั่นทำให้ฮยอกแจทำปากเบ้ใส่

     

    “ผ่านเพราะใครให้เครดิตกันหน่อยดิ” ฮยอกแจทวงทงเฮเลยหันมาฉีกยิ้มให้

     

    “ครับๆๆๆๆ ผมผ่านได้เพราะคุณนั่นแหละครับ” ฮยอกแจพยักหน้ารัวๆ

     

    “กูล่ะเบื่อผัวเมียคู่นี้จริงๆเลยเว้ย 55555555555” คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งกลุ่มรวมถึงทงเฮเองด้วย แต่เสียงหัวเราะของฮยอกแจกลับค่อยๆหายไปจนกระทั่งเพื่อนทั้งกลุ่มหายไปจัดการธุระของตัวเองทงเฮถึงได้หันกลับมาหา

     

    “....” ฮยอกแจไม่ได้ยิ้มแค่ยกมุมปากขึ้นเท่านั้น

     

    “มึงเป็นไรป่ะเนี่ย” ทงเฮถามเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย เดินมาดักหน้าเมื่อฮยอกแจเอาแต่ก้มหน้าเก็บของ

     

    “เรื่องวันเสาร์เหรอ”

     

    “วันนั้นมันมีเรื่องอะไรเหรอ” ทงเฮจ้องมองฮยอกแจที่ตีหน้านิ่งเงยหน้ามาถามราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร แววตาว่างเปล่าราวกับไม่เคยรับรู้อะไรนั่นทำให้ทงเฮยกยิ้มเศร้าๆออกมา

     

    “กูชอบมึง” ทงเฮพูดออกไปทั้งที่ยังสบตากันอยู่ และเชื่อเถอะว่ามันมีเพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้นแหละที่สายตานั่นมีความสับสนปะปนอยู่

     

    “กูก็ชอบมึง” ฮยอกแจตอบรับปนขำก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อเก็บสมุดลงใต้โต๊ะ แต่ทงเฮก็เอามือมาทับไว้ก่อน

     

    “ฮยอกแจ มึงก็รู้..”

     

    “เลิกเรียนตั้งนานแล้ว กลับบ้านกันเหอะ เดี๋ยวแม่มาด่ากูว่าหนีเที่ยวอีก” ฮยอกแจรีบดึงสมุดนั่นโยนเข้าไปใต้โต๊ะและรีบหันไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองมาสะพายไว้

     

    “กูชอบมึงจริงๆนะ”

     

    “....” ถึงแม้จะหันหลังให้แต่ก็ยังได้ยินเต็มสองหู ฮยอกแจกำสายของเป้ไว้ก่อนจะพ่นลมออกจากปากเพื่อผ่อนคลาย

     

    “กูชอบมึงจริงๆ” ทงเฮพูดย้ำออกมาอีกครั้ง แต่ฮยอกแจกลับเม้มปากแน่นและตัดสินใจเดินหนีออกมาจากห้อง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ฮยอกแจเลือกที่จะเดินเตร็ดเตร่ในโรงเรียนไปเรื่อยๆก่อน เพราะเดาได้เลยว่าทงเฮมันต้องไปดักรอเขาอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไม่ว่าจะหน้าโรงเรียน ระหว่างทางกลับ ไม่แน่อาจจะรอหน้าบ้าน หรืออาจจะล้ำขนาดเข้าไปรอในบ้าน

     

     

    ขณะที่ในหัวยังคงตีกันไม่เลิก เท้ากลับต้องหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องดนตรี เมื่อได้ยินเสียงขับร้องแสนไพเราะ มือจับประตูที่แง้มอยู่พร้อมกับสายตาที่ทอดมองเข้าไปด้านในอย่างหลงใหล ภาพของชายร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของเปียโนเพียงตัวเดียวในห้อง ฮยอกแจคลี่ยิ้มจางๆเพราะดูท่าว่าคนในห้องนั้นจะไม่ได้รับรู้ถึงการมาของเขา ริมฝีปากนั้นยังคงเอื้อนเอ่ยท้วงทำนองแสนไพเราะออกมาอย่างต่อเนื่องเหมือนกับพระอาทิตย์ที่สาดแสงเข้ามาในห้องอย่างตั้งใจราวกับจะให้แสงสุดท้ายของวันนี้สร้างสรรค์ภาพตรงหน้าให้สวยงามที่สุด

     

     

    “เข้ามาสิ” ฮยอกแจสะดุ้งนิดๆเมื่ออยู่ๆเสียงเพลงก็หยุดไป สายตาที่เคยเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์ที่ใช้เป็นเครื่องเล่นเพลงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หน้าประตูที่เขายืนอยู่

     

    “มองอยู่แบบนั้น ผมเกร็งนะ” คยูฮยอนพูดทักและยืนขึ้น แต่ฮยอกแจกลับยักไหล่นิดๆราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรที่มาเป็นคนรบกวนอีกฝ่าย

     

    “คยูฮยอนทำอะไรอยู่เหรอ”

     

    “เล่น”

     

    “เล่นเปียโน?”

     

    “ร้องเพลงเล่น ผมเล่นเปียโนไม่เป็นหรอก” คยูฮยอนตอบและชูโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา หน้าจอแสดงผลารเล่นเพลงอยู่แบบนั้นทำให้ฮยอกแจเอียงคองงๆ เพราะยังคงไม่เข้าใจว่าการที่จะต้องร้องเพลงเล่นนี่มันต้องมานั่งอยู่ตรงเปียโนด้วยหรือไง

     

    “ก็ห้องนี้ไม่มีเก้าอี้สักตัว” ดูเหมือนจะเป็นอีกครั้งที่การพูดคุยระหว่างเขาทั้งคู่จะไม่ต้องการคำถาม คำตอบที่ได้รับมานั่นสามารถไขข้อข้องใจของฮยอกแจได้อย่างดี คยูฮยอนส่งยิ้มให้และก้มหน้าลงไปจิ้มโทรศัพท์เพื่อเริ่มเพลงใหม่

     

    “งั้นฉันเล่นให้ไหม” ฮยอกแจเสนอตัวและเดินเข้ามาหา คยูฮยอนมองคนที่นั่งลงบนเก้าอี้แทนตัวเขาก่อนจะนั่งตามลงมาด้วย ฮยอกแจไม่ได้หันมองแต่กลับก้มหน้าไม่พูดจา มือนึงยกขึ้นมาและนิ้วทั้งห้าก็ค่อยๆกดไปตามโน้ตทีละตัว เสียงถอนหายใจทำให้คยูฮยอนตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ตัวเองลงในกระเป๋า

     

    “นี่ฮยอกแจกำลังหาเรื่องมาเจอผมอยู่รึเปล่า”

     

    “คงงั้นมั้ง” ฮยอกแจแค่นยิ้มออกมานิดๆ ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นมา นิ้วเรียวค่อยๆไล่เรียงตัวโน้ตในหัวออกมาเป็นเสียงเพลง คยูฮยอนเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างนั้น

     

    “.....” มือใหญ่เอื้อมผ่านแก้มเพื่อปัดผมคนที่กำลังก้มหน้าตั้งใจเล่นเปียโน และเพราะการกระทำนั้นทำให้คยูฮยอนเห็นได้ชัดเจนขึ้น.. ดวงตาว่างเปล่าที่เอาแต่สนใจเปียโนราวกับเขาไม่มีตัวตน

     

    “ทะ..ทำอะไร” ฮยอกแจพูดไม่เต็มเสียงเมื่อได้รับสัมผัสแผ่วเบาแบบนั้น

     

    “ทำไมถึงทำหน้าแบบนี้ล่ะ”

     

    “แบบไหน” ฮยอกแจมองตามมือใหญ่ และทันที่มือเย็นเฉียบนั้นสัมผัสแก้มมันกลับส่งผลตรงข้าม แม้มือนั้นจะส่งผ่านความหนาวเย็นมาให้ แต่ดูเหมือนร่างกายเขาจะเพิ่มอุณหภูมิตอบกลับ ราวกับจะเป็นฝ่ายถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับมือนั้นเสียเอง

     

     

    ทั้งที่คนตรงหน้าดูอบอุ่นมากถึงขนาดนี้....

     

     

    “....” มือทาบลงที่แก้ม นิ้วโป้งไล่เกลี่ยแก้มเขาเบาๆก่อนจะส่งยิ้มจางๆมาเมื่อเห็นใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำ จากการแตะเบาๆที่แก้มเปลี่ยนเป็นการจับดึงยืดออก

     

    “โอ้ย..”

     

    “ผมไม่ชอบเวลาฮยอกแจเศร้า”

     

    “....” เศร้าเหรอ... เขาดูเศร้างั้นเหรอ

     

    “ยิ้มหน่อยสิครับ” คยูฮยอนพูดพร้อมกับปล่อยมือออกจากแก้ม เปลี่ยนเอานิ้วมาจิ้มที่มุมปากและยกขึ้นให้ แต่มันก็ไร้ผลเมื่อเจ้าของใบหน้าไม่ยอมยิ้มตาม

     

    “เดี๋ยววันนี้ผมจะให้โน้ตสองใบเลย” ฮยอกแจหลุดยิ้มจนแทบจะหัวเราะออกมาเพราะคำพูดนั้น

     

     

    เด็กคนนี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ เข้าขั้นหลงตัวเองเลยแหละ

     

     

    “แบบนี้สิน่ารัก” คยูฮยอนพูดชมและแกล้งดีดแก้มอีกฝ่ายเบาๆ ฮยอกแจหัวเราะกับการหยอกเล่นแบบนั้นอีกมือก็แกล้งชกไปที่หน้าอกเพื่อเอาคืน แต่ดูท่าว่าคยูฮยอนจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลย

     

    “ขอบคุณนะ” ฮยอกแจพูดพร้อมกับรอยยิ้ม และถึงแม้มันจะเพียงคำขอบคุณที่ดูไร้ที่มาแต่ฮยอกแจก็คิดว่าคยูฮยอนที่สามารถทำให้เขาสบายใจขึ้นมากขนาดนี้ต้องเข้าใจแน่ๆ

     

     

    แม้มันจะเป็นคำขอบคุณที่ออกจากใจที่สับสนก็ตาม

     

     

    “เล่นให้อีกรอบสิ” คยูฮยอนขยับเพื่อให้ฮยอกแจนั่งได้ถนัดขึ้น หันข้างให้เปียโนที่นิ้วเรียวสวยนั้นจะเริ่มบรรเลงเพลงออกมาอีกครั้ง คยูฮยอนอมยิ้มก่อนจะเริ่มขับร้องตามทำนองเพลงที่เดาได้ไม่ยากนัก จริงๆเพลง When I fall in love มันก็เหมาะกับสถานการณ์นี้อยู่ แต่คยูฮยอนเดาว่าฮยอกแจคงจะเล่นเป็นอยู่ไม่กี่เพลงมากกว่า

     

    “....” สายตาคมจ้องมองอยู่ที่หน้าต่างกระจกบานใส พระอาทิตย์ตกดินด้านหลังกระจกนั้นสวยงามมากก็จริง แต่ที่วางสายตาที่เรียกรอยยิ้มได้คือภาพจางๆจากกระจกใสที่สะท้อนภาพคนข้างหลังเขาเสียมากกว่า คยูฮยอนค่อยๆเอนหลังพิงไหล่เล็กไว้อย่างถือวิสาสะ ริมฝีปากยังคงขับกล่อมเพลงแสนไพเราะสร้างสรรค์บรรยากาศภายในห้องดนตรีนี้แปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่แสนสวยงาม

     

     

     

     

     

     

     

     

    พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ลุงยามถึงเริ่มไล่คนออกจากห้องเพื่อเคลียร์ตึกให้เรียบร้อย ฮยอกแจเดินยิ้มๆลงจากบันไดมาพร้อมกับคยูฮยอน มือถือโน้ตใบนึงที่เพิ่งได้รับมาก่อนจะหันไปมองเจ้าของและกลับมามองมันอีกครั้ง  

     

     

    Third - :^)

     

     

    “กลับมาเป็นศูนย์อีกแล้ว เบอร์ชัวร์ๆ” ฮยอกแจพูดและยกโน้ตนั่นขึ้นมาโชว์

     

    “ฮยอกแจต้องอยากได้เบอร์ผมมากแน่เลย” คยูฮยอนพูดออกมาและนั่นทำให้ฮยอกแจหัวเราะออกมาอีกครั้ง

     

     

    ให้ตายยังไงเขาก็สู้เด็กนี่ไม่ได้จริงๆนั่นแหละนะ

     

     

    “เดี๋ยวก่อน” ฮยอกแจรีบดึงตัวคยูฮยอนเข้ามาหลบในตึกเหมือนเดิม มือจับอยู่แขนนั้นพร้อมกับขยำเสื้อจนเริ่มยับย่น คยูฮยอนก้มหน้ามองใบหน้าที่กลับมาวิตกกังวลอีกครั้ง ค่อยๆเลื่อนมือมาซ้อนทับและกุมมืออีกฝ่ายไว้ราวกับจะทำให้อีกคนรู้สึกมั่นคงมากขึ้น

     

    “ทำไมต้องหลบหน้าล่ะ” คยูฮยอนถามออกมาเพราะว่าที่ก้าวไปนั่นเขาก็มองเห็นแล้ว

     

     

    อีทงเฮที่ยืนรออยู่ที่หน้าโรงเรียน...

     

     

    “ฉัน...” ฮยอกแจถอนหายใจก่อนจะปล่อยมือและหันมาพิงกำแพงไว้ คยูฮยอนกอดอกและเฝ้ารอคำอธิบายเพิ่มเติม

     

    “มันไม่รู้จะทำหน้ายังไงอ่ะ...”

     

    “....” คยูฮยอนยังไม่พูดอะไร จนกระทั่งฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมาหา

     

    “ทงเฮบอกว่าชอบฉัน”

     

    “นี่เพิ่งรู้ตัวเหรอ”

     

    “ใช่ม่ะ! เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานมาบอกอะไรตอนนี้ แล้วสนิทกันขนาดนี้ต่อไปจะมองหน้ากันยังไง ฉัน..ทำตัวไม่ถูก...” คยูฮยอนมองนิ่งๆก่อนคลี่ยิ้มเมื่อคนที่พูดมากมาตลอดหยุดลงด้วยตัวเอง

     

    “รู้มาตลอดไม่ใช่เหรอ” คยูฮยอนพูดขำๆก่อนจะถอนหายใจตามมา

     

    “ฉัน...” ฮยอกแจพยายามจะแก้ตัว แต่ว่ามันก็เป็นอย่างที่คยูฮยอนบอกนั่นแหละ

     

    “น่าสงสารเขานะ”

     

    “....”

     

    “ก็ยอมให้เขาอยู่ใกล้ๆมาตลอด ทำไมถึงเวลาที่เขากล้าพอที่จะพูดออกมาถึงไปไล่เขาแบบนั้นล่ะ”

     

     

    จะบอกว่าที่ผ่านมาเขาคือคนที่ให้ความหวังทงเฮเองหรือไง

     

     

    “แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ” ฮยอกแจถามออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้สมองเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ก็คิดมากมาตลอด แล้วพอมันพูดออกมาตรงๆว่าชอบ...

     

     

    ตั้งแต่ตอนนั้นข้างในนี่มันก็ไม่สงบเอาซะเลย

     

     

    “ผมจะรู้ได้ไง” คำตอบที่ได้จากคยูฮยอนทำให้ฮยอกแจแค่นหัวเราะก่อนจะเอามือทั้งสองข้างมาปิดหน้าตัวเองไว้ คยูฮยอนก้าวเข้ามาหาก่อนจะจับที่ข้อมือนั้นให้ลงมาอยู่ข้างตัวอย่างเคย

     

    “คำถามนั้นน่ะ ถามตัวเองต่อไปเดี๋ยวก็คงได้คำตอบเองมั้ง”

     

     

    นี่ไม่ได้กวนประสาทกันใช่มั้ยน่ะ

     

     

    “แต่อุตส่าห์ช่วยพูดขนาดนี้ ผมก็หวังว่าคำตอบนั้นมันจะไม่ส่งผลเสียกับผมด้วยนะ” ฮยอกแจหลุดหัวเราะออกมาและเงยหน้ามองคยูฮยอนที่ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด

     

    “พูดทีแรกเหมือนจะเห็นใจทงเฮ แต่นี่ทำไปทำมาแม้แต่ฉันยังไม่ได้ห่วงเลยนิ”

     

    “ผมก็ต้องกังวลเรื่องของตัวเองก่อนสิ” ฮยอกแจอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าระอา ก้มหน้าลงถอนหายใจอีกครั้งเพราะว่ายังไม่รู้จะเอายังไงต่อ คยูฮยอนที่เอานิ้วดันหน้าผากให้ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมาหาก่อนจะส่งยิ้มให้

     

    “ผมไปแล้วนะ” ฮยอกแจไม่ได้พูดลาตอบแต่เพียงแค่นิ้วนั้นผละห่างจากหน้าผากก็ต้องเอ่ยปากเรียกเอาไว้อีกครั้ง

     

    “....คยูฮยอน” เจ้าของชื่อหันกลับมาหาแต่ว่าฮยอกแจกลับไม่ยอมพูดอะไร

     

    “จะทวงอีกโน้ตอีกใบเหรอ”

     

    “เปล่าซะหน่อย” ฮยอกแจพูดปฏิเสธและเก็บคำพูดในหัวเอาไว้...

     

     

    เขาก็แค่.. อยากให้อยู่ด้วยกันอีกสักพัก...

     

     

    “แต่ผมเป็นพวกรักษาสัญญานะ” คยูฮยอนหันกลับมาก่อนจะก้มหน้าลงไปหาของในกระเป๋า ฮยอกแจมองการกระทำนั้นทั้งที่ยังยิ้มอยู่ มือนั้นตวัดเขียนบางอย่างลงบนกระดาษและไม่นานกระดาษโน้ตนั่นก็ถูกดึงออกมาแปะอยู่บนหน้าผากเขาแทน

     

    “กวนกันชัดๆเลย” คยูฮยอนยิ้มกว้างก่อนจะแกล้งเอามือประทับที่หน้าผากเพื่อให้โน้ตนั้นติดแน่นขึ้น

     

    “เวลาเจอผม อย่าทำหน้าแบบนั้นอีกนะ” ฮยอกแจพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

     

    “กลับบ้านดีๆนะครับ”

     

    “อื้อ.. คยูฮยอนด้วย” ฮยอกแจยกมือขึ้นโบกมือลาก่อนจะใช้มือนั้นดึงกระดาษที่แปะหน้าผากอยู่ลงมาอ่าน เลข4 กับประโยคที่ทำให้รู้สึกใจเต้นด้วยจังหวะที่แปลกออกไป...

     

     

    Forth - ผมจะทำให้คุณยิ้มเอง

     

     

    ฮยอกแจถอนหายใจออกมาก่อนจะชะโงกหน้าออกมาดู มองคยูฮยอนที่เดินไปแล้วก็ได้แต่ลุ้นอยู่ในใจเพราะอีทงเฮมันจ้องคยูฮยอนซะเตรียมเหมือนจะเข้าไปหาเรื่อง แต่ว่าคยูฮยอนเดินผ่านไปโดยที่แทบไม่แยแสว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่ตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ

     

    “เฮ้อ” ไม่กลัวสองคนนั้นจะมีเรื่องกันเพราะตัวเอง แต่ว่าก็แค่รู้สึกไม่อยากให้ทั้งคู่เจอะเจอกันเลยสักนิด บรรยากาศแบบนั้นมันน่าอึดอัดจนเกินไป ฮยอกแจมองโน้ตในมือและเก็บลงไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ด ตัดสินใจเดินออกไปเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง

     

    “ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ฮยอกแจเดินมาทั้งที่ยังเอามือจับอยู่ที่โน้ตในกระเป๋าเสื้อฮู้ด เลือกใช้น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่ทงเฮกลับหันมายิ้มให้

     

    “เพราะกูรู้ว่ามึงยังไม่กลับ”

     

    “มึง...” ฮยอกแจตั้งท่าจะด่าต่อแต่ทงเฮกลับเดินมาผลักหัวเขาเสียก่อน

     

    “ไหนบอกว่ากลัวแม่ด่าว่าหนีเที่ยวล่ะห๊ะ ตอบแทนที่อุตส่าห์ไปเฝ้าไข้กูเลยรออยู่นี่ไง เพราะถ้ามึงบอกว่าไปกับกูก็คงไม่โดนด่าหรอกใช่ไหมล่ะ”

     

    “อืม” ฮยอกแจตอบเสียงเบา ก่อนจะมองมือที่ยืนมาหา

     

    “กูไปส่งมึงนะ” ฮยอกแจจ้องมองนิ่งก่อนจะปล่อยมือจากโน้ตในกระเป๋าเสื้อฮู้ดและค่อยๆยื่นมือไปหา เพียงแค่สัมผัสปลายนิ้วทงเฮก็รวบทั้งมือไปกุมไว้อย่างหวงแหน ฮยอกแจก้มหน้าลงเมื่อทงเฮรีบหันหลังให้เพื่อเลี่ยงที่จะสบตากัน

     

    “....” ทงเฮไม่ได้พูดอะไรแต่กลับเลือกจะจับมือของเขาเอาไว้ และนั่นก็ดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะเพียงแรงฉุดลากเบาๆจากมือนั้นก็ทำให้ฮยอกแจเริ่มก้าวเดินไปพร้อมกับทงเฮอีกครั้ง

     

     

    ถ้าไม่พูดไล่ไปไกลๆ... แล้วถ้าเขาเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ...

     

    ฉันควรจะทำไงดีล่ะ... คยูฮยอน

     

     

     

    ***********************************

     



    เอาไงดี เลือกใคร..


    พระเอกที่แสนจะน่าสงสาร ขอแค่อยู่ข้างเธอก็เพียงพอ 

    หรือ

    พระเอกที่คอยปลอบโยนและสร้างรอยยิ้มให้เสมอมา 


    เลือกยากเนอะ... T_T 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×