ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    At Gwanghwamun [ KyuHyuk ]

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 57


     

     

     

    Prologue 

    @ Gwanghwamun

     

     

     

     

    ผมไม่ใช่คนที่อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ถึงแม้จะไม่ได้มีเพื่อนสนิทอย่างใคร แต่ผมก็มีพ่อกับแม่และพี่สาว มาโรงเรียนเจอเพื่อนร่วมห้องเพื่อนร่วมชั้นที่เวียนเข้ามาพูดคุยนั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับผม เพราะจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ต้องการใครเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตผมเสียหน่อย

     

     

    เสียงกริ่งเตือนเวลาพักทำให้ผมปิดหนังสือที่วางอยู่และสอดเก็บเข้าใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว สอดปากกาแท่งโปรดของตัวเองลงในกระเป๋าเสื้อและถอดแว่นสายตาที่ใส่ในช่วงเวลาเรียนออกช้าๆ นิ้วเกี่ยวพับขาแว่นทั้งสองข้างออกอย่างเชื่องช้าและเก็บมันเข้ากล่องอย่างระวัง ผมลุกขึ้นพร้อมกับถอนหายใจเบาๆก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองพร้อมกับหูฟังออกจากกระเป๋ากางเกง เดินรวมไปกับเพื่อนในห้องคนอื่นๆที่จะออกไปทานอาหารกลางวันแต่ก็ต้องหยุดอยู่ที่หน้าบันไดเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินลงมาจากชั้นบน เขาเดินผ่านผมไปเหมือนกับคนอื่นๆ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนที่กำลังอ้ากว้างหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้นทำให้ผมเผลอคลี่ยิ้มตาม ก้มหน้าลงเสียบหูฟังเข้าไปในหูข้างนึงและเดินลงไปพร้อมกับเขา

     

     

    เราเดินขนานไปด้วยกันโดยที่ผมยังได้ยินเสียงของเขาคลอกับเสียงเพลงจากหูฟังอีกข้าง

     

     

    “รอด้วยยยยยย!!!” เสียงดังโอเว่อร์จากด้านหลังทำให้คิ้วของผมย่นเข้าหากันก่อนที่พื้นที่ข้างกายคนตัวเล็กของผมจะโดนแทนที่ด้วยไอ้ตัวตันคนเดิมๆที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำ

     

    “โอ๊ย อีบ้าทงเฮ!!  มึงไปไกลๆเลยไปนะ”

     

    “ไล่อีกละนะ!!

     

    “ก็มึงจะมาเกาะกูเพื่ออะไรล่ะฮะทางเดินตั้งกว้างขวางเนี่ย!!” คนตัวเล็กผลักเพื่อนสนิทของตัวเองออกห่างแต่เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆเขาเลยต้องผลักปนถีบๆหน่อยๆ สุดท้ายอีทงเฮคนนั้นก็กระเด็นไปอยู่ที่พื้นด้านล่างเมื่อถูกผลักออกในช่วงบันไดขั้นสุดท้ายของชั้นที่ 2

     

    “ถ้ากูตกบันไดตายไปจะมาร้องไห้เสียใจไม่ได้นะ” อีทงเฮคนนั้นเท้าเอวหาเรื่องทั้งที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาคงไม่คิดจะโกรธเพื่อนที่ทำร้ายร่างกายตัวเองคนนี้หรอก

     

    “สัญญาว่าจะไว้อาลัยให้แล้วกัน”

     

    “อีฮยอกแจ!!” เจ้าของชื่อที่ยังคงเดินอยู่ข้างๆเซมาหาผมจนเกือบจะล้มไปด้วยกันเพราะอีทงเฮคนนั้นกระโดดมาเกาะเขาไว้ ผมประคองเขาอยู่อีกข้างจนกระทั่งที่เขาโดนดึงตัวกลับไป

     

    “ไอ้บ้านี่โดนน้องเขานะ!!” ฮยอกแจหันไปโวยกับเพื่อนและหันมาหาผม แววตาจ้องมองก่อนจะส่งยิ้มแหยๆมาให้

     

    “โทษทีนะ เพื่อนพี่มันสมองอนุบาลอ่ะ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง” ผมพยักหน้ารับก่อนจะคว้าสายหูฟังอีกข้างมาใส่เพื่อตัดขาดทุกคนและเดินล่วงหน้าไปก่อน มือที่เคยจับประคองแขนเล็กนั้นสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ใส่ใจ หูไม่ได้ยินเสียงอื่นใดแต่เพียงแค่เท้าเหยียบพื้นดินได้ เพื่อนคู่หูคู่ซี้นั้นก็กระโดดกอดคอกันและพวกเขาก็เดินผ่านผมไปอีกครั้ง ผมถอนหายใจและเดินต่อไปแม้ว่าภาพข้างหน้ามันจะเป็นสิ่งที่เห็นจนรู้สึกเอียนมากก็ตามที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมนั่งอยู่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ข้างๆสนามบอลพร้อมกับโทรศัพท์และหูฟังอย่างเคย ฟังเพลงพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆไปเรื่อยๆรอให้เวลาพักกลางวันหมดไปแล้วค่อยเดินกลับเข้าไปในห้องเรียนสี่เหลี่ยมแสนน่าเบื่อ ผมขยับเอาหูฟังออกข้างนึงก่อนจะเท้าคางมองไปที่ถนนข้างสนาม เพราะอีฮยอกแจที่ผมเพิ่งเจอเมื่อช่วงต้นเวลาพักกลางวันกลับเข้ามาในสายตาของผมอีกครั้ง...

     

     

    “ไม่อยากเรียนเลยอ่ะ โดดกันม่ะ”

     

    “มึงเคยอยากเรียนไรบ้างถามหน่อย” อีทงเฮที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อยู่ข้างเขาเสมอตอบกลับประโยคนั้น ก่อนมือจะแกล้งหยิกแก้มยุ้ยๆนั่น แต่ฮยอกแจก็ทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะตีไปที่หน้าอกนั้นเพื่อเอาคืน

     

    “อย่างน้อยก็มีคาบคอมพิวเตอร์แหละ”

     

    “นั่นเรียกเรียน? กูเห็นมึงเล่นเกมตลอดอ่ะ”

     

    “โห่ย ก็ทำเสร็จเร็วว่างๆก็ขอเล่นบ้างไรบ้างเนอะ” หลังจากที่ยืนเถียงกันอยู่ตรงหน้าผมมานานก็เหมือนกับฮยอกแจจะมองเห็นอยู่ในสายตาพอดี เขาขมวดคิ้วเมื่อมองหน้าผม ใบหน้าสงสัยและครุ่นคิดนั่นคงจะเป็นเพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าผมแต่คิดไม่ออกว่าผมเป็นใครแบบนั้นล่ะมั้ง

     

    “อ้อ!” ฮยอกแจร้องออกมาก่อนจะส่งยิ้มมาให้ และอีทงเฮที่เคยหันหลังให้ผมเองก็หันมามองแต่เพียงแค่แว๊บเดียวเขาก็หันไปตบหน้าฮยอกแจ

     

     

    แต่เบาๆเท่านั้นแหละ เพราะฮยอกแจแค่สะดุ้งเหมือนกับตกใจเท่านั้น

     

     

    “อะไร!” ฮยอกแจโวยวายพร้อมกับผลักและแตะก้นอีทงเฮไปด้วยความหมั่นไส้

     

    “ก็มึงเหม่ออะไรล่ะ!!

     

    “ไม่ได้เหม่อ! กำลังใช้ความคิดอยู่”

     

    “มีกับเขาด้วยหรือไง”

     

    “มึงไปไกลๆตีนกูเลยไป” ฮยอกแจใช้เท้ายันเพื่อกันทงเฮออกห่างแต่สุดท้ายก็โดนดึงไปโอบไหล่ไว้

     

    “ไปด้วยกันนั่นแหละ!” เป็นอีกครั้งที่เขาเดินจากไปพร้อมกับอีทงเฮ ผมก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ก่อนจะใส่หูฟังอีกข้างพร้อมกับใช้นิ้วกดเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นไปอีก

     

     

     

     

     

     

     

     

    ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ผมชอบออกมาเดินเล่นข้างนอกเสียมากกว่าจะนอนขลุกอยู่กับบ้าน แน่นอนว่าผมไม่คิดอยากจะไปเรียนพิเศษอย่างใครเขา ไม่ใช่ว่าฉลาดเกินกว่าใครเขาหรอกนะ แต่มันน่าเบื่อเกินไปที่จะต้องไปนั่งเรียนซ้ำๆซากๆ แค่จันทร์ถึงศุกร์ก็รู้สึกเอียนจะอ้วกออกมาเป็นตัวหนังสือแล้ว

     

     

    ผมหยุดเดินและเท้าแขนอยู่กับระเบียงข้างทางที่ทอดยาวไป มองสายน้ำของคลองชองกเยชอนก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อมองลงไปด้านล่างและคนตัวเล็กที่แสนคุ้นเคนยืนหัวเราะอยู่อีกฝั่งพร้อมกับเพื่อนอีกกลุ่มที่หัดเล่นสเก็ตบอร์ดกันอยู่ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยเพื่อนที่ล้มไม่เป็นท่าที่ดังมาให้ได้ยินนั่นทำให้ผมต้องอมยิ้มอยู่คนเดียว

     

    “ท่าล้มเมื่อกี้โคตรฮา 55555555555555555555” แม้จะอยู่อีกฝากนึงของคลองนี้แต่ฮยอกแจยังคงหัวเราะเสียงดังจนผมได้ยิน

     

    “มึงมาลองดู แม่งยากจริงๆนะเว้ย!” เพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่บนพื้นเตะสเก็ตบอร์ดมาให้ ฮยอกแจก้มลงไปเก็บขึ้นมาก่อนจะส่งไปให้เพื่อนสนิทที่ยืนหัวเราะอยู่ด้วยกัน

     

    “มึงลอง”

     

    “โยนขี้ให้กูอีก”

     

    “เดี๋ยวช่วยประคองไง ไม่ให้ล้มหรอก”

     

    “หน้าตาอย่างมึงเชื่อได้มากอ่ะ” ฮยอกแจหัวเราะออกมากับคำพูดของทงเฮก่อนจะวางสเก็ตบอร์ดนั้นลง มือของทั้งคู่ประสานเข้าหากันก่อนทงเฮจะก้าวขึ้นไปบนสเก็ตบอร์ดแบบไม่มั่นคงนัก แต่ผมก็พอมองออกนะว่าทงเฮคนนั้นน่าจะมีพื้นฐานบ้าง แต่ที่เอียงซ้ายเอียงขวานั่นมันเหมือนกับตอแหล.. เอ้ย แกล้งทำว่าตัวเองเล่นไม่เป็นมากกว่า

     

    “ตลกละอีทงเฮ” และก็อย่างที่ผมคิด...ทันทีที่เริ่มล้อเริ่มทำให้ตัวเคลื่อนไปด้านหน้าทงเฮก็รีบกระโดดลงมากอดฮยอกแจไว้แทน

     

    “ก็กูจะล้ม”

     

    “คือนั่นจะล้มเหรอ?” ฮยอกแจผลักตัวไอ้จอมฉวยโอกาสออกและนั่นทำให้ผมมองเห็นรอยยิ้มนั้นชัดเจน

     

    “เนียนชิบหายเลยมึง 555555555555

     

    “มึงช่วยทำให้มันดูน่าเชื่อหน่อย เหี้ยเอ้ย 555555555555555” เพื่อนคนอื่นๆหัวเราะกันยกใหญ่ขณะที่ฮยอกแจได้แต่ส่ายหน้าระอา เขาเอามือตบหัวทงเฮจนอีกฝ่ายโวยวาย

     

    “ไอ้บ้าไม่เล่นนะ!!” ฮยอกแจโวยลั่นเมื่อถูกอุ้มจนตัวลอย แถมอีทงเฮยังทำท่าทางเหมือนจะเดินเข้าไปหาแหล่งน้ำเสียอีก

     

    “เล่นอะไรไม่รู้เรื่องอยู่เรื่อยเลย!!” ฮยอกแจโวยออกมาอีกรอบ และนั่นทำให้ทงเฮหัวเราะชอบใจก่อนจะโดนเพื่อนคนอื่นๆลากไป ไอ้ท่าทางมีความสุขที่โดนแซวเรื่องฮยอกแจนั่นทำให้ผมถอนหายใจอีกที แต่เมื่อให้ความสนใจกับฮยอกแจที่เดินแยกออกมาแล้วก็ต้องเปลี่ยนสีหน้า

     

    “เจอกันอีกแล้ว!” ฮยอกแจตะโกนออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกให้ ผมมองนิ่งขณะที่รอยยิ้มสดใสตรงหน้าทำให้ผมแทบคิดอะไรไม่ออก

     

    “อยู่แถวนี้เหรอ” ผมรู้สึกว่าคำถามนั้นจะส่งมาหาผมโดยตรงแต่ว่าเพียงแค่ขยับปากจะพูดตอบ ฮยอกแจก็ละสายตาจากผมกลับไปหาอีทงเฮที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

     

    “ใครวะ” มือของทงเฮค่อยๆเลื่อนโอบไหล่นั้นไว้พร้อมกับสายตาที่มองตรงมาหาผม

     

    “น้องที่โรงเรียน มึงจำน้องเขาได้ป่ะ” ฮยอกแจพูดราวกับนี่เป็นเรื่องตื่นเต้นมาก นิ้วนั้นชี้มาที่ผมและหันมาส่งยิ้มเชื่อมสัมพันธ์อีกรอบ อีทงเฮจะเบ้ปากและส่ายหน้า

     

    “ไปเหอะพวกนั้นจะไปหาไรกินกัน” ทงเฮพูดเปลี่ยนเรื่องและดึงรั้งให้ฮยอกแจเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ฮยอกแจทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับผมอีก แต่ทงเฮก็เปลี่ยนมาจับข้อมือแล้วจูงออกไป เขาเดินห่างออกไปเรื่อยๆแต่ก็ยังคงหันมามองผม และด้วยระยะทางที่มากเกินกว่าเสียงจะส่งมาถึงทำให้เขาตัดสินใจส่งยิ้มและโบกมือลาผมแทน

     

    “แล้วเจอกันใหม่..” ผมพูดออกมาเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นมาและรีบเก็บมันลงข้างตัวเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะทำอะไรที่มันไร้สาระ

     

     

    แต่ว่าเรื่องไร้สาระแบบนั้นก็ทำให้มุมปากของผมมันยกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เลยแหะ...

     

     

     

    *****************************


     


    เป็นพระเอกแล้วก็พูดประโยคเดียวก็คงพอ... #หรา

    เรารู้สึกอยากลองแต่งคยูฮยอกมานานละ ขอสนองตัวเองหน่อยละกัน


    เรื่องนี้ห้ามเชียร์อีทงเฮ ห้ามนะห้าม.... (บอกตัวเองเถอะ)


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×