ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Resident Life ศัลยแพทย์ฝึก (หัด) หนัก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 กองกำลังพลีชีพ

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 67


    เช้าวันอาทิตย์มาถึงอย่างรวดเร็ว ทีม Hepato ต่างตื่นมาสะสางงานบนวอร์ดแต่เช้า หลังจากราวน์เสร็จ พี่สรรค์ก็นำน้อง ๆ ไปยังห้องประชุมขนาดเล็กที่ว่างเปล่า ยืนตัวตรงเอามือไพล่หลังมองมายังผู้ใต้บังคับบัญชา 

    ด้วยท่าทีจริงจังของรุ่นพี่ เรสซิเดนต์ทั้งหลายที่ยังง่วงงุนจากการตื่นแต่เช้ามืดพลันรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่าง ตระหนักได้ว่าภาระอันหนักหน่วงกำลังจะตามในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

    “เดี๋ยวพี่จะไปเข้าไปเอาตับเก่าออกกับอาจารย์” พี่ชีฟเริ่มแจกแจงหน้าที่ พลางพยักเพยิดมาทางเรสซิเดนต์ปีสาม “เดนต์สาม แบ่งกันเองใครจะไปเก็บตับ ใครจะไปกับพี่”

    คำสั่งของพี่สรรค์ทำให้พี่ต่อกับพี่เจเจเจรจากันเบา ๆ ก่อนจะหันมาตอบ “ผมไปเก็บตับครับ” พี่ต่อพูด

    “ได้ งั้นชินไปกับต่อ ส่วนสองคนนั้นก็เลือกเอาจะอยู่ทีมไหน” พี่ชีฟหันไปทางเรสซิเดนต์ปีหนึ่งทั้งสองคน

    โดยทั่วไปศัลยแพทย์ที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะจะแบ่งออกเป็นสามทีม ได้แก่ทีมเก็บตับ ทีมตัดตับเก่าออก และทีมปลูกถ่าย แต่เนื่องจากจำนวนแพทย์ที่มีจำกัด ในวันนี้ทีมที่นำตับเก่าออกจะอยู่รอทีมเก็บตับเข้าไปร่วม และลงมือปลูกถ่ายอวัยวะต่อด้วยกันจนเสร็จ

    หลังจากเรสซิเดนต์หนึ่งตกลงกันเรียบร้อย ทีมก็ถูกจัดตั้งขึ้น มีพี่ต่อ ชิน และน้องตั้มเป็นทีมเก็บตับ ส่วนพี่สรรค์ พี่เจเจ และน้องปอนด์ เป็นทีมตัดตับเก่า

    “เออ ต่อเคยเข้าเคสเก็บตับรึยังนะ” พี่ชีฟถามขึ้น

    “ยังเลยครับ”

    “เอ่อ...เอาไงดี” พี่สรรค์ดูลังเลเล็กน้อย “เดี๋ยวพี่ส่งข้อมูลให้ดีกว่า” รุ่นพี่บอก

    การเก็บตับหรือที่เรียกกันว่า ‘เก็บเกี่ยวอวัยวะ’ เป็นงานที่เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยมากมายจนไม่สามารถอธิบายได้ด้วยปากเปล่า ตับที่นำออกจากร่างผู้บริจาคเป็นตับที่จะถูกใส่เข้าไปในร่างใหม่ ทุกกระบวนการต้องอาศัยเทคนิคพิเศษและความประณีตเพื่อรักษาอวัยวะนั้นให้มีสภาพเหมาะสมที่สุด

     

    การบริจาคอวัยวะเพื่อนำไปปลูกถ่ายต่างจากการบริจาคร่างกายโดยทั่วไป อวัยวะที่จะส่งต่อต้องอยู่ในร่างที่มีเลือดไหลเวียนอยู่เท่านั้น จึงมีเพียงแค่ผู้ป่วยสมองตายแต่ร่างกายยังทำงานอยู่กับคนสุขภาพดีผู้ต้องการบริจาคอวัยวะให้แก่ญาติพี่น้องเท่านั้นที่จะทำได้

    ตั้งแต่เมื่อวานผู้บริจาคที่มีภาวะสมองตายจึงได้รับการดูแลให้สัญญาณชีพคงที่มาเรื่อย ๆ รวมถึงมีการพูดคุยที่ละเอียดอ่อนกับญาติ การจัดการเอกสารมากมาย และโทรตามคนไข้ในคิวรับบริจาคให้มาโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัว 

    อาจจะฟังดูวุ่นวาย แต่ขั้นตอนเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับทีมเรสซิเดนต์ Hepato แม้แต่น้อย หน้าที่ของพวกเขารออยู่ในห้องผ่าตัด และตอนนี้พี่สรรค์ก็นำทีมออกจากห้องประชุมเล็ก ๆ ไปยัง ‘ห้องเปลี่ยนชุดเจ้าหน้าที่’ ซึ่งเป็นทางเข้าห้องผ่าตัดที่พวกเขาใช้ประจำ

     

    เมื่อมาถึง พี่ต่อที่เดินเร็วกว่าใครก็พุ่งเข้าไปแสกนนิ้วที่หน้าประตูไม้สีขาวของห้องแต่งตัวเจ้าหน้าที่ชาย ทุกคนเบียดกันเข้าไปยืนตรงโถงแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยชั้นวางรองเท้า

    ชายหนุ่มจัดแจงถอดรองเท้าคู่เก่าเปลี่ยนเป็นรองเท้าสะอาดสำหรับใส่เข้าห้องผ่าตัดสีแดงคู่ใหญ่ พื้นหนานุ่มเหมาะสำหรับการยืนนาน ๆ ที่เขาซื้อมาไว้เป็นของใช้ส่วนตัว จากนั้นก็ตามคนอื่นเข้าไปยังห้องกว้างด้านในอันเป็นพื้นที่แต่งตัว

    ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยตู้เก็บของและล็อกเกอร์แปะชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานประจำอยู่ในนี้ ตู้เหล่านั้นตั้งเรียงกันโดยเว้นระยะห่างให้พอเป็นช่องทางเดินแคบ ๆ คล้ายชั้นวางหนังสือในห้องสมุด ส่วนพื้นที่ที่เหลือตกเป็นของราวแขวนเสื้อที่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่ มีชั้นขนาดใหญ่สำหรับจัดเรียงชุดสครับซักใหม่ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเล็กน้อยของเจ้าหน้าที่วางระเกะระกะตามชั้นวางและเก้าอี้ว่าง

    ชินหยิบชุดสครับจากชั้นวาง มองหาช่องว่างระหว่างตู้ล็อกเกอร์และแทรกตัวเข้าไป ในห้องนี้ไม่มีผ้าม่านหรือห้องแยก หลายคนที่ทำงานในห้องผ่าตัดมักถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงในเพื่อเปลี่ยนชุด แต่คนขี้อายเช่นเขาจำเป็นต้องหาจุดอับสายตาขณะถอดเสื้อผ้า

    ทันใดนั้นเสียงพี่ต่อก็ดังขึ้น “หวัดดีครับ’จารย์” ทำให้ชินชะโงกหน้าออกไปดู และเห็น Young Staff สองคนเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว

     

    ในโรงเรียนแพทย์ที่เปรียบดังพระราชวังหลวงแห่งนี้ อาจารย์คือกลุ่มชนชั้นสูง เป็นผู้ที่เรียนจบเฉพาะทางแล้วเข้ารับตำแหน่งเป็นอาจารย์แพทย์หรือที่เรียกกันว่า Staff 

    สำหรับอาจารย์ที่เพิ่งจบมาไม่นาน มีอายุไม่เกินสี่สิบปี มักจะถูกเรียกว่า Young Staff ซึ่งอยู่ในวัยใกล้เคียงกับเรสซิเดนต์ ทำให้สามารถพูดคุยสนิทสนมได้โดยไม่เคอะเขิน คนกลุ่มนี้มักเรียนจบเฉพาะทางสาขาย่อยมาแล้ว เช่น แพทย์เฉพาะทางศัลยกรรม สาขาย่อยตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี เป็นต้น

    แต่ความแตกต่างกันระหว่างอาจารย์กับเรสซิเดนต์ก็คือระดับยศศักดิ์ การติดยศว่าเป็น Staff หมายความว่าบุคคลผู้นั้นมีบุญาบารมี หลุดพ้นจากการไต่เต้าเพื่อฐานันดรศักดิ์และดำรงตนอยู่ในสถานะราชนิกูลรุ่นเล็ก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่างชั้นกับอาจารย์แพทย์อายุมากที่ทำงานมานานหลายปีดีดักผู้เป็นกลุ่มขั้วอำนาจสูงสุด มีศักดิ์เทียบเท่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และเป็นกลุ่มคนที่เรสซิเดนต์ต่างต้องคอยระมัดระวังตัวไม่ให้บังเอิญไปขวางหูขวางตา เพราะอำนาจที่มีอยู่เหลือล้นนั้นสามารถใช้สั่งประหารชีวิตใครก็ได้

     

    “กินอะไรกันมารึยัง” ชายร่างผอมเกร็งเอ่ยทักทายทุกคนในห้อง

    “เรียบร้อยแล้วครับ” พี่สรรค์ตอบ

    ชายผู้นี้คืออาจารย์ทรงกลด แพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญเรื่องปลูกถ่ายอวัยวะผู้รับผิดชอบทีมตัดตับเก่า

    “ใครเข้ากับผมบ้าง”

    “มีผม เจเจ แล้วก็น้องปอนด์ครับ” พี่สรรค์ตอบอีกครั้ง

    หลังจากได้คำตอบอาจารย์ก็ยิ้มรับ หยิบแผงยาจากกระเป๋าเสื้อแกะโยนเข้าปากไปสองเม็ดแล้วถอนหายใจ 

    ด้วยสีผิวซีดเหลืองราวกับไม่เคยเจอแสงแดด อีกทั้งแขนขาผอมลีบที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน การกระทำเหล่านั้นทำให้อาจารย์ดูเหมือนมีโรคประจำตัวร้ายแรง ทั้งที่ยาที่กินเป็นเพียงยาแก้ปวด

    ชินเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินออกมาตรงกลางห้อง ก้มหัวทักทายอาจารย์ร่างสูงที่ชื่ออาจารย์บรรณกิจ ผู้เป็นหัวหน้าทีมเก็บตับในวันนี้ “อาจารย์สวัสดีครับ”​ เขากล่าว 

    แต่อาจารย์ไม่เอ่ยอะไรกลับมา นอกจากยิ้มบาง ๆ บนใบหน้ายาวรี ก่อนจะเดินไปที่ชั้นวางที่มีผ้าพับเป็นกองวางไว้

    อาจารย์บรรณกิจเลือกชุดสครับที่มีขนาดพอดีตัว หยิบมาวางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วก็ก้าวไปยังตู้พลาสติกที่มีลิ้นชักหลายช่อง ที่แต่ละช่องบรรจุหมวกผ่าตัดต่างสี เลือกหยิบหมวกสีเขียวมาหนึ่งใบ ในห้องผ่าตัดที่ทุกคนสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน สีของหมวกคือช่วยระบุว่าใครมีหน้าที่อะไร โรงพยาบาลที่ชินทำงานระบุไว้ว่าสีเขียวสำหรับศัลยแพทย์ สีขาวสำหรับดมยา สีฟ้าสำหรับพยาบาล และสีชมพูสำหรับคนภายนอก

    โดยไม่สนใจสายตาใคร อาจารย์เริ่มถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออก อวดเรือนร่างผอมสูงที่หลังค่อมเล็กน้อย และลงพุงนิด ๆ ของชายวัยกลางคน จากนั้นก็นำเสื้อไปแขวนไว้ที่ราวตากผ้าตัวหนึ่ง พลางลูบมือไปตามเรือนผมบางให้กลับมาปิดบริเวณกระหม่อม ทำให้พี่ต่อต้องหันมาสบตาชินและอมยิ้ม เมื่อนึกถึงคำนินทาของเรสซิเดนต์บางคนที่บอกว่าอีกไม่นานผมอาจารย์จะร่วงหมดหัวเพราะมักสวมหมวกผ่าตัดข้ามวันข้ามคืน จนเมื่อทรงผมกลับเข้าที่แล้ว อาจารย์ก็เดินเชื่องช้าไปเปิดล็อกเกอร์ของตนเอง หยิบถุงผ้าขนาดใหญ่มาวางบนโต๊ะและเปิดออก ไม่นานอาจารย์ทรงกลดก็เดินมาข้าง ๆ และทำเช่นเดียวกัน

     

    ทั้งอาจารย์บรรณกิจและอาจารย์ทรงกลดอายุใกล้ 40 ปีแล้วทั้งคู่ อีกทั้งยังดูบอบบางไม่สดใส ทว่าความสามารถ และพลังกายพลังใจที่มีอยู่เหลือล้น ทำให้บรรดาเรสซิเดนต์มักแอบเรียกลับหลังอย่างไม่เป็นทางการว่า กองกำลังพลีชีพ แม้สถานะที่แท้จริงจะจัดอยู่ในกลุ่มราชวงศ์ชั้นสูง เพราะถ้าหากต้องเปรียบแพทย์เป็นกำลังพลในสนามรบ ทีมปลูกถ่ายอวัยวะก็เปรียบได้กับนายทหารผู้สละชีพเพื่อชัยชนะ และแน่นอนว่านักรบย่อมต้องมีเครื่องแบบ

    อาจารย์ทั้งสองนำของออกจากถุง พร้อมกับแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน

    เริ่มจากการผลัดกันแปะแผ่นแก้ปวดบนบ่าทั้งสองข้างและแผ่นหลัง ก่อนสวมชุดสครับให้เรียบร้อย ตามด้วยอุปกรณ์พยุงหลังและเอวอย่างดีที่มักใช้ในผู้ป่วยกายภาพบำบัด จากนั้นอาจารย์บรรณกิจก็หยิบเฝือกคอแบบอ่อนมาสวมรอบลำคอเพื่อลดการปวดเมื่อยเมื่อต้องก้มหน้าเป็นเวลานาน ส่วนอาจารย์ทรงกลดเริ่มดึงขากางเกงขึ้นมาเพื่อทายาแก้ปวดลงไปทั่วน่อง และหยิบยาดมขึ้นมาสูดจนเต็มปอด พร้อมกับหมุนก้นหลอดมาหยดใส่หน้ากากอนามัยก่อนสวมเข้ากับใบหน้า อาจารย์ทั้งสองพากันเก็บถุงใส่ของเข้าล็อกเกอร์ พร้อมกับหยิบแว่นตาผ่าตัดที่หน้าตาคล้ายกล้องส่องทางไกลขนาดเล็กแปะอยู่บนเลนส์ออกมา สวมเข้ากับสายคล้องแว่นห้อยไว้รอบลำคอ เพื่อเตรียมใช้ในห้องผ่าตัด

    ตอนนี้นักรบทั้งสองพร้อมเข้าสู่สมรภูมิแล้ว ทั้งคู่ต่างลุกขึ้นยืน เอียงคอซ้ายขวาทำให้กระดูกลั่นเสียงดัง พลางขยับข้อต่อต่าง ๆ ตั้งแต่หัวไหล่ ข้อศอก จนถึงข้อมือและนิ้วทั้งห้า

    “ยังไม่ทันเริ่ม กูก็เมื่อยแล้วว่ะ” พี่ต่อหันมากระซิบ ขณะมองเหล่านักรบเดินตัวแข็งราวกับหุ่นยนต์เข้าไปในโออาร์


    คำอธิบายท้ายบท

    *แว่นตาผ่าตัดหน้าตาคล้ายกล้องส่องทางไกล : Lens Loop

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×