ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Resident Life ศัลยแพทย์ฝึก (หัด) หนัก

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 ข่าวที่ไม่คาดฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 67


    หลังราวน์เสร็จตอนเที่ยงวัน พี่ต่อเอ่ยปากชวนไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านป้าสม อาหารตามสั่งข้างโรงพยาบาล

    เมื่อมาถึงร้าน ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ข้างในก็โบกไม้โบกมือเรียก

    “มานั่งด้วยกันสิ” ชายผิวคล้ำเข้มผู้มีรูปร่างทะมัดทะแมงเอ่ยปากชวน ยกเก้าอี้สองตัวจากโต๊ะข้าง ๆ ด้วยลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดูคล้ายนักมวยเจนสนาม

    ชายผู้นี้ไม่ใช่บัวขาวแต่อย่างใด แต่มีชื่อเล่นเรียกง่ายว่า พี่กาย เป็นเพื่อนแพทย์รุ่นเดียวกับพี่ต่อ แต่อยู่ในลำดับยศเรสซิเดนต์หนึ่งเนื่องจากไปใช้ทุนเป็นแพทย์ทั่วไปอยู่สองปี ก่อนจะกลับเข้ามาเรียนเฉพาะทาง

    “กิน’ไรกัน เดี๋ยวเขียนให้” ชายอีกคนที่ไม่ได้ลุกจากโต๊ะเอ่ยถาม ใบหน้าขาวผ่องก้มมองกระดาษใบเล็ก พลางเขียนขยุกขยิกสั่งอาหารของตนเอง

    “ไม่เป็นไร กูเขียนเอง” พี่ต่อบอก นั่งรอชายคนนั้นเขียนจนเสร็จแล้วยื่นกระดาษมาให้

    แต่หลังจากก้มลงอ่าน พี่ต่อก็โวยวายและหันกระดาษออกมาให้คนอื่นดู “ไอ้ป้อง มึงจะเซ็นซื่อทำห่าอะไร”

    ข้อความในกระดาษเป็นชื่ออาหารจานเดียวจำนวนสามรายการ ซึ่งก็ดูปกติดี เว้นเสียแต่ตรงมุมขวาล่างมีลายมือชื่อของชายผู้นั้นพร้อมระบุตำแหน่ง R.2 หรือเรสซิเดนต์ปีสองเซ็นหวัด ๆ กำกับไว้ด้วย

    “โทษทีพี่ ผมเบลอไปหน่อย” มันตอบ ยกมืออวบ ๆ ขึ้นเกาหลังศีรษะ

    “มึงนี่ตลกชิบหาย” พี่ต่อหัวเราะ หยิบปากกามาขีดฆ่าชื่อที่มุมกระดาษทิ้ง แล้วเขียนเมนูอาหารของตนเองลงไป

    ชายหน้ากลมที่ดูไม่มีพิษภัยผู้นี้ชื่อ ป้อง เป็นเรสซิเดนต์สองรุ่นเดียวกับชิน  การทำงานอันหนักหน่วงทำให้มันเผลอเซ็นชื่อลงไปบนใบสั่งอาหารเพราะนึกว่ากำลังเขียนออร์เดอร์อยู่บนวอร์ด

    ชินชะโงกหน้าเข้าไปดูรายการอาหารที่คนอื่นสั่งและเห็นว่ามีอยู่สี่รายการ

    “อีกจานของใครอะ” ทั้งโต๊ะมีสมาชิกเพียงสี่คน และเขายังไม่ได้เขียนเมนูของตนเองลงไป

    “ของพี่เทม ซื้อกาแฟอยู่ เลยบอกให้พวกกูมาสั่งข้าวก่อน” พี่กายตอบ

    เขาพยักหน้ารับรู้ บอกเมนูอาหารของตนให้แก่พี่ต่อ

    พี่เทม คือรุ่นพี่เรสซิเดนต์สี่ที่มีสถานะเทียบเท่าพี่สรรค์ เป็นชายไทยอารมณ์ดีผู้มีส่วนสูงต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย และดำรงตำแหน่งพี่ชีฟประจำหน่วย Colo-Rectal ที่ไอ้ป้องและพี่กายกำลังทำงานอยู่ในเดือนนี้

    ไม่นานชายร่างเล็กหน้าตาดีก็เดินถือแก้วกาแฟเข้ามาในร้าน ส่งสายตาทักทายน้อง ๆ และอวดรอยยิ้มกว้างดูมีเสน่ห์ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังไม่มีใครจับจอง พร้อมแกะหลอดออกมาดูดกาแฟอย่างรวดเร็ว

    “อ่าห์” รุ่นพี่หลับตา ระบายลมหายใจออกช้า ๆ ดื่มด่ำกับพลังคาเฟอีนที่ไหลเวียนไปตามเส้นเลือด

     

    ชินอาสานำใบเมนูไปยื่นให้ป้าสม ขณะที่พี่ต่อเล่าเรื่องคนไข้ฝรั่งกับพี่รังสรรค์จนทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง

    “สำเนียงพี่แกเป็นไงอะ” ไอ้ป้องถาม หน้าขาวกลมของมันเต็มไปด้วยความสงสัย

    “ไอ้เหี้ย มึงบูลลี่พี่ชีฟกูเหรอ” พี่ต่อแซว

    “อ้าว ผมก็แค่อยากรู้ว่าจะเหมือนสำเนียงคนอินเดียที่เห็นในยูทูปรึเปล่า” มันเถียง

    “ไม่หรอก สำเนียงปกตินี่แหละ พูดคล่องด้วย” ชินตอบอย่างเป็นกลางเมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ

    แล้วพี่กายที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ก็พูดขึ้น “เออ นึกแล้วสงสารพี่สรรค์ชิบหาย เดือนที่แล้วกูวนกับพี่สรรค์กับอีอร แม่มันทำข้าวกล่องมาเลี้ยงคนในทีม ทุกคนได้ข้าวขาหมูหมด ยกเว้นของพี่แกได้เป็นข้าวหมกไก่”

    น้องอรหรือที่ใคร ๆ ต่างเรียกว่า ‘อีอร’ คือเรสซิเดนต์ปีหนึ่งอีกคนของภาควิชาที่มีคุณแม่เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังในจังหวัด

    “แล้วไงต่อ” พี่เทมซัก

    “พี่สรรค์ก็ถามว่าทำไมของพี่ไม่เหมือนคนอื่น แล้วพี่รู้มั้ยอีอรตอบว่าไง”

    “ว่าไง”

    “มันบอกว่า หนูให้คุณแม่ทำมาให้พี่พิเศษ เพราะพี่สรรค์ไม่กินหมูค่ะ”

    ทุกคนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ยกเว้นไอ้ป้องที่ขมวดคิ้วมองทุกคนอย่างไม่เข้าใจ

    “แล้วมันผิดเหรอ” มันถาม

    “ไอ้ควาย พี่สรรค์เป็นคนไทยเชื้อสายอินเดียโว้ย ไม่ใช่คนอิสลาม มึงนี่บูลลี่พี่ชีฟกูตลอดเลยนะ” พี่ต่อพูด ทำให้ทุกคนหัวเราะกันอีกครั้ง

    “มึงน่ะตัวดีไอ้ต่อ เรียกไอ้สรรค์ว่าบังสรรค์ตลอด” พี่เทมบ่น

     

    กลุ่มคนเหล่านี้คือเรสซิเดนต์ภาควิชาศัลยกรรม ผู้เรียนจบหลักสูตรแพทย์ทั่วไปจนครบหกปีและมียศนายแพทย์นำหน้า บางคน เช่น ชิน พี่ต่อ หรือไอ้ป้อง สมัครเข้าเรียนต่อกับภาควิชาทันทีหลังเรียนจบ แต่บางคน เช่น พี่เทมหรือพี่กาย ได้ไปทำงานใช้ทุนรัฐบาลที่โรงพยาบาลรอบนอกราวสองสามปี ก่อนจะทำเรื่องขอกลับมาเรียนต่อ ทำให้เป็นเรื่องปกติที่เรสซิเดนต์หนึ่งจะมีอายุมากกว่าเรสซิเดนต์สองเนื่องจากทำงานมาแล้วหลายปีก่อนจะกลับมาเรียน

    หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจระบบง่าย ๆ โรงพยาบาลทั่วไปนั้นก็เปรียบได้กับปราการหัวเมืองที่มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองคอยควบคุมความเรียบร้อยภายในเขตปกครองของตน

    แต่สำหรับโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ สถานะภายในเปรียบเสมือนพระราชวังหลวง มีบรรดานักศึกษาแพทย์เป็นเป็นลูกเล็กเด็กแดงเดินวิ่งไปมา แล้วแต่ว่าใครจะมองเห็นและเมตตาสั่งสอน มีเอ็กซ์เทิร์น อินเทิร์นเป็นบ่าวไพร่ ถวายงานรับใช้ตามแต่จะได้รับคำสั่ง มีเรสซิเดนต์เล็ก ๆ เป็นนายหมู่นายพันขยันทำผลงานเพื่อรอวันไต่เต้าขึ้นไปเป็นคุณหลวงหรือคุณพระ และมีพี่ชีฟเป็นเจ้าพระยาผู้มีอำนาจเหนือกว่าใครในลำดับยศ ซึ่งทุกคนล้วนเคารพในลำดับยศมากกว่าอายุตามปีเกิด

     

    ป้าสมเริ่มยกอาหารมาเสิร์ฟท่ามกลางกลุ่มชายหนุ่มผู้เหนื่อยล้าแล้วหิวโหย และทันทีที่พี่กายแจกช้อนส้อมให้แก่ทุกคนจนครบ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของชินและพี่ต่อก็ดังขึ้น

    ‘มี Donor ที่ไอซียู นิวโรกำลังรอคอนเฟิร์ม Brain Dead’ พี่รังสรรค์แจ้งเข้ามาในกรุ๊ปทีม Hepato เดือนสิงหาคม

    ข้อความนั้นมีความหมายว่า ตอนนี้มีผู้ป่วยภาวะสมองตายของหน่วยศัลยกรรมสมอง (Neurosurgery) ซึ่งเป็นเคสที่เข้าได้กับการบริจาคอวัยวะ (Organ Donor)

    “เชี่ยเอ้ย มี Donor ว่ะ” พี่ต่อบ่น ขบเขี้ยวกรามด้วยความเคร่งเครียด

    “แล้วมันทำไมเหรอ” พี่กายถาม สังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากทีม Hepato ทั้งสองคน

    “มึงยังไม่เคยวน Hepato เหรอ” พี่ต่อถาม

    “ยัง” พี่กายเพิ่งเข้ามาเป็นเรสซิเดนต์ปีหนึ่งได้เพียงสามเดือน

    พี่ต่อค่อย ๆ คลายหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม แสยะยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปาก “ดี งั้นกูจะไม่บอกอะไรมึงทั้งนั้น เดี๋ยวมึงก็จะรู้เอง”

    “อะไรของแม่งวะ” พี่กายอ้าปากค้างงุนงงกับคำตอบ หันมาไล่บี้เอากับชินแทน “ไหนมึงบอกกูมาดิ มันยังไง”

    แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ยินเสียงรอบตัวแม้แต่น้อย คำว่า ‘มี Donor’ ยังฝังแน่นในสมองราวกับมีใครใช้ค้อนหนัก ๆ ตอกมันติดเอาไว้

    “โห พี่ มันสติหลุดไปเลยว่ะ” ไอ้ป้องร้องบอก โบกมือขึ้นลงผ่านใบหน้าของเขาเพื่อทดสอบ

    เคสปลูกถ่ายอวัยวะส่วนใหญ่มักมาโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากสมองตาย และเข้าได้กับการบริจาคอวัยวะเมื่อไหร่ 

    สำหรับชินการรับรู้ว่ามีผู้ป่วยบริจาคอวัยวะแทบไม่ต่างอะไรกับการที่มีหญิงสาวท้องแก่มายืนอยู่ตรงหน้า แจ้งว่าเด็กในท้องคือลูกของเขา ทำให้ต้องคอยเฝ้าจนประคบประหงมจนกว่าจะคลอดออกมา อีกทั้งในวันถัดไปเขาก็อาจจะต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลทารกแรกเกิดโดยไม่ทันตั้งตัว

     

    ทว่าเมื่อไม่สามารถปฏิเสธความจริงตรงหน้าได้ พี่ต่อกับชินก็เริ่มยอมรับสภาพ นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างเงียบงัน อีกทั้งยังรู้สึกห่อเหี่ยวเกินกว่าจะกินอะไรลง

    พี่เทมรู้ดีถึงผลกระทบของสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่อยากให้รุ่นน้องต้องเอ่ยปากพูดถึงเรื่องน่าสะเทือนใจจึงรับบทเป็นผู้อธิบายปัญหาให้พี่กายฟัง

    “มันหนักไงมึง แค่ผ่าก็หลายรอบแล้ว ไหนจะต้องไปเอาอวัยวะจาก Donor ต้องผ่าตับเก่าออกแล้วเอาใส่กลับเข้าไปอีก กูเคยเข้าโออาร์ตอนสิบโมง ออกมาอีกทีตีสอง คนไข้ Post-op ก็เยิน จนแม่งต้องขนเสื้อผ้ามานอนเฝ้าที่ไอซียูเกือบทั้งเดือน แถมจบไปก็ใช่ว่าจะได้ทำ”

    เมื่อพี่เทมพูดจบ พี่ต่อก็ลุกพรวดพราดจนให้ทำโต๊ะอาหารสั่นสะเทือน เป็นชั่วขณะที่ทุกคนต่างกลั้นหายใจ กริ่งเกรงว่าชายร่างยักษ์จะโวยวายอะไรออกมา

    “ผมไปซักผ้าก่อนนะพี่ เดี๋ยวเสื้อไม่พอใส่” เขาหมุนตัวเดินตึงตังออกไปจากร้านอาหาร

    “งั้นผมขอตัวด้วยนะครับ” ชินเอ่ยปากร่ำลาทุกคนอย่างเศร้าหมอง เดินตามร่างใหญ่เหมือนหมีของพี่ต่อไป

     

    ตามที่พี่เทมได้อธิบาย ความหนักหนาในการผ่าตัดและความเหนื่อยยากจากการดูแลผู้ป่วยทำให้เรสซิเดนต์ทุกคนต่างหวาดกลัว อีกทั้งน้อยคนนักที่จะมีเป้าหมายการเรียนจบไปเพื่อทำหัตถการนี้

    การปลูกถ่ายอวัยวะคือหัตการผ่าตัดที่ซับซ้อนที่สุดบนโลกมนุษย์ และในประเทศไทยก็มีผู้ที่สามารถทำได้เพียงหยิบมือ คนที่สนใจเรียนต่อในสาขาเหล่านั้นล้วนรู้ดีว่าตนเองต้องทุ่มเทมากแค่ไหนเพื่อคนไข้ ไม่มีใครตั้งใจเป็นศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อเงินทองหรือความสบาย ทุกอย่างล้วนมาจากจิตใจที่รักในการทำงาน

    และเนื่องจากหัตถการนี้เป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับเรสซิเดนต์ที่ไม่ได้หลงไหลในการทรมานตน การต้องดูแลเคสเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะแบกรับ


    คำอธิบายท้ายบท

    *Colo-Rectal surgery : ศัลยกรรมทางเดินอาหารส่วนล่าง ลำไส้ ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก

    *Cholecystitis : โรคถุงน้ำดีอักเสบ ซึ่งทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล

    *Post-Op : ย่อมาจาก Post Operation แปลว่าหลังการผ่าตัด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×