ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Resident Life ศัลยแพทย์ฝึก (หัด) หนัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ประดับยศ

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 67


    เหงื่อเม็ดโตผุดจากไรผม ไหลลงมาตามขมับผ่านซอกคอจนทำให้หน้าอกเสื้อเปียกเป็นวงกว้าง เขาไม่ได้ร้อนและก็ไม่ได้เหนื่อย มันคือเหงื่อที่ไหลออกมาจากความโง่ ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหดหู่

    ขณะนี้เขากำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจัดการปัญหาตรงหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งชายร่างบางท่าทางเรียบร้อยที่ทางขวามือที่ยืนกุมเป้าก็เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความกังวล

    “ตั้ม มึงโทรหาพี่ต่อให้กูหน่อย” เขาหันไปสั่งชายคนนั้น เพราะมือทั้งสองข้างที่สวมถุงมือยางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด

    ใบหน้าจืดชืดที่มีคางสั้นและดวงตาอ่อนล้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ถอดถุงมือยางของตนออก เดินไปหยิบมือถือเครื่องหนึ่งจากจำนวนหลายเครื่องที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกล ก้มลงกดโทรออกตามคำสั่งทันที

     

    ชิน ชายหนุ่มวัย 27 ปี คนไทยเชื้อสายจีน รูปร่างผอมสูง สวมแว่นตาที่คอยแต่จะลื่นหลุดลงจากจมูก และคงเลื่อนตกลงไปอย่างแน่นอนหากไม่มีหน้ากากอนามัยคอยรองรับ 

    ภายใต้แว่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคือดวงตาชั้นเดียวที่ส่อแววเคร่งเครียด เหนือขึ้นไปมีคิ้วหนาขมวดเป็นปม บนศีรษะสวมหมวกผ้าสีเขียวเข้ม อวดหน้าผากกว้างประดับเม็ดเหงื่อประปรายแม้จะยืนอยู่ในห้องปรับอากาศอุณหภูมิ 20 องศา อีกทั้งยังส่งเสียงถอนหายใจออกมาเป็นระยะ

    ชินไม่ใช่ชายหนุ่มทั่วไป เขามีชื่อจริงที่มีคำนำหน้าบ่งบอกฐานันดรศักดิ์ว่า นายแพทย์ชินวุฒิ พิทักษ์สกุล แพทย์ประจำบ้านหรือเรสซิเดนต์ (Resident) ภาควิชาศัลยกรรมที่เพิ่งได้รับการประดับยศขึ้นเป็นมาเรสซิเดนต์ปีสองได้ไม่ถึงสามเดือน โดยคำว่าแพทย์ประจำบ้านนั้น หมายถึงผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีแพทยศาสตร์บัณฑิตแล้ว และกำลังเข้าฝึกฝนต่อในสายงานเฉพาะทาง 

    หลายคนอาจจะคิดว่ายศศักดิ์ของเขาดูยิ่งใหญ่ แต่ในโรงเรียนแพทย์ที่เต็มไปด้วยชั้นวรรณะ ตำแหน่งนี้จัดเป็นเพียงข้าราชบริพารชั้นผู้น้อยที่ไม่มีอำนาจใดมากมาย

     

    เป็นข้อกำหนดว่าเรสซิเดนต์ทุกคนที่เข้ามาเรียนในภาควิชาศัลยกรรมจะต้องเรียนรู้การทำงานจริงผ่านการฝึกฝนเป็นระยะเวลาสี่ปีในหน่วยงานย่อยต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ศัลยกรรมทางเดินอาหารส่วนบน (หลอดอาหาร กระเพาะ ลำไส้), ศัลยกรรมทางเดินอาหาร ส่วนล่าง (ลำไส้ ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก), ศัลยกรรมหัว คอ หน้าอก, ศัลยกรรมหลอดเลือด, ศัลยกรรมเด็ก, ศัลยกรรมอุบัติเหตุ, ศัลยกรรมตับ ตับอ่อน และถุงน้ำดี เป็นต้น

    ในเดือนสิงหาคมนี้ ชินกำลังฝึกฝนอยู่ในหน่วย Hepato หรือศัลยกรรมตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี กับทีมงานที่ประกอบด้วยเรสซิเดนต์ปีหนึ่งจนถึงเรสซิเดนต์ปีสี่ ซึ่งอาจมีจำนวนต่างกันไปในแต่ละเดือน

     

    ครึ่งชั่วโมงก่อน น้องตั้ม เรสซิเดนต์หนึ่ง ชนชั้นล่างสุดในภาควิชาโทรหาเขาและแจ้งว่าหาไส้ติ่งของคนไข้ไม่เจอ

    โดยทั่วไปไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการที่พบบ่อยเป็นลำดับต้น ๆ ของศัลยกรรม ด้วยตัวโรคที่ไม่ซับซ้อนทำให้หัตถการนี้เป็นสิ่งแรกที่เรสซิเดนต์ควรทำเป็น ซึ่งผู้มีหน้าที่หลักในการผ่าตัดไส้ติ่งก็คือเรสซิเดนต์หนึ่ง

    ในระยะแรกของการฝึกหัด รุ่นพี่จะคอยสอนและควบคุมจนแน่ใจว่ารุ่นน้องสามารถทำได้ หลังจากนั้นจะปล่อยให้ลงมือคนเดียวโดยมีเพียงพยาบาลช่วยเหลือเพื่อเลียนแบบการทำงานในชีวิตจริง แต่ปัญหาของมือใหม่ส่วนใหญ่คือหาไส้ติ่งไม่เจอ ทั้งที่มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ

    ชิน เรสซิเดนต์สองผู้มีลำดับศักดิ์สูงกว่าหนึ่งขั้นจึงต้องลุกจากเตียงในยามค่ำคืนมาช่วยเหลือ

     

    ไส้ติ่ง ตามชื่อเลยก็คือไส้ที่เป็นติ่งขนาดเล็ก ยื่นออกมาจากสำไส้ใหญ่ส่วนซีกัม (Cecum) ซึ่งเป็นลำไส้ส่วนที่ใหญ่และเห็นได้ชัดที่สุดในร่างกาย ฉะนั้นการมองหาจึงเริ่มจากจุดนั้น

    ชายหนุ่มสวมถุงมือผ่าตัดและล้วงเข้าไปในรอยบากบนหน้าท้องของคนไข้ ค้นหาจนเจอซีกัมลักษณะเหมือนกระเปาะขนาดประมาณผลส้ม มีเส้นกล้ามเนื้อลากผ่านจำนวนสามเส้น จากนั้นก็สาวลำไส้ไปตามเส้นนั้นจนถึงปลายสุด ก่อนจะเจอไส้ติ่งเจ้าปัญหา

    “นี่ไง เมื่อกี้มึงสาวมาจนสุดรึเปล่า” เขาเอ่ยปากถามรุ่นน้องโดยไม่ละสายตาจากหน้าท้องของคนไข้ แต่น้องตั้มไม่ตอบอะไรกลับมา ยังคงกุมเป้ามองดูเงียบ ๆ

    หลังจากเจอไส้ติ่ง ชินก็เริ่มเลาะเนื้อเยื่อรอบ ๆ เพื่อจะตัดมันออก แล้วเลือดปริมาณมากก็ไหลทะลักท่วมตำแหน่งผ่าตัดจนเขาตกใจ พยายามหาจุดที่ทำให้เลือดออกแต่หาไม่เจอ เขาคุ้ยไปตามลำไส้ของคนไข้เรื่อย ๆ พยายามใช้ตัวหนีบ (Clamp) หนีบตามจุดต่าง ๆ ที่คิดว่าน่าจะช่วยห้ามเลือดได้ แต่เลือดยังไม่ยอมหยุดไหล ลำไส้ของคนไข้ท่วมไปด้วยของเหลวสีแดงสดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้

    ณ วินาทีนั้นเองที่ชายหนุ่มตระหนักได้ถึงความโง่ของตน จึงบอกรุ่นน้องให้โทรเรียกพี่เรสซิเดนต์สามชื่อพี่ต่อให้มาช่วยเหลือ

     

    ไม่นานร่างใหญ่ดูเจ้าเนื้อก็โผล่ขึ้นที่ประตูโออาร์หรือห้องผ่าตัด (Operation Room : OR) สวมหมวกผ่าตัดไว้บนศีรษะกลมแป้น เชิดคางน้อย ๆ ขึ้นอย่างมั่นใจ เดินอาด ๆ กางไหล่อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

    “ไงจ๊ะหนู ๆ” พี่ต่อเอ่ยทักทาย ยื่นหน้าเข้ามาดูจุดผ่าตัดที่เต็มไปด้วยเลือด เริ่มแต่งชุดผ่าตัดและยิ้มกว้างออกมา

    เรสซิเดนต์ปีสามที่ผ่านประสบการณ์เลือดออกระหว่างผ่าตัดไส้ติ่งมาอย่างโชกโชนไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

    “แผลมึงเล็กไปนิดนะ” รุ่นพี่บอก กรีดผิวหนังคนไข้ เปิดแผลผ่าตัดให้กว้างขึ้นอีกเล็กน้อย ลงมือค้นหาจนเจอตำแหน่งที่ทำให้เลือดออก

    “นี่ไง มันอักเสบเยอะ Mesoappendix ยุ่ย หนีบยังไงก็ Cut through” พี่ต่ออธิบาย ชี้ให้ดูเนื้อเยื่อที่เชื่อมกับไส้ติ่งซึ่งมีลักษณะยุ่ยบางจากการอักเสบ ทำให้การหนีบเครื่องมือหยุดเลือดกลายเป็นการตัดทะลุเนื้อส่วนนั้นจนเลือดไหลออกมามากกว่าเดิม

    “ขอ Silk เย็บ 2/0 ครับ” พี่ต่อหันไปบอกพยาบาลผู้ช่วยผ่าตัด (Scrub Nurse) จากนั้นรุ่นพี่ก็อวดกระบวนท่าที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือการเย็บเพื่อหยุดเลือด

    เพียงไม่นานเลือดก็หยุดไหล ไส้ติ่งหลุดออกมาอย่างง่ายดาย

    “ไง กูเทพมั้ย” พี่ต่อยืดร่างใหญ่โตขึ้นอย่างภูมิใจ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่ง

    “เฮ้ย ทำไมตรงนี้มี Feces อะ” เสียงนั้นดูตื่นตระหนก

    ชินชะโงกหน้ามอง เห็นของเหลวหนืดสีน้ำตาลจำนวนหนึ่งรอบซีกัม หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะด้วยความหวาดกลัว

    ปกติไส้ติ่งอักเสบที่ไม่แตก จะไม่เห็น Feces หรืออุจจาระในช่องท้อง ภาวะที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นอันตรายใหญ่หลวง ลำไส้ของมนุษย์แม้เต็มไปด้วยแบคทีเรียมากมายแต่ก็ปิดสนิทและไร้รอยต่อเสียยิ่งกว่าท่อน้ำที่ฝังไว้ในผนังบ้าน รอยรั่วเช่นนี้จะทำให้อุจจาระโสโครกเล็ดลอดมาสัมผัสกับช่องท้องที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จนอาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงในร่างกายได้

    พี่ต่อดูดของเหลวสีน้ำตาลออก และเริ่มใช้อุปกรณ์ผ่าตัดเขี่ยสำรวจลำไส้เพื่อหาต้นตอ

    “เชี่ย Cecum tear” รุ่นพี่อุทาน ใช้ปลายคีมชี้รอยฉีกขาดขนาดเท่ารังดุมที่ลำไส้ใหญ่ให้ทุกคนดู ก่อนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะราวกับเกรงกลัวความผิด แต่หลังจากประมวลผลชั่วครู่ พี่ต่อก็หันมามองหน้าชิน

    “กูว่าตอนพวกมึงพยายาม Stop Bleed นั่นแหละ ไม่ใช่กูแน่นอน” รุ่นพี่โยนความผิดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว

    เมื่อรู้ว่าตนเองอาจเป็นผู้ทำให้เกิดรอยฉีกนั้น ชินก็พลันสิ้นเรี่ยวแรง แขนขาอ่อนยวบคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ “ทำไงดีอะพี่” เขาถามเสียงแผ่ว

    พี่ต่อจ้องหน้าเขา ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาโดยปราศจากความขบขันใด ๆ “โทรศัพท์สิวะ จะรออะไร” พร้อมหันไปหาพี่พยาบาลคนหนึ่งที่ไม่ได้สวมถุงมือผ่าตัด

    “รบกวนหยิบโทรศัพท์ของผมโทรหาพี่รังสรรค์ให้หน่อยครับ”

    “เครื่องไหนอะหมอ” พยาบาลตรงไปยังโต๊ะวางของเล็ก ๆ ในห้องผ่าตัดที่มีโทรศัพท์มือถือวางอยู่ 4-5 เครื่อง

    เป็นธรรมชาติของผู้ที่ทำงานในโออาร์ ก่อนสวมถุงมือผ่าตัด ทุกคนต้องนำมือถือออกมาวางบนโต๊ะตัวนี้ เพราะหากมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแล้วเพื่อนร่วมงานต้องเปิดเสื้อล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบออกมาให้ จะถือว่ามีความผิดร้ายแรงจนถูกลงโทษด้วยคำสาปส่งโทษฐานสร้างความลำบากให้แก่ผู้อื่น

    และแม้ว่าศัลยแพทย์จะไม่ได้เป็นมิตรกับใครในโรงพยาบาลเป็นพิเศษ แต่หน่วยงานต่าง ๆ กลับชอบโทรหาจนทำให้เสียงโทรศัพท์ดังแทบจะตลอดเวลา

    “เคสสีน้ำเงินครับ เครื่องนั้นเลยครับ” พี่ต่อพยักเพยิด

    “รหัสไรอะ” 

    “6969 ครับ” รุ่นพี่อึกอักเล็กน้อย ในขณะที่พี่พยาบาลอมยิ้มและพยายามกลั้นหัวเราะ

    “กดที่รายชื่อโทรออกล่าสุดเลยครับ”

    พี่พยาบาลไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ทั้งยังหันหน้าจอมือถือมาทางเรสซิเดนต์ทั้งสามคน “อันนี้เหรอ” 

    ‘บังสรร Sx.’ คือรายชื่อที่เพิ่งโทรออกล่าสุด 

    บังคือคำนำหน้าบ่งบอกสถานะ สรร คือชื่อของคน ๆ หนึ่ง ส่วน Sx. คือตัวย่อของคำว่า Surgeon

    “เอ่อ อันนั้นแหละครับ โทรเลย” พี่ต่อตอบกร่อย ๆ ก่อนจะหันมากำชับชินและน้องตั้มเสียงเข้ม

    “พวกมึงห้ามบอกพี่สรรค์นะ ว่ากูเมมชื่อแกว่าอะไร”

    ไม่นานพี่รังสรรค์ เรสซิเดนต์สี่ก็รับสาย พี่พยาบาลเปิดลำโพงให้พี่ต่อรายงานปัญหา

     

    ชายหนุ่มไทยเชื้อสายอินเดียผู้มีใบหน้าหล่อเหล่าปานเทพบุตรกรีกปรากฏตัวขึ้นอย่างมั่นคงและสุขุม ด้วยเรือนร่างสูงโปร่ง มาดเนี้ยบหัวจรดเท้า อีกทั้งยังเป็นเรสซิเดนต์ที่เก่งที่สุดในชั้นปี พี่รังสรรค์คือรุ่นพี่ที่ทุกคนต่างเกรงใจ

    เรสซิเดนท์ปีสี่ของภาควิชาศัลยกรรมคือศัลยแพทย์ฝึกหัดปีสุดท้ายก่อนจะจบไปเป็นศัลยแพทย์เต็มตัว ยศที่พึงเรียกอย่างถูกต้องของเรสซิเดนต์สี่ไม่ใช่บังแต่อย่างใด แต่เป็นชีฟเรสซิเดนต์ (Chief Resident) หรือที่มักเรียกกันว่า ‘พี่ชีฟ’ ส่วนบังสรรค์นั้นเป็นชื่อเล่นที่เพื่อนร่วมงานตั้งให้เนื่องจากพี่รังสรรค์มีเชื้อสายอินเดีย

    แต่โดยทั่วไปไม่มีใครกล้าเอ่ยคำนั้นต่อหน้าพี่สรรค์ เพราะถ้าหากเผลอเรียกแกว่าบัง ใบหน้าที่หล่อเหลาจะแข็งตึงขึ้นมาและตอบกลับอย่างเยือกเย็นว่า ‘ผมไม่ใช่บังครับ’

     

    พี่สรรค์เดินมาใกล้ ชะโงกหน้าข้ามไหล่พี่ต่อเพื่อดูปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วถอนใจ

    “ขอเสื้อกาวน์กันน้ำกับถุงมือเบอร์ 7 ครึ่งสองคู่ครับ” รุ่นพี่แจ้งพยาบาล จากนั้นก็หันมาทางน้อง ๆ “เดี๋ยวพี่โทรหาอาจารย์ก่อน” พร้อมกับเดินออกไปโทรศัพท์ทันที

    พี่ชีฟคนนี้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้สบาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องถูกรายงานไปยังอาจารย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของไข้ ที่ถึงแม้จะยังไม่ต้องโผล่เข้ามาช่วยเหลือแต่ก็ต้องรับรู้ไว้ เพราะถือเป็นผู้รับผิดชอบตัวจริงหากเรื่องราวเกิดบานปลาย

    ส่วนเสื้อกาวน์กันน้ำนั้นปกติจะใหญ่กว่าเสื้อกาวน์ผ่าตัดธรรมดา พี่สรรค์มีรูปร่างสูงจึงใส่ได้สบายตัวกว่า และแพทย์ผ่าตัดบางคนก็ชอบสวมถุงมือผ่าตัดสองชั้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากของมีคม

     

    หลังจากรายงานอาจารย์เสร็จพี่สรรค์ก็นำโทรศัพท์ไปวางบนโต๊ะ ออกไปล้างมือที่หน้าห้องผ่าตัด ก่อนจะกลับมาแต่งตัว

    “อาจารย์ให้เย็บปิด เดี๋ยวพี่เย็บเอง เผื่อมีปัญหา” รุ่นพี่บอก หันไปพูดกับพยาบาล “ขอ PDS 40 กับ Silk 3/0 แล้วก็ Jackson-Pratt Drain หนึ่งชุดครับ” 

    สิ่งที่ร้องขอคือไหมที่ใช้เย็บปิดลำไส้และสายระบายที่จะใส่ไว้ในช่องท้องเพื่อเฝ้าระวังรอยรั่ว เพราะหากเกิดการรั่วจะเห็นอุจจาระไหลออกมาทางสายยางนี้

    จากนั้นพี่สรรค์ก้าวเข้ามายืนตรงจุดผ่าตัด ดวงตาทอประกายแรงกล้า ใบหน้าเรียบเฉยฉายแววจริงจังและมุ่งมั่น พี่ชีฟหน้าตายคนนี้อาจจะดูมีมาดและมารยาทงามในยามปกติ แต่เมื่อไหร่ที่เห็นเลือด ตัวตนอีกคนที่ซ่อนอยู่ภายในจะเผยโฉมออกมาทันที

    “อาจารย์บ่นอะไรมั้ยพี่” พี่ต่อถาม

    “อือ แกถามว่าควายตัวไหนเป็นคนทำ” พี่สรรค์ตอบ ทำให้เรสซิเดนต์ที่เหลือเงียบลง เพราะต้องหยุดคิดว่าอาจารย์ถามเช่นนั้นจริง ๆ หรือพี่สรรค์เติมคำว่าควายตรงกลางประโยคด้วยตนเอง 

    “แล้วมึงไปเตรียมสไลด์ไว้เลยนะ” พี่ชีฟหันไปพูดกับน้องตั้ม ก่อนจะเริ่มลงมือ

    ประโยคนั้นทำให้ขนที่ต้นคอของชินลุกซู่ สไลด์ที่ว่าหมายถึงการเตรียมข้อมูลสำหรับรายงานการประชุมของภาควิชาเพื่อทบทวนเหตุการณ์ที่ทำให้คนไข้ทุพลภาพหรือเสียชีวิต (Morbid-Mortal Conference) เคสมีปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดของแพทย์จะถูกนำมาตีแผ่ให้ทุกคนรับทราบเพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก และแพทย์ที่ต้องขึ้นไปรายงานก็มักจะเป็นเจ้าตัวผู้ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้น 

    ชายหนุ่มรู้ได้โดยสามัญสำนึกว่าต่อให้น้องตั้มจะเป็นคนทำสไลด์ แต่ผู้ขึ้นไปรายงานคือเขาเอง และมันก็ให้ความรู้สึกราวกับการเดินขึ้นแท่นประหารเลยทีเดียว

    “เหี้ยเอ้ย ซีกัมแม่งก็อยู่ของมันดี ๆ มึงยังไปทิ่มให้เป็นรูอีก” พี่ชีฟบ่นขณะลงมือเย็บปิดลำไส้อย่างคล่องแคล่ว 

    การที่ไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำเป็นเพราะเคสนี้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว หากปล่อยให้รุ่นน้องทำแล้วเกิดปัญหาตามมาอีกจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

     

    พี่สรรค์วางอุปกรณ์ในมือลงบนถาดหลังจากเย็บเสร็จ ก่อนจะหันมาระบายความในใจโดยเริ่มจากน้องตั้ม

    “ไอ้สัตว์ มึงผ่า Dix มาแล้วกี่เคส ทำไมยังหาไม่เจออีก” จากนั้นก็หันหน้ามาทางชิน

    “มึงอีกคน ไอ้ควาย เป็นเดนต์สองแล้ว ดูซีกัมไม่ออกไม่พอ ยังเสือกทำ tear อีก”

    “แล้วมึง...” พี่สรรค์หันไปทางพี่ต่อแล้วหยุดชะงักไปชั่วครู่

    ชินแอบเหลือบมองรุ่นพี่เรสซิเดนต์สาม สัมผัสได้ว่าใบหน้ากลมกำลังยิ้มกว้างอยู่ใต้หน้ากากอนามัย รู้ดีว่าตนเองไม่มีความผิดใด ๆ ในเหตุการณ์นี้

    “มึงก็รู้ว่าน้องยังทำไม่ได้ ทำไมไม่เข้ามาคุมดี ๆ” พี่สรรค์เค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด ทำให้รอยยิ้มใต้หน้ากากของพี่ต่อหุบลงในทันที

    “พวกมึงเย็บปิดก็แล้วกัน” พี่ชีฟถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับหมุนตัวเดินออกจากห้องผ่าตัด

    ท่ามกลางคนไข้ที่นอนหลับไหลภายใต้ยาสลบ ศัลยแพทย์สามารถพูดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร ทำให้หลายต่อหลายครั้งห้องผ่าตัดมีสภาพไม่ต่างจากสวนสัตว์ และบางครั้งก็กลายเป็นสวนผลไม้ที่มีขายทั้งลูกชิดและฟักทอง

     

    “แม่ง ยังหาเรื่องมาด่ากูจนได้” พี่ต่อบ่น โยนถุงมือใส่ถังขยะเสียงดังและก้าวตามออกไป ทิ้งหน้าที่กระจอกให้รุ่นน้องทั้งสองทำ นั่นคือการเย็บหน้าท้อง

    หลังจากเย็บเสร็จเรียบร้อย ชินเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้อง น้องตั้มเริ่มผ่าตัดเคสนี้ตอนเวลาเที่ยงคืนกว่า และตอนนี้ก็เกือบตีสองเข้าไปแล้ว

    เขาถอนใจเบา ๆ ถอดถุงมือผ่าตัดทิ้ง และดึงหน้ากากอนามัยออก เผยกรอบหน้าเข้มคล้ายจะหล่อเหลาด้วยตาชั้นเดียวที่หางตาตกเล็กน้อย สันจมูกโด่งได้รูป และริมฝีปากบางที่ดูเหมือนอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา

    “ฟาดไปสองชั่วโมงเลยนะ” พยาบาลคนหนึ่งบ่น ปกติแล้วการผ่าไส้ติ่งธรรมดามักใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง

    ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างยอมรับผิด อวดฟันขาวและลักยิ้มตรงสองข้างแก้มทำให้เขาดูเป็นคนอ่อนโยน แต่ใต้ตาลึกโหล ไรหนวดบางไร้การดูแล อีกทั้งแก้มซูบตอบและรอยตีนกาจาง ๆ กลับทำให้ภาพรวมของชายผู้นี้ดูทรุดโทรมระคนเหนื่อยล้า

     

    ยศถาบรรดาศักดิ์นั้นหยั่งรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาอย่างช้านาน แต่เมื่อเอ่ยถึงมัน คนส่วนใหญ่ต่างนึกถึงหน่วยงานประเภทตำรวจหรือทหาร

    แน่นอนว่าตำรวจคือผู้ที่คอยต่อสู้กับเหล่าร้าย ส่วนทหารคือนักรบที่จัดการกับศัตรูของแผ่นดิน ทุกสนามรบต่างต้องมีผู้บัญชาการและผู้รับคำสั่ง หน่วยงานของชินก็เช่นกัน 

    กองกำลังของเขาประกอบด้วยแพทย์จำนวนมากในลำดับยศที่ลดหลั่นลงมาตามความเชี่ยวชาญ โดยทุกคนต่างมีหน้าที่หลักเดียวกัน นั่นก็คือการต่อกรกับมัจจุราจในศึกสงครามที่ไม่เคยมีวันหยุดพัก

    การทำงานตามลำดับขั้นที่ถูกต้องคือ เมื่อคนไข้เกิดปัญหาในโรงเรียนแพทย์ พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยใกล้ชิดจะโทรแจ้งนักศึกษาแพทย์ปีหกหรือที่เรียกกันว่าเอ็กซ์เทิร์น (Extern) ก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อเอ็กซ์เทิร์นมาดูอาการคนไข้แล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จึงจะโทรหาผู้ที่มีลำดับยศสูงกว่าหนึ่งขั้น นั่นคืออินเทิร์น (Intern) หรือแพทย์จบใหม่ที่ยังไม่ได้เรียนต่อเฉพาะทาง 

    จากนั้นอินเทิร์นจะเป็นผู้โทรแจ้งเรสซิเดนต์หนึ่ง หากเรสซิเดนต์หนึ่งมาดูคนไข้แล้วยังไม่สามารถรับมือได้ก็จะโทรหาเรสซิเดนท์สอง เรสซิเดนต์สองจะโทรแจ้งเรสซิเดนต์สาม จนในที่สุดเรื่องก็จะถูกส่งต่อขึ้นไปยังเรสซิเดนต์สี่ หรือพี่ชีฟผู้มีลำดับยศสูงสุดในทีม

     ไม่มีทางที่เรสซิเดนต์หนึ่งจะรายงานปัญหาโดยตรงกับเรสซิเดนต์สาม และเป็นไปไม่ได้ที่พี่ชีฟจะสั่งการโดยตรงลงมายังเรสซิเดนต์สอง ทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และทุกความผิดพลาดของเรสซิเดนต์ลำดับต่ำกว่าก็ถือเป็นความผิดพลาดของเรสซิเดนต์ลำดับถัดไปที่ไม่รู้จักสั่งสอนและควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองให้ดี

    การฝึกฝนเพื่อสู้รบกับมัจจุราชไม่ใช่เรื่องง่าย ใครที่แตกแถวจะถือว่าเป็นผู้กระทำผิด มีบทลงโทษคือคำทับถมและเหยียดหยามจนทำให้รู้สึกไร้ค่า


    คำอธิบายท้ายบท

    *Cecum : ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น มีลักษณะเป็นกระเปาะ และมีไส้ติ่งยื่นออกมาขนาดเท่านิ้วก้อย

    *Feces : อุจจาระ

    *Appendix : ไส้ติ่ง มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า Dix หรือ ดิก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×