ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic: Card Game Fadalgia

    ลำดับตอนที่ #4 : กับดัก

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 49


    กับดัก
    "ใครน่ะ..."



       "ผมเป็นนักสำรวจครับ"

       ผมยื่นบัตรให้ตำรวจท่องเที่ยวที่ยืนจังก้าขว้างทางผมอยู่ นี่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่คนแรกที่มายืนแบมือขอบัตรผมแล้วถามซ้ำคำถามเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆคือ 'ขอโทษนะครับ ที่นี่เขตหวงห้าม หากมีภารกิจใดขอให้แสดงบัตรประจำตัวด้วยนะครับ' เป็นอย่างนี้ รายที่สิบกว่าแล้ว!! เหมือนกับมีใครไปตั้งโปรแกรมเขาไว้แค่นั้น! ผมยืนนิ่วหน้ามองเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ด้วยสายตาไม่พอใจที่ผมคิดว่าน่าเกลียดที่สุด คนพวกนี้ทำผมเสียเวลามามากแล้ว ดีนะที่ผมออกมาแต่เช้าหน่อยทำให้ผมยังพอมีเวลาเหลือ (หากคนพวกนี้ไม่ดื้อดึงรั้งผมไว้!) ถ้าผมวันนี้ผมไม่เผื่อเวลาละก็นะ... ฮึ่ม!

       "เป็นนักสำรวจจริงด้วย..." เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ แล้วเหลือบมองผม ผมค้อนใส่ทันที

       "เห็นบัตรผมครบทุกอณูแล้วใช่ไหมครับ! ที่นี่ปล่อยผมไปได้ยัง!" ผมพูดกระแทกเสียง กอดอกแน่น เจ้าแซนด์ที่นั่งบนหัวก็กอดอกส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างไม่พอใจเช่นเดียวกัน

       เจ้าหน้าที่งี่เง่าส่งบัตรคืนให้ผมอย่างไม่เต็มใจแล้วโบกมือให้ผม "ตามสบายเลยครับ"

       "ขอบคุณ!" ผมกระแทกเสียงประชด เจ้าแซนด์บนหัวผมถือโอกาสนี้แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่
       
       "ให้ตาย! มันอะไรนักกันหนา เสียเวลาที่สุดเลย!" ผมบ่นอย่างหงุดหงิดขณะเดินเท้าเข้าไปยังซากโบราณสถานที่แสนเงียบสงบ ซึ่งที่ตั้งของซากนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาเล็กๆห่างจากเมืองที่เขาโดนสอบสวนมาพอประมาณ ทำให้ผมเดินเท้าได้ไม่ลำบาก แต่เรื่องของเจ้าหน้าที่พวกนั้นกลับทำอารมณ์ผมขุ่นจนต้องเตะหินแถวนั้นระบายอารมณ์ แน่นอนว่ามันไม่ช่วยเลย แถมเจ็บเท้าอีกด้วย...

       ผมเดินแบกอารมณ์ขุ่นมัวไว้เต็มอกจนกระทั่งมาถึงซากโบราณสถาน ทันทีที่ผมเห็นถ้าธรรมชาติซึ่งถูกสลักเป็นซุ้มประตูหินลวดลายวิจิตรตรงหน้า อารมณ์ขุ่นเคืองของผมก็พลันหายไปสิ้น มันถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น ผมหันมองรอบกาย บริเวณปากทางเข้านี้มีความกว้างน่าจะประมาณสิบเมตรกว่าๆ มันแคบจนไม่สามารถตั้งเต็นท์ได้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะผมเป็นพวกประเภทชอบเข้าไปนอนในโบราณสถานที่ตัวเองสำรวจ เรื่องเต็นท์จึงไม่เป็นปัญหา ผมหยิบสมุดบันทึกกับปากกาขนนกของพวกเมจ (แบบเติมหมึกให้ตัวเองได้) ออกมาเขียนบรรยายสถานที่และถ่ายรูปด้านหน้าไว้สองสามรูป เสียงลมพัดหวีดหวิวตามช่องเขาพัดมาจากทางด้านหนังผมทำเอาผมขนลุกเล็กน้อย และน่าแปลกที่ว่าลมนี่กลับไม่ก่อเสียงขึ้นในถ้ำ มันเหมือนกับถูกความมืดไปเสียเฉยๆ ผมเก็บหนังสือลงกระเป๋า คว้านหาของที่จะใช้สร้างแสงสว่างเตรียมจะเข้าไปด้านในก่อนจะเหลือบไปเห็นกล่องที่ศาสตราจารย์มอบให้ ผมจึงหยิบมันออกมา

       "ถุงมือสารพัดประโยชน์หรอ... ขอดูหน่อยละกัน..." ผมเปิดกล่อง หยิบถุงมือหนังขึ้นมาสวม บริเวณข้อมือของผมก็ถูกกำไลเงินสีขาวรัดรอบข้อมือเหมือนจะยึดถุงมือไม่ให้หลุด ผมลองขยับนิ้ว รู้สึกแปลกๆเมื่อมือของผมสัมผัสได้ถึงลมที่พัดผ่าน เหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ แซนด์ที่แอบมองกิริยาผมอยู่ งับเข้าที่มือผมเหมือนจะเตือนเรื่องเวลา ปกติผมจะร้องลั่นเพราะจะงอยของสกาเวนไม่ใช่ทื่อๆ แต่คราวนี้ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิด

       "น่าใช้ดีจริงๆ" ผมยิ้ม ยัดกล่องเข้าไปในกระเป๋า แล้วเดินเข้าไปด้านใน

       พรึบ!
       
       ลูกไฟสีน้ำเงินเด้งออกมาจากถุงมือทันทีที่รอบกายผมไม่เหลือแสงสว่างทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวอย่างไม่ตั้งใจ มันลอยเอื่อยๆตรงหน้าเหมือนลูกไฟวิญญาณ ผมลองเอื้อมมือไปคว้ามันไว้แต่มันก็เลื่อนหนีห่าง แต่เมื่อเลื่อนมือกลับมันก็ลอยเข้าหา ผมพยักหน้าเข้าใจกลไกของมันแล้วก็เดินต่อไปโดยมีลูกไฟส่องทางเดินแคบๆตรงหน้า

        ทางเดินมืดๆแคบๆแห่งนี้บอกตรงๆว่าผมไม่คิดว่ามันสมควรจะสร้างขึ้นมาเลย เพราะนอกจากมืดและแคบแล้ว มันยังมีเลี้ยวมีทางแยกด้วย ตอนแรกๆผมก็ไม่สนใจอะไร แม่เมื่อเจอทางวกกลับถึงสองครั้งผมก็เข้าใจทันที เดาได้ไม่ยากว่าที่นี่เป็นเขาวงกด แม้จะรู้แต่ผมก็ไม่ได้ตกใจอะไรกับมัน เพราะผมชินเสียแล้วกับการหลงทาง อีกทั้งหากมัวแต่ตกใจไปผมอาจจะได้เป็นผีเฝ้าเขาวงกดเป็นแน่ ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ในใจเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อนึกได้ว่าคณะสำรวจของแกรนวิสดอมก็เคยมาที่นี่ แล้วทำไมนะ คนพวกนั้นถึงได้ไม่คิดจะสร้างอะไรเป็นสัญลักษณ์บอกทางไว้ให้ตัวเองเสียเลย

       "เอาละ ฉันยอมก็ได้" ผมพูดเสียงดังกับผนังห้องตันๆตรงหน้า นี่เป็นรอบที่สิบแล้วนะที่เจอ "ที่นี่ก็ตานายแล้วแซนด์" ผมหันไปบอกกับแซนด์ เจ้าสกาเวนอ้วนส่งเสียงอย่าไว้ท่า แล้วหันหลังกลับ

       วูบ!

       ปีกเล็กๆของแซนด์กระพืออย่างแรงสร้างเกลียวพายุทรายขนาดย่อมพุ่งไปตามทางเดินกระทบผนังกระดอนไปอีกฝั่ง แยกสายแทรกตามทางแยกต่างๆ แซนด์กระพือปีกไม่หยุด พายุทรายทวีความแรงขึ้นจนผนังสั่นไหว ครู่หนึ่งแซนด์ก็หยุด แต่สายลมยังไหลวนอยู่ มันลอยตัวกลางอากาศ กางปีกออกสัมผัสบางอย่าง...

       โคลก!

       "คู้~" เจ้าสกาเวนน้อยร้องเสียงดังบินถลาฝ่าสายลมและฝุ่นทรายมุ่งไปตามสัญชาตญาณ ผมวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว แซนด์ที่บินนำผมถึงแม้จะไร้แสงแต่มันก็หักหลบเศษหินเศษปูนได้อย่างดีเยี่ยม แสงจากลูกไฟเริ่มริบรี่จากทรายที่ตลบเต็มทางเดินจนน่าเป็นห่วง จนในที่สุดผมก็ได้ยินแต่เสียงของสกาเวนตรงหน้า และขาที่พลาดท่าสะดุดอะไรไม่รู้จนล้มคะมำหน้าทิ่มดิน

       "แค่ก! แค่ก! โอ๊ย..." ผมโงหัวตัวเองออกมาจากพื้นทรายละเอียดที่รองร่างผมอยู่ อ้าปากไอไล่ทรายที่กลั้วอยู่เต็มปากออก ผมหันกลับไปมอง ทางเดินแคบๆที่ผมผ่านมาถูกปิดด้วยทรายเรียบร้อยแล้วเสียครึ่ง ลูกไฟสีน้ำเงินยังลอยเอื่อยๆอยู่เหนือหัวผม ส่องแสงสว่างแรงกล้าให้เห็นห้องใหม่ที่ผมเข้ามา

       ตรงหน้าผมเป็นห้องโถงยาวขนาดใหญ่ที่แลดูราวกับถูกสร้างขึ้นจากการขุดและสลักหินใต้พื้นดิน สองข้างห่างจากผนังห้องไม่กี่เมตรมีเสาค้ำลวดลายวิจิตรตั้งตระหง่านเป็นแถวยาวจนจดปลายห้อง เพดานด้านบนนั้นมืดมองไม่เห็นจนผมรู้สึกเสียววาบเมื่อจิตนาการถึงความสูงของมันที่กระทั้งแสงยังส่องไม่ถึง ผมตื่นเต้นมาก รีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บอย่างรวดเร็ว ถึงผมจะเคยเห็นห้องโถงใหญ่แบบนี้มาก่อนแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมบอกได้เลยว่าห้องที่นี่น่าตื่นตามากกว่า ไม่ใช่ที่ลายวิจิตรบนผนังและเสา แต่เป็นเพราะที่ตั้งของมันต่างหาก

       ผมก้าวเดินต่อ มือที่ถือกล้องยังกดถ่ายภาพต่อไปตามที่แสงจะอำนวยซึ่งตอนนี้มันอ่อนแรงลงจนส่องได้ไม่กี่เมตรเท่านั้น ความตื่นเต้นในใจผมทวีขึ้นช้าๆตามระยะที่ก้าวเดิน คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในสมอง – มันสร้างขึ้นในยุคไหน – สร้างโดยใคร – สร้างมาเพื่อจุดประสงค์ใด – และคำถามอื่นๆอีกมากมาย ผมหยุดถ่าย เร่งฝีเท้าก้าวเดินเร็วขึ้น ในใจนึกตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเจอต่อไป

       เปรี้ยง!!

       เสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้นที่ด้านหลังผมเมื่อเดินไปได้ครึ่งห้อง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะรู้ว่าเป็นอะไร ลำแสงสีแดงก็ยิงจากไหนไม่รู้เข้าสีข้างผม อาการเจ็บแปล๊บราวกับถูกไฟช็อตเล่นปราดจากสีข้างลามไปทั่วตัว ผมทรุดตัวลงเอามือกุมสีข้างที่โดนยิง แซนด์ที่บินอยู่เหนือหัวผมหันหัวมองหาต้นเหตุอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ไม่มีวี่แววของใครหรืออะไรในนี้เลย ผมเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวังแล้วค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ – ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น – ผมลองก้าวเท้าออกไป – ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น – ผมก้าวอีกครั้ง – ลำแสงอีกสี่เส้นพุ่งเข้ามาโจมตีผมทันที!!

       "เฮ้ย!" ผมเบี่ยงตัวหลบเส้นที่หนึ่งและสอง แต่อีกสองเส้นผมไม่พ้น มันกระแทกเข้าหลังและไหล่ขวาผมอย่างแรงจนผมกระเด็น

       แล้วอีกเจ็ดสายก็พุ่งมา!

       "แซนด์!" ผมตะโกน แซนด์กระพือปีกตีลมเข้าตอบโต้ ได้ผล! ลำแสงสามสายเบี่ยงตัวออกไป ผมพุ่งตัวไปด้านหน้าหลบอีกสี่สายที่เหลือได้อย่าหวุดหวิด

       "เกือบไป... เฮ้ย!" ผมตะโกนลั่นเมื่อลำแสงจากไหนอีกเส้นไม่รู้พุ่งใส่หน้า ผมยอมดีดตัวหลบกระแทกกับเสาหินดังพลั่ก ลำแสงนั่นเฉียดถากหน้าผมไปจนแก้มเป็นรอยแดง

       เมื่อผมหยุด มันก็หยุด

       ห้องโถงเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีเสียงใดๆในห้องเว้นแต่เสียงหอบหายใจของผม และเสียงเลือดที่ไหลลอดออกมาจากนิ้วมือที่กุมแผลเอาไว้ ผมสำรวจตัวเอง แผลที่ผมได้นั้นไม่ใช่รอยไหม้ มันเหมือนกับโดนของมีคมบาดเข้ามากกว่า แต่เสื้อของผมกลับไหม้ แสดงว่านี่ต้องเป็นกับดักเวทย์อย่างแน่นอน

       "แซนด์ เดี๋ยวฉันจะวิ่งฝ่าเข้าไป ถ้ามันยิงมาอีก นายกันให้ฉันนะ" ผมบอกกับคู่หู แซนด์ทุบอกตัวเองให้ความมั่นใจ ผมปล่อยมิจากบาดแผล หันไปทางประตูอีกฝั่งของห้องโถง ผมสูดหายใจลึกๆสองที ก่อนจะออกวิ่งอย่างรวดเร็ว!
       
       เปรี้ยง!!

       เสียงเดิมดังขึ้นพร้อมลำแสงนับสิบพุ่งจากทุกทิศวิ่งเข้าใส่ ผมตกใจสุดขีด ไม่นึกเลยว่าจะเยอะขนาดนี้ ผมกลิ้งตัวหลบ พุ่งไปทางขวาที่ซ้ายทีอย่างรวดเร็วด้วยอาการลนลาน แซนด์ที่บินอยู่ดูเหมือนจะไม่ใช่เป้าหมาย มันจึงปลอดภัยและเข้ามาพัดลำแสงเบี่ยงออกไปจากตัวผมได้ แต่ยิ่งผมวิ่ง ยิ่งหลบเท่าใด ลำแสงพวกนี้ก็ยิ่งเยอะขึ้นและดูเหมือนจะเร็วขึ้น ผมเริ่มหลบไม่พ้น ลำแสงพุ่งเข้าไหล่ แขน และสีข้างผมจนเลือดอาบ แต่ขาผมไม่โดนโจมตี ผมยังวิ่งได้!

       ปึก!!

       อ๊าก!!

       แล้วผมก็โดนอย่างจังเข้าที่ขาซ้าย! ผมเสียหลักล้มแต่ยังไม่ทันจะถึงพื้น ลำแสงอีกหลายสายก็ยิงเข้าที่แขนลำตัวผมเป็นชุด! ดีดร่างผมลอยกระเด็นไปกระแทกกับเสาเต็มแรง! เลือดพุ่งออกจากปากผมเป็นสาย ตาของผมพร่ามัวจากเลือด และลำแสงอีกหลายเส้นก็พุ่งเข้ามา ผมรีบยกมือขึ้นป้อง!

       เคร้ง!

       ลำแสงทั้งหมดที่กระทบมือผมแตกสลายไปราวกับเป็นแท่งแก้ว...

       ผมลืมตาขึ้น มองมือตัวเอง วงเวทย์สีทองสองวงฉายแสงขึ้นตรงหน้าผมป้องกันผมจากลำแสงมหาประลัย มันเรืองแสงน้อยๆก่อนจะรี่ลงเหมือนจะดับ แต่ก็ยังไม่ดับ ผมขยับมือลง วงเวทย์ทั้งสองก็เลื่อนลงน้อยๆตาม เป็นอีกครั้งที่ผมเข้าใจ

       "แซนด์! พุ่งเข้าไปเลย!" ผมตะโกนสั่งแล้วลุกขึ้นวิ่ง ลำแสงเวทย์พุ่งเข้าใสเป็นชุด คราวนี้ผมไม่หลบ ผมยกวงเวทย์ขึ้น ลำแสงสีแดงแตกสลายทันทีที่กระทบวงเวทย์ แต่ก็มีลำแสงบางเส้นลอดโล่เข้ามาได้ ผมเปลี่ยนท่า ยืนมือข้างหนึ่งไปด้านหน้าและอีกข้างไปด้านหลัง วงเวทย์เรืองแสงขึ้นอีกครั้ง เชื่อมตัวเองเข้าหากันกลายเป็นครอบแก้วล้อมตัวผม ผมยิ้มกว้าง ถุงมือนี้ยอดเยี่ยมทีเดียว

       "ฮึบ!" ผมกระโดดกระแทกประตูห้องจนเปิดอ้า กลิ้งตัวคลุกๆกับพื้นหินเย็นๆหลุดออกมาจากห้องใหญ่ อาการปวดที่แผลกลับมารุนแรงอีกหนเพราะผมดันทะลึ่งเอาตัวลงเต็มแรง ผมค่อยๆยันตัวขึ้น เลือดอุ่นๆลากเป็นเส้นยาวบนพื้นจากจุดที่ผมเอาตัวเองลงจนผมตกใจเล็กน้อยกับจำนวนของมัน วงเวทย์หายไปแล้ว และแซนด์ก็ปลอดภัยบนหัวผม ผมสำรวจตัวเอง อวัยวะทั้งสามสิบสองครบถ้วนดี หายไปอยู่อย่างเดียวคือลูกไฟ นั่นทำให้ตาผมหมดประโยชน์ในทันใด

       แล้วผมก็ได้ยินเสียงเดิน...

       ผมหันกลับไปมองที่ห้องโถงอันมืดมิด แน่นอนว่าผมมองไม่เห็นเพราะไม่มีอะไรส่องทาง แต่ผมรู้สึกว่าเห็นอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น
     
       "มืดแฮะ ขอไฟหน่อยซิ" ผมพูดลอยๆ แล้วลูกไฟก็เด้งออกมาจากถุงมืออีกผมออกมากระทบกับอะไรบางอย่าง

       เป็นก้อนหินยักษ์รูปคน...

       "เหอะๆ ... คงไม่ใช่... โกเลมนะ..." ผมพูดค่อยๆ แล้วมันก็ขยับตัว...

       น่าดีใจจังเลยที่เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย...

       ตูม!!

       "อ๊ากกกกกกกกก!!!" ผมร้องเสียงหลง กระโดดหลบกำปั้นหินขนาดยักษ์ที่เหวี่ยงลงมาใส่จุดที่ผมเคยยืนอยู่ เจ้าแซนด์ที่ผมน่าจะได้พึ่งพา บินหลบผลุบเข้าไปในกระเป๋าทำตัวสงบเสงี่ยมปล่อยผมเผชิญโลกคนเดียว

       คึก! คึก! คึก!

       เสียงหินเสียดสีกันดังพร้อมฝ่ามือหินตะปบใส่ผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แน่นอนว่าผมหลบได้ แต่เมื่อลอยอยู่บนกาศ ผมก็ไม่สามารถหลบกำปั้นหินอีกข้างได้...

       อั๊ก!!   

       ตัวผมลอยละลิ่วเหมือนตุ๊กตานุ่นโดนเตะหล่นพลั่กลงพื้นเหมือนขยะโดนโยนทิ้ง ผมจุกที่ลิ้นปี่หายใจไม่ออก ก่อนจะสำลักลิ่มเลือด หูอื้อไปหมดไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้กระทั่งฝ่ามือที่ฝาดใส่ตัวผมลอยละลิ่วไปอีกรอบ

       "ได้... อยากจะสู้ใช่ไหม..." ผมกัดฟัน ยืนขึ้นถอดกระเป๋าทิ้งไว้บนพื้น เจ้าแซนด์โผล่หัวออกมาเหมือนรู้สึกผิด แต่ผมจับหัวมันยัดเขาไปเหมือนเดิม

       "ฉันสู้เอง" ผมบอกมัน ในที่สุด ก็จะได้ลองใช้เวทย์สู้เสียที

       ปึง!!

        หมัดของโกเลมหินเหวี่ยงกระแทกโล่เวทย์จากมือผม แรงโจมตีมหาศาลทำลายโล่ผมจนแตกกระจาย แต่หมัดของมันก็ค้างไว้ในท่าชก สบโอกาสผมก็สับมือลงบนหมัดของมัน สายลมรอบกายพัดม้วนมารวมกันรอบฝ่ามือผมทำลายหมัดศิลาแหว่งไปครึ่ง โกเลมขยับได้อีกครั้ง ผมถอยหลังกระโดดถอย การโจมตีของโกเลมเฉียดหัวผมไปนิดเดียว

       "จับหลักการใช้ได้แล้ว" ผมยิ้ม ยกมือขึ้นข้างตัว สายลมมารวมตัวกันอีกรอบ ก่อตัวเป็นดาบไร้รูปร่างแล้วเหวี่ยงมันใส่ขาโกเลมทำลายศูนย์ยืนของมัน

       "ก็แค่คิด แล้วตั้งสมาธิเท่านั้นเอง" ผมพูดอย่างสะใจ เจ้าโกเลมหันมาทางผม ผมเชื่อว่าถ้ามันมีหน้า หน้าของมันตอนนี้คงจะโกรธมิใช่น้อย

       ผมพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง กระโดดขึ้นสูง สายลมพัดเป็นเกลียวส่งร่างผมลอยสูงหลบมือศิลาที่ไล่คว้าศัตรู ผมทิ้งตัวหล่นลงบนหัวมัน เล็งที่รอแยกของหิน ผมสะบัดมือกางออก สายลมไหลวนก่อตัวเป็นดาบทั้งสองมือ ตวัดเข้าแกนกลางของหุ่นหินยักษ์

       โครม!!

       โกเลมหินสิ้นฤทธิ์ทันที ร่างของมันแตกกระจายเป็นเศษหิน ผมลอยลงมายืนอย่างนุ่มนวลบนพื้น มองส่วนที่ผมตั้งใจทำลายอย่างแท้จริง หัวใจไสยเวทย์

       "เขียนด้วยวงเวทย์โบราณ... ท่าทางจะมีอายุนะเนี่ย" ผมพึมพำขณะมองก้อนหินทรงลูกบาศก์สลักวงเวทย์ในมือ ผมเก็บเข้ากระเป๋า ตั้งใจจะเอาไปตรวจอายุเสียหน่อย

       แล้วผมก็รู้สึกเหมือนมีใครมองผมอยู่...

       "ใครน่ะ..."

       โครม!!

       กำปั้นหินยักษ์จากไหนไม่รู้เหวี่ยงลงพื้นตรงหน้าผม ผมผงะถอยหลังอย่างตกใจ มีโกเลมอีกตัวหรอเนี่ย แต่ผมผิด มันไม่ได้มีอีกตัว แต่มีอีกสองตัว...

       "บะ... บ้าเอ๊ย!!" ผมสบถ สะบัดมือสร้างโล่กันโกเลมตัวที่เหวี่ยงมันลงมาหยุดการเคลื่อนไหวของมัน แต่อีกตัวก็จับผมขึ้น ผมไม่รอช้า ยกมือขึ้นตั้งสมาธิอย่างเร็ว

       "ยิง!!"

       ตูม!!

       สายลมที่ถูกอัดรวมเป็นกระสุนพุ่งออกจากกำปั้นผมทะลวงกลางออกโกเลม แต่ยังไม่ทะลุ มันบีบตัวผม ความเจ็บปวดที่ประมาณไม่ได้เล่นไปทั่วร่าง แต่ผมเอามือลงไม่ได้! ผมเล็งอีกครั้งแล้วปล่อยลูกที่สอง! – มันบีบผมแรงขึ้น! -- ลูกที่สาม! – ความเจ็บปวดบอกให้รู้ว่ากระดูกผมกำลังจะหัก! – ลูกที่สี่! – มือผมอ่อนแรงหายใจไม่ออก! – และลูกที่ห้า – ทะลุอกมันทันที!!

       "อีก... อีกตัว..."

       ผมหอบหายใจ พยายามฝืนลืมตามองศัตรู แต่ไม่ไหวแล้ว แรงผมไม่มีแล้ว และการโจมตีของมันผมหลบไม่พ้นแน่ๆ

       แล้วผมก็เห็นใครบางคน..

       สายลมเอ๋ย... จงเป็นโซ่พันธนาการ!

       เสียงหวีดหวิวของสายลมดังขึ้นเมื่อสิ้นเสียงพูด สายลมสีขาวนวลเหมือนผ้าไหมโหมพัดม้วนเป็นกรง ล้อมกายโกเลมยักษ์ที่กำลังจะโจมตีขังมันไว้ในกรงไหม เจ้าโกเลมยักษ์มีท่าที่เหมือนตกใจและพยายามจะฝ่าสายลมออกมา แต่ร่างของมันก็โดนลมพัดม้วนส่งร่างมันลอยขึ้นกลางอากาศได้อย่างไม่ยากเย็น ผมมีสติกลับมาอีกครั้ง เรียกใช้ลมหอบร่างตัวเองส่งลงพื้น นั่งหมดแรงอยู่ตรงนั้น แต่ตาของผมกลับสอดส่ายหาผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งตอนนี้กำลังยืนห่างจากผมไปไม่กี่เมตร

       สายน้ำ... จงเป็นอาวุธให้ข้า ทำลายศัตรูของข้าให้พินาศ!

       เสียงร่ายมนต์ดังขึ้นอีก สายน้ำจากรอบตัวนักเวทย์ไหลย้อนขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อตัวเป็นอาวุธรูปร่างคล้ายหอกหันไปทางโกเลมหิน นักเวทย์คนนั้นกระแทกมือ หอกน้ำยักษ์พุ่งเสียบทะลุกลางอกโกเลมพอดี ทำลายหัวใจจนแตกละเอียด ร่างของโกเลมแตกสลายกลับคืนเป็นเศษหินดังเดิม

       เมื่อทุกอย่างสิ้นสุด เรียวแรงทั้งหมดของผมก็หายไป ผมล้มตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความเจ็บปวดจากบาดแผลไหลแทรกทั่วตัวเหมือนโดนทรมาน ตาของผมที่กำลังพร่าเลือนมองเห็นนักเวทย์คนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เห็นคนๆนั้นดึงฮูดออกเผยให้เห็นเรือนผมยาวสลวย คนๆนั้นนั่งลงข้างตัวผมแต่ผมมองไม่เห็นหน้าเขาและมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดที่บีบเข้ามา...

       "ใครน่ะ..."
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×