ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic: Card Game Fadalgia

    ลำดับตอนที่ #1 : จดหมายของพ่อ

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 49


    จดหมายของคุณพ่อ
                            ‘จงตามหาเอสทรั่ล’



       “ผมไปก่อนนะครับ!!”

       ผมตะโกนบอกคุณแม่ที่กำลังยืนล้างจานอยู่ในห้องครัวก่อนจะถลาไปที่ประตูบ้าน คว้ารองเท้าและกระเป๋าสะพานสีน้ำตาลแก่ที่วางไว้ข้างชั้นรองเท้าขึ้นมาสวมในตำแหน่ง เสียงเตือนเล็กๆจากข้อมือกระตุนให้ผมสวมรองเท้าเร็วขึ้น เมื่อเรียบร้อยดีผมก็รีบวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วราวกับปืนมาจ่อที่ด้านหลัง อันที่จริง... มันก็เหมือนมีนั่นแหละ เพราะตอนนี้ผมกำลังจะไปหอสมุดสาย!!

       “ว้าก!! รอด้วยคร้าบ~บ” ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อไปถึงสถานีรถไฟฟ้า แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่งี่เง่าเพราะยังไงรถไฟที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์คงจะฟังผมไม่ได้หรอก แต่ว่า เจ้าหน้าที่เขาได้ยินนิ

       “โอ้ เกือบสายนะ วันนี้ส่งวิทยานิพนธ์หรือไง”

       “หวัดดีครับคุณเบน!!”

       ผมทักทายอย่างรวดเร็วแล้วกระโจนผ่านหน้าเขาเข้าไปในรถไฟ รองเท้าสะดุดกับประตูเลื่อนที่กำลังจะปิดเล็กน้อยพอให้ผมล้มหัวทิ่มพองาม เข่าทั้งสองของผมปวดแปล๊บ และดั่งจมูกก็น่าจะหดลงไปสักครึ่งนิ้วได้จากแรงกระแทก ผมผงกหัวขึ้นเมื่อรถไฟกระตุกเริ่มออกตัว รีบลุกขึ้นหาที่นั่งแล้วนั่งคู้ตัวไม่สบตากับสายตาของผู้คนบนรถไฟ

       สิบนาทีหลังจากที่รถไฟเคลื่อนตัว ไม่นานนักมันก็ถึงจุดหมาย ผมรีบลุกจากที่นั่งวิ่งออกไปจากรถไฟโดยไม่สนมารยาท ฝ่าผู้คนจากสถานีหลักซึ่งพลุกพล่านตามแบบฉบับยามเช้าของเมืองใหญ่ มันไม่ง่ายเลยหากต้องฝ่าฝูงชนออกไปจากสถานี ยังดีที่หอสมุดอยู่ไม่ไกลนักจากที่นี่ ผมจึงไปถึงที่หมายได้ในเวลาฉิวเฉียด แต่...

       “เธอมาสายนะเอทวาล ตื่นสายหรือไง”

       เสียงทุ่มนุ่มลึกอันคุ้นหูดังขึ้นเมื่อผมก้าวเข้าไปถึงห้องประชุมใหญ่ ผมเงยหน้าขึ้นมองศาสตราจารย์เจ้าของเสียง ใบหน้าของผู้สูงอายุที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งการผ่านโลกนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองผมที่ฝืนยิ้มออกไปสู้ เป็นสายตาที่ดุดันและเชียบคมพอจะกรีดให้รอยยิ้มบนใบหน้าผมเละไม่มีชิ้นดีจนผมไม่กล้ายิ้มอีก ได้แต่ยืนก้มหน้างุดอยู่ตรงนั้น

       “ขอโทษครับศาสตราจารย์วอตัน...”

       “เข้าไปได้แล้ว หวังว่าเธอจะเป็นคนสุด... โนมาน! นี่เธอมาสายกว่าเอทวาลเชียวหรอนี่!! เอทวาล รีบเข้าไปได้แล้ว”

       “ครับ...” ผมรีบรับคำแล้วเปิดประตูไม้บานใหญ่เข้าไปอย่างรวดเร็วเผื่อว่าศาสตราจารย์จะกลับมาเล่นงานผมอีก

       เบื้องหน้าผมในตอนนี้ เป็นห้องประชุมกว้างขนาดใหญ่ เรียงรายไปด้วยม้านั่งไม้เรียงเป็นแถวยาว ที่ปลายสุดของห้อง เป็นเวทีเตี้ยๆรูปครึ่งวงกลมซึ่งไร้การตกแต่งใดๆ มีเพียงเก้าอี้เรียงเป็นแถวหนึ่งแถว มีศาสตราจารย์ห้าท่านนั่งอยู่และเหลือที่ว่างตรงกลางหนึ่งที่และริมสุดอีกหนึ่งที่ บรรยากาศของห้องนี่เงียบสงบ แต่ก็ไม่ได้วังเวง และสภาพห้องที่เรียบง่าย รวมแล้วทำให้ผมรู้สึกว่าหากหลังเวทีนั้นมีรูปปั้นพระเยซูตรึงกางเขนกับกระจกแก้วหลากสีที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากโบสถ์อันศักสิทธิ์เลย

       ผมก้าวเท้าเดินเข้ามาด้านใน ระวังอย่างยิ่งไม่ให้มีเสียงรบกวน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะเขาต้องเดินไปเกือบสุดปลายทาง เหตุเพราะในห้องประชุมกว้างขว้างแห่งนี้ มีคนนั่งกันอยู่เพียงสิบสี่คนเท่านั้น

       “เอทวาล! ทางนี้!” ใครบางคนกระซิบเสียงหนักเมื่อผมเดินไปจนถึงม้านั่งแถวที่สอง ผมหันไปมอง ชาร์ลเพื่อนของผมนั่งอยู่ในแถวแรกส่งยิ้มมาให้แล้วตบที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวเชื้อเชิญ ซึ่งผมก็เดินเข้าไปนั่งตามคำเชิญ

       “เกือบมาสายแล้วนะ ทำอะไรอยู่” ชาร์ลยิงคำถามทันทีที่ผมนั่งลง

       “ก็... ตื่นสายนิดหน่อย นายก็รู้... เรื่องเดิม” ผมตอบคำถามเสียงค่อยและกระชับเพราะตอนนี้ศาสตราจารย์ทุกคนได้พร้อมกันบนเวทีแล้ว ผมและนักศึกษาคนอื่นๆหันหน้าเข้าหาเวทีโดยพร้อมเพรียง

       “ยินดีด้วยนะ สำหรับนักศึกษาสาขาประวัติศาสตร์เวทย์มนต์ที่ผ่านการทดสอบทุกคน” หัวหน้าศาสตราจารย์กล่าว สายตาอ่อนโยนและใจดีของบุรุษวัยเจ็ดสิบมองเหล่านักศึกษาราวกับเป็นบิดา

       “ฉันเอง ในฐานะที่เป็นนักประวัติศาสตร์ และเป็นอาจารย์ใหญ่ของพวกเธอ รวมทั้งยังเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนด้วย ฉันรู้ว่าพวกเธอคงจะไม่ชอบฟังอะไรยืดยาวสินะ ใช่ไหม” เขาหยุดพูดแล้วยิ้ม ปล่อยให้เหล่านักศึกษาได้หัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่างที่พวกเธอรู้ ฉันไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีรีตองมากมาย ดังที่เห็นจากสภาพของห้อง (เขากางมือออกประหนึ่งให้สังเกตห้อง นักศึกษาหัวเราะอีกครั้ง) เพราะฉะนั้น หลังจากที่ฉันอวยพรเสร็จ พวกเธอจะพูดคุยกับศาสตราจารย์คนไหน หรือจะกลับบ้านไป ก็ตามสบายเลยนะ

       “เอาละ ในที่สุด พวกเธอก็ได้ผ่านช่วงเวลาของการร่ำเรียนตามวิชาการในห้องเรียนมาแล้ว และได้ผ่านการทดสอบว่าพวกเธอพร้อมกับการที่จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตของเธอได้อย่างดีที่สุด จากนี่ไป เธอจะต้องเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีพวกอาจารย์คอยชี้แนะ พวกเธออาจจะพลาดบ้าง อาจจะล้มบ้าง แต่ก็ขอให้พวกเธออย่าท้อถอย เมื่อล้มแล้วก็ลุก เดินหน้าต่อไปโดยใช้บทเรียนจากครั้งก่อนๆก้าวเท้าต่ออย่างสง่า ฉันเชื่อว่า ไม่นานหรอก ฉันจะได้เห็นพวกเธออยู่ในระดับที่พวกเธอทุกคนใฝ่หามาตลอด นี่เป็นคำอวยพรเก่าๆของฉัน ใช้มานานแล้วละนะ  รุ่นต่อรุ่น ขอโทษด้วยที่ไม่ลึกซึ้งกินใจ คำต่อไปก็จะเป็นคำกล่าวที่ดาษดื่นแล้ว ฉันจะขอกล่าวว่า...

       “ขอให้ทุกคนโชคดี”

       หัวหน้าศาสตราจารย์ยิ้มแล้วยืนนิ่ง คาดว่าจะได้รับเสียงหัวเราะกับคำกล่าวอวยพรของตน ทว่านักศึกษาทุกคนกลับไม่หัวเราะ นักศึกษาทั้งหมดต่างยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงแล้วปรบมือ ก่อนจะโค้งให้คณะศาสตราจารย์ ท่าทางที่แปลกไปของนักศึกษาทำเอาศาสตราจารย์ทุกท่านงงกันไปเลย นักศึกษาที่ปกติจะทำท่าไม่ค่อยเอาไหน ตอนนี้กำลังพร้อมใจกันทำความเคารพอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย...

       “พูดจริงๆนะ ครูเองก็ยังแปลกใจเลยว่านักศึกษาของครูจะมีคนสอบผ่านด้วย โดยเฉพาะเธอ เอทวาล ครูคาดไม่ถึงจริงๆ” ศาสตราจารย์วอตันพูดยิ้มๆแล้วขยี้หัวลูกศิษทั้งสองอย่างเอ็นดู ทำเอาหัวของผมที่ยุ่งอยู่แล้วยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่

       “โธ่ ศาสตราจารย์ครับ นี่ไม่เชื่อในตัวผมเลยหรอเนี่ย” ผมท้วงยิ้มๆ ศาสตราจารย์วอตันเลิกคิ้วแล้วขยี้หัวผมหนักขึ้นอีก

       “แน่สิ ก็เธอเอาแต่ศึกษาเวทย์มนต์นี่น่า” ศาสตราจารย์วอตันว่าแล้วปล่อยมือออกจากหัวผมกับหัวชาร์ล ก่อนจะล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมสีขาวหยิบของบางอย่างออกมา

       “ของขวัญหรอครับนั่น” ชาร์ลพูดติดตลกแล้วหันมายิ้มยิงฟันกับผม ทว่าศาสตราจารย์กลับพยักหน้า

       “ใช่แล้ว ก่อนจากกันก็ต้องมีอะไรให้กันด้วย จริงไหม” ศาสตราจารย์วอตันว่า แล้วยื่นของชิ้นแรกให้ชาร์ล เป็นกล่องไม้สลักลายสวยงามขนาดเล็กกว่ากระเป๋าของผมเล็กน้อย หากให้ผมเดา นี่คงเป็น...

       “อุปกรณ์สำหรับสำรวจแผนที่ สร้างแผนที่ และเครื่องมือตรวจสอบแผนที่”
       
       ใช่จริงๆด้วย ตามที่ผมคิดไว้เลย ก็ชาร์ลเพื่อนผมน่ะ เป็นนักศึกษาที่เก่งเรื่องตามหาซากโบราณสถานโดยใช้แผนที่มากที่สุด ต่อให้มีเพียงทิศ กับลายขยุกขยิกปวดหัว ไอ้หมอนี่ก็สามารถแก้ได้สบายๆ

       “ของหายากแถมมีคุณภาพด้วยนะครับเนี่ย ขอบคุณครับศาสตราจารย์” ชาร์ลโค้งขอบคุณศาสตราจารย์ด้วยความซาบซึ้ง ศาสตราจารย์วอตันยิ้มก่อนจะหันมาหาผม แล้วยื่นกล่องสีดำให้ผม

       “อะไรอ่ะครับศาสตราจารย์” ผมถามอย่างสงสัย รับกล่องมาเปิดดู ข้างในนั้นเป็นถุงมือหนังคู่หนึ่ง

       “เป็นถุงมืออเนกประสงค์สำหรับนักสำรวจขาลุยอย่างเธอ” ศาสตราจารย์บอก “มันทั้งทนและเหนี่ยวเพราะทำมาจากหนังของฟาคาซอน เหมาะมากหากเธอจะใส่มันแล้วทะลวงซากโบราณสถานให้พรุนด้วยอุปกรณ์แสนรักของเธอกับความสามารถในการรื้อถอนทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อหาอะไรก็ตามที่เธออยากรู้ แล้วก็นะ มันใช้เวทย์มนต์ได้นิดหน่อยด้วย”

       “จริงหรอครับ!” ผมร้องเสียงหลง เล่นเอาคนรอบข้างหันมามอง แต่ผมก็ไม่สนใจ ตลอดเวลาผมอยากใช้เวทย์มนต์ให้ได้เพื่อการสำรวจ แล้วในที่สุด! ผมก็ทำได้!

       “แน่นอน อ้อ! แต่อย่าไประเบิดซากโบราณสถานที่ไหนอีกละ ฉันไม่อยากให้หน้าเธอหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ในฐานะผู้ทำลายทรัพย์สินของแผ่นดิน” ศาสตราจารย์วอตันเตือนด้วยรอยยิ้ม ผมซึ้งดีใจสุดๆไม่อาจจะพูดะไรได้นอกจากก้มหัวลงโค้งให้ผู้เป็นอาจารย์

       “ผมจะใช้มันอย่างดีที่สุดครับผม!!” ผมพูดเสียงดัง เป็นอีกครั้งที่ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง

       “หวังว่าเธอจะใช้มันในงานพิสูจน์ตนของตระกูลเธอด้วยนะ” ศาสตราจารย์ว่า ผมสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ สีหน้าหมองลงตามความรู้สึกโหวงๆในท้อง

       “เอ่อ... คือว่า... จนป่านนี้ ผมยังหาคนที่ถือจดหมายของพ่อผมไม่เจอเลย” ผมพูดออกไปตามตรง สิ่งที่ผมพูดถึงนี่ก็คือซองจดหมายที่ตกทอดมาเป็นรุ่นๆของตระกูลผม ในนั้น จะมีสิ่งที่ให้ผู้สืบทอดรุ่นต่อไปได้ทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองสำหรับการเป็นผู้สืบทอดของตระกูลนักสำรวจ และผม... ยังหามันไม่เจอเลย...

       “เธอเนี่ยน้า~ นอกจากหัวไม่ดี มีแต่ลูกฟลุคแล้ว มีอะไรที่แย่กว่านี้ไหม”

       “ผมนอนดึกครับ” ผมเสริมให้ หวังให้ศาสตราจารย์หายเครียด ทว่าศาสตราจารย์กลับขมวดคิ้วแล้วคว้าหนังสือเล่มหนาจากไหนไม่รู้เคาะหัวผมดังโป๊ก!

       “เอ้า! เอาไป!” ศาสตราจารย์ยื่นซองจดหมายเก่าคร่ำครามาให้ผม บนนั้น มีนามสกุลของผมพิมพ์หราอยู่ด้วย!

       “ศาสตราจารย์... นี่ศาสตราจารย์ได้มันมา...”

       “พ่อเธอยัดใส่ฉันเองแหละ ไม่มีไรมากมาย” ศาสตราจารย์ตอบอย่างหงุดหงิด แล้วเสือกซองจดหมายเหลืองกรอบใส่ผมอย่างไร้ความปราณีจนผมต้องรีบรับเอาไว้ก่อนที่มันจะขาดไปเสียก่อน

       “ขืนฉันให้เธอหาเองต่อไป มีหวังเธอพ่อเธอที่เป็นเพื่อนฉันได้ร้องไห้เพราะรู้ว่ามีลูกไม่เอาไหนแน่ๆ” ศาสตราจารย์ว่า ผมยิ้มหน้าเหยเกเล็กน้อยพองาม “อีกอย่าง ฉันอยากรู้ด้วยว่าเขาให้เธอทำอะไร ไหนเปิดออกมาอ่านหน่อยสิ” ศาสตราจารย์สั่ง ผมลังเลเล็กน้อยที่จะเปิด ใจกลัวว่างานพิสูจน์ตนจะเป็นอะไรที่โหดร้ายเกินความสามารถ แต่เมื่อเงยขึ้นเห็นใบหน้าของศาสตราจารย์กับเพื่อนสนิท ผมก็จำต้องเปิดอย่างระมัดระวัง (ด้วยกลัวว่ามันจะขาดเสียก่อนเพราะเก่ามาก...)

       ในนั้นมีข้อความสีทองเขียนไว้อย่างสวยงามสั้นๆว่า

       ‘จงตามหาเอสทรั่ล’
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×