ค.ศ. 1992, กรุงปารีส
                กริ๊งๆ!!
                กริ๊ก!
                “บ็องฌูร์ วูแซ็ตเบียงลูเซ็นท์ ควาซิดิเลน (สวัสดีครับ ที่นี่บ้านลูเซ็นท์ ควาซิดิเลนครับ)”
                “ลูเซ็นท์ใช่ไหม?”
                “ครับ”
                “มาที่แกลเลอรี่เดี๋ยวนี่เลยได้ไหม มีเรื่องต้องรบกวนคุณอีกแล้ว”
                “เดี๋ยวนี้เลยหรอครับ”
                “ครับ”
                “... ก็ได้ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”
                “รบกวนด้วยครับ”
                “ครับ”
    กริ๊ก!
    หูโทรศัพท์สีขาวถูกวางกลับไปที่เดิมของมันหลังจากทำหน้าที่ของมันเสร็จแล้วพร้อมๆกับที่ความสงสัยและความกังวลเกิดขึ้นในใจของชายหนุ่มที่กำลังจับหูโทรศัพท์อยู่ ถึงแม้ว่าการโทรนัดในตอนดึกเที่ยงคืนแบบนี้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาแต่ว่าวันนี้ มันกลับทำให้เขารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง นาฬิกาเรือนนี้ไม่มีตัวเลข มีเพียงวงแหวนสลักลายสีดำขนาดใหญ่และเล็กสองอันซ้อนเหลื่อมทับกัน ที่ตรงกลางระหว่างวงแหวนทั้งสองมีเข็มสั้นและเข็มยาวเดินบอกเวลาตามจริงเหมือนนาฬิกาทั่วๆไปอย่างเงียบๆไร้สุ่มเสียง ชายหนุ่มมองเข็มทั้งสองอันซึ่งตอนนี้ซ้อนทับกับชี้ไปทางด้านบนด้วยสีหน้าเป็นกังวลก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมยาวสีดำบนโซฟาข้างตัวขึ้นมาสวม
    “ขออย่าให้พบวันนี้จะได้ไหม” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหันไปทางกล่องสีดำบนโต๊ะวางโทรศัพท์ เขาเอื้อมมือไปเปิดมันช้าๆ ภายในกล่องบรรจุปืนพกสีดำขลับในร่องผ้ากำมะหยีคู่กับผลึกแก้วสีฟ้ารูปปีกนกขนาดเท่าฝ่ามือ ชายหนุ่มหยิบปืนออกมาสำรวจจำนวนกระสุนก่อนจะยัดเข้าซองข้างเอวพร้อมกระสุน เขาชั่งใจเล็กน้อยว่าจะเอาแค่ปืนไปหรือเปล่า แต่ดูท่าราตรีนี้คงจะยาวนาน เขาหยิบผลึกแก้วมากำไว้ในมือ มันส่องแสงสีฟ้าออกมาน้อยๆแล้วกลายเป็นละอองแสงสีฟ้าสลายหายไปจากมือของเขา ชายหนุ่มมองนาฬิกาสำรวจเวลาอีกครั้งก่อนจะปิดกล่องลงแล้วเดินไปที่ประตู แต่แล้วเขาก็หยุดหันหลังกลับมามองที่กล่องใบเดิมอีกครั้ง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปเปิดกล่องใบเดิมแล้วดึงผ้ากำมะหยีออกหยิบกล่องอีกใบที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาแล้ววิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ปกติแล้วชายหนุ่มผู้นี้ไม่ค่อยจะเชื่อในเรื่องลางสังหรณ์เสียเท่าไหร่ แต่ว่าวันนี้ มันเล่นงานเขาซะปั่นป่วนเลยทีเดียว
---------------------------------
01.30 น., พิพิธภัณฑ์เองเจลลัส
                ลูเซ็นท์เดินตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนจากด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์มาตามทางเดินอันมืดมิดที่ถอดตัวยาวเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ แสงสีแดงเรื่อๆจากพื้นด้านล่างนำทางพวกเขาไปสู่บานประตูไม้โอ๊กบานใหญ่ที่คุ้นเคย ประตูบานนี้จะถูกปิดตลอดและจะไม่เปิดจนกว่าจะมีเหตุจำเป็นอย่างเช่นวันนี้ ลูเซ็นท์มองบานประตูอย่างเป็นกังวลในขณะที่เจ้าหน้าที่สองคนหยิบแท่งคลิสตัลสีน้ำตาลเข้มออกมาจากกระเป๋าแล้วสอดเข้าไปในรูกุญแจสองรูบนบานประตู มีเสียงแก้วกระทบกันดังขึ้นเบาๆก่อนที่ประตูจะเปิดออก ลูเซ็นท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินผ่านเจ้าหน้าที่เข้าไปด้านใน
                “นึกว่าจะไม่มาซะอีก”
                เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีเมื่อลูเซ็นท์เดินเข้ามา ชายหนุ่มหันไปมองทางต้นเสียงที่ด้านในสุดของแกลเลอรี่ลับ ชายอายุห้าสิบกว่าๆในชุดคลุมหนาสีเทาคนหนึ่งเดินช้าๆมาหาลูเซ็นท์ด้วยท่าทีจริงจัง ชายหนุ่มโค้งให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปหา
                “มีเรื่องอะไรหรือครับ ซาเค วียส” ลูเซ็นท์ถามแล้วก้าวเดินตามซาเค วียสเข้าไปในแกลเลอรี่
                “ขอโทษนะครับที่ต้องเรียกคุณมาตอนดึกๆ คงไม่ได้รบกวนคุณมากนะ” ซาเค วียสพูดเรียบๆโดยไม่หันมามองเขา
                “ช่างเถอะครับ” ลูเซ็นท์ว่า “ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือครับ” เขาถามซ้ำเร่งให้ซาเค วียสตอบ
                “ให้คุณดูเอาเองก็แล้วกัน” ซาเควียสบอกแล้วเดินนำหน้าลูเซ็นท์ผ่านงานศิลป์ภายในแกลเลอรี่ลับตรงไปยังงานศิลป์ชิ้นหนึ่งใต้หน้าต่างบานใหญ่ด้านในสุด ถึงแม้ว่าแกลเลอรี่จะเปิดไปอยู่แต่มุมของงานศิลป์ชิ้นนี้กลับเป็นมุมที่มืดที่สุด ที่สำหรับวางงานศิลป์ชิ้นนี้เป็นเงินบริสุทธิ์ดัดเป็นเถาวัลย์คดโค้งไปมาเป็นแท่นสำหรับวางแท่งคริสตัลสีฟ้าครามประกายสดใสในอ้อมกอดของแฟร์รี่ทองคำ งานศิลป์อีกชิ้นของที่นี่ แต่ทว่าวันนี้ แท่งคริสตัลไม่ได้เป็นสีฟ้าครามเหมือนเช่นเดิมมันกลับกลายเป็นสีฟ้าอ่อนและมีหมอกสีขาวๆลอยวนอยู่ด้านใน
                  “สัญญาณเตือน” ซาเค วียสพูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานโดยไม่มองชายหนุ่ม “ห้าวันก่อนนี้มันเป็นสีฟ้าก่อนจะค่อยๆซีดลงจนกลายเป็นอย่างที่เห็น” เขาว่าแล้วมองคริสตัลอย่างไม่สบายใจก่อนจะหันมาหาลูเซ็นท์ “คุณว่ายังไง” เขาถาม
                  “ทวงทำนองแห่งความหวัง... กลายเป็นแบบนี้
” ลูเซ็นท์พึมพำพลางมองคริสตัลด้วยแววตาเลือนลอย เขานิ่งไปครู่เพื่อนึกหาสิ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่แล้วภาพของแท่งคริสตัลสีฟ้าตรงหน้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยิ้มให้ เธอคนนั้นพูดอะไรบางอย่างก่อนจะเอามือลูบท้องของตนเองเบาๆอย่างทะนุทะนอม ลูเซ็นท์รู้จักผู้หญิงคนนี้เพียงแต่ความง่วงในตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถนึกชื่อของเธอได้แต่เขาก็แน่ใจว่ารู้จักเธอและการที่ได้เห็นเธอก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ชายหนุ่มเริ่มยิ้มน้อยๆก่อนที่ภาพอีกภาพจะเข้ามาในหัว เป็นภาพของแท่งคริสตัลสีขาวกลางฝูงผีเสื้อแก้วสีขาวที่เริ่มร้าวก่อนจะแตกออก ลูเซ็นท์ถึงกับสะดุ้ง
                  “ไม่น่าจะเป็นไปได้...” เขาพูดเบาๆ ซาเควียสหันมามอง “ทำไมมันไปแสดงอะไรออกมาตั้งแต่... หรือว่า...” ลูเซ็นท์พูดช้าๆก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
                  “อะไรหรอครับ” ซาเค วียสรีบถามเมื่อเห็นท่าทางของลูเซ็นท์
                  “คืนนี้... คืนค้างแรม
” ลูเซ็นท์พูดเสียงเครียดแล้วหันไปหาซาเค วียส “ซาเควียสครับ ผมขอ...”
                  “เซนก้ากับเคลาด์รอคุณอยู่ที่ทางเข้าแกลเลอรี่พร้อมออกเดินทาง” ซาเค วียสพูดเรียบๆโดยไม่มองลูเซ็นท์ “ต้องการอะไรอีกไหมครับ?”
                  “ขอทวงทำนองแห่งความหวังครับ” ลูเซ็นท์บอกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบงานศิลป์มาโดยไม่รอคำตอบแล้วเดินจากไป
                  “ยังเป็นพวกที่ไม่ชอบบอกอะไรใครตรงๆเหมือนเดิมเลยนะ”
                  ชายหนุ่มผมสีชายาวใส่แว่นในชุดกราวสีขาวหน้าแกลเลอรี่ทักทายอย่างเบิกบานเมื่อลูเซ็นท์เดินออกมาจากแกลเลอรี่ ลูเซ็นท์ยิ้มตอบแล้วมองหาชายอีกคนก่อนจะสังเกตเห็นชายผมตั้งสีขาวคนหนึ่งที่กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่
                  “ยืนอย่างนั้นเดี๋ยวลื่นชนรูปเขียนเข้ามันจะแย่เอานะ เซนก้า” ลูเซ็นท์พูดยิ้มๆกับเขา เซนก้ามองเขาด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยก่อนจะเดินมาหา
                  “จะดีหรอลูเซ็นท์ นายน่าจะไปอยู่กับเธอมากกว่านะคืนนี้ ส่วนเรื่องงาน นายปล่อยพวกเราไปเองก็ได้” เซนก้าพูดน้ำเสียงเป็นห่วง ลูเซ็นท์นิ่งไปครู่ก่อนจะยิ้มให้เซนก้าแล้วส่ายหน้าน้อยๆ
                  “ไม่เป็นไร ถึงเวลานั่น เดี๋ยวคนของเคลาด์ก็แจ้งมาเองแหละ ใช่ไหม” เขาหันไปหาชายหนุ่มชุดกราวที่ทักทายเขา เคลาด์ยิ้มให้เขาก่อนจะพยักหน้า
                  “แน่นอนเพื่อน แจ้งมาเมื่อไหร่นายก็เตรียมเฮได้เลย” เคลาด์พูดให้ความมั่นใจ ก่อนจะหันไปหาเซนก้าที่ยังยืนหน้าเคร่งอยู่
                  “ไม่เอาน่า ถ้าแจ้งมาตอนที่เราทำงานกันอยู่ ก็ปล่อยให้ลูเซ็นท์ไปแล้วเราทำต่อก็ได้นิ จะต้องซีเรียสขนาดนั้นเลยนี่นา” เคลาด์บอกแล้วยิ้มยิงฟันใส่ เซนก้าขมวดคิ้วส่งกลับอย่างไม่เห็นด้วยแต่เคลาด์ก็ยังทำหน้าทะเล้นใส่เขาอยู่
                  “เอาน่าเซนก้า อย่าเครียดสิ ฉันทำงานได้สบายๆน่าไม่ต้องห่วง” ลูเซ็นท์รีบพูด เมื่อเห็นว่าทั้งสองจะมีเรื่องกันได้ง่ายๆ อันที่จริง เขาก็อยากจะอยู่กับเธอคนนั้นมากกว่าและรู้สึกขอบคุณในความเป็นห่วงของเซนก้า แต่ว่าเรื่องนี้... ถ้ามันเป็นไปตามที่เขาคดไว้ละก็ ต่อไปมันอาจจะได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ เซนก้ามองเพื่อนของเขาครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
                  “ก็ได้ถ้านายว่าอย่างนั้น” เซนก้าพูดเสียงเหนื่อยๆแล้วหันไปหาเคลาด์ “เคลาด์ ขอเวลา” เขาบอก เคลาพยักหน้าเข้าใจแล้วลูบกำไลสีดำบนข้อมือแล้วสัญลักษณ์รูปดวงจันทร์วางซ้อนทับดวงดาวดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
                    “ได้แล้ว” เคลาด์พูดยิ้มๆพลางตรวจเช็คอาวุธของเขาที่ข้างเอว “ฉันพร้อมแล้ว ไปกันหรือยัง” เขาถาม เซนก้าพยักหน้าน้อยๆแล้วหันไปหาลูเซ็นท์ ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขามองไปยังทางเดินที่มืดมิดในพิพิธภัณฑ์ก่อนจะออกวิ่งไปตามทางเดิน
-------------------------------------------
                ภายใต้ดวงจันทร์เสี้ยวของฤดูหนาวในเดือนสุดท้ายของปี น้ำค้างหยดเล็กๆบนดอกกุหลาบค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆตามอุณหภูมิของที่สูงในตอนกลางคืน หมอกสีขาวจางๆปกคลุมทั่วบริเวณของสวนกุหลาบหน้าปราสาทเก่าแก่อายุกว่าพันปีบนภูเขาเหมือนเป็นม่านอำพรางปราสาทแห่งนี่ไม่ให้มีผู้ใดลุกล้ำเข้าไปรบกวนสถานที่แห่งนี้ ความเงียบดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในปราสาทแห่งนี้เพราะมันไม่ได้ถูกทำลายลงแม้จะมีผู้มาเยือนกลุ่มหนึ่งเดินตัดผ่านสายหมอกเข้ามาในปราสาทแต่อย่างใด มันยังคงลอยวนคู่กับม่านหมอกปกคลุมปราสาทของมันต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะเว้นก็แต่น้ำค้างแข็งที่ร่วงลงมาบนพื้นเมื่อถูกชายเสื้อของผู้มาเยือนระจนหลุดจากกลีบดอก นั่นคือสิ่งเดียวที่จะบอกกับกลุ่มคนอีกกลุ่มภายในปราสาทให้รู้ว่ามีคนเข้ามาในปราสาท
                ความมืด ระเบียงทางเดิน และหมอกคือภาพหลักๆที่ปรากฏอยู่บนดวงตาสีดำของเกล็ดเลือดแห่งทุ่งหิมะสัตว์อสูรผู้ทำหน้าที่เฝ้ายามในปราสาท ขาที่ทั้งสี่หุ้มด้วยเกล็ดสีน้ำเงินเข้มหนาเช่นเดียวกับตัวของมันค่อยๆคลานสำรวจพื้นที่ช้าๆอย่างระมัดระวัง ส่วนหัวที่คล้ายกับมังกรของมันชูคอขึ้นทุกครั้งที่มีเสียงดังเล็กๆลอดเข้ามา หางที่มีดวงไฟสีฟ้าลุกโชนอยู่แกว่งไปมาเพื่อส่องทางเดินที่มืดมิดให้สว่างขึ้นและถึงแม้ว่าอากาศที่นี่จะเย็นเท่าใด ดวงไฟของมันก็ยังคงลุกโชนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติเช่นเดิมแม้ความเงียบจะถูกทำลายโดยชายคนหนึ่งที่เปิดประตูห้องโถงเข้ามา เขามองไปยังเกล็ดเลือดแห่งทุ่งหิมะสี่ห้าตัวในห้องโถงเพื่อตรวจความเรียบร้อย เหล่าอสูรชูคอขึ้นมองเขาก่อนจะคลานต่อไปตามปกติ นี่แสดงว่าทุกอย่างเงียบสงบดีเป็นไปตามที่เขาคิด แน่ละ ก็เจ้าพวกนี้เป็นอสูรนี่น่า ถ้ามีเรื่องอะไรเจ้าพวกนี้ก็ต้องจัดการได้อยู่แล้ว
    “จะฝ่าพวกนี้มาได้ ยังไงก็ต้องเหนื่อยหน่อยละ” เขาพึมพำอย่างพอใจพลางมองอสูรตนหนึ่งเดินผ่านหน้าเขาไปก่อนจะหันหลังกลับไปที่ประตู
อสูรแห่งผนึกหิมะจงฟังข้า...
                เสียงๆหนึ่งลอยปะปนมากันสายหมอกในห้องโถงเสียงนั้นแผวเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบแต่ก็ดังพอที่จะทำให้ชายคนนี้หันควับกลับมาที่ห้องโถง เหล่าอสูรกว่าสิบตนทั้งในและนอกห้องต่างหยุดนิ่งและชูคอขึ้นพร้อมกันฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจเช่นเดียวกับชายหนุ่มเองซึ่งเขาก็กำลังตั้งใจฟังมันเช่นกัน
ข้าคือผู้ถือครองของพวกเจ้าอย่างแท้จริง...
                ชายหนุ่มหันควับกลับไปที่ระเบียง เหล่าอสูรกว่าสิบตนคลานผ่านห้องโถงไปอยู่ข้างกายชายหนุ่ม พวกมันส่งเสียงขู่คำรามต่ำๆแล้วค่อยคลานไปตามระเบียง หางของพวกมันชูขึ้นไล่ความมืดในระเบียงทำให้ชายหนุ่มเห็นร่างๆหนึ่งที่กำลังเดินมาตามระเบียง
                “ใครน่ะ!” ชายหนุ่มถามเสียงดัง แต่ร่างนั้นก็ไม่ตอบ เหล่าอสูรส่งเสียงขู่ดังขึ้นกว่าเดิมแล้วแยกเขี้ยวใส่ทว่าร่างนั้นก็ยังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆอย่างไม่เกรงกลัว
พวกเจ้าจงสละหน้าที่เก่าแล้วกลับมาหาข้า...
                  “เฮ้ย! ตอบสิ” ชายหนุ่มตวาด ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าผู้มาเยือนคนนี้ไม่ใช่พวกของเขา เหล่าอสูรย่ำเท้าหนักขึ้นแล้วสั่นหางที่มีไฟลุกโชนจนเปลวไฟแตะเพดานที่สูงกว่าสี่เมตรเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายแก่ผู้มาเยือน แต่ผู้มาเยือนก็ไม่ได้หันหลังกลับหรือตอบมา ร่างนั้นกลับเดินเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่งพุ่งมาทางชายหนุ่มและเหล่าอสูรที่พุ่งออกไปพร้อมเสียงตะโกนของชายหนุ่ม
                  “จัดการกับพวกกันเนอร์ซะ!!”
กลับสู่ร่างผนึกของเจ้าซะ ทาสอสูรหิมะ!!
                เส้นแสงสีดำกว่าร้อยเส้นพุ่งออกจากร่างลึกลับเข้าแทงร่างเหล่าอสูรตรึงติดแน่นอยู่กับพื้นระเบียง ชายหนุ่มวาดมือในอากาศสร้างวงเวทย์ตรงหน้าแต่ร่างของผู้มาเยือนไวกว่า ร่างนั้นกระโดดถีบเข้าหน้าชายหนุ่มก่อนจะชักปืนสีดำยิงใส่ขาทั้งสองข้าง ชายหนุ่มทรุดฮวบลงไปนอนกุมขาร้องอย่างเจ็บปวดบนพื้นระเบียง เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองร่างที่ทำร้ายเขาตรงหน้า แล้วก็เบิกตากว้าง ร่างของชายผมดำยุ่งเหยิงในชุดคลุมสีดำตรงหน้าเขานี้เป็นคนที่ชายหนุ่มรู้จัก เขาหันไปมองทางเหล่าอสูร ร่างของพวกมันถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยขนนกสีดำที่กำลังเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาหุ้มร่างอสูรเอาไว้แล้วเปลี่ยนพวกมันกลายเป็นเงินบริสุทธิ์รูปเกล็ดหิมะ ร่างผนึกของพวกมัน
                “ละ... ลูเซ็นท์...” ชายหนุ่มพูดเสียงสั่น เขามองลูเซ็นท์ด้วยแววตาตกใจสุดขีด เขารีบวาดวงเวทย์ลงบนพื้นแต่ลูเซ็นท์ก็เข้ามาจับมือเอาไว้แล้วเหวี่ยงร่างชายหนุ่มไปติดริมระเบียง
                “อย่าขยับตัวดีกว่า เดี๋ยวเลือดจะออกมากว่านี้” ลูเซ็นท์พูดแล้วปล่อยมือชายหนุ่มก่อนจะนั่งลง “บอกมาว่าคนอื่นๆอยู่ที่ไหน” เขาถาม
                “ฉันไม่รู้” ชายหนุ่มสำลัก ความเจ็บปวดที่ขาเพิ่มขึ้นจนเขาแทบจะอ้าปากไม่ออก เขาค่อยๆดันตัวเองถอยห่างลูเซ็นท์แต่ก็ไม่เร็วเท่ามือของลูเซ็นท์ที่คว้าคอเสื้อชายหนุ่มกระชากเขาเข้าหาตัว
    “บอกมาดีกว่าน่า นายเองก็ไม่ไหวแล้วนิ” ลูเซ็นท์ว่า แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมพูด เขาพยายามอีกครั้งที่จะถอยห่าง แต่บาดแผลที่ขาก็สาหัสเกินกว่าที่จะใช้งานได้เขาจึงต้องยอมปล่อยตัวเองให้นอนพิงกำแพงอยู่ตรงหน้าศัตรูที่อาจจะฆ่าเขาก็ได้
    “ปล่อยเขาไปเถอะลูเซ็นท์ ฉันรู้แล้วละว่าพวกนั้นอยู่ไหน” เสียงของเคลาด์ดังขึ้นที่ด้านหลัง ลูเซ็นท์เหลือบมองเพื่อนที่ยืนยิ้มให้อยู่ข้างๆก่อนจะยอมปล่อยคอเสื้อของชายหนุ่ม
    “นายแน่ใจนะว่าใช่” ลูเซ็นท์ถามเสียงจริงจัง เคลาด์พยักหน้าก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มที่นั่งจมเลือดตัวเองแล้วหยิบลูกกลมเหล็กสีเทาขนาดเท่าลูกเทนนิสออกมา
    “จะทำอะไรน่ะ!!” ชายหนุ่มถามเสียงดังแล้วขยับตัวหนีแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก เคลาด์ไม่ตอบ เขาลากชายหนุ่มหาตัวแล้วทุบท้ายทอยจนสลบก่อนจะวางลูกเหล็กไว้ข้างๆ ลูกเหล็กกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยเม็ดผงเล็กๆสีเงินออกมา
    “ฉันปฐมพยาบาลหมอนี้เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” เคลาด์บอกแล้วเดินนำลูเซ็นท์ไปตามทางเดิน ปล่อยให้อุปกรณ์ของเขารักษาชายหนุ่มด้วยตัวของมันเอง
    จากระเบียงมืดๆ ที่ๆเคลาด์พาลูเซ็นท์มาก็คือห้องสมุดของปราสาทขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือเป็นร้อยๆชั้น หนังสือที่ลูเซ็นท์คาดว่าน่าจะมีมากกว่าแสนเล่มถูกวางไว่อย่างเป็นระเบียบบนชั้นต่างจากหนังสืออีกหลายเล่มที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นห้องสมุด ชุดโต๊ะไม้อ่านหนังสือหลายชุดในห้องดูไม่ต่างไปจากเศษไม้ไม่ได้รูปทรงท่อนใหญ่วางเกะกะทับหนังสือบนพื้นเหมือนกับว่ามีคนเคยจับพวกมันเหวี่ยงทิ้งเข้ามาในห้องแล้วไม่สนใจมันอีกเลย ในห้องนี้ยังคงมีหมอกจางๆลอยวนอยู่และที่กลางห้อง เซนก้ากำลังนั่งพลิกหน้าหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งบนพื้นไปมา เมื่อทั้งสองมาถึงเซนก้าก็โยนหนังสือทิ้งไปแล้วลุกขึ้นยืน
    “ที่นี่หรอ?” ลูเซ็นท์ถาม ในห้องนี้นอกจากเขา เคลาด์และเซนก้าแล้วไม่มีใครอยู่อีกเลย
    “ที่นี่เป็นประตู” เซนก้าบอก เขาเตะหนังสือที่อยู่ข้างเท้าออกไปเผยให้เห็นร่องเล็กๆสลักเป็นอักขระโบราณหนึ่งตัวบนพื้น “คาดว่านายจะรู้วิธีเปิด” เซนก้าพูดแล้วหันไปหาลูเซ็นท์ ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ก่อนจะเดินไปดูรอยอักขระ เขาโบกมือบอกให้เพื่อนทั้งสองถอยซึ่งทั้งสองก็ยอมทำตามแล้วลูเซ็นท์ก็ก้มลงหยิบหนังสือโยนไปอยู่ใต้ชั้นหนังสือ เขาเดินเป็นวงก้มลงหยิบหนังสือบ้าง เตะมันทิ้งบ้าง ทำให้รอยอักขระบนพื้นเริ่มปรากฏมากขึ้น จนเมื่อบริเวณกลางห้องสมุดไม่มีหนังสืออยู่บนพื้นแล้ว รอยอักขระที่เรียงกันเป็นรูปวงกลมก็ถูกเผยออกมา
    “ได้แล้วใช่ไหม” เคลาด์ถามอย่างตื่นเต้นแล้วเดินเข้าไปหาแต่เซนก้าก็ยกมือห้ามเขาเอาไว้
    “มันแปลกๆอยู่นะลูเซ็นท์” เซนก้าพูด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักเขตอาคมเวทย์วงนี้ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าวงเวทย์นี้ไม่สมบูรณ์
    “รูปสลักตรงกลางหายไป” ลูเซ็นท์บอกแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ตรงกลางของวงเวทย์ซึ่งไม่มีอะไรอยู่บนพื้นเลย ลูเซ็นท์นิ่วหน้า เป็นไปไม่ได้ที่รูปสลักบนพื้นจะหายไป เพราะหากไม่มีมันแล้ว เขตอาคมเวทย์จะไม่สามารถทำงานได้ ถ้าเจ้าพวกนั้นไปที่นั่นโดยทางนี้ละก็ ยังไงก็ไม่มีทางลบรูปสลักนี้แน่ ลูเซ็นท์กวาดสายตามองไปรอบๆห้องเพื่อหาคำตอบผ่านหมู่หมอดจางๆที่ลอยอยู่ในห้อง หนังสือเก่าๆอายุกว่าร้อยปีที่ลูเซ็นท์โยนออกไปนอนเปิดหน้าอ้าทับกันอยู่บนพื้น เศษชิ้นส่วนของโต๊ะหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นส่องประกายน้อยๆออกมาเมื่อต้องแสงสะท้อนจากเกล็ดเลือดแห่งทุ่งหิมะเหมือนกับจะทักทายกัน
    “เดี๋ยวก่อน” ลูเซ็นท์พูดแล้วจ้องขาโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆกับตัวเขา ชายหนุ่มหยิบเกล็ดเลือดแห่งทุ่งหิมะออกมา มันส่องประกายน้อยๆไปต้องกับเนื้อไม้บนพื้นที่ส่องประกายออกมาเช่นกัน ลูเซ็นท์พยักหน้าช้าก่อนจะหันไปหาเพื่อนทั้งสอง
    “เซนก้า เคลาด์ โยนไม้เข้ามาในวงเวทย์” เขาสั่ง เซนก้ารีบทำตามโดยไม่สงสัย ในขณะที่เคลาด์มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
    “ทำตามที่ฉันบอกก่อนแล้วกัน” ลูเซ็นท์บอกกับเพื่อน เคลาด์พยักหน้าแล้วรีบไปช่วยเซนก้าทันที
    ‘ทำไมนะ ทำไมถึงได้ป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ คิดจะสร้างอะไรกันแน่’ ลูเซ็นท์คิดในใจขณะลากเศษไม้เข้าวงเวทย์ ถ้าหากพวกนั้นต้องป้องกันประตูถึงขนาดนี้ แสดงว่าสิ่งที่จะสร้างจะต้องสำคัญมากแน่ๆ ไม่สิ ดีไม่ดีที่ป้องกันขนาดนี้สิ่งที่จะสร้างอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นผู้ที่จะถูกสร้างก็ได้ ถ้าอย่างนั้น พวกเขาก็ต้องไปที่นั่นให้เร็วที่สุด
    “เสร็จแล้วลูเซ็นท์” เซนก้าบอกแล้วดึงตัวเคลาด์ออกมานอกวง ลูเซ็นท์พยักหน้าแล้วเดินไปกลางวง เขายื่นมือออกมาข้างหน้าแล้วหลับตาก่อนจะสะบัดมือไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เศษไม้รอบๆตัวเขาพุ่งไหลไปตามมือของลูเซ็นท์เหมือนถูกจับเหวี่ยงเขาสะบัดมือกลับ เศษไม้ทั้งหมดก็พุ่งเข้ามาชนกันเหนือหัวของเขากลายเป็นเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยลงมา ลูเซ็นท์ค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมกับชูมือขึ้นเหนือหัว
    ประตูจงเปิด!!
    สิ้นเสียงของลูเซ็นท์ เศษไม้บนพื้นก็กลายสภาพไปเป็นละอองแสงสีน้ำเงินเข้มไหลเป็นเกลียวพุ่งมารวมตัวกับตรงหน้าลูเซ็นท์ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนรูปทรงจากทรงกลมเป็นสีเหลี่ยมแล้วเปลี่ยนเป็นประตูสีดำขนาดใหญ่ ลูเซ็นท์ลดมือลงแล้วพยักหน้าเรียกเพื่อนทั้งสองเข้ามา
    “สัญลักษณ์นี่มัน... ของนายหรอ” เซนก้าถามเมื่อเห็นบานประตูตรงหน้า บานประตูสีดำขนาดใหญ่ทั้งสองบานสลักลายไม่เหมือนกัน บานประตูทางซ้ายสลักเป็นรูปเทพธิดาถือดาบและบานประตูทางขวาเป็นลายเทพธิดาถือไม้เท้า แต่ที่เซนก้าพูดถึงก็คือสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ติดปีกมารตรงกลางบานประตู ลูเซ็นท์ไม่พูดอะไรเขาเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆแล้วเดินไปผลักบานประตู
    “ตามมาให้เร็วๆนะ ถ้าหลงฉันไม่รู้ด้วย” ลูเซ็นท์บอกกับเพื่อนทั้งสองแล้วผลักบานประตูเปิดออก ละอองหิมะสีขาวสะอาดจำนวนมากลอยออกมาพร้อมกับไอเย็นสีน้ำเงินจากประตูเข้าห้อหุ้มร่างของลูเซ็นท์เอาไว้แล้วดึงเขาเข้าไปในกำแพงน้ำแข็งด้านหลังบานประตู เซนก้ากับเคลาด์ไม่รอช้า ทันทีที่เพื่อนของเขาหายไปทั้งสองก็รีบวิ่งเข้าไปในบานประตูทันที
    เมื่อร่างของคนทั้งสามหายไป บานประตูปิดลง ประตูเวทย์สีดำก็กลายไปเป็นละอองแสงสีน้ำเงินก่อนจะแปรสภาพไปเป็นเศษไม้เก่าๆบนพื้นอย่างไร้สุ่มเสียง ปล่อยให้ปราสาทกลับมาเงียบสงบเช่นเดิมอีกครั้ง...
-------------------------------------------
    ในเวลาเที่ยงคืนอันหนาวเหน็บของเดือนสุดท้ายในเมืองหลวงที่ชื่อยาวที่สุดในโลก ในห้องพิเศษสีขาว หญิงสาวเจ้าของห้องซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่เงียบๆกับเด็กสาวในชุดสาวใช้สีขาวอีกคนที่ง่วนอยู่กับการตรวจเช็คระบบต่างๆภายในห้องให้เป็นไปตามปกติ ตามจริงแล้วเวลาเช่นนี้ เธอจะต้องบังคับให้หญิงสาวเจ้าของห้องนอนพักได้แล้วเพื่อสุขภาพที่ดีของเธอ แต่หลังจากดื้อดึงเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง สาวใช้ก็ต้องยอมให้กับความดื้อด้านของหญิงสาวปล่อยให้เธอได้อ่านหนังสือที่เธอชอบต่อไปแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ทว่าเธอนั้นก็อดไม้ที่จะได้เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวที่อาจจะถือได้ว่าเป็นนายอีกคนหนึ่งของเธอเมื่อเธอได้อ่านออกเสียงเบาๆเหมือนจะให้ใครอีกคนหนึ่งในห้องนี้ได้รับรู้เรื่องราวที่เธออ่านไปพร้อมๆกัน ทุกครั้งที่เธอทำแบบนั้น เด็กสาวที่คอยรับใช้เธออยู่ก็มักจะแอบยิ้มตามเธอและร่วมรับฟังเรื่องราวที่เธออ่านอย่างตั้งใจ และคืนนี้ก็เช่นกัน เรื่องราวเรื่องเดิมของเธอรวมกับรอยยิ้มแบบเดิมก็ยังคงทำให้ผู้รับใช้ได้มีความสุขไปกับเธอเหมือนเช่นทุกวัน
    เที่ยงคืนยี่สิบ ความหนาวเย็นจากด้านนอกเริ่มมีมากขึ้นจนส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องลดลงเหลือเพียงยี่สิบก่อนที่เครื่องปรับอากาศจะเปลี่ยนให้กลายมาเป็นยี่สิบเจ็ดอย่างเดิม แสงไฟจากถนนของเมืองหลวงก็ยิ่งมีมากขึ้นตามเวลาที่เดินไป หญิงสาวที่บัดนี้อ่านหนังสือของเธอไปได้ประมาณครึ่งบทขยี้ตาที่เริ่มคันเพราะไม่ได้นอนตามเวลาเป็นสัญญาณบอกให้ผู้รับใช้เดินเข้ามาสอดที่คั้นหนังสือคั้นหน้าที่เธออ่านค้างเอาไว้ให้แล้วเอาหนังสือไปเก็บพอดีกับที่ประตูห้องเปิดออก แพทย์หญิงในชุดกราวสีขาวสะอาดเดินเข้ามาพร้อมแผ่นคลิปบอร์ดในมือซึ่งอัดแน่นไปด้วยผลการตรวจโรคของผู้ป่วยพิเศษจนไม่มีที่ว่างในกระดาษ หญิงสาวเจ้าของห้องหันไปยิ้มให้เธอก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมานั่งโดยมีร่างของผู้รับใช้ช่วยพยุงเธอขึ้นมา
    “คงไม่ได้มาตรวจนะคะ เพราะฉันขี้เกียจลุกไปไหนต่อไหนแล้ว” หญิงสาวพูดยิ้มๆแล้วดึงผ้าห่มข้างตัวมาห่อตัว
    “ไม่หรอกค่ะ แค่ว่างๆเลยมาเยี่ยมบ้าง” แพทย์หญิงบอก เธอเดินไปลากเก้าอี้กลมมาที่ข้างๆเตียงแล้วนั่งลง “เป็นยังไงบ้างคะ อยู่ห้องนี้สบายดีไหม” เธอถามแล้วยื่นมือไปลูบท้องของหญิงสาว
    “สบายดีค่ะ มีศศะดูแลรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเลย” หญิงสาวตอบอย่างร่าเริงแล้วเอนหลังพิงหมอนหลายชั้นที่เด็กสาวทำให้
    “ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะยังไม่ง่วงนะคะเนี่ยยังดิ้นไปดิ้นมาอยู่เลย” แพทย์หญิงพูดยิ้มๆขณะลูบท้องหญิงสาว
    “นอนช้าค่ะ บางที่ฉันหลับแล้วแกยังดิ้นอยู่เลย” หญิงสาวตอบอย่างมีความสุข แพทย์หญิงยิ้มน้อยๆกับท่าทีของเธอแล้วหันไปมองศศะที่กำลังลากผ้านวมผืนใหม่มาไว้บนเตียง
    “นี่ ห่มผ้าหนาๆหลายผืนอย่างนี้ไม่ร้อนหรอ” แพทย์หญิงถามขณะช่วยศศะห่มผ้าให้หญิงสาว
    “แหม ก็มันหนาวนี่คะเดี๋ยวได้แข็งกันพอดี” หญิงสาวบอกยิ้มๆแล้วดึงผ้าห่มไปถึงคอ
    “ถ้าหนาวก็ลดแอร์ลงหน่อยไม่ดีกว่าหรอ” แพทย์หญิงเสนอแต่หญิงสาวกลับส่ายหน้า
    “ไม่ละคะฉันชอบอากาศแบบนี้ตอนอยู่ในผ้าผมที่สุดเลย” เธอบอกอย่างอารมณ์ดี แพทย์หญิงมองเธออย่างงงๆแล้วหันไปหาศศะซึ่งเธอเองก็ยิ้มแล้วยักไหล่ก่อนจะเดินไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่าง
    “แต่ว่า... เวลานี้อยากให้ลูเซ็นท์มาอยู่ด้วยจังเลย
” หญิงสาวพูดช้าๆน้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ดวงตาสีดำของเธอมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มโดยที่เธอไม่สนใจจะเช็ดมันออกไปเลย “อยากให้เขา... กลับมาไวๆ...” เธอพูดเสียงสั่นแล้วร้องไห้จนศศะต้องรีบเข้ามาเช็ดน้ำตาให้เธอแล้วปลอบเธอ
    “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ เดี๋ยวนายท่านก็กลับมาเจ้าค่ะ” ศศะบอกเธอแล้วบีบมือเธอเบาๆ
    “ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณลูเซ็นท์คงกำลังรีบทำงานให้เสร็จเพื่อรีบกลับมาหาคุณแน่นอนค่ะ” แพทย์หญิงปลอบแล้วจับมือของหญิงสาวไว้เช่นกัน “เพราะฉะนั้น... อย่าร้องไห้นะคะ ไม่อย่างนั้น คุณหนูจะเศร้าไปด้วยนะคะ” เธอบอก ศศะพยักหน้าเห็นด้วย หญิงสาวมองทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มก่อนจะรีบเช็ดน้ำตา
    “จริงด้วย ไม่น่าร้องไห้เลยเรา” เธอว่าแล้วกลับมายิ้มอีกครั้ง
    “ต้องอย่างนั้นสิคะ” แพทย์หญิงพูดยิ้มๆ “เอาละ น่าจะได้เวลานอนของคุณแม่แล้วนะคะ ดึกแล้ว” เธอบอกแล้วชี้ไปที่นาฬิกาตู้เล็กๆข้างเตียง
    “อ่ะ จริงด้วย นอนได้แล้วนะคะท่านศิศีระ” ศศะพูดเสียงดุ ศิศีระยิ้มแหย่ๆแล้วเอนหลังลงนอน
    “ถ้าอย่างนั้น ฉันไปก่อนนะคะ”
    “ค่ะ ราตรีสวัสดิ์”
    แพทย์หญิงหยิบแผ่นคลิปบอร์ดเดินไปที่ประตูห้อง เธอหันกลับมาเพื่อจะโบกมือลาศิศีระเหมือนทุกครั้งที่จากกัน แต่เมื่อเธอหันกลับมาเธอก็เห็นศิศีระนอนกุมท้องครางอยู่บนเตียง
    “คุณศิศีระ!” แพทย์หญิงร้องอย่างตกใจ เธอทิ้งแผ่นคลิปบอร์ดลงพื้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว “เป็นอะไรไปคะ” เธอถามอย่างร้อนร้นก่อนจะเหลือบไปเห็นรอยเปียกแฉะบนผ้าห่ม
    “นี่หรือว่า... ศศะ!” แพทย์หญิงตะโกนเรียกเสียงดังจนศศะถึงกับสะดุ้ง “ไปแจ้งพยาบาล บอกมีคนปวดท้องจะคลอดแล้ว เตรียมห้องด่วน!” เธอสั่ง ศศะพยักหน้ารับทราบแล้วรีบหายตัวจากไปทันที
    “อดทนไว้นะคะคุณศิศีระ อดทนไว้” แพทย์หญิงพูดเบาๆกับหญิงสาวแล้วกำมือเธอที่สั่นเทาและชุ่มไปด้วยเหงื่อไว้แนบอก
“อดทนไว้นะคะ อีกไม่นาน คุณก็จะได้เห็นหน้าลูกชายแล้วละค่ะ”
-------------------------------------------
    กลางลานกว้างหน้าวิหารสีดำหลังใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ชุดเกราะสีฟ้าเย็นเชียบสี่ตนกำลังเคลื่อนที่หลบลูกกระสูนปืนของลูเซ็นท์และเคลาด์ไปรอบๆลานกว้างอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งตัวเข้าใส่ทั้งสองพร้อมแหลนเงินขนาดใหญ่ในมือโจมตีหมายจะสังหารพวกเขาตามคำสั่งของชายในชุดสีดำซึ่งกำลังร่ายเวทย์ควบคุมชุดเกราะอยู่นอกลานกว้าง ตรงหน้าของเขามีร่างของเซนก้าถูกหอกปักไหล่ตรึงไว้กับพื้น เลือดของเขาไหลย้อมหิมะสีขาวให้เป็นสีแดงสด อาวุธของเขาถูกฝังอยู่ใต้กองหิมะข้างตัว เซนก้าสบถอย่างโกรธแค้น ถ้าหากเขาไม่เสียท่าหันหลังให้พวกชุดเกราะตอนกำลังเปลี่ยนกระสุนละก็ตอนนี้ก็คงไม่ต้องมานอนหมดสภาพอยู่อย่างนี้ทำให้เพื่อนอีกสองคนต้องหาทางพุ่งเข้ามาช่วยจนสู้ไม่ได้อย่างเต็มที่ เคลาด์ที่ไม่ถนัดกับการปะทะตรงๆเท่าไหร่ตอนนี้เริ่มเหนื่อยล้า ความเร็วของเขาเริ่มตกลง ชายชุดดำที่ร่ายเวทย์อยู่ด้านนอกเมื่อสังเกตเห็นอาการของเคลาด์ก็เปลี่ยนเป้าหมายสั่งให้เหล่าชุดเกราะรุมโจมตีเขาคนเดียว เคลาด์ที่แรงแทบจะไม่มีแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับชุดเกราะทั้งสี่ตนได้ซึ่งเขาเองก็รู้ดี เคลาด์หันไปหาลูเซ็นท์แล้วชูกำปั้นขึ้น เขาพยักหน้าให้ลูเซ็นท์แล้ววิ่งเข้าใส่ชุดเกราะทั้งสี่ ลูเซ็นท์รู้ได้ทันทีว่าเคลาด์จะทำอะไร เขารีบหยิบผลึกแก้วรูปขนนกออกมาจากชุดคลุมยื่นออกไปข้างหน้า เคลาด์สะบัดแขนข้างซ้ายอย่างแรง ฝุ่นละอองสีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากปลอกแขนตรงเข้าหาเหล่าชุกเกราะที่พุ่งเข้ามาหาเขา ทันทีที่พวกชุดเกราะพุ่งเข้ามาในกลุ่มละอองของเคลาด์การเคลื่อนที่ของมันก็ช้าลง ลูเซ็นท์ที่รอจังหวะนี้อยู่ปาผลึกแก้วเข้าใส่แล้วร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว ผลึกแก้วสีฟ้าเปลี่ยนเป็นหอกแก้วจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เหล่าชุดเกราะตรึงพวกมันไว้กับพื้น ลูเซ็นท์และเคลาด์ฉวยโอกาสยกปืนขึ้นยิงไปที่ขาทั้งสองข้างของชายชุดดำจนทรุดลงไปนั่งบนพื้น ลูเซ็นท์รีบวิ่งเข้าไปล๊อคแขนของชายชุดดำส่วนเคลาด์ก็รีบเข้าไปช่วยดึงหอกออกจากไหล่เซนก้าแล้วปฐมพยาบาลเขาวิธีเดียวกับที่กับคนในปราสาท ลูเซ็นท์ค้นตัวชายชุดดำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอาจี้ซัฟไฟร์รูปไม้กางเขนมาจากจากกระเป๋าเสื้อของชายชุดดำ เขาลากตัวชายคนนี้ไปไว้ในศาลาเก่าๆที่พังแล้วในล้านกว้างแล้วทุบคอเขาจนสลบก่อนจะกลับมาที่กลางลานกว้างเพื่อผนึกชุดเกราะพวกนี้กลับคืนร่างเดิม
                  “ให้ตาย โหดเป็นบ้าเลยไอ้เจ้าพวกนี้! เล่นซะฉันเกือบจะแย่เอา” เคลาด์บ่นอย่างหัวเสียขณะพยุงเซนก้าขึ้นมา “รีบๆเก็บมันไปเลย อันตรายชะมัด” เขาบอกลูเซ็นท์แล้วก้มลงเก็บลูกเหล็กขึ้นมาโยนเข้าไปในศาลาที่ชายชุดดำสลบอยู่อย่างไม่ใสใจ
                  “เฮ้ มันเป็นเครื่องประดับนะเพื่อน” ลูเซ็นท์บอกเคลาด์แล้วชูเครื่องประดับให้ดู มีสร้อยคอ ตุ้มหูและแหวน ทั้งหมดเป็นชุดเดียวกันและทำจากซัฟไฟร์ทั้งหมด “นั่นแปลว่านายไม่ควรโป้ใส่ฉัน เข้าใจนะ” เขาบอกแล้วกลัดจี้เข้ากับสร้อยคอ
                  “เรารีบไปกันก่อนที่พวกนั้นจะแห่กันมาดีกว่า” เซนก้าบอก แต่ยังไม่ทันจะออกเดิน เงาของคนสี่คนก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา ทุกคนใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มมีฮูดปิดปังใบหน้าเหมือนกันหมด ลูเซ็นท์และเคลาด์ยกปืนขึ้นตามสัญชาตญาณ อีกฝ่ายเองก็ตั้งท่าพร้อมต่อสู้เช่นกันแต่ก็ยังไม่ทำอะไร ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไม่ขยับเขยื้อน แล้วลูเซ็นท์ก็เป็นฝ่ายเริ่มพูด
                “ขอเราผ่านเข้าไปในวิหารได้ไหม” เขาถามแม้จะรู้คำตอบดี
                “ไม่มีทาง...”
                สิ้นคำตอบทั้งสองฝ่ายก็โถมเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว ประกายไฟหลากสีพุ่งเฉียดหน้าพวกลูเซ็นท์ไปเพียงปลายนิ้ว เซนก้าตวัดปืนฟาดเข้าสีข้างใส่ร่างที่อยู่ใกล้ที่สุดกระเด็นไปชนโครมกับต้นไม้ข้างทาง ผงสีขาวของเคลาด์พุ่งปะทะกับเส้นแสงสีเงินสะท้อนเวทย์มนต์กลับเข้าหาตัวเจ้าของ ส่วนนักเวทย์อีกสองคนที่เหลือกำลังร่ายคำสาปใส่ลูเซ็นท์ที่พุ่งหนีไปรอบๆอย่างรวดเร็วจนเวทย์มนตพุ่งเข้าหาตัวเขาไม่ทันแต่ตัวเขาเองก็ไม่มีโอกาสโต้กลับได้เช่นกัน ขืนเป็นแบบนี้มีหวังไม่ทันการแน่
“เคลาด์! ไปลากไอ้สองคนนั้นมาทีสิ” เซนก้าตะโกนสั่งแล้วร่างของเคลาด์ที่ปกคลุมไปด้วยละอองสีขาวก็พุ่งเข้ากระแทกนักเวทย์ที่สู้กับลูเซ็นท์อยู่ร่วงลงไปนอนแผ่บนพื้น เซนก้าเองก็พุ่งเข้ามาถีบเข้าหน้าของนักเวทย์อีกคนกระเด็นเข้าป่าข้างทาง ลูเซ็นท์ที่ยืนอยู่บนพื้นมองเพื่อนอย่างงงๆแต่เคลาด์และเซนก้าไม่ได้มองเขาเลย
“รีบไปที่วิหารเลยเพื่อน สี่คนนี้ฉันกับเซนก้าลุยกับมันเอง” เคลาด์บอกโดยไม่หันมามองหน้าแล้วยกปืนยิงสวนลูกไฟไปพร้อมกับเซนก้า
“ไปเร็วสิ!” เคลาด์กับเซนก้าตะโกน ลูเซ็นท์ไม่รอช้ารีบวิ่งไปตามทางเดินตรงเข้าประตูวิหารทันที
“ตามไปเร็วเข้า! อย่าให้เข้าไปรบกวนพิธีได้!” นักเวทย์หนึ่งในสี่คนตะโกนขึ้น แล้วร่างของนักเวทย์อีกคนก็พุ่งตามลูเซ็นท์ไป
“ลูเซ็นท์! ข้างหลัง!”
ไม่ทันขาดคำลูเซ็นท์ก็โดนลูกไฟกระแทกเข้าที่ขาจนล้มกลิ้ง ชายหนุ่มลุกขึ้นมาอย่างโกรธๆ เขายกมือขึ้นจับแขนของนักเวทย์คนนั้นไว้แน่นแล้วทุ่มข้ามไหล่กระแทกพื้นอย่างแรง ลูเซ็นท์วาดมือเป็นวงในอากาศร่ายเวทย์ปล่อยคลื่นน้ำแข็งกระแทกร่างนักเวทย์กระเด็นไปชนโครมกับประตูบานใหญ่ของวิหารจนเปิดอ้าออก ลูเซ็นท์ท่องมนต์เปลี่ยนร่างกายตัวเองเป็นเงาพุ่งเข้าไปในวิหารก่อนจะกลับคืนร่างแล้วฟาดหอกแก้วใส่ท้องของนักเวทย์ที่นั่งกุมท้องอยู่บนพื้นกระเด็นไปชนประตูอีกฟากจนสลบ ชายหนุ่มเปลี่ยนหอกกลับคืนเป็นผลึกแก้วอย่างเดิมแล้ววิ่งผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไปด้านใน วิ่งผ่านทางเดินยาวเหยียดในวิหารไปเรื่อยๆ ผ่านประตูหลายบานในวิหาร ผ่านรูปปั้นเทพธิดาหลายองค์ตรงไปยังบันไดเวียนด้านในสุด ลูเซ็นท์ไม่สนใจว่ามันจะสูงเพียงใด เขาวิ่งขึ้นไปทันทีโดนไม่หยุดมอง เขาเหลือบมองไปด้านนอกผ่านทางหน้าต่าง ดวงจันทร์เสี้ยวเริ่มเคลื่อนลงมาให้เห็นได้จากตรงนี้แล้ว ลูเซ็นท์เร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเขาก็ชักปืนออกมา
    “ออกมาจากเขตอาคมเดี๋ยวนี้!!!” ลูเซ็นท์ตะโกนลั่นทันทีที่ก้าวพ้นบันไดเวียนออกมา บนดาดฟ้ากว้างของวิหารที่ลูเซ็นท์กำลังยืนอยู่ในตอนนี้มีคนอีกสามคนยืนอยู่ด้วย คนหนึ่งเป็นเด็กอายุประมาณสิบขวบและเด็กอีกคนอายุประมาณเจ็ดขวบทั้งคู่อยู่ในชุดคลุมยาวสีดำสนิทมีฮูดคลุมปิดใบหน้าทั้งสองยืนอยู่ข้างชายหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังอุ้มห่อผ้าไหมไว้ในอ้อมแขนอย่างถะนุถนอม ทั้งหมดยืนอยู่บนเขตอาคมเวทย์ขนาดใหญ่ที่สลักอยู่บนพื้น เขตอาคมไสยเวทย์รูปพระจันทร์เสี้ยวปีกมารและปีกเทพที่ลูเซ็นท์รู้จักมันดีตั้งแต่เกิด...
    “ลูเซ็นท์ ควาซิดิเลน
” ชายหนุ่มที่อุ้มห่อผ้าอยู่พูดช้าๆอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “มาที่นี่ได้ยังไง...”
    “ก็ที่นี่เป็นวิหารแสงจันทร์ ไม่แปลกที่ผมจะรู้ แล้วก็... ยังพอจะรู้ด้วยว่าพวกคุณจะทำอะไรกันในนี้” ลูเซ็นท์ว่าแล้วก้าวเข้าหาทั้งสามช้าๆ “เพราะฉะนั้นส่งทวงทำนองแห่งความศรัทธามาแล้วออกไปจากที่นี่ซะ แล้วผมจะไม่ทำอะไรพวกคุณ”
    “ไม่มีทาง!” ชายหนุ่มตะโกนลั่น เขาถอยหลังหนีไปสามสี่ก้าวท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “ยังไงผมก็ไม่ให้คุณหรอก”
    “ส่งมาเดี๋ยวนี้ ผมไม่อยากทำร้ายพวกคุณนะ” ลูเซ็นท์พูดอีกครั้งแล้วเดินเข้ามาใกล้เขตอาคม ลูเซ็นท์หยุดกึก เสากระดูกสีขาวพุ่งขึ้นมาตรงหน้าลูเซ็นท์จนเขาเกือบหยุดไม่ทัน ชายหนุ่มหันไปมองทางต้นตอ เด็กทั้งสองตอนนี้เปิดฮูดออกแล้ว ดวงตาสีแดงน่ากลัวบนใบหน้าขาวซีดของเด็กอายุสิบขวบที่ปักเคียวสีดำลงบนพื้นมองมาทางลูเซ็นท์ด้วยแววตาเย็นชาเหมือนกับเด็กอีกคน ทั้งสองมีดวงตาสีแดงสดด้วยกันทั้งคู่ ผมยาวสีดำระบ่าทำให้ทั้งสองดูคล้ายกับเด็กผู้หญิง แต่ที่ไม่เหมือนก็คือแววตาของผู้ที่พร้อมจะสังหารศัตรูตรงหน้าแบบเดียวกับเพชรฆาตที่พร้อมจะปลิดชีพนักโทษให้ตายในดาบเดียวในดวงตาของพวกเขาทั้งสอง มันเกือบจะทำให้ลูเซ็นท์รู้สึกกลัวขึ้นมาเลยทีเดียว
    “คริสโตเฟอร์... เอวิส...”
    “ผมจะไม่ให้เขาทำอะไรคุณลุงได้หรอกครับ” เด็กชายเจ้าของเคียวสีดำขนาดใหญ่กว่าตัวบอกกับชายหนุ่มโดยไม่หันไปมองหน้า ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆแล้วถอยหลังไปอยู่กลางเขตอาคม
    “พวกเธอ ถอยไปนะ”
    “ไม่”
   
    สิ้นเสียงเสากระดูกสามเสาก็โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นที่ลูเซ็นท์เคยเหยียบไม่กี่วินาทีก่อน ชายหนุ่มพุ่งตัวหลบไปด้านข้างแล้วพุ่งเข้าใส่ตัวเด็กชาย เขาสะบัดมือเปลี่ยนผลึกแก้วเป็นหอกฟาดใส่จนกระเด็น
    “คริสโตเฟอร์!” ชายหนุ่มร้องอย่างตกใจ เด็กชายค่อยๆลุกขึ้นกุมซี่โครงอย่างเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดมากมาย ตรงกันข้าม เด็กชายคนนี้กลับพุ่งเข้าใส่ลูเซ็นท์อีกครั้ง
    “เอวิส” ชายหนุ่มเรียก เด็กชายอีกคนยื่นมือออกมาด้านหน้า ละอองแสงสีดำพุ่งออกมาจากฝ่ามือรวมกันเบื้องหน้ากลายเป็นดาบสีดำสนิท ใบมีดสีดำขนาดใหญ่ถูกตีตราอักขระสีทองไว้ทั่วทั้งใบมีด เอวิสยกดาบขึ้นเหนือหัว เส้นแสงสีดำจากรอยอักขระไหลเป็นเกลียววนรอบดาบช้าๆ พลังเวทย์สีดำจำนวนมากไหลเข้าปะทะลูเซ็นท์ที่ยืนอยู่ด้านนอกเขตอาคมเหมือนพายุเล็กๆที่กำลังก่อตัว พลังเวทย์นี้ไม่ได้มาจากเอวิสคนเดียว อีกครึ่งหนึ่งของพายุนี้เป็นพลังเวทย์จากเคียวของคริสโตเฟอร์ซึ่งกำลังสั่นไหวเหมือนมีชีวิต ลูเซ็นท์มองทั้งสองอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นหอกออกมา ดูท่าเขาคงต้องเอาจริงแล้ว
   
    “ปีกทิวทูต!” 
    สิ้นเสียง หอกของลูเซ็นท์ก็กลายเป็นเส้นแสงสีฟ้าวิ่งไปรวมตัวกันที่หลังของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ เอวิสฉวยจังหวะนี้หวดดาบกลางอากาศ พลังเวทย์สีดำรอบดาบรวมตัวกันเป็นใบมีดนับสิบเล่มพุ่งเข้าใส่ลูเซ็นท์พร้อมเข็มเลือดจากบาดแผลบนนิ้วทั้งห้าของคริสโตเฟอร์ ลูเซ็นท์ไม่หลบ เขาก้าวถอยครึ่งก้าวแล้ววิ่งเข้าใส่ วงเวทย์ด้านหลังลูเซ็นท์แตกสลายออกเป็นขนนกสีฟ้าพร้อมปีกคริสตัลสีฟ้าครามบนหลังของชายหนุ่มหุบลงมาป้องกันร่างของเขาจากเวทย์ของทั้งสอง คริสโตเฟอร์ยกเคียวขึ้นวิ่งเข้าใส่ลูเซ็นท์ ชายหนุ่มกางปีกออกกระพือปีกสร้างหอกน้ำแข็งพุ่งเสียบแขนของเด็กชายตรึงร่างไว้กับพื้น เอวิสที่ลูเซ็นท์หันหลังให้ฉวยโอกาสฟาดดาบใส่ ชายหนุ่มก้มตัวลงตีปีกลงพื้น ไอเย็นจำนวนมากกระจายออกรอบตัวชายหนุ่มกลายเป็นน้ำแข็งเกาะแขนขาของเอวิสจนขยับไม่ได้ ลูเซ็นท์สะบัดมือใส่ทั้งสองปล่อยลมหนาวอัดส่งร่างเล็กๆหลุดจากพัธนาการ เอวิสและคริสโตเฟอร์กลับตัวกลางอากาศลงมายืนบนพื้นตรงหน้าของชายหนุ่มอย่างทุลักทุเล เลือดของเด็กทั้งสองไหลลงมาละลายหิมะบนพื้นจนสามารถเห็นเขตอาคมตรงกลางได้ชัดเจน แต่แม้บาดแผลของทั้งคู่จะลึกแต่ไหน ทั้งสองก็ยังไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อย
    “พวกเธอไม่เป็นอะไรนะ” ชายหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง ทั้งสองไม่ตอบ คริสโตเฟอร์หันไปมองเอวิสแล้วยกเคียวขึ้นร่ายเวทย์ เคียวของเขาสั่นอย่างรุนแรง เลือดรอบๆตัวพวกเขาลอยขึ้นมารวมตัวกันเป็นร่างของโครงกระดูกมนุษย์สีแดงสดสองตน คริสโตเฟอร์ลดเคียวลงเหวี่ยงเข้าใส่แขนของเอวิสที่ยกขึ้นจนทะลุ ลูเซ็นท์มองอย่างตกใจ คริสโตเฟอร์ถอนเคียวออกสาดเลือดของเอวิสใส่ร่างโครงกระดูกตรงหน้า ทันทีที่เลือดของเอวิสซึมเข้าร่าง โครงกระดูกสีสีแดงสดเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มือทั้งสองข้างของพวกมันเปลี่ยนเป็นกงเล็บขนาดใหญ่น่ากลัว กะโหลกศีรษะที่ไร้ดวงตาหันมาทางลูเซ็นท์เหมือนกำลังมองหาเป้าหมาย เอวิสที่ยืนอยู่ข้างหลังยกดาบขึ้นโดยไม่มีท่าทีเจ็บปวดแต่อย่างใด เส้นแสงสีดำรอบดาบเปลี่ยนสภาพเป็นเงารูปร่างแปลกๆกำลังแสยะยิ้มให้ลูเซ็นท์อย่างมุ่งร้าย พลังเวทย์รอบๆตัวไหลวนรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม แล้วเอวิสก็พุ่งเข้าโจมตีลูเซ็นท์ทันที
    “ฆ่ามัน!”
    ทันทีที่คริสโตเฟอร์สั่ง ร่างปีศาจทั้งสองก็สลายเป็นผงพุ่งผ่านร่างเอวิสไปรวมตัวกันตรงหน้าลูเซ็นท์แล้วซัดกงเล็บใส่เขา ลูเซ็นท์หุบปีกป้องกันกงเล็บได้ทันแต่แรงของพวกมันก็ส่งร่างของเขากระเด็นไปด้านหลัง เอวิสที่ไปยืนอยู่ก่อนแล้วบิดดาบกระแทกใส่ ลูเซ็นท์กางปีกกลับตัวกลางอากาศก้มลงกระแทกเอวิสจนกระเด็น ร่างปีศาจพุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างรวดเร็ว ลูเซ็นท์ยกปืนขึ้นรัวยิงใส่ไม่ยั้งแต่ก็ไร้ผล กระสุนปืนทำได้แค่ให้มันเสียหลักเท่านั้น แต่ลูเซ็นท์เดินเข้าไปรัวยิงใส่อย่างไม่เกรงกลัว ร่างปีศาจอีกตนหนึ่งใช้จังหวะนี้เข้าโจมตีลูเซ็นท์จากด้านข้างโดยที่ลูเซ็นท์ไม่ได้หันมามองเลย
    “เสร็จละ” เอวิสพูดอย่างสะใจ ลูเซ็นท์ยังคงไม่หันมามองกงเล็บสีดำของมันกางขยายออกพุ่งใส่หัวของเขาอยางรวดเร็ว รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นผุดขึ้นมาบนหน้าของคริสโตเฟอร์พร้อมกับที่มือของลูเซ็นท์ขยับอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครสังเกต
    เปรี้ยง!!
   
    เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้น ร่างปีศาจที่วิ่งเข้าใส่ลูเซ็นท์ชะงักในทันที รอยยิ้มของคริสโตเฟอร์เลือนหลุดจากใบหน้า  เอวิสและชายหนุ่มมองลูเซ็นท์อย่างตกใจ ที่มืออีกข้างของลูเซ็นท์ที่ก่อนหน้านี้ว่างเปล่า บัดนี้มีปืนอีกกระบอกอยู่ในมือ ลูเซ็นท์เหนี่ยวไกยิงอีกหนึ่งนัด ร่างของปีศาจโครงกระดูกเปลี่ยนเป็นสีดำก่อนจะสลายเป็นฝุ่นผง ร่างปีศาจอีกตนรีบลุกขึ้นโถมเข้าใส่ลูเซ็นท์ ชายหนุ่มปลดซองกระสุนปืนอีกกระบอกออกแล้วเหนี่ยวไก ร่างปีศาจชะงักแล้วสลายตัวไปเช่นเดียวกับตัวแรก ลูเซ็นท์ลดปืนลง ไอเย็นสีน้ำเงินจากรอบตัวลูเซ็นท์ไหลมารวมกันที่ปืนของเขาแล้วคลายออก อักขระสีน้ำเงินเข้มส่องแสงอยู่บนลำกล้องปืนสีดำขลับปล่อยพลังเวทย์สีน้ำเงินออกมาเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกโชนบนมือทั้งสองข้าง คริสโตเฟอร์กัดฟันอย่างโกรธแค้น เด็กชายร่ายเวทย์ใส่ลูเซ็นท์ ร่างเงารูปโครงกระดูกสัตว์ป่าสิบตนวิ่งโถมเข้าใส่ลูเซ็นท์ ชายหนุ่มยกปืนขึ้นเหนี่ยวไก ร่างเงาชะงักแล้วสลายไปโดยไร้สุ่มเสียงและไร้ร่องรอยของกระสุนปืนราวกับมันสลายไปเอง
    “ทำไมกัน... ก็ปืนนั่นไม่มีกระสุนไม่ใช่หรอ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เข้าใจ คริสโตเฟอร์กำเคียวแน่นอย่างโกรธแค้น เส้นแสงสีดำวิ่งวนจากด้ามขึ้นสู่ปลายใบมีดที่กำลังสั่นไหวรุนแรง เด็กชายสะบัดเคียวไปข้างตัวแล้ววิ่งเข้าโจมตีลูเซ็นท์ เส้นแสงสีดำรอบเคียวกระจายออกกลายเป็นหอกแสงสีดำรอบตัวคริสโตเฟอร์ เด็กชายเงื้อเคียวฟาดใส่ลูเซ็นท์ ชายหนุ่มย่อตัวลงยกปืนทั้งสองเล็งไปที่อกแล้วยิง พลังเวทย์สีน้ำเงินระเบิดออกที่ปลายกระบอกปืนทำลายหอกแสงทั้งหมด ลูเซ็นท์ยิงอีกหนึ่งนัดไอเย็นจำนวนมากพุ่งออกจากปากกระบอกปืนอีกข้างกระแทกเข้าที่อกของคริสโตเฟอร์อย่างแรงส่งร่างของเด็กชายลอยไปบนอากาศก่อนจะตกลงมาบนพื้นหิมะดังอัก คริสโตเฟอร์รีบยันตัวลุกขึ้นยืนแม้ร่างกายจะเจ็บแปล๊บไปทั่วทั้งร่างจนแทบจะลุกไม่ขึ้นก็ตาม แต่ทันทีที่เขายืนได้สำเร็จ กระสุนไอเย็นจำนวนมหาศาลจากปืนของลูเซ็นท์ก็โถมเข้าปะทะร่างของเขาอีกครั้งกระเด็นไปกระแทกขอบราวกั้นจนสลบ
    “คริสโตเฟอร์!!” เอวิสตะโกนลั่น แต่คริสโตเฟอร์ก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว เอวิสกัดฟันอย่างโกรธแค้น เขาคว้าดาบข้างตัวแล้วดีดตัวเข้าโจมตีลูเซ็นท์ เอวิสหมุนตัวเหวี่ยงดาบใส่ด้านข้าง ลูเซ็นท์ถอยหลังครึ่งก้าวแล้วยกปืนขึ้นมากันดาบ แต่แรงเหวี่ยงของดาบก็ทำเขาเสียหลักเซไปเล็กน้อย เอวิสฉวยโอกาสถอนดาบออกแล้วย่อตัวเงื้อดาบไปด้านหลังสุดแขน ใบมีดขนาดใหญ่เรืองแสงสีดำก่อนที่เอวิสจะเหวี่ยงดาบใส่ ลูเซ็นท์ก้มตัวลงหลบใบมีดสังหารได้อย่างหวุดหวิด ชายหนุ่มยกปืนขึ้นยิงปืนใส่เอวิสระยะเผาขน เอวิสที่แทบจะไร้การป้องกันรีบบิดข้อมือตัวเองตวัดดาบใส่ลูเซ็นท์แต่ช้าไป ไอเย็นจากปืนลูเซ็นท์กระแทกร่างเอวิสลอยไปอัดกับกำแพงอย่างแรงจนร้าว เอวิสทรุดลงไปนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ดวงตาของเด็กชายเริ่มพร่ามัวก่อนจะล้มลงนอนบนพื้นสลบไป พลังเวทย์สีดำและน้ำเงินที่พัดวนอยู่บนดาดฟ้าสลายไปพร้อมกัน ลูเซ็นท์เก็บปืนเข้าซองแล้วเดินเข้ามาหา ปีกคริสตัลบนหลังของเขาเรืองแสงสีฟ้าวาบสลายตัวเป็นขนนกก่อนจะลอยไปรวมกันเป็นผลึกแก้วดังเดิม ชายหนุ่มมองลูเซ็นท์อย่างหวาดกลัว เขากอดห่อผ้าเอาไว้แน่น ขาทั้งสองข้างของเขาแทบจะขยับไม่ได้เพราะความกลัว ร่างของเด็กชายทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่ใต้หิมะไม่รู้สึกตัว ตอนนี้เขาไร้ซึ่งการปกป้องแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี
   
    “ส่งทวงทำนองมา...”
    “ผมไม่ให้!!”
    ฉึก!!!
    คมดาบสีขาวบริสุทธิ์จากมือของชายหนุ่มพุ่งแทงทะลุไหล่ขวาของลูเซ็นท์ยันร่างของเขาไม่ให้เข้าใกล้ตัว เลือดของลูเซ็นท์ไหลลงมาตามคมดาบเปื้อนมือของชายหนุ่มเของศาสตราเวทย์จนชุ่มแต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมา ต่างจากชายหนุ่มที่มีท่าทางตกใจเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขาค่อยๆคลายมือออกจากอาวุธ คมดาบสีขาวเรืองแสงอ่อนๆก่อนจะกลายสภาพเป็นเกล็ดหิมะร่วงลงสู่พื้นพร้อมน้ำใสๆจากดวงตาของผู้เป็นเจ้าของ
    “ผมไม่ให้ ต่อให้คุณขู่จะฆ่าผม ยังไงผมก็ไม่ให้คุณเด็ดขาด” ชายหนุ่มพูดเสียงสั่น แขนทั้งสองข้างโอบกอดห่อผ้าไว้แน่นกว่าเดิม “สิ่งนี้คือชีวิตของผม ยังไงผมก็ต้องทำให้มันสำเร็จให้ได้”
    “แม้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างนั้นหรอ!” ลูเซ็นท์พูดเสียงดังชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง “คนที่ตายไปแล้วน่ะ ไม่มีทางลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่งหรอก ต่อให้นายได้มันไปครบคู่ของมันก็ตาม!!”
    “เธอยังไม่ตาย!!” ชายหนุ่มตะโกนกลับเสียงดังอย่างกราดเกรี้ยว ดวงตาสีม่วงเข้มที่บัดนี้บวมช้ำมองลูเซ็นท์ตาเขม็ง
    “ยอมรับเถอะคาสตาเรเรียว่าเธอตายไปแล้ว! สิ่งที่นายกำลังจะทำน่ะมันผิดนะ!”
    “การช่วยให้ลูกสาวผมรอดตายนี่มันเป็นความผิดด้วยหรือยังไงกัน!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังลั่น ลูเซ็นท์ถึงกับสะดุ้ง
    “อะ... อะไรนะ” ลูเซ็นท์พูดอย่างไม่เชื่อหู เขามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง คาสตาเรเรียก้มหลบสายตาลูเซ็นท์ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหิมะอย่างอ่อนแรง ดวงตากราดเกรี้ยวของเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยแต่น้ำตายังไม่หยุดไหล เกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเริ่มลดน้อยลง ชายหนุ่มจึงเปิดห่อผ้าฝ้ายออกเล็กน้อย ลูเซ็นท์เพ่งมองสิ่งที่อยู่ข้างในก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ
    “เด็กคนนี้
” เขาพูดไม่ออกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาอุดอยุ่ในลำคอเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในซึ่งเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นในเวลานี้ ตอนนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ล่วงหน้าแล้วก็ตามที
    “ใช่ ภรรยาผมตายไปแล้วตั้งแต่สองปีก่อน เธอมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด มีโรคประจำตัวมากมาย พลังเวทย์ในตัวเธอถึงจะเป็นเวทย์รักษาแต่ก็ใช้กับตัวเองไม่ได้และออกจะเป็นคนซุ่มซ่ามก่อเรื่องเจ็บตัวใส่ตัวเองเป็นประจำ แต่เธอก็ไม่เคยคิดน้อยใจเลย ตรงกันข้าม เธอกลับใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติธรรมดาทั้งยังชอบร้องเพลงให้คนอื่นๆฟังเวลาเครียดหรือสับสน ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรกก็คิดแบบเดียวกับคนในกลุ่มว่า ‘หล่อนนี่มันเป็นตัวปัญหาจริงๆเลย’ แต่พอได้รู้จักตัวเธอจริงๆแล้วมันไม่ใช่ มันกลับทำให้ผมอยากจะปกป้องเธอ อยากจะให้เธอได้สมหวังในสิ่งที่ตั้งใจในชีวิต แล้วพอผมถามเธอ เธอก็บอกว่า ‘สิ่งที่ฉันอยากได้มากที่สุดในชีวิต ก็คือลูกสาวตัวน้อยๆที่มีสุขภาพแข็งแรง น่ารัก เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง ไม่เหมือนกับฉัน...’” คาสตาเรเรียหยุดพูด เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลหยดลงไปออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “แล้วผมกับเธอก็แต่งงานกัน ตอนที่เธอรู้ตัวว่ากำลังท้องและเป็นเด็กผู้หญิงเธอดีใจมากๆ ทุกวันเธอจะนั่งคุยกับลูกในท้อง คอยกล่อมเพลงให้ฟังทะลุทะหนอมอย่างดีเพื่อไม่ให้ตัวเองและลูกเป็นอะไร แต่ว่า... สุดท้ายแล้ว... เธอก็ไม่ทันได้เห็นหน้าลูก... เธอเสียชีวิตทันที่คลอดเด็กคนนี้ออกมา แล้วก็ผมตั้งใจที่จะเลี้ยงดูแกให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่ผมตั้งใจเพราะว่าแกเป็น...”
    “เทเลพาธ... งั้นหรอ
” ลูเซ็นท์พูดอย่างไม่เชื่อสายตา คาสตาเรเรียพยักหน้าช้าๆ ภายในห่อผ้าที่ชายหนุ่มอุ้มไว้อย่างถะนุถนอม เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอายุประมาณสองขวบกำลังนอนหลับอยู่ในห่อผ้าโดยไม่รับรู้กับสิ่งใดรอบตัว ผมสีน้ำตาลของเธอซ่อนอยู่ในผ้าปิดบังส่วนที่เป็นหูแมวสีน้ำตาลเอาไว้จนเกือบมองไม่เห็น ผิวของเธอขาวจนเกือบจะซีดและลมหายใจก็ยาวและช้ากว่าคนปกติมาก ลูเซ็นท์รับรู้ได้ทันทีเมื่อเห็นความผิดปกตินี้ เด็กคนนี้ไม่มีพลังเหลือแล้วและกำลังจะสิ้นลม
    “ทนรับพลังไม่ได้งั้นหรอ...” ลูเซ็นท์พูดเบาๆ เขาค่อยๆเอื้อมมือไปแตะที่หูของเด็กน้อย ละอองแสงสีขาวนวลจำนวนมากไหลออกจากร่างของเธออย่างช้าๆ ขณะเดียวกัน ของบางอย่างในเสื้อคลุมของลูเซ็นท์ก็กำลังส่องแสงอ่อนๆออกมา ชายหนุ่มรีบชักมือกลับก่อนที่คาสตาเรเรียจะเห็นซึ่งเขามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มมองลูกสาวตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะล้วงเข้าไปในห่อผ้าหยิบคริสตัลสีขาวกลางฝูงผีเสื้อแก้วออกมา
    “เมื่อกี้คุณบอกว่า แม้ผมจะได้ครบคู่ของมันก็ไม่มีทางช่วยแกได้ใช่ไหมครับคุณลูเซ็นท์” ชายหนุ่มถาม ลูเซ็นท์หันมามองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วคาสตาเรเรียก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คิดว่าชายคนนี้จะยอมทำ เขายื่นทวงทำนองแห่งศรัทธาให้ลูเซ็นท์
    “คุณ...”
    “ในเมื่อเจ้าของมายื่นยันเองไม่เชื่อก็คงไม่ได้ อีกอย่าง ผมเองก็ไม่มีพลังมากพอที่จะปลุกอำนาจในของชิ้นนี้ออกมา แล้วผมจะเก็บเอาไว้ทำไมละครับ” เขาว่าแล้วว่างมันลงตรงหน้าลูเซ็นท์ “คุณเอามันคืนไปเถอะ” เขาบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินหันหลังไปอย่างหมดแรง ลูเซ็นท์มองคาสตาเรเรียที่กำลังเดินจากไปอย่างไม่สบายใจ นี่เขาจะปล่อยให้ชายคนหนึ่งที่พยายามช่วยชีวิตลูกสาวตัวเองต้องเดินกลับไปพร้อมร่างไร้วิญญาณได้ลงคอเชียวหรือ แน่นอนว่าเขาทำไม่ได้ แล้วก่อนที่ลูเซ็นท์จะรู้ตัว เขาก็ลากคาสตาเรเรียกลับมายืนที่เดิมแล้วกดตัวชายหนุ่มนั่งลงกลางวงเวทย์หน้าเขา
    “คะ... คุณ
”
    “ถึงผมจะไม่รู้ความรู้สึกของคนเป็นพ่อแต่ผมก็ไม่ใจร้ายพอที่จะปล่อยให้เด็กคนหนึ่งต้องตายหรอกนะ” ลูเซ็นท์บอกแล้วกดบาดแผลบนไหล่ของตัวเอง เลือดอุ่นจำนวนมากไหลออกจากบาดแผลเหมือนสายน้ำย้อมเสื้อคลุมสีดำจนเป็นเปิดเกิดลายสีแดงอย่างไม่ตั้งใจ เลือดจำนวนมากไหลลงละลายหิมะบนพื้นแทรกตัวเข้าไปในร่องของเขตอาคมจนเต็มสัญลักษณ์ ทันทีที่พระจันทร์เสี้ยวบนพื้นเป็นสีแดงสด ละอองแสงสีฟ้าจำนวนมากก็ลอยขึ้นมาจากพื้น เขตอาคมเวทย์ทั้งหมดเปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้าก่อนที่ละอองแสงจะวิ่งไปรวมตัวกันตรงกลางเขตอาคมกลายเป็นลำแสงสีฟ้าครามขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน คาสตาเรเรียมองลูเซ็นท์อย่างไม่เข้าใจ ทันทีที่เขาอ้าปากถาม แท่งคริสตัลสองแท่งก็ถูกยัดอยู่ในมือเขาเรียบร้อย
    “นี่มัน... ไหนคุณบอกว่า...”
    “จริงอยู่ที่มันให้ชีวิตไม่ได้แต่ว่า มันก็สามารถช่วยให้พลังของเด็กคนนี้เป็นไปตามที่ทั้งคุณและภรรยาของคุณต้องการได้ แล้วก็อาจจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วยนะ” ลูเซ็นท์บอก คาสตาเรเรียมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงเรื่องสำคัญได้
    “แต่ว่าลูกผมกำลังจะตายนะครับ แล้วสิ่งนี้ก็ให้ชีวิตไม่ได้แล้วทำไม...”
    “เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในการให้ชีวิต” ลูเซ็นท์พูดแทรกแล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมหยิบวัตถุบางอย่างออกมา “ผมจะบอกวิธีให้แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คุณจะยอมรับฟังไหม” เขาถาม คาสตาเรเรียมองลูเซ็นท์อย่างชั่งใจแล้วหันไปทางลูกสาว ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือชีวิตของลูกสาว แต่ว่า... อีกฝ่ายก็คือศัตรู... เขาจะทำยังไงดี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตัดสินใจจะปฏิเสธแต่เมื่อเหลือบไปเห็นบาดแผลขนาดใหญ่ที่เขาสร้างไว้บนไหล่ของลูเซ็นท์เขาก็หยุดความคิด แต่ก็อ้าปากถามคำถามในใจออกไปแทน
    “ข้อแลกเปลี่ยนนั้นคงไม่เกี่ยวกับชีวิตของเธอหรอกนะ ใช่ไหม?” เขาถาม นึกกลัวคำตอบจับใจ
    “แล้วถ้า... ใช่ละ” ลูเซ็นท์บอกเรียบๆ คาสตาเรเรียถึงกับสะอึก
    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่!” คาสตาเรเรียตะโกนลั่น แววตาของเขาจ้องมองลูเซ็นท์อย่างโกรธจัด “ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวกับชีวิต ผมขอใช้ชีวิตผมแทนดีกว่า” เขาบอก ในใจรู้คำตอบอยู่แล้วว่าลูเซ็นท์จะตอบว่าอย่างไร
    “มันได้ที่ไหนกันเล่า” ลูเซ็นท์ว่า เป็นไปตามที่คาสตาเรเรียคิดไม่มมีผิด “แต่ว่า ถ้าคุณเห็นสิ่งนี้อาจจะเข้าใจในข้อเสนอนะ” เขาพูดยิ้มๆแล้วยื่นวางสิ่งหนึ่งลงบนห่อผ้า มันเป็นกำไลสีขาวบริสุทธิ์ดูล้ำค่าสลักลายอักขระสีน้ำเงินเข้มลึกลงไปในกำไลที่เป็นทองคำขาวเช่นเดียวกับโซ่ที่ฝังอยู่บนจุดสุกท้ายของรอยอักขระซึ่งโย่งเข้าหากำไลอีกอันบนมือของลูเซ็นท์ กำไลทั้งสองคล้ายกันมากหากเพียงแตกต่างกันแค่สีของอักขระเท่านั้นเพราะอันที่ลูเซ็นท์ถือเอาไว้เป็นสีดำไม่ใช่น้ำเงินเข้ม เครื่องประดับทั้งสองนี้ทำให้คาสตาเรเรียเบิกตากว้างอย่างตกใจ เขาหันขวับไปมองลูเซ็นท์เหมือนกับว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนบ้าเสียสติ นี่มันต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ และมันคงจะเข้าใจง่ายมากกว่านี้หากลูเซ็นท์บอกกับเขาว่า ‘ล้อเล่น’ ไม่ใช่ยืมยิ้มอยู่อย่างนี้
    “คุณลูเซ็นท์... คุณคงไม่คิดจะให้มันกับลูกสาวผมจริงๆใช่ไหม” คาสตาเรเรียถามตะกุกตะกัก นั่นทำให้คิ้วของลูเซ็นท์ขมวดเข้าหากันทันที
    “ทำไม่กันละ รังเกียจสายเลือดหลักหรือยังไง” เขาถามน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
    “มะ... ไม่ใช่อย่างนั้นครับ...” คาสตาเรเรียรีบพูด แต่ก็รีบหยิบกำไลส่งคืน “ตะ... แต่ว่า... ทางคุณเขาจะไม่...”
    “เอาน่า ถ้าไม่รังเกียจก็รับไปก็สิ้นเรื่อง” ลูเซ็นท์พูดยิ้มๆแล้วดันกำไลกลับคืน “เอาละต่อไปก็เรื่องชีวิตของแม่หนูน้อยละ” ลูเซ็นท์รีบพูดก่อนที่คาสตาเรเรียจะทันได้ส่งของคืนอีก “ทางเดียวที่จะช่วยลูกสาวของคุณได้ก็คือ คุณจะต้องให้เธอคนนั้นช่วยเท่านั้น” เขาบอกแต่เมื่อเห็นคาสตาเรเรียทำสีหน้าไม่เข้าใจเขาก็เสริมต่อว่า
    “เธอคนนั้น... คือพระจันทร์ที่ไร้แสง” เขาเสริม คาสตาเรเรียก้มหน้านิ่งอยู่ครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ เขารู้จักเธอคนนั้น และเธอคนนั้นก็อยู่ใกล้ตัวเขามากด้วย คาสตาเรเรียรีบกล่าวขอบคุณลูเซ็นท์ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่ารอบๆตัวเขาถูกปกคลุมไปด้วยละอองแสงสีฟ้าจากวงเวทย์และที่ข้างตัวเขาก็มีร่างของคริสโตเฟอร์และเอวิสสลบอยู่ข้างๆ
    “กลับไปยังปราการของคุณ ช่วยลูกสาวคุณให้ได้นะ” เสียงของลูเซ็นท์ดังขึ้นแล้วก่อนที่จะรู้ตัว ชายหนุ่มก็พบว่าตัวเองได้ถูกส่งมาอยู่อีกที่หนึ่งแล้วพร้อมเด็กทั้งสอง
    “อะไรกัน... ยังไม่ได้บอกขอบคุณกันเลย...” คาสตาเรเรียพูดช้าๆกับพนังห้องแปดเหลี่ยมที่เขากับเด็กทั้งสองอยู่ในตอนนี้ พลังเวทย์ที่ไหลวนอยู่เหนือเขอาคมบนพื้นห้องค่อยๆสลายไป คริสโตเฟอร์และเอวิสสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกันอย่างงงงวยและเมื่อทั้งสองจะอ้าปากถาม คาสตาเรเรียก็ชิงพูดก่อนทันที
    “เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลย ไม่ต้องห่วงหรอก” เขาบอกยิ้มๆแล้วลุกขึ้นไปช่วยทั้งสองในลุกขึ้นจากพื้น “แต่ว่าเรื่องของเรายังไม่จบนะ พวกเธอสองคนจะช่วยพาฉันไปหาองค์หญิงได้ไหม” เขาถาม เด็กทั้งสองมองหน้ากัน แต่แม้จะไม่เข้าใจทั้งสองก็พยักหน้ารับแล้วเดินนำคาสตาเรเรียออกไปจากห้องสู่ตัวมหาปราสาทใต้ดวงจันทร์ที่พวกเขาอยู่...
    “นายปล่อยเขาไปงั้นหรอ?” เสียงของเคลาด์ดังขึ้นที่ทางเข้าสู่ดาดฟ้าของวิหารที่ลูเซ็นท์ยืนอยู่ ชายหนุ่มหันมาทางเพื่อนอย่างเหนื่อยๆแล้วพยักหน้าก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง
    “ขอโทษนะ ฉันทำงานพลาดซะแล้ว แถมยังให้ทวงทำนองแห่งความหวังไปด้วยละ ” ลูเซ็นท์บอกแล้วยิ้มสำนึกผิด ถ้าทำแบบนี้อย่างน้อยๆก็คงแค่โดนเซนก้ากับเคลาด์เข้ามาต่อว่าละนะ แต่เขาก็ต้องแปลกใจที่ทั้งสองไม่ว่าอะไร ตรงกันข้าม ทั้งสองกลับยิ้มแล้ววิ่งเข้ามาฉุดลูเซ็นท์ลุกขึ้นเหมือนไดพบกับเรื่องน่ายินดีมาก็ไม่ปาน
    “เดี๋ยวๆ ฉันเจ็บนะ! พวกนายเป็นไรกับไปเนี่ย” ลูเซ็นท์ร้องแล้วสะบัดมือของเพื่อนทั้งสองออก
    “อ่ะโทษทีๆ ฉันลืมบอกนายไปนี่นะ ขอโทษๆ” เคลาด์บอกแล้วยกมือไหว้ขอโทษ นั่นยิ่งทำให้ลูเซ็นท์ยิ่งงงเข้าไปอีกแล้วเขาก็หันไปทางเซนก้าเพื่อขอคำตอบ
    “ลูกของนายคลอดแล้วนะ” เซนก้าบอกเรียบๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ แล้วนั่นก็ทำให้ใบหน้าของลูเซ็นท์มีรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับลากเพื่อนทั้งสองเข้าไปในวงเวทย์อย่างเร็วก่อนจะเปิดเขตอาคมเวทย์อีกครั้งโดยลืมไปว่าตนเองบาดเจ็บอยู่
    “รีบไปกันเร็ว!” เขาพูดอย่างตื่นเต้น แล้วร่างของพวกเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยละอองแสงสีฟ้าก่อนจะหายตัวไป แล้วปล่อยให้เกล็ดหิมะเย็นๆร่วงลงมาบดบังเขตอาคมไสยเวทย์อีกครั้ง...
-------------------------------------
    ความเงียบของสถานที่สีขาวในเมืองหลวงถูกเชื้อเชิญจากภายนอกให้เข้ามาในห้องสีขาวเพื่อกล่อมเด็กน้อยในอ้อมแขนของศิศีระโดยไม่มีใครรบกวน จนกระทั่งมีเสียงวิ่งโครมครามจากนอกห้องใกล้เข้ามาเรื่อยๆก่อนที่ประตูจะถูกเลื่อนเปิดออกเสียงดังสนั่นพร้อมชายสามคนล้มตึงเข้ามาในห้องและเสียงโวยวายของลูเซ็นท์ที่ถูกแพทย์สองคนเกาะแขนและขารั้งตัวชายหนุ่มเอาไว้จนเจ้าของห้องรู้สึกไม่แปลกที่เห็นทั้งหมดล้มหงายหลังกันเข้ามา
    “โธ่! ปล่อยผมสิ ผมจะไปดูหน้าลูก”
    “คุณก็อย่าทำเสียงดังสิครับนี่มันโรงพยาบาลนะครับ”
    “รู้แล้ว! คุณปล่อยผมซะทีสิ”
    “ไม่ปล่อย เดี๋ยวคุณได้ทำเสียงดังอีก”
    “เขาไม่ทำหรอกค่ะ เพราะมาถึงเรียบร้อยแล้วละค่ะ” ศิศีระที่อยู่บนเตียงพูดขึ้นเหมือนเห็นท่าทั้งสามจะตะโกนใส่กันอีก นายแพทย์ทั้งสามรีบขอโทษศิศีระและลูเซ็นท์ก่อนจะปล่อยเขาให้เป็นอิสระ พอดีกับที่เซนก้าและเคลาด์เข้ามาพอดีทั้งสองจึงขอตัวออกไปจากห้องพร้อมลากเคลาด์กลับไปทำงานด้วยโดยไม่ฟังคำขอร้องของอีกฝ่ายเลย
    “งั้นลูเซ็นท์ อีกสองนาทีฉันจะมาดูหลานนะ” เคลาด์บอกอย่างเสียดาย ลูเซ็นท์พยักหน้าหงึกๆแล้วปล่อยให้แพทย์ทั้งสามลากตัวเพื่อนออกไปก่อนจะรีบเข้าไปหาศิศีระทันที
    “ไหนๆขอดูเจ้าตัวน้อยของผมหน่อย ดูสิจะหล่อเหมือนพ่อหรือเปล่า” ลูเซ็นท์พูดอย่างตื่นเต้นแล้วก้มลงไปหาห่อผ้าในอ้อมแขนของหญิงสาว
    “นี่คุณ อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเขาก็ตื่นหรอก” ศิศีระเอ็ดลูเซ็นท์ ชายหนุ่มยิ้มแหย่ๆเป็นเชิงขอโทษก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดผ้าออก ภายในห่อผ้ามีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนอนเอาแก้มแนบอกของผู้เป็นแม่หลับปุ๋ยไม่รู้สึกตัว รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มทันทีที่ได้เห็นหน้าลูกชายของเขา ลูเซ็นท์ลองเอานิ้วจิ้มแก้มนิ่มๆของลูกชาย เจ้าหนูน้อยขยับตัวเล็กน้อยแล้วจับนิ้วของลูเซ็นท์เอาไว้แน่นก่อนจะหลับต่อ ลูเซ็นท์หัวเราะเบาๆแล้วโยกแขนเล็กๆไปมา เจ้าตัวน้อยก็ยังไม่ตื่น แต่มือของเขาก็กำนิ้วของลูเซ็นท์แน่นขึ้นอีกซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีที่เป็นเช่นนั้นเพราะอย่างน้อยๆเขาก็พอจะรู้ได้ว่าลูกชายของเขาแข็งแรงดี เซนก้าที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองเพื่อนของตนแล้วก็ยิ้ม ศิศีระเองเมื่อเห็นลูเซ็นท์มีท่าทีแบบนั้นเธอก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เธอมองทั้งสองอย่างมีความสุขก่อนจะเหลือบไปเห็นบางอย่างบนแก้มซ้ายของลูกชาย
    “อ่ะจริงสิ คุณคะดูนี่สิ” เธอพูดเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ลูเซ็นท์มองเธออย่างงงๆ ศิศีระยิ้มให้เขาน้อยๆแล้วเปิดเปิดผ้าที่ปิดแก้มซ้ายของลูกชายออก ลูเซ็นท์ก้มลงมองแก้มของเจ้าตัวน้อย สัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวสีดำปรากฏเด่นชัดบนแก้มของเด็กน้อย ปลายด้านล่างของพระจันทร์เสี้ยวมีรอยคล้ายเลขสี่ที่ขาดเส้นหลังตระหวัดหางยาวลงมาเหมือนถูกเขียนด้วยพู่กัน ชายหนุ่มมองสัญลักษณ์บนแก้มของลูกชายโดยไม่พูดอะไร เขาค่อยขยับมือข้างที่ถูกจับไว้เข้าใกล้แก้มข้างซ้ายแล้วลูบสัญลักษ์นั้นเบาๆ เจ้าหนูน้อยคลายมือออกจากนิ้วของแม่มาจับมือของลูเซ็นท์แล้วเลือนเข้าปาก ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆก่อนจะค่อยๆเอามือออกจากปากและมือของลูกชายแต่สายตายังจับจ้องสัญลักษณ์ด้วยแววตาชื่นชม ทว่าความกังวลใจก็มีมากพอกัน ศิศีระมองใบหน้าที่เป็นกังวลของลูเซ็นท์อย่างไม่สบายใจก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสกับใบหน้าของเขาเบาๆแล้วยิ้มปลอบ
    “ถึงแม้จะใช่ ยังไงเขาก็เป็นผู้สืบทอดแห่งวงพระจันทร์นะคะ” เธอบอก จริงสินะ ยังไงเขาก็เป็นพระจันทร์อีกเวลาหนึ่งนี่น่า ลูเซ็นท์พยักหน้าช้าๆแล้วก็ยิ้มก่อนจะสวมกอดศิศีระและลูกชาย
    “นั่นสินะ...”
    ตึก! ตึก! ตึก!
    ลูเซ็นท์!!
    เสียงตะโกนของเคลาด์ดังหวากความเงียบเข้ามาก่อนที่ตัวของเขาจะเลื่อนประตูเปิดเสียงดังลั่น ลูเซ็นท์สะดุ้งสุดตัวอย่างไม่ตั้งใจแล้วมองไปยังเพื่อนของเขาอย่างงงๆ เคลาด์วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจเก้าอี้ที่เขาชนล้มกลิ้งเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ถึงตัวลูเซ็นท์เขาก็กำคอเสื้อของลูเซ็นท์ไว้แน่นแล้วหอบหายใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองลูเซ็นท์อย่างตื่นๆแล้วตอบคำถามที่ลูเซ็นท์กำลังจะถามออกมา
    “กะ... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พะ... พวกนั้น... พวกนั้นมาแล้ว...” เขาละล่ำละลักบอก สองขาที่อ่อนแรงพยายามยันร่างกายให้ยืนได้ลำบากเต็มที “มัน... มันมาตามหานาย... มันมาแล้ว...”
    “แล้วทำไมละ พวกนั้นก็มาเหมือนทุกทีไม่ใช่หรอ” ลูเซ็นท์ถาม เขาตกใจเล็กน้อยที่เห็นเพื่อนเป็นอย่างนี้
    “ไม่... ไม่ ลูเซ็นท์... ไม่เหมือน...” เคลาด์สำลัก มือที่เปียกเหงื่อโชกดึงลูเซ็นท์เข้ามาก่อนจะพูด
    “มันมาหานาย... มันมาพร้อมกับสิ่งนั้น... มันปลดผนึกสิ่งนั้นแล้วพามาที่นี่แล้ว...” เคลาด์บอกเสียงแหบ แต่นั่นก็ทำให้ลูเซ็นท์มองเขาอย่างไม่เชื่อหู “มันเอามาแล้ว... เวลา... เวลาของตระกูลนาย...มันปลดผนึกออกมาแล้ว...”
    ทันทีที่พูดจบ เซนก้ากับลูเซ็นท์ก็คว้าอาวุธมาไว้ในมือแล้ววิ่งออกจากห้องก่อนที่เคลาด์จะทันได้ห้าม เสียงฝีเท้าของทั้งคู่ค่อยๆหายไปในขณะที่เคลาด์พยายามจะวิ่งตามไปห้าม ทว่าอะไรบางอย่างก็ดึงให้เขาต้องหันกลับเข้ามาในห้องมาพบกับภาพที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงสุดขีด...
    คุณศิศีระ!!!
-------------------------------------
    บนท้องฟ้าภายนอก พระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินถูกบดบังด้วยเมฆหมอกสีหม่นจนไร้แสงเหมือนกับเมืองหลวงเบื้องล่างที่กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง หิมะและหมอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาในเมืองนี้เลย ผู้คนจำนวนมากต่างออกมาภายนอกเคหะสถานเพื่อสังเกตการณ์ ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนบนท้องถนนเองต่างก็หยุดมองความเปลี่ยนแปลงภายในเมืองของพวกเขาอย่างสงสัยระคนตื่นเต้น พวกเขาต่างจับหิมะสีขาวมาไว้ในมือโดยไม่ได้สนใจว่ามันจะคงสภาพเดิมเอาไว้โดยไม่ละลาย รถราที่วิ่งตามถนนสามารถวิ่งได้ตามปกติแม้เบื้องหน้าจะมีหมอกปดบังอยู่ ทว่ามันก็เหมือนกับเป็นเพียงภาพลวงตาที่สัมผัสได้ ความเย็นของมันคงอยู่แม้ว่าดวงตาของพวกเขาจะมองเห็นมันแต่ภาพของหมอกนั้นก็ผ่านไปเสมือนม่านล่องหน เกล็ดน้ำแข็งจับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่ต่างๆไม่เว้นแม้แต่หลอดไฟที่กำลังทำงานอยู่ ความผิดปกตินี้แทบจะไม่มีใครสนใจจนเมื่อนักข่าวจากทุกช่องสถานีได้ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกตินี้ จากความตื่นเต้นตอนนี้มีแต่ความสงสัยเมื่อทุกสิ่งในเมืองนี้ต่างให้ความรู้สึกเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงนาฬิกาของพวกเขาเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะเดินอย่างปกติแต่ก็เดินเพียงเข็มวินาที ทุกสิ่งทุกอย่างเดินไปอย่างช้าๆเหมือนกำลังจะหยุดจนเมื่อท้องฟ้าโปร่งไร้ซึ่งดวงดาวและพระจันทร์ บางสิ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือเมืองพวกเขา ดาบสีดำที่กำลังกางปีกสีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรีปล่อยขนนกเรืองแสงน้ำเงินเข้มจำนวนมากออกมาปกคลุมท้องฟ้าบดบังร่างของมันจากสายตาผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง ทันทีที่ขนนกกระจายออก เสียงของการสู้รบก็ดังขึ้นเหนือพื้นดินเบื้องล่างทันที
    “ไนท์คีปเปอร์ทั้งหมดห้ามถ่อยเป็นอันขาดถ้าฉันไม่ได้สั่งเข้าใจไหม!!” เสียงของเซนก้าดังแหวกเสียงปืนและเสียงคำรามบนฟ้าสั่งกลุ่มคนจำนวนมากรอบตัวที่กำลังสาดกระสุนใส่ผู้บุกรุกไม่ยั้งมือในขณะที่ผู้บุกรุกเองก็พยายามที่จะล้มพวกเขาให้ได้เช่นกัน เวทย์มนต์หลากหลายรูปแบบจากมือของผู้บุกรุกพุ่งผ่านร่างของภูติที่ค่อยปกป้องนายของมันโจมตีเหล่าไนท์คีปเปอร์เป็นชุด จนบางคนพลาดท่าโดนเวทย์เข้าจนไม่สามารถสู้ต่อได้แต่ว่าฝ่ายของพวกเขาก็ยังได้เปรียบกว่าเพราะมีลูเซ็นท์และเซนก้าไล่เก็บฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็วทำให้ฝ่ายผู้บุกรุกเหลือไม่ถึงครึ่ง ทำให้ผู้บุกรุกต้องล่าถอยกลับไปอยู่ข้างดาบสีดำนั้น ลูเซ็นท์เริ่มรู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้ดาบนั่นเท่าใด ความกังวลใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ คงเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นหัวหน้าของเจ้าพวกนี้แน่ๆ... เขาก็ขอให้เป็นเช่นนั้น
    “หัวหน้ากลุ่มของพวกมัน... ไม่อยู่” ลูเซ็นท์พูดอย่างเป็นกังวลกับเพื่อน เซนก้าขมวดคิ้วแล้วมองไปทางวัตถุบนฟ้า เขาพยายามเพ่งมองผ่านขนนกบนท้องฟ้าที่เพิ่มขึ้นทุกวินาทีก่อนจะเห็นอะไรบางอย่าง
    “ลูเซ็นท์! นั่น!” เซนก้ากระตุกคอเสื้อลูเซ็นท์แล้วชี้ให้ดู บนนั้น มีร่างของชายในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งลอยอยู่ข้างๆดาบ ชายคนนั้นสวมฮูดปิดบังหน้าตาและไม่ได้ช่วยฝ่ายตัวเองโจมตีเลย เขาเพียงแค่มองไปรอบๆการต่อสู้เบื้องล่างเหมือนจะมองหาอะไรบางอย่าง ลูเซ็นท์ไม่รอช้า เขาพุ่งเข้าใส่ชายคนนั้นทันที
    ผัวะ!!
    ลูเซ็นท์ฟาดปืนเข้าหน้าของชายคนนั้นจนหน้าหัน ผู้บุกรุกสองคนที่ลอยอยู่ใกล้ตัวลูเซ็นท์มากที่สุดหันมามองอย่างตกใจ ลูเซ็นท์สะบัดปีกยกปืนขึ้นยิงกระสุนเวทย์อัดส่งร่างของทั้งสองกระเด็นไปคนละทาง ลูเซ็นท์เลื่อนปืนมาตรงหน้าพอดีกับที่ชายคนนั้นสะบัดมือร่ายเวทย์ใส่ กระสุนของลูเซ็นท์และเวทย์ของผู้บุกรุกระเบิดทันทีที่ปะทะกันส่งร่างทั้งสองลอยไปคนละทาง ลูเซ็นท์กลับตัวกางปีกออกหยุดกลางอากาศแล้วรัวยิงใส่หลายนัด หัวหน้าผู้บุกรุกสะบัดมืออีกครั้งเรียกหนังสือเล่มหนึ่งออกมาแล้วร่ายเวทย์ปัดกระสุนของลูเซ็นท์ออกนอกวิถีอย่างง่ายดาย
    “โอ้ มาแล้วรึองค์ชาย” ชายคนนั้นพูดยิ้มๆแล้วยกมือขึ้น เหล่าผู้บุกรุกเมื่อเห็นสัญญาณก็หยุดมือแล้วถอยมาอยู่ข้างๆเขา เซนก้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สู้จึงส่งสัญญาณให้ถอยเช่นกัน “ผมรอท่านตั้งนานแน่ะนึกว่าท่านจะไม่มาซะแล้ว
”
    “นายทำแบบนี้ทำไม มาร่า ต้องการอะไร” ลูเซ็นท์ถาม ยังไม่ลดปืนทั้งสองกระบอกลง
    “พวกเราก็แค่ อยากจะแสดงจุดยืนที่มั่นคงของพวกเราก็แค่นั้นเองครับ” มาร่าตอบ ท่าทางไม่ได้ตกใจกลัวปืนของลูเซ็นท์เลยแม้แต่น้อย
    “จุดยืน?” ลูเซ็นท์ทวนคำ “ฉันไม่ยักรู้มาก่อนแฮะว่าพวกนายต้องทำแบบนี้ด้วย”
    “อ้อ แน่นอนว่าท่านต้องไม่ทราบ เพราะว่าพวกเราน่ะ... ไม่ได้อยู่กับพวกนั้นอีกแล้ว” มาร่าพูดเรียบๆโดยไม่มองหน้าลูเซ็นท์ “พวกเราน่ะ หันหลังให้กับไอ้พวกที่คอยเอาแต่เล่นกับท่านโดยไม่ยอมใช้ของพวกนั้นเป็นอาวุธเลยตั้งแต่วันนี้ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย” เขาบอกแล้วยิ้มให้ลูเซ็นท์ซึ่งเขาไม่อยากจะได้มันเลยสักนิด
    “แล้วสิ่งที่พวกทรยศอย่างพวกแกต้องการคืออะไร” ลูเซ็นท์ถามเสียงสั่นด้วยความโกรธ มาร่ามองลูเซ็นท์ที่กำลังโกรธอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตอบ
    “ก็แค่... ชีวิตและบริวารของท่านเท่านั้น
”
    ปัง!
    ลูเซ็นท์ลั่นไกทันทีที่มาร่าพูดจบ พวกของมาร่าอีกอยู่ใกล้ๆตัวเขาร่ายเวทย์ป้องกันนายไว้ได้อย่างหวุดหวิด มาร่าที่มีท่าทางตกใจเล็กน้อยแสยะยิ้มให้ลูเซ็นท์แล้วร่ายเวทย์เรียกร่างเงาเจ็ดร่างพุ่งเข้าโจมตี
    “ฮ่า! ฮ่า! ดูท่าทางท่านจะไม่ยอมง่ายๆด้วยใช่ไหมเนี่ย!” มาร่าตะโกนเข้าสะบัดมือบังคับร่างเงาให้พุ่งเข้าใส่ลูเซ็นท์พร้อมกันทุกทาง
    “แน่นอน ใครจะยอมให้ไอ้บ้าอย่างแกไปเล่า!”  ลูเซ็นท์ตวาดหลับแล้วรัวยิงร่างเงาจนสลายไปก่อนจะยิงกระสุนเวทย์สีดำสองนัดออกไปอย่างรวดเร็ว
    “ลูเซ็นท์ อย่าเพิ่ง!!”
    เสียงของเคลาด์ตะโกนขึ้นมาจากข้างหลังลูเซ็นท์พร้อมกับที่กระสุนของเขาถูกหมอกควันหักเหไปทางอื่น ลูเซ็นท์หันควับไปทางด้านหลัง เคลาด์ในสภาพที่อ่อนแรงและมีบาดแผลทั่วร่างเดินอย่างยากลำบากบนดาดฟ้าของตึกด้านหลังลูเซ็นท์มาที่ราวกั้น เลือดของชายหนุ่มไหลออกมาไม่หยุดอย่างน่ากลัว ลูเซ็นท์และเซนก้ารีบเข้าไปพยุงร่างเคลาด์ที่กำลังหมดแรงอยู่บนดาดฟ้าในทรงตัวยืนอยู่ได้อย่างทุลักทุเล
    “เคลาด์! เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายเป็นแบบนี้... ละ... แล้วศิศีระละ” ลูเซ็นท์ถาม ใบหน้าของเขาซีดขาวเหมือนกับเคลาด์ด้วยความกังวลสุดขีด เคลาด์จับคอเสื้อของลูเซ็นท์ไว้แน่นแทนหลักแล้วยกมืออีกข้างที่ชุ่มไปด้วยเลือดชี้ไปทางมาร่า
    “โอ้ นี่พระสหายของท่านยังไม่ตายหรอเนี่ย แย่จังเลย สงสัยต้องฝึกปรือฝีมือเจ้าพวกผู้ติดตามสักหน่อยแล้ว” มาร่าพูดแล้วเอาถอนหายใจทำท่าเหมือนคนผิดหวัง ลูเซ็นท์กัดฟันอย่างโกรธแค้นแล้วยกปืนขึ้นแต่เคลาด์ก็รีบจับปืนกระบอกปืนหันไปทางอื่นทันที
    “เคลาด์ปล่อยนะ! ฉันจะฆ่ามัน!”
    “ผมว่า ท่านน่าจะเชื่อสหายของท่านมากกว่านะองค์ชาย ถ้าท่านยังไม่อยากเสียใจภายหลัง” มาร่าพูดเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยที่แสนน่าเกลียด
    “หมายความว่าไง?” ลูเซ็นท์ถามอย่างไม่เข้าใจ มาร่ายิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทีของลูเซ็นท์ เขายกมือขึ้นดีดนิ้ว สายลมจากรอบตัวของมาร่าไหลมารวมกันที่ข้างตัวเขาเกิดเป็นภูติในร่างของหญิงสาวตนหนึ่งกำลังกอดผู้หญิงอีกคนเอาไว้โดยเอาลูกธนูดอกหนึ่งจ่อไว้ที่คอของผู้หญิงที่เธอกอด ลูเซ็นท์เบิกตากว้าง ผู้หญิงคนนั้น คนที่ถูกจับเอาไว้ ศิศีระ...
    “ศิศีระ!!” ลูเซ็นท์ตะโกนลั่น ใช่เธอจริงๆไม่ผิดแน่ ศิศีระที่ดูอ่อนแรงเช่นเดียวกับเคลาด์มองลูเซ็นท์ด้วยแววตาเลื่อนลอย ลูเซ็นท์มองเธออย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะสังเกตเห็นอีกสิ่งในอ้อมแขนของเธอ ลูกชายของเขาก็อยู่กับเธอด้วยเช่นกัน
    “คิดว่าลืมไปแล้วซะอีก” มาร่าพูดแล้วหัวเราะเบาๆพอใจกับอาการของลูเซ็นท์ “พอดีผู้ติดตามเห็นว่าเธอไม่มีใครดูแลก็เลยสงสารพามาด้วย แบบว่า... ใจดีน่ะ”
    “ส่งเธอคืนมานะ!” ลูเซ็นท์ตะโกนด้วยเสียงกราดเกรี้ยวแล้วยกปืนขึ้นเล็งไปทางมาร่า มือของเขาสั่นด้วยความโกรธจนแทบจะห้ามนิ้วไม่ให้ลั่นไกไว้ไม่ได้
    “โอ้ไม่ต้องห่วงไปหรอกองค์ชาย ผมคืนเธอให้ท่านแน่เพราะว่าเธอน่ะไม่มีความจำเป็นอะไรต่อแผนการของเราเลยแม้แต่น้อยแล้วก็เธอก็เป็นคนสำคัญของท่านด้วยสิ ยังไงผมก็ต้องคืนอยู่แล้ว” มาร่าบอกแล้วเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูออกมาจากมือของภูติก่อนจะพยักหน้าให้ ภูติแห่งลมค่อยๆคลายอ้อมกอดออกจากตัวของศิศีระอย่างระวังแล้วโบกมือเรียกลมมาหอบร่างของเธอส่งให้ลูเซ็นท์ ร่างของศิศีระถูกลมหอบส่งมาอย่างช้าๆ ลูเซ็นท์รีบผละออกจากเคลาด์เพื่อไปรับร่างของภรรยา เขายื่นมือไปจับแขนของเธอเอาไว้แล้วค่อยๆดึงเข้าหาตัว รอยยิ้มเริ่มปรากฏตรงหน้าของลูเซ็นท์ในขณะที่มาร่าเองก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
    “แต่ว่า
”
    พรึบ!!
   
    ร่างของศิศีระหยุดนิ่ง สายลมของภูติไหลออกจากตัวของเธอกลับเข้าไปหานายของมันรมตัวกันเป็นคันธนู เซนก้ารับรู้ได้ถึงความผิดปรกติรีบยกปืนขึ้นจังหวะเดียวกับที่มาร่าโยนลูกธนูที่ถืออยู่ให้กับภูติแห่งลมพอดี
    “ผมจะให้ท่านไปแต่ร่างไร้วิญญาณเท่านั้นนะ!!” มาร่าตะโกน ภูติแห่งลมคว้าลูกธนูมาขึ้นคันแล้วง้างยิงออกไปทันทีพร้อมเซนก้าที่ยิงปืนสวนกลับไปเป็นชุด กระสูนของเซนก้าพุ่งเข้าทำลายธนูของภูติก่อนจะถึงตัว แต่นั่นก็ทำให้จำนวนลูกธนูเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบดอก ลูเซ็นท์เบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วรีบชักปืนขึ้นยิงทำลายลูกธนูอย่างรวดเร็ว ทว่า...
    ฉึก!!
    ลูกธนูในมุมอับสายตาของลูเซ็นท์พุ่งเสียบทะลุอกของศิศีระหนึ่งดอก และก่อนที่ลูเซ็นท์จะทันได้ช่วย ลูกธนูอีกสามดอกก็พุ่งเสียบด้านหลังของศิศีระส่งร่างของเธอเข้าไปหาลูเซ็นท์ที่ยืนตาค้างล้มลงไปนั่งกับพื้น ลูเซ็นท์ก้มลงมองหญิงสาวที่ร่างอาบไปด้วยเลือดอย่างไม่เชื่อสายตาในขณะที่ลูกธนูค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิมของมัน...
“มาร่า!! แกไอ้สารเลว!”
    เซนก้าตะโกนลั่นแล้วปืนขึ้นรัวยิงมาร่าพร้อมเหล่าไนท์คีปเปอร์ไม่ยั้งมือ เหล่าผู้บุกรุกที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกกระสุนปืนของไนท์คีปเปอร์จนไม่สามารถสวนกลับมาได้ แต่ลูเซ็นท์กลับไม่ได้สนใจรอบข้างเลย เขากอดร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของศิศีระแน่น ในขณะที่เคลาด์พยายามยื้อชีวิตของเธอเอาไว้สุดความสามารถอยู่ข้างๆลูเซ็นท์
    “คุณอดทนไว้นะ... อดทนไว้... ห้ามตายเด็ดขาดนะ” ลูเซ็นท์พูดเสียงสั่น เสียงสะอื้นของเขาถูกเสียงกระสุนปืนกลบไปจนหมดแต่น้ำตาของเขาที่ไหลลงอาบแก้มลงมาสัมผัสกับมือของหญิงสาวที่กำลังจับใบหน้าของผู้เป็นที่รักอยู่ก็บอกความรู้สึกของชายตรงหน้าได้เป็นอย่างดีเพราะเธอเองก็กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
    “อย่ายื้อต่อไปเลยค่ะ... ฉันคง... ไม่ไหวแล้วละ...” เธอพูดกับลูเซ็นท์อย่างยากลำบากและฝืนยิ้มให้เขา ทำให้ลูเซ็นท์ยิ่งเจ็บมากเข้าไปอีกเป็นร้อยเท่า
    “ได้ยังไงละ คุณต้องไม่เป็นอะไรสิ...” ลูเซ็นท์พูดเสียงดังแล้วกำมือของเธอเอาไว้แน่น “คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ... คุณจะตายไม่ได้...”
    “ได้สิคะ... นี่คงจะถึง... เวลานั้นแล้วละ...” เธอพูดเสียงแผ่ว “เวลา... ที่ฉันจะต้องคืนชีวิต... ให้คุณ”
    “ไม่... มันยังไม่ถึงเวลานะ...”
    “ไม่หรอกค่ะ... ถึงแล้วต่างหาก...” ศิศีระแทรกขึ้นอย่างอ่อนแรง ลมหายใจของเธอแผ่วลงไปมากจนลูเซ็นท์แทบจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจของเธอเลยแต่กระนั้นเธอก็พยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก
    “ตอนนี้ขนนกนั่นกำลังจะปกคลุมทั่วท้องฟ้า... เวลาเองก็เริ่มหยุดหมุน... ลูเซ็นท์คะ... หน้าที่สุดท้ายของเรา... เราต้องทำนะคะ...” เธอบอก ดวงตาของเธอเริ่มมองไม่เห็น ทุกอย่างดูมืดและหนาวเย็น มือของเธอเริ่มไร้เรี่ยวแรงและลมหายใจก็เริ่มแผ่วลง...
    “ต้องทำ... นะคะ...”
    วิ้ง!
    ขนนกสีน้ำเงินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาพร้อมกัน การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายหยุดไปชั่วขณะเพื่อมองดูความเปลี่ยนแปลงของพวกมัน ประกายแสงสีดำสนิทค่อยกระจายออกจากขนนกระหว่างที่มันร่วงลงสู่พื้น ความผิดปกติเกิดขึ้นทันทีที่ขนนกพวกนี้สัมผัสกับวัตถุหรือสิ่งมีชีวิต ทุกอย่างช้าลงหรือหยุดนิ่งไปทันที และก่อนที่จะรู้ตัว ขนนกพวกนี้ก็เกาะอยู่บนร่างของไนท์คีปเปอร์ทุกคนแล้ว เซนก้าสถบออกมาอย่างหัวเสียพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับแขนขาให้ได้แต่ก็ล้มเหลว ทุกคนไม่สามารถขยับตัวได้ยกเว้นลูเซ็นท์ที่กำลังยืนอุ้มร่างของศิศีระเอาไว้ น้ำจากดวงตาที่แดงก่ำไหลลงอาบแก้มสะท้อนแสงจากแสงไฟปรากฏให้เห็นรอยสัญลักษณ์สีดำบนแก้มข้างซ้ายได้ถนัดตา ชั่วครู่หนึ่งเขาพึมพำอะไรบางอย่างแล้วขนนกสีดำจำนวนมากก็ไหลวนรอบตัวเขาไปรวมตัวกันที่หลังกลายเป็นปีกสีดำสี่ปีกกางอย่างสง่างาม เขาหันมาหาเคลาด์ที่ไม่สามารถขยับตัวได้แล้วพึมพำเบาอีกครั้ง ลูกชายของเขาในห่อผ้าก็ลอยไปอยู่บนตักของเคลาด์อย่างนุ่มนวลโดยที่เด็กไม่ตื่น เคลาด์มองเด็กบนตักของเขาอย่างไม่เข้าใจแล้วหันไปหาลูเซ็นท์
    “ลูเซ็นท์... นายจะทำอะไร” เคลาด์ถาม รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันทีกับท่าทีของเพื่อน “นายคงจะไม่...”
    “ฉันต้องทำแล้วละ เคลาด์” ลูเซ็นท์แทรก เคลาด์ถึงกับหน้าถอดสี “ฝากดูแลลูกของฉันด้วยนะ” เขาบอกแล้วส่งของอีกสองสิ่งให้เคลาด์ ปืนและกำไล
    “ดะ... เดี๋ยวสิลูเซ็นท์... นายจะทำ... อั๊ก” เคลาด์ร้องอย่างเจ็บปวด บาดแผลบนร่างของเขาเปิดกว้างสร้างความเจ็บปวดทิ่มแทงร่างของเขา ทว่าเลือดก็ไม่ยอมไหลออกมา ร่างกายทุกส่วนของเขาที่มีขนนกประทับอยู่ไม่สามารถขยับได้เหมือนถูกตรึง และเมื่อเขาหันกลับมาลูเซ็นท์ก็กางปีกทะยานออกไปแล้ว
    “พะ... พวกแก! หยุดมันเอาไว้!!” มาร่าตะโกนทันทีที่เห็นลูเซ็นท์ทะยานเข้ามา เวทย์หลากบทและศาสตราของเหล่าภูติวิ่งสวนทางลูเซ็นท์หมายจะหยุดยั้งเขาเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถผ่านขนนกสีดำที่ปรากฏขึ้นสวนทางกับมันมาได้ ฝ่ายผู้บุกรุกมองเขาอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกับเหล่าไนท์คีปเปอร์ เซนก้าอ้าปากพยายามเปล่งเสียงสุดความสามารถแต่ก็ทำไม่ได้ เคลาด์ที่กอดเด็กไว้กับตัวพยายามยืนขึ้นให้ได้แม้จะเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว แต่มันก็สายไปแล้ว...
                “ลูเซ็นท์!! กลับมา!! ลูเซ็นท์!!”
    “พ่อกับแม่ขอโทษลูกด้วยนะ...” ลูเซ็นท์พูดเบาๆก่อนจะหลับตาตัดหยาดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากดวงตา...
    ลูเซ็นท์!!!!!!!!!!!!!
---------------------------------
ปี ค.ศ. 2004, ประเทศฝรั่งเศส
    ครืน!
    เสียงเครื่องบินวิ่งไปบนรันเวย์ของสนามบินที่ทอดตัวยาวเหยียดหลายเมตรกระตุนให้เด็กชายคนหนึ่งหันกลับไปมองยังสนามบินด้านหลังอย่างตื่นเต้น แม้ว่าเขาจะเพิ่งขึ้นเครื่องบินมาและยังเคยมาประเทศนี่มาก่อนแล้วแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเครื่องบินที่กำลังทะยานไปบนท้องฟ้า หรือแม้แต่ตึกรามบ้านช่องตามสองข้างทางที่ผ่านไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่เขานั่งรถผ่านเขาก็ยังต้องเหลี่ยวหลังกลับมามองทุกครั้งไป คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของเขาก็เป็นได้อะไรๆมันก็เลยดูน่าตื่นเต้นไปหมดซะทุกอย่าง และเมื่อใกล้ถึงที่หมายมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเด็กน้อยนึกอยากจะลงจากรถแล้ววิ่งไปเองเสียมากกว่า แต่เขาก็พยายามเก็บอาการทั้งหมดไว้ให้ได้มากที่สุดเพราะเขาไม่ได้นั่งรถมาคนเดียว ข้างๆเขามีชายอีกคนในชุดกราวสีขาวสะอาดนั่งอยู่ด้วยและเขาก็กำลังมองหลานชายที่มีท่าทีตื่นเต้นอย่างอารมณ์ดี แต่เขาก็รู้สึกแย่นิดๆเพราะทุกครั้งที่เด็กคนนี้สบตาเขา ก็จะทำท่าไม่พอใจเล็กน้อยแล้วรีบเบือนหน้าหนีและไม่พูดอะไรเลย จนนานเข้าชายคนนี้ก็ทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนกับหลานชาย
    “เป็นอะไรรึเรา หือ? หรือว่าโกรธที่ลุงไม่ยอมให้พาพวกดาน่ามาด้วย?” เขาถามแล้วลูบหัวเด็กชาย
    “ก็ใช่ครับ” เด็กชายยอมรับ “ลุงเคลาด์ก็รู้นิว่าถ้าปล่อยพวกเธอเอาไว้ที่บ้านโดยไม่มีใครดูแลมันจะเป็นยังไง” เขาบอกแล้วทำหน้ามุ่ยใส่ “ผมไม่เก็บกวาดให้แล้วนะคราวนี้”
    “ก็ได้ๆ” เคลาด์พูดยิ้มๆ
    เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงรถที่พวกเขานั่งมาก็มาถึงหน้าคฤหาสน์เก่าแก่แห่งหนึ่ง ทันทีที่รถพวกเขามาถึงประตูเหล็กบานใหญ่ก็เปิดออกต้อนรับพวกเขาสู่ถนนที่ทอดตัวยาวเข้าไปบริเวณด้านในของคฤหาสน์ก่อนจะจอดที่หน้าตัวคฤหาสน์ เด็กชายและเคลาด์กล่าวขอบคุณคนขับรถแล้วเดินกอดอกกันความหนาวเย็นของอากาศด้านนอกเข้าไปยังคฤหาสน์ เคลาด์จูงมือเด็กชายที่มีท่าทีตื่นเต้นสุดขีดไปหาหญิงในชุดคนรับใช้ที่ยืนรออยู่ในห้องโถงกลาง เขาล้วงเอาปืนประจำตัวจากใต้เสื้อกราวออกมา หญิงรับใช้เมื่อเห็นปืนของเคลาด์เธอก็เดินไปที่รูปปั้นเทพธิดาตรงมุมห้องแล้วแตะที่ปีก เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาแล้วพื้นห้องโถงก็ปรากฏวงเขตอาคมเวทย์ขนาดใหญ่ เคลาด์และเด็กชายเดินเข้าไปที่กลางวงเวทย์ พลันวงเวทย์ก็เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาก่อนจะส่งร่างของทั้งสองไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีคนสองคนยืนรอรับทั้งสองอยู่ที่นั่นแล้ว
    “ยินดีต้อนรับท่านทั้งสอง” ทั้งสองคนกล่าวทักทายแล้วโค้งให้ ฟังจากเสียงแล้วก็พอจะรู้ได้ว่าสองคนนี้เป็นผู้ชายอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ แต่เด็กชายก็รู้ว่ามันไม่ใช่ เพราะว่าผู้ที่จะมานำทางให้แก่เขานั้นไม่ใช่มนุษย์และมีอยู่บนโลกนี้มานานไม่ต่ำกว่าร้อยปี ทว่าทั้งสองก็แต่งกายอย่างสะอาดและสุภาพกว่าที่เด็กชายคิดเอาไว้ว่าทั้งสองจะต้องซอมซ่อและดูเก่า แต่นี่ชุดคลุมผ้ากำมะหยีสีขาวมีฮูดปกปิดใบหน้าของชายคนซ้ายก็เป็นสะอาดเรียบเป็นมันไม่มีรอยสกปรกเช่นเดียวกับชายชุดดำทางขวาดูไม่เหมือนกับผู้ที่มีอายุกว่าร้อยปีเลยแม้แต่น้อย
                “ขอเชิญท่านเคลาด์กลับไปก่อนนะครับ เพื่อความสะดวก” ชายในชุดขาวบอก เคลาด์พยักหน้าช้าๆแล้วเดินถอยออกมา เขายืนอยู่ด้านหลังของเด็กชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกวงเวทย์ของชายในชุดดำย้ายร่างไปอีกสถานที่หนึ่ง
                “เชิญองค์ชาย” ชายทั้งสองบอกแล้วเดินนำเด็กชายเข้าไปในทางเดินแคบๆด้านใน
                “นายว่า... เขาจะเห็นไหม” เซนก้าถามเคลาด์ ตอนนี้เขามาอยู่ในสถานที่อีกแห่งกับเหล่าไนท์ทั้งหมด
                “ไม่รู้สิ” เคลาด์ส่ายหน้า “ก็แล้วแต่โชคชะตาละนะ” เขาบอกแล้วนั่งลงบนโซฟาข้างตัวเซนก้าแล้วรอคอย...
                “ถึงแล้วองค์ชาย” ชายชุดดำบอกกับเด็กชายหลังจากเดินมาถึงบานประตูขนาดใหญ่สลักลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวกางปีกมาร รายล้อมไปด้วยเทพธิดาสีขาวโดยรอบ เด็กชายมองมันอย่างตื่นเต้นก่อนที่ชายทั้งสองจะเปิดประตูแล้วยืนหลีกทางให้เขา
                “เชิญท่าน” ทั้งสองกล่าวพร้อมกันแล้วผายมือไปด้านใน เด็กชายค่อยๆก้าวขาเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปข้างใน
                พรึบ!
                ทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามา ไฟนับร้อยบนเพดานอันมืดมิดก็ลุกขึ้นพร้อมกันให้แสงสว่างแกห้องอันมืดมิดเผยให้เห็นพื้นหินของห้องที่ตรงกลางสลักลายเช่นเดียวกับลายบนประตู เชื่อมโยงกันไปจนสุดด้านในของห้อง ที่นั่นเด็กชายได้พบกับแท่นหินซึ่งรองรับปืนสองกระบอกและกำไลข้างหนึ่งไว้ใต้ร่างของชายผู้หนึ่งที่ถูกตรึงด้วยโซ่น้ำแข็ง ใบหน้าของเขาถูกปกปิดด้วยแถบผ้ายาวสีแดงสดลงรอยอักขระบางอย่างพันไว้หลวมๆ แขนและขาของเขามีโซ่พันไว้โดยรอบยึดอยู่กับผนังห้องที่สลักวงเวทย์ขนาดใหญ่เปล่งแสงอยู่บนนั้น เด็กชายรู้สึกแปลกใจในตัวของชายคนนี้เล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด เด็กน้อยเดินต่อไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของชายผู้นี้ และเหมือนจะรับรู้การมาถึงของเขาชายหนุ่มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆมองลงมายังเด็กชาย
                “อีกรุ่นหรอ” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วจ้องมองเด็กชายตาไม่กระพริบเช่นเดียวกับที่เด็กชายทำ
                “คุณ... เป็นใคร” เด็กชายถาม นั่นทำให้ชายหนุ่มมองเขาอย่างตกใจ
                “ท่านมองข้าเห็นด้วยหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดแรง “ท่านได้ยินข้าด้วยหรือ”
                “อืม เห็นสิ แล้วก็ได้ยินด้วย” เด็กชายตอบ “คุณเป็นภูติหรอ”
              “ไม่ใช่หรอก ข้าไม่ใช่ภูติ” ชายหนุ่มตอบ
              “ไม่ใช่ภูติ แล้วทำไมไม่ออกจากเขตอาคมละ” เด็กชายถามแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มมองเด็กชายครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
                “ข้ารอคนอยู่น่ะ” เขาบอกแล้วก้มหน้าไม่สบตากับเด็กชาย “รอผู้ที่จะมาปลดปล่อยข้าออกจากการทรมานในพันธนาการนี้...” ชายหนุ่มพูดช้าๆก่อนจะนิ่งไปไม่พูดอีก เด็กชายเองก็ไม่ได้ถามต่อ เขาเพียงมองชายคนนี้เฉยๆและลองคิดหาทางช่วย หากว่าเขาสามารถทำลายวงแหวนเวทย์นี้ได้เขาก็สามารถที่จะช่วยชายคนนี้ออกมาได้ แต่ดูเหมือนจะยากเพราะวัดจากพลังเวทย์ที่ไหลวนอยู่รอบๆมันก็มีมหาศาลจนเขาแทบจะไม่สามารถปล่อยพลังเวทย์ออกมาได้เลยด้วยซ้ำ เด็กน้อยเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว สายตาจับจ้องวงเวทย์เพื่อหาจุดอ่อนและมือก็ค่อยๆยกปืนกระบอกหนึ่งขึ้นอย่างช้าๆ
                “ท่านจะทำอะไรน่ะ” ชายหนุ่มถามเมื่อพบว่าตอนนี้เขากำลังโดนปืนเล็งที่หัวอยู่
                “ก็กำลังจะปลดปล่อยคุณไง” เด็กชายพูดเรียบๆแล้วยิ้มให้เขาก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปในไกปืน...
                ปัง!
                เอ๊ะ?
              ความรู้สึกแปลกๆจากภายนอกผ่านเข้ามาในจิตใจของเด็กสาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่กลางห้องพิธีกลางป่าที่ไร้ซึ่งผู้คน พลังเวทย์มนต์ของป่าเขาธรรมชาติยามราตรีรอบๆตัวเธอสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ต้นสายของความรู้สึก หากแต่เป็นเพียงผลกระทบจากการที่พลังจิตของเด็กสาวหวั่นไหวในขณะที่กำลังทำสมาธิอยู่ เธอมองไปรอบๆตัวอย่างสงสัยโดยไม่รู้สึกว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องแล้ว
                “เป็นอะไรไปหรือองค์หญิง ท่านทำสมาธิเสร็จแล้วรึ” ชายชราคนที่อยู่หน้ากลุ่มคนถามขึ้นดึงให้เด็กสาวหันหน้ากลับเขามาด้านในห้องพิธีหลังจากที่มองเหม่อออกไปยังความมืดข้างนอกมานาน
                “อะ... เออ... ค่ะ เสร็จแล้วค่ะ” เธอตอบ “เอ่อ... ได้เวลาแล้วหรอคะเนี่ย” เธอถามเมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนมากที่คุ้นตาเดินเข้ามานั่งภายในห้อง
                “ใช่แล้วละองค์หญิง แล้วท่านละ พร้อมหรือยัง” ชายชราถาม แล้วเดินมานั่งลงข้างหน้าเว้นที่ห่างจากเธอประมาณสองเมตร
                “พร้อมแล้วค่ะ แล้วองค์หญิงจอมซนไปไหนแล้วละคะ” เธอถามพลางมองหาคนที่เธอกำลังเอ่ยถึง แต่ยังไม่ทันจะได้กวาดสายตา เด็กสาวก็โดนมือคู่หนึ่งโอบรอบคอแล้วถูกหอมแก้มฟอดใหญ่จากทางด้านหลัง จากสัมผัสที่คุ้นเคยของใบหูที่กระดิกอยู่ข้างแก้มกับกลิ่นตัวหอมๆที่ไม่เหมือนใครก็ทำให้เธอรู้ว่าคนที่มองหาอยู่ข้างหลังแล้ว
                “องค์หญิง อย่าเล่นอย่างนี้สิจักกะจี้นะ” เธอบอกยิ้มๆกับเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันด้านหลัง ซึ่งกำลังกระดิกหางและหูแมวสีน้ำตาลชอบใจกับอาการของเธอ
                “ฮิ ก็ท่านพี่ชอบเหม่อนี่น่าเลยโดนหนูเล่นงานเอาง่ายๆไง” เด็กสาวอีกคนบอกยิ้มๆแล้วคลายกอดออกจากพี่ที่กำลังลูบใบหูยาวเพื่อจัดขนสีขาวให้เรียบไปทางเดียวกัน “ท่านพี่เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ เมื่อกี้หนูลองสัมผัสหูพี่ดู ทำไมพลังของพี่วิ่งไปมาอย่างนั้นละ” เธอถามแล้วเอามือช่วยลูบหูพี่สาว เมื่อเรียบดีแล้วเด็กสาวผู้เป็นพี่ก็ลองกระดิกหูสองสามทีปล่อยพลังออกมานิดหน่อยแล้วสลายไปเพื่อให้น้องสาวดูว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว
                “รู้สึกถึงอะไรอย่างนั้นหรือองค์หญิง” ชายชราถามด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากได้ฟังผู้เป็นน้องพูด
                “ก็... รู้สึกเหมือน อะไรบางอย่างที่มีพลังเวทย์มหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจากที่ๆไกลแสนไกล มันเกิดขึ้นเร็วมากแล้วก็หายไป หนูลองพยายามจับหางของพลังเวทย์ตามไปแล้วแต่ก็โดนพลังนั่นกดเอาไว้ พลังของป่าเองก็สันสนหนูเลยหาต้นต่อของมันไม่เจอค่ะ” เธอตอบ รู้สึกแปลกใจนิดๆที่อยู่ๆชายชราตรงหน้าก็ดูจริงจังขึ้นมา
                “พลังเวทย์มหาศาล... งั้นหรอ” ชายชราทวนคำช้าๆแล้วทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบไปมองพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า เขานิ่งไปสักพักก่อนจะนิ่วหน้าแล้วหันมาหาเด็กสาว
                “พลังนั่นมีเท่าไหร่” เขาถาม สีหน้าจริงจังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจนเด็กสาวทั้งสองรู้สึกตกใจเล็กน้อย
                “มีสองค่ะ” เธอตอบ “พลังแรกหนูสามารถจับได้แต่อีกอันเหมือนไร้ตัวตน เหมือนกับ... น้ำแข็งกับหมอก...” เธอเสริม ท่าทีของเธอเองก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที
                “อย่างนั้นหรือ...” ชายชราพูดเบาๆแล้วเอามือจับคางครุ่นคิด เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ในระหว่างที่ชายชรานั่งนิ่งไตร่ตรองสิ่งที่เด็กสาวพูดมาจนคนรอบๆเริ่มรู้สึกสงสัย จนชายชราต้องหยุดคิดชั่วคราว
                “เรื่องนี้เราค่อยมาพูดกันครั้งหน้าเถอะองค์หญิง ตอนนี้ได้เวลาเริ่มพิธีแล้วหากชักช้าดวงดาวจะเลือนหายไปหมด” ชายชราว่า เด็กสาวทั้งสองพยักหน้าก่อนจะหลับตาแล้วเริ่มปลดปล่อยพลังของตนออกมา...
                “ท่านพี่กำลังพูดถึงเขาอยู่ใช่ไหมคะ...” เสียงของเด็กสาวหูแมวดังขึ้นข้างๆตัวเด็กสาวอีกคนหนึ่งเหมือนถูกกระซิบที่ข้างหูโดยที่เจ้าของเสียงไม่ได้ขยับปากพูดเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวผู้พี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจออกแล้วส่งคำตอบให้น้องสาว
                “อาจจะ... ใช่ก็ได้...”
              ตุบ!
              ร่างของชายหนุ่มหล่นลงมายืนบนพื้นใต้วงเวทย์อาคมที่ถูกทำลายไปแล้วโดยฝีมือของเด็กชายอายุสิบสองตรงหน้า พลังเวทย์จำนวนหนึ่งที่ถูกปล่อยออกมาแล้วไม่ได้ใช้ค่อยๆหวนกลับคืนสู่ร่างของเจ้าของอย่างช้าๆ โซ่น้ำแข็งที่พันรอบแขนและขาของชายหนุ่มยังคงพันอยู่ที่เดิมเหมือนผ้าลงอักขระบนหน้าของเขาที่ซึ่งเปลี่ยนสีจากสีแดงสดเป็นสีทอง สิ่งที่เด็กชายยิงออกไปเมื่อครู่ไม่ใช่กระสุนปืน หากแต่เป็นพลังเวทย์ต่างหาก และสิ่งที่เขายังก็คือผ้าบนใบหน้าของชายหนุ่ม จุดที่เขาจับความรู้สึกได้ว่ามีพลังเวทย์ป้องกันแรงมากที่สุด
              “ไม่น่าเชื่อ...” ชายหนุ่มพูดเบาๆขณะมองมือทั้งสองของต้นที่ตอนนี้สามารถขยับได้อย่างอิสระแล้ว “ข้าไม่ได้ขยับแขนขาตัวเองมานานสี่ร้อยปีแล้วนะเนี่ย” เขาพูดยิ้มๆแล้วหมุนแขนไปมาไล่ความเหมื่อยล้าที่เกาะกุมมานาน
              “ทีนี่คุณก็เป็นอิสระแล้วละนะ” เด็กชายบอก เขาเองก็ร่วมรู้สึกยินดีไปกับชายคนนี้ด้วยเช่นกัน “ว่าแต่... คุณชื่ออะไรหรอ” เด็กชายถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่รู้ชื่อชายคนนี้เลย ชายกนุ่มมองหน้าเด็กชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลบสายตาเขาแล้วตอบ
              “เอ่อ... คือ... ข้าน่ะ ไม่มีชื่อหรอก” เขาบอกเสียงค่อยในขณะที่ทำเป็นว่าง่วนอยู่กับการแกะน้ำแข็งที่ยื่นออกจากโซ่ออก
              “จริงหรือครับ งั้นผมตั้งให้เอาไหม” เด็กชายถามอย่างลิงโลดแล้ววิ่งเข้าไปหา ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อยเมื่อถูกจู่โจม เขามองเด็กชายที่กำลังส่งสายตาอ้อนมาอย่างเต็มที่ด้วยความขบขันก่อนจะพยักหน้าให้
              “ถ้าอย่างนั้นเอาชื่ออะไรดีน้า~” เด็กชายเอามือเกาหัวทำท่าคิดครู่หนึ่งจนผมยุ่งๆของเขายุ่งหนักขึ้นไปอีก เขาลองประกอบชื่อเองจากชื่อของสิ่งต่างๆที่เคยเห็นหรือได้ฟังมา แต่ว่าแต่ละชื่อก็ดูไม่เหมาะทั้งนั้น เขาเริ่มมองตัวของชายหนุ่มเผื่อว่าจะคิดอะไรออกก่อนจะไปสะดุดที่ผ้าลงอักขระบนใบหน้าของชายหนุ่ม มันทำให้เขานึกถึงชื่อๆหนึ่งของหนังสือที่เขาเคยอ่านเมื่อก่อน เด็กชายยิ้มกริ่มก่อนจะประกาศชื่อใหม่ของชายหนุ่มด้วยเสียงอันดัง
              “ต่อไปนี้คุณชื่อว่า ดรีมโกลด์ (Dream Gold) แล้วกันนะครับ” เด็กชายพูดยิ้มๆ ชายหนุ่มมองหน้าของเด็กชายก่อนจะยิ้มตอบ
              “อืม ต่อไปนี้ข้ามีชื่อว่าดรีมโกลด์ เรียกสั้นๆว่าดรีมแล้วกันนะ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่รู้ชื่อของเด็กคนนี้เลย
              “แล้วท่านมีชื่อว่าอะไรหรอ” เขาถามกลับ เด็กชายทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกชื่อตัวเองเลย แต่เมื่อเขาอ้าปากจะตอบ ประตูทางด้านหลังก็เปิดออกพร้อมร่างของชายสองคนที่นำทางเขามาเดินเข้ามาข้างใน
              “ท่านเซนก้าได้แจ้งมาว่า ขณะนี้ไนท์เซอจเจอร์กลุ่มหนึ่งได้พบกับประติมากรรมของดวงจันทร์ที่หายสาบสูญไปอีกชิ้นแล้ว” ชายชุดดำกล่าว
              “แล้วขณะนี้เหล่ามิสติคก็กำลังเดินทางไปหาประติมากรรมชิ้นนั้นเช่นกัน ท่านเซนก้าจึงอยากให้องค์ชายกลับไปเพื่อเริ่มภารกิจแรกของท่าน” ชายชุดขาวกล่าวต่อ เด็กชายพยักหน้ารับแล้วรีบคว้าปืนอีกกระบอกกับกำไลมาไว้กับตัวแล้วออกวิ่งทันที
              “เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายังไม่รู้ชื่อของท่านเลยนะ” ดรีมตะโกนถามแล้ววิ่งตามเขาไป เด็กชายที่กำลังจะก้าวเข้าไปในวงเวทย์ย้ายที่ของผู้นำทางทั้งสองหยุดกึก เขายิ้มกว้างแล้วหันมาหาดรีมก่อนจะพูดแนะนำตัว
              “Mon nom est Cynthia Quasidilen, le canonnier mystique”
                  (My name is Cynthia Quasidilen, The Mystic Gunner)
              เด็กชายตอบยิ้มๆแล้วโค้งให้เขาก่อนจะวิ่งผ่านวงเวทย์หายไป ดรีมที่ยืนนิ่งฟังคำตอบพยักหน้าเข้าใจก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าและดีใจในเวลาเดียวกัน
              “วนครบกลับมาอีกครั้งแล้วสินะ จุดจบน่ะ” ดรีมพูดเบาๆก่อนจะเดินตามซินเทียหายเข้าไปในวงเวทย์ทิ้งโบราณสถานให้กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
              “ขอให้ครั้งนี้มันจบจริงๆเถอะ
”
                                                                                      จบ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น