คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ IV เปลวเพลิงแห่งโมไนโรว์ ( Moniroar Underfire) II
ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลย แสงตะวันเริ่มคล้อยย่ามบ่ายแก่ สตรีนางหนึ่งนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด มือกร้านทั้งสองกำลังถักสอเส้นใยแห่งความห่วงใย ฝีมือจากใจมารดาเตรียมพร้อมให้บุตรรัก
ใบหน้าปรีดาเพลินใจแย้มรอยให้เห็น ในขณะที่สายตาหนึ่งจ้องมองนางอยู่ไม่ห่าง
"ทำไมท่านแม่ไม่ถักเสื้อตัวใหม่ให้ข้าบ้างล่ะ" มัคซาร์เอ่ยถามผู้เป็นมารดา ดวงตาสีทรายส่อแววน้อยใจปนปลาบปลื้ม
ริซาร์ชะงักงานฝีมือไว้ครู่หนึ่ง ถามกลับบุตรชายคนโตไปว่า
"ทำไมเจ้าถึงพูดจา ยังกับเด็กน้อย ที่ยังคงมีความอิจฉาเล็กๆอยู่ในใจล่ะ มัคซาร์ " ท่านแม่กล่าวเป็นเชิงสอนสั่ง พร้อมใบหน้าซ่อนยิ้ม
แหม ท่านแม่ก็ ...... " หนุ่มใหญ่ประจำบ้าน ส่งเสียงหัวเราะแก้เก้อ " ข้าก็แค่ถามประชดไปแบบนั้นแหละขอรับ .... เผื่อท่านแม่จะใจอ่อนให้คนโตแล้วอย่างข้าบ้าง เหอๆ"
บุตรชายหัวเราะเบิกบาน แล้วจึงสบตากับผู้เป็นแม่
"ท่านเป็นแม่ที่ดี และท่านก็สอนข้ามาดี ...... ข้าไม่มีทางอิจฉาน้องรักได้จริงๆ หรอก"
ผู้เป็นแม่ รู้สึกยินดี กับน้ำคำของบุตรรัก แม้จะไร้ซึ่งเสาหลักของครอบครัว ทว่านางก็พึงพอใจที่สามารถดูแล ลูกทั้งสองให้พ้นผ่านช่วงเวลาของชีวิตไปได้ด้วยดี ไม่เสียแรงที่นางทุ่มเทใจให้
"มินโฮออก ไปตั้งนานแล้ว ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ" ริซาร์นึกห่วงลูกคนเล็กขึ้นมา สายตาจับจ้องไปยังมื้อกลางวันบนโต๊ะอาหาร
ทว่าการสนทนาอันอบอุ่นต้องถูกขัดลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก็อกๆๆ !
ผู้เป็นแม่บ้านลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยังประตู
ด้านหลังแผ่นไม้ที่แง้มออก ปรากกฎร่างชายวัยกลางคนร่างท้วมผู้หนึ่ง เคราแดงเฟิ้มแลดูเป็นมิตร ทว่าสีหน้ากลับฉาบไปด้วยความกังวลใจบางอย่าง
"โมอาลี .... เป็นท่านนี่เอง " ริซาร์กล่าวทักแขกด้วยความเป็นกันเอง
ผู้มาเยือนพยักหน้ารับคำ แต่สายตาไม่ได้อยู่นิ่ง
"ข้ามีเรื่องสำคัญ มาบอก"
สตรีเจ้าของบ้านรู้สึกถึงความนัยอะไรบางอย่าง เลยผายมือเชิญแขกเข้ามาข้างใน
"เข้ามาก่อนสิ"
ร่างในชุดสีทราย เคลื่อนกายผ่านบานประตู เขามองสอดส่องออกไปนอกบ้านเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะปิดประตู ลงกลอน
ริซาร์สังเกตได้ถึงความไม่ปกติของสหายผู้นี้ โดยปกติแล้ว โมอาลีทำงานอยู่ในสมาคมพ่อค้าของไซเพิร์น ด้วยท่าทีอันเต็มไปด้วยอัธยาศัย และเป็นมิตรทำให้เขาเป็นผู้กว้างขวางในหมู่ผู้คน
ทว่าวันนี้ใบหน้าของชายเคราแดงกลับไม่มีท่าทีเบิกบานอย่างปกติ
"มัคซาร์ .... ไปเอาน้ำมาให้ลุงโมอาลีหน่อยสิจ๊ะ " ริซาร์ใช้ผู้เป็นบุตร ก่อนจัดแจงหาที่นั่งให้ผู้มาเยือน
"ท่านมาในวันนี้ มีเรื่องสำคัญอันใดรึ?" สตรีเจ้าของบ้าน เอ่ยถามพลางโน้มกายนั่งลง
ชายเคราแดงถอนหายใจยาว ระบายความกังวล
"ที่จริง ข้าเองอยากเป่าประกาศเรื่องนี้แก่สหายทุกคน หากแต่ทำไม่ได้"
ริซาร์ทำหน้างุนงง สงสัย
"เป็นเรื่องไม่ดีรึท่าน... ?"
โมอาลีพยักหน้าเป็นคำตอบ ในขณะที่มัคซาร์นำน้ำมาให้
ชายเคราแดงขอบใจเด็กหนุ่ม ก่อนดื่มน้ำดับความกลัดกลุ้ม
เขาจับจ้องมายังแม่ลูกทั้งสอง แล้วทำใจบอกไปว่า
"สงครามแห่งโมไนโรว์กำลังจะอุบัติขึ้น"
"................ !!?"
สองแม่ลูกถึงกับชะงักวูบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
"ท่าน ว่าอะไรนะ !?" มัคซาร์ถามกลับอย่างรวดเร็ว
"การปฏิวัติ มัคซาร์ ... การปฏิวัติ....... มันจะเกิดขึ้นในวันนี้ก่อนตะวันตกดิน"
ราวกับมีก้อนโลหะมาถ่วงในอก ริซาร์แสดงอาการใจหายออกมาให้เห็นเด่นชัด
"ท่านแน่ใจได้อย่างไร โมอาลี!?" นางย้อนถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
"โธ่ .....! เห็นแก่เทพเจ้า ...... หากข้าไม่รู้สึกว่ามันมีเค้าความจริง ... ข้าเองคงไม่นำมาบอกพวกเจ้าหรอก ริซาร์ ...... นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด"
โมอาลีกระแทกเสียง เคราแดงขยับดั่งจะลุกเป็นไฟ
เขาผ่อนลมหายใจอีกครั้ง พยายามทำอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วจึงกล่าวต่อ
"มีข่าวกรองนี่น่าเชื่อถือจากพวกพ่อค้าบางคนในสมาคม ..... คนพวกนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ กับชาวอสรพิษ .... เป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนมือสังหารเหล่านี้มานานนับตั้งแต่มีการแบ่งแยกดินแดน .... ว่ากันว่าเหล่าอสรพิษมีแผนจะทำการโค่นล้มราชวงศ์มาโลทาร์ในวันนี้"
สีหน้าของผู้ฟังทั้งสองซีดลงไปถนัดตา
"อสรพิษ !ท่านหมายถึง มือสังหารแถบตะวันตก .... พวก ...ของ !!?"
" ไดเมียว .... ใช่แล้ว " โมอาลีทุ้มเสียงลงต่ำในลำคอ
ริซาร์ยกมือขึ้นทาบอก เพียงแค่นามนั้นกัดกร่อนขวัญของนางเสียไม่เหลือแล้ว
"ชาวเมืองบางกลุ่มเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว จงรีบเตรียมการเถอะริซาร์ก่อนที่อะไรๆ จะวุ่นวายไปกว่านี้"
คำเตือนด้วยปรารถนาดีของโมอาลี ทำให้นางฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง
"มินโฮ !!" ริซาร์อุทานออกมา
ชายเคราแดงอ้าปากค้าง ก่อนละล่ำละลักว่า
"ลูกคนเล็กของเจ้า !?"
"เขาออกไปที่บ่อนำหลักของเมืองพร้อมกับเลอา"
มัคซาร์เอง ก็ตื่นตระหนก
"นั่นเป็นศูนย์กลางของการจู่โจม!!! ให้อสูรหักคอสิ ข้ามาหาท่านช้าไป " โมอาลีเค้นเสียงลั่นโต๊ะ อดวาดภาพชะตากรรมของลูกหลานไม่ได้
"เขาออกไปตั้งแต่เมื่อใด" บุรุษกลางคนร้องถาม
"ตั้งแต่เที่ยงวัน สักพักใหญ่แล้ว "มัคซาร์เป็นผู้ตอบ
เพียงสิ่งที่สะท้อนออกมาจากแววตาพ่อค้าผู้มาเยือน ก็ทำให้บรรยากาศหม่นหมอง ริชาร์จึงพลอยใจเสียไปด้วย
"มัคซาร์ ..... แม่ ว่า " เสียงของสตรีแม่บ้านสั่นเครือ จิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อตัวแล้ว
"อย่านะ! มันเสี่ยงเกินไป " โมอาลีร้องห้าม รู้ดีถึงความคิดนางว่านั่นคือการรนหาเรื่องใส่ตัว
ทว่าสิ่งใดก็มิอาจขวางกั้นความรู้สึกแห่งมารดาได้
"แต่นั่นลูกชายข้า ....." แววตานางสะท้อนความกังวล หากแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยวยิ่ง
โมอาลีถอนใจเฮือกใหญ่ สำนึกรู้ว่าได้ก้าวมายังจุดผลิกผันแล้ว
"ข้าแต่ฤทธามังกร และอำนาจแห่งดราก้อนโฮล์ม .... โปรดนำทางเราด้วย " วานิชผู้เลื่องนามกระซิบถ้อยคำแก่ตนเอง
สายตาเขามองไปยังเท้าของสองมนุษย์ กำลังก้าวเดินออกจากประตูสู่ถนนทราย
..................................................................................................................
สองเท้าน้อยๆ หยุดนิ่ง สายตาเพ่งผ่านแสงแดดไปยังภาพเบื้องหน้า ในฝ่ามือถือถังไม้ด้วยความอดทน
ฝูงชนจำนวนมากทอดตัวเป็นแนวลำดับ รูปร่างลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นชาวไซเพิร์น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายสีหม่น ผ้าโพกศีรษะ สีผิวอันกร้านแดด และนัยน์ตาที่มีเพียงสีดำและน้ำตาล
ทุกคนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือหมายจะได้ยืนใกล้ก้อนดินสีแดงขนาดใหญ่ที่ผุดงอกขึ้นมากลางพสุธา ใจกลางกลวงโตนั้นบรรจุสิ่งล้ำค่าเอาไว้
ทว่าร่างที่ยืนหยัดข้างก้อนดินเหล่านั้น มิใช่สิ่งน่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย
"ไอพวกน่ารำคาญ!!!! น้ำถังเดียวทำไมมันตักยากนักรึไง"
เสียงคำรามอย่างน่าหวั่น ดังออกมาจากร่างตุ้ยนุ้ยในเครื่องแบบนักรบชาวโมไนโรว์ แพรพรรณสีแดงสดใส คาดทับพุงพลุ้ยโผล่ยื่นออกมาจนเห็นเม็ดเหงื่อสีใสสะท้อนอยู่
บูโด (Budo) จอมวางก้ามประจำบ่อน้ำ หนึ่งในผู้รับใช้ของกองทัพแมงป่องแดง เป็นมนุษย์ที่น่ารำคาญจนถึงน่ารังเกียจที่สุดในหมู่ชาวทะเลทราย
สำหรับนักรบแล้ว บูโด คงแลดูคล้ายตัวตลกตัวหนึ่ง แต่สำหรับชาวเมืองนั้นต่างไปมาก
เสียงครืดคราดเหมือนหมูป่าอารมณ์เสียนั้น คืออาวุธประจำกายที่น่าเกรงขามยิ่ง อานุภาพของมันนั้นทำเอาชาวกสิกรรมหลายคนต้องเข็ดขยาด นี่ยังไม่นับฝีมือฟาดแส้เดือยแหลมอันฉมัง ที่บูโดมักใช้ทารุณกรรมผู้เคราะห์ร้าย และใช้เร่งกิจการกินแรงของกองทัพแห่งราชัคฟิลรอสด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์อยู่บ่อยหน
"เขาผู้นั้นจะวางท่าได้อีกไม่นานนักหรอก... " น้ำเสียงเล็กๆ กระซิบแว่วผ่านไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ
เลอานั่นเอง
มินโฮผู้กุมถังไม้ถึงกับสะดุ้งใจในวาจาของดรุณีน้อย
"เจ้าว่าอะไรนะ?...." เด็กหนุ่มกลอกตาไปมาสำรวจเพื่อแน่ใจว่า ไม่มีใครบังเอิญสนใจคำพูดนี่เข้า หากแม้นมีหูของนักรบแมงป่องแดงสักคนได้ยินประโยคขึ้นมา ไม่วายเขาต้องพาเลอาเผ่นเข้ากลีบเมฆเป็นแน่แท้
คู่หูตัวเล็กสะกิดแขนมินโฮ แววตาแฝงความหมายประหลาดทำให้เด็กหนุ่มงุนงง แต่แล้วเขาก็เอนตัวลงหาริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้น
"ผูกสิ่งนี้ไว้ซะ ..." เลอายื่นเศษผ้าแพรสีน้ำเงินอมเขียว ให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีจริงจัง มินโฮผงกหัวเงอะงะ แต่ก็ทำตามด้วยความยินดี
"อะไรเหรอ?"
ใบหน้าบ่งความนัยเปลี่ยนเป็น อาลัย ซ่อนอารมณ์เศร้า หากแต่ยังพอมีกลีบรอยยิ้มเล็กๆ เหลืออยู่
โดยไม่ตอบอะไร ฝ่ามือเล็กๆ สัมผัสแพรผ้า ก่อนเลื่อนไปกุมมือเด็กชายไว้แน่
มินโฮรู้สึกถึงกระแสโลหิตแล่นผ่านร่างวูบจากฝ่ามือสู่ใบหน้า สัมผัสนุ่มนวล ส่งผ่านไออุ่น ใจคิดอยากจะดึงผ่ามือกลับแต่เขากลับเผลอกุมแน่นโดยไม่รู้ตัว
สองสายตาประสานกัน หนึ่งนั้นว้าวุ่น หนึ่งนั้นหวั่นไหว
"ไม่ว่าอย่างไร พี่มินโฮจะอยู่กับข้า เหมือนที่เราอยู่ด้วยกันเสมอมารึเปล่า?"ใบหน้าปุจฉาด้วยรอยยิ้มนั้นดูสิเน่หายิ่ง ราวดอกไม้งามท่ามกลางความเวิ้งว้างของดินทราย
จิตใจอันว้าวุ่นของด็กหนุ่มคิดตอบคำถามนั้น แต่กลับไม่มีคำพูดใด
ทว่าความหมายในสายตาและฝ่ามือคงเป็นที่เข้าใจได้ดี
วาจาใดคงไม่อาจลึกซึ้งเท่าภาษากายกระมัง
เลอาดูร่าเริงขึ้น เด็กสาวจ้องมองแถวที่กำลังเคลื่อนขยับเข้ามา ด้วยใจจดจ่อต่ออะไรบางอย่าง
มินโฮเห็นท่าทีนั้นจึงแอบสังเกตไปด้วย
และแล้วคำใบ้บางอย่างก็ปรากฏแก่เด็กหนุ่ม
ในจำนวนผู้ที่จะมารอรับน้ำนั้น จะถูกปะปนด้วยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ทีมีจุดเด่นแตกต่าง
พวกเขาเหล่านั้นมิมีท่าทีขะมักเขม้นที่จะเข้าถึงบ่อน้ำ อย่างเช่นชาวไซเพิร์นอื่นในแถว ทว่าเขาทั้งหลายกลับส่งสายตามีเลศนัยให้กัน
ซึ่งแต่ละคนล้วนมีผ้าแพรสีน้ำเงินอมเขียว พกติดกายด้วยกันทั้งนั้น ... !?
บ้างก็ผูกติดข้อมือ บ้างผูกผม บ้างผูกติดสัมภาระ บ้างซ่อนเร้นในเงาผ้า
อาจไม่สะดุดตานัก หากไม่ตั้งใจสังเกต
"ชาวเดมอส พี่น้องเรา.." เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา
ถ้อยคำนั้น ทำให้มินโฮถึงแก่ความกระจ่าง
ชาวเดมอส ( Demos ) ได้รับการยอมรับกันภายในชนชั้นว่า เป็นกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าโบราณ เคยได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดกับสายเลือดมนุษย์ยุคโลกเก่าที่สุด ผู้สืบสายเลือดจากศิลาเพลิงโนอาร์ฮอบ (Noarh0B The pylon)
ในอดีตพวกเขาเคยเป็นถึงชนชั้นสูงแห่งจักรวรรดิ ทว่าหลังมหาสงคราม ชนชาติเดมอสได้แตกกระจัดกระจายไปทั่วดินแดนดราก้อนโฮล์ม
ชาวซากอนเรียกขานพวกเขาว่า ชนแห่งต้นกำเนิดชีวิต
หากแต่สำหรับชาวไซเพิร์นแล้ว เดมอส คือส่วนเกินของอาณาจักร
ขุนนางยุคแรกเริ่มเกณฑ์ พวกเขามาเพื่อเป็นเชลยในงานบูรณะ ด้วยความที่ชาวเดมอสถือเป็นผู้มีสติปัญญาสูงส่ง และมีพลานามัยที่สมบูรณ์
แต่ด้วยอคติบางอย่างในค่านิยม ทำให้เหล่าขุนนางไม่ค่อยพิสมัยในชาติพันธุ์เดมอสนัก
เคยมีคำบอกเล่าว่า กรรมกรชาวเดมอสดูมีราศีเสียยิ่งกว่าขุนางขั้นสูงแห่งโมไนโรว์เสียอีก
เชื่อกันว่าชาวไซเพิร์น ยามจ้องมองชาวเดมอสเสมือนหนึ่งม้าแกลบจ้องมองม้าศึก
ด้วยเหตุนี้ทำให้อคติ กลายเป็นอัตตา ชาวเดมอสมักถูก เหยียดหยามกดขี่ และถูกจัดให้เป็นพลเมืองชั้นสองในสังคมศักดินาไปโดยปริยาย
บ่อยครั้งที่การกดขี่ทารุณถึงขั้นเสีย เลือดเนื้อ ไซเพิร์นบางคนปฎิบัติต่อชาวเดมอสเยี่ยงไพร่ บางด่าทอ ตะคอก บ้างบังคับให้ใช้งาน บ้างโกงค่าแรงทำกิน ที่ร้ายแรงกว่านั้นการก่ออาชญากรรม หากเป็นโดยฝีมือชาวไซเพิร์นกระทำต่อชาวเดมอสแล้วเรื่องราวจะไม่ได้รับการสนใจหรือไต่สวนร้องทุกข์เลยแม้แต่น้อย
ในคืนหนึ่งญาติผู้น้าของเลอาเองเคยถูกลักพาไปโดยทหารชาวแมงป่องแดงกลุ่มหนึ่ง ครั้นครอบครัวออกตามหาเมื่อรุ่งเช้า ก็พบเพียงศพของนางถูกตรึงอยู่กับเสา สภาพร่างถูกชำเราเสียชอกช้ำ ปฎิบัติกันทารุณราวฝีมือของอสุรกาย
ยังมีอีกหลายชีวิตนักที่ต้องสังเวยแต่ความอยุติธรรมนี้
เหล่าญาติชาวเดมอสได้แต่เก็บความอัดอั้นคับแค้นไว้นี้ในใจมาเนิ่นนาน
หรือว่าการรวมตัวกันของพวกเขาครานี้เพื่อจุดประสงค์ใดบางอย่าง
ความคิดภายที่ไหลลื่นใต้หมวก พลันสะดุดวูบเมื่อมองสายตามองกลับไปยังผืนผ้าที่ข้อมือ
มินโฮเงยหน้าสบตากับเลอา หากแต่เด็กสาวมีคำตอบไว้ให้เขาแล้ว
"สัญลักษณ์นี้ จะทำให้ท่านพี่ปลอดภัย ... ตราบใดที่ท่านผูกมันอยู่"
"ปลอดภัย..!? ปลอดภัยจากเรื่องอะไรรึ"
ตาสีของดรุณน้อยฉายแววสะท้อนใจ หากแต่ข่มความรู้สึกเอาไว้ นับเป็นเรื่องน่าชื่นชมนักด้วยวัยเพียงเท่านี้
ความคิดเห็น