ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Dragon\'s Spirits : The Emperium of fire

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ IV เปลวเพลิงแห่งโมไนโรว์ ( Moniroar Underfire) I

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 49




               สายสมพัดพาผ่านตะวันร้อนระอุ ภายใต้สถาปัตยกรรมสูงใหญ่ที่ถูกสรรค์สร้างจากดินโคลนและก้อนกรวด เกือบห้าร้อยปีแล้วที่บรรพบุรุษชาวไซเพิร์นเหยียบย่างลงบนดินแดนแถบนี้

              

              พวกไชเพิร์นมิใช่ผู้มีอารยะนัก สิ่งแวดล้อมภายในเมืองของพวกเขาถูกสร้างตามสภาพท้องถิ่นและสถานการณ์ที่บีบรัด เห็นได้จากศิลปะที่แสดงออกบนสิ่งก่อสร้างรูปทรงเหลี่ยม หยาบกระด้างและเรียบง่ายดั่งวัตถุที่มันกำเนิดมา ไฟแห่งอดีตกาลได้แปรเปลี่ยนผืนป่าเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้ง

              

              ความแค้นอันมีต่อสิ่งที่มังกรให้ในอดีต ยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวไซเพิร์นผู้อ่อนด้อย ฤทธาแห่งมังกรเป็นทั้งของขวัญและคำสาปที่สร้างความแร้นแค้นแก่หมู่ชน ในยามนี้พวกเขาบางกลุ่มได้มีความนึกคิดว่า เหล่าบรรพบุรุษยอมตายไปในเงื้อมมืออสูรเสียจะดีกว่าปล่อยให้ลูกหลานต้องมาเผชิญความทุกข์ยากเช่นทุกวันนี้



            หากแต่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้แล้วว่า ชาวไซเพิร์น มิใช่พวกขี้แพ้ ความตายเป็นสิ่งที่พวกเขากลัวยิ่งกว่าการสูญเสียคุณค่าของชีวิตเสียอีก หลักแห่งคุณธรรมกำลังถูกลืมเลือนไปจากสังคม ทุกวันนี้นักรบมิได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อีกต่อไปหากแต่เพื่อเลี่ยงจากการถูกฆ่า ชาวบ้านต่างกันทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำแต่มิใช่เพื่อความสามัคคี ทุกคนขวนขวายเพียงเพื่อเลื่อนฐานะของตนเอง ผู้อ่อนแอตกอยู่ในอาณัติของผู้แข็งแกร่ง  การอัดรัดเอาเปรียบเป็นเรื่องธรรมดา หลักการและอุดมคติไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ขอแค่เพียงผองชนอยู่รอดไปได้เป็นพอ ความรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์ก็เป็นเพียงเงาในอดีตกาลเท่านั้น



           แค่เงา.........และผงธุลี แต่ใส่ใจไปไยในเมื่อวันนี้เรายังอยู่



         ...........................................................................................................................................................................  



            " เอาไอลูกหมานี่ ไปให้พ้นสายตาข้า ! " เสียงเกรี้ยวกราดตะเบ็งสู่หมู่ชนโดยรอบ อันยืนรายล้อมร่างสะบักสะบอมที่กองอยู่เหนือพื้นดิน



            " ขอรับ ! ท่านราอูล ( Rauarl )" หนึ่งในบุรุษสวมชุดนักรบสีแดงสดรับคำ ระหว่างนั้นเองเสียงหวีดร้องระงมด้วยความเศร้าก็ดังขึ้น



            " โหดร้าย...... ฮือๆๆ ...... ลูกข้ายังเด็กนัก ฮือๆ เขาไม่รู้เรื่อง ทำไม ทำไมท่านต้องปรักปรำเขา" สตรีสูงวัยคนนึงคร่ำครวญอยางน่าเวทนา มือหยาบกร้านของนางยังคงเกาะแน่นที่ร่างใกล้มรณะนั้น โดยที่นักรบชุดแดงพยายามกระชากเพื่อเหวี่ยงนางให้พ้นทาง



            " หึ .... โหดร้ายรึ.... ? " เสียงเ หี้ยมเกรียมตอบกลับพร้อมสีหน้าเย็นชา " ชนชั้นล่างอย่างพวกเจ้า... " คำกล่าวถูกเว้นช่วง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำตาลหม่นจะสืบเท้าเข้าไปหาร่างสตรีที่กำลังดิ้นรน



            ฝ่ามือใหญ่ในถุงมือสีดำคว้าหมับเข้าที่ลำคอ กระชากร่างนางนั้นลอยสูงขึ้นจนเท้าไม่ติดพื้น นิ้วที่โผล่ออกมาบีบแน่นลงบนเนื้อหนัง สีหน้าทุรนทุรายเริ่มปรากฏ  



           " กล้าดียังไงมาว่าข้าโหดร้าย... เคยสำนึกบ้างไหมว่าผืนแผ่นดินที่เจ้าเหยียบอยู่เนี่ยมันอยู่มาได้เพราะใคร....... " ว่าแล้วมือทรงพลังนั้นก็เหวี่ยงร่างสูงอายุลงพื้น ดังตุบ



            " ....ความปราณีที่ข้ามีต่อพวกกุลีอย่างเจ้า ยังมากกว่าที่โลกใบนี้ให้เจ้าเสียอีก.... จำใส่หัวไว้ซะ.."  น้ำเสียงแข็งกร้าว ไร้เยื่อใย



           " นาซัค ... ! " ราอูลจอมโหด ส่งเสียงเรียกผู้ใต้บัญชาคนหนึ่ง ท่าทางของเขาสามารถสร้างความตึงเครียดต่อคนรอบข้างได้ไม่ยากนัก แม้แต่พลพรรคของตนเอง



            ร่างในชุดแดงขยับเข้ามาหาด้วยความพินอบพิเทา ก้มหัวลงต่ำด้วยความยำเกรง



            " ขอรับ ... "



            " กฎแห่งมณฑล กล่าวไว้ว่าอย่างไรกับผู้ที่ละเมิดของในอาณัติแห่งข้าหลวงไซเพิร์น.."



            ข้อความนั้นทำให้สตรีผู้ล้มคลานถึงกับตื่นตระหนก ในขณะที่เหล่าบุรุษชุดแดงบางคนมีท่าทีแปลกไป



            ร่างสูงใหญ่ในชุดขุนนางสีน้ำตาลหม่นกำลังรอฟังคำตอบ นัตน์ตากร้านโลกสีน้ำตาลดั่งจิ้งจอกทะเลทรายผู้ผ่านชีวิตทรหด เขาสวมเสื้อเกราะหนังพร้อมผ้าลินินที่ถูกย้อมเป้นสีเดียวกับภูมิประเทศ มีผ้าคลุมศรีษะดั่งชนชาติทะลเทรายในโลกโบราณ กล้ามเนื้อท่อนแขนปรากฏร่อยรอยของการฟาดฟันต่อสู้มาอย่างโชกโชน ใบหน้ามีหนวดงามพร้อมรอยบากลึกที่แก้มขวา  ในขณะที่ข้างกายมีดาบยาวโค้งสะพายอยู่



            ราอูลยืนอยู่บนเนินทรายด้วยพลังแห่งความกล้าแกร่ง ด้วยจิตใจมิเคยชาชินต่อความประนีประนอมใดในโลกหล้า มีเพียงแต่ความเข้มแข็งและใบมีดมฤตยูอันโค้งงอเป็นเพื่อนเท่านั้น

          

           "ผู้ใดละเมิดของหลวงอันมีค่าตั้งแต่  สิบเหรียญทองคำมีโทษให้สับนิ้วทิ้ง ตั้งแต่ห้าสิบเหรียญทองคำมีโทษให้ตัดมือ หนึ่งร้อยเหรียญให้แลกด้วยแขนขาและลูกตา ส่วนทรัพย์ที่มีค่าเกินกว่าร้อยเหรียญทองคำ และผู้ที่ละเมิดสิทธิ์การใช้น้ำมีโทษให้กำจัดเสียเพื่อยุติปัญหาและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างขอรับ....นายท่าน"



          "อืม.........." ราอูลตอบรับด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วหันมองไปยังร่างสตรีผู้กำลังขวัญเสีย



          " รู้อะไรไหม...ท่านทั้งหลาย...." จิ้งจอกทะเลร่างใหญ่เดินกราดไปรอบๆ พลางตวัดดาบคู่กายขึ้นเป็นท่วงท่า คมสีเงินสะท้อนแดด มันถูกตีขึ้นอย่างปราณีต ใบมีดโค้งคดดั่งหางนกหงส์ คมกริบดั่งเขี้ยวของอสูร



           ชนทั้งหลายในที่นั้นจ้องมองอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าหลุบต่ำ ทุกคนสำนึกดีถึงเรื่องที่จะเกิด บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากอย่างวิตก



          "มีเรื่องเล่าโบราณนานนม ถึงวีถีของพวกมนุษย์อย่างเราๆ ว่าเป็นพวกอ่อนแอ และเห็นแก่ได้..."



          เสียงเกริ่นป็นเชิงดั่งเล่านิทาน หลายคนเผยยิ้ม หลายคนเหงื่อตกเมื่อได้ยิน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ

        

          " ... มีดีอย่างเดียวคือสติปัญญาที่ถูกยกย่อง นอกนั้นแล้ว เราก็มิต่างอะไรไปจากสัตว์โลกอื่นในสายตาของพวกที่เรียกตัวเองว่า ผู้มีอารยะ ผู้ถูกเลือก หรืออะไรก็ตามที่พวกมันจะเอ่ยปากเรียก... มันเปรียบเปรยมนุษย์เราดั่งเชื้อโรคหรือไม่ก็ปรสิตที่อิงแอบอยู่กับธรรมชาติ เป็นกาฝากของโลก ... หึๆ น่าขัน........."  



           ริมฝีปากข้างรอยแผลขยับรัว ส่งเสียงเย้ยหยันให้สายลม



         " มองๆแล้ว พวกเราก็อาจจะเป็นอย่างที่พวกมันเปรียบก็ได้ .......ใช่ไหม......... ฮ่าๆๆๆๆ " สายตากระด้างกวาดมองไปยังทั่วทุกหน้า



          เสียงหัวเราะดังขึ้นราวพายุหลังลมพัด ทำให้ลิ่วล้อในชุดแดงบางคนหัวเราะตามด้วยความสะใจ



          "แล้วสัตว์โลกแบบเราๆ ควรมีคุณสมบัติใดบ้างรึ ! ....  " คำถามผุดขึ้นหลังเสียงสงบลง ร่างสูงใหญ่เดินผ่านสตรีผู้น่าสมเพช ไปยังกลุ่มนักรบทั้งหลายที่ยืนอยู่ พลางทำสีหน้าตั้งคำถาม



           " ป่าเถื่อนรึ !?" คำถามถูกโยนให้นักรบผิวเข้มท่าทางขึงขังคนหนึ่ง ซึ่งราอูลฟาดดาบเข้าไปแตะที่ใบหน้า



           ผู้ถูกถามไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้านิดๆแล้วจึงนิ่งตามเดิม ผู้กุมดาบเผยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนที่จะสืบเท้าไปหาคนต่อไปต่อ



           " คลั่งไคล้ในการสืบพันธ์รึ !? " คมดาบถูกตวัดไปยังจุดสำคัญ ทำเอาผู้ถูกถามสะดุ้งเล็กน้อย จึงตามมาด้วยเสียงเฮฮา



            "ชอบอยู่กันเป็นฝูงหรือ ? " เสียงตะโกนก้องถึงทุกคน

          

           " รึยึดติดการกิน กิน แล้วก็กิน ใช่ไหม ?"  ราอูลเอาปลายแหลมจิ้มเข้าไปที่พุงของนักสู้ร่างท้วมคนหนึ่ง ด้วยสีหน้าติดตลก



            

            " .......ตกลงแล้วมันคืออะไรรึ ...... ท่านทั้งหลาย ... อะไรที่ทำให้เราอยู่รอดมาถึงวันนี้ มิใช่สิ่งพวกนี้หรือ ที่ยังทำให้เราทั้งหลายยังคงมีโอกาสทนฟังคำหยาม จากไอพวกขี้ตู่หูแหลมที่วันๆ ชมชอบอยู่กับเปลือกเถาและรากไม้ หรือไม่ก็ตัวประหลาดติดปีก ที่ชอบเล่าแต่ตำนานงมงายกับการอวดอ้างเผ่าพันธ์ตน  " ชุดสีทรายพลิ้วไปตามร่างเคลื่อนไหว ดาบยังคงกวัดแกว่ง



             " วันนี้เราพิสูจน์ให้พวกมันรู้แล้วว่าเราเข้มแข็ง .... เราฉลาดกว่า อดทนกว่า  มีลูกหลานมากกว่า ....  แล้วก็สามารถสร้างสังคมเป็นปึกแผ่นได้ โดยไม่ต้องมีเวทย์มนต์หรือของวิเศษใดมาช่วย ..."



            " แต่...........! " น้ำเสียงถูกข่มให้เข้ม  ฝีเท้าหยุดนิ่ง สายตาทอดสู่ตะวัน



            เสียงอื้ออึงทั้งหลายสงบลงในแทบจะทันที จุดสนใจย้ายมาอยู่ที่แผ่นหลังแข็งแกร่งนั่นอีกหน



           " สังคมเราจะเข้มแข็งได้ จำจะต้องเข้มงวด .... การปล่อยให้ผู้อ่อนแอกว่าตีหน้าเซ่อขึ้นมาเทียบ นั้น แสดงถึงรากฐานอันอ่อนด้อยถ้าหากเรามิรู้จักควบคุมแล้ว..... "



            ฉัวะ.......!!!!!!!!!!!!!!!!!!



            เร็วเกินว่าที่ใครจะรู้ คมดาบฉีกคอหอยของสตรีนางนั้นเป็นร่องลึก โลหิตกระฉูดเป็นสายออกมาตามรอยฟัน ร่างนั้นกระตุกเฮือกๆ ลมหายใจถูกขโมยไปก่อนที่นางจะรู้ตัวว่าตายเสียอีก



            เจ้าของคมมีดแกว่งใบสลัดเลือดออกจากดาบ ก่อนจะสอดเก็บเข้าฝัก สายตาจ้องมองตะวันอีกหน



            " เราทั้งหลายอาจมีสภาพไม่ต่างจากนี้ ในอนาคต" ประโยคถูกเติมเต็มโดยสมบูรณ์



            ทุกคน ณ ที่นั่นยังตะลึงไม่หาย แม้นหลายคนเคยเห็นท่วงท่าการต่อสู้ของผู้นำคนนี้มาแล้ว แต่ก็มิวายที่จะตื่นตากับความรวดเร็วในการจู่โจมเลยสักหน หลายร้อยศพแล้วที่ไม่เคยรับรู้รสดาบของจิ้งจอกทะเลทราย เพราะลมหายใจดับดิ้นไปเสียก่อน



            ฝีมือในครานี้ติดตาตรึงใจ ทำเอาเหล่าบุรุษชุดแดงถึงกับตัวชาไปเลยทีเดียว



            หลังจากลงทัณฑ์ผู้เคราะห์ร้ายแล้ว ราอูลกวาดตามองไปยังบ้านเรือนโดยรอบ ก่อนที่จะออกคำสั่ง



            " เอาซากไอแม่ลูก โสมมนี่ แขวนไว้ที่หน้าบ้านพวกมัน .... เป็นเครื่องเตือนสติไอพวกลูกรังนี่สักหน่อย ว่ามันสมควรทำหน้าที่ต่อไซเพิร์นยังไงบ้าง"



            " เอ่อ ....จะดีเหรอครับ  นายท่าน" นาซัคผู้นิ่งเงียบไปนานถามขึ้น



             สายตาแข็งกร้าวสาดกระทบใบหน้านั้น จนรู้สึกอึดอัด



             " ข้าทำอะไรไม่เข้าท่ารึ ....... ไหนเจ้าท่องกฎมณฑลให้ข้าฟังแล้วนี่ ..... ข้าก็ทำตามแล้ว ...แล้วมีอะไรไม่เข้าตาเจ้าอีก"



             ไม่มีคำพูดใดนอก จาก ขอรับ และสีหน้าหวาดเกรงตามเดิม



             มือดาบผู้แข็งกร้าว ทอดสายดาสู่ผืนดิน กรวดแดงร้อนระอุดั่งถูกกระเทาะออกมาจากโลกแห่งเพลิง คละเคล้าไปด้วยทรายแอและไอร้อน จิตใจอันร้อนผ่าวดั่งเช่นดินหินครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนทำ มโนธรรมบางอย่างผุดขึ้นในหัว



            แต่ประสบการณ์ถูกสั่งสมมาว่าความเมตตาคืออ่อนแอ  ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธ์อยู่รอดในธรรมชาติ อาณาจักรไซเพิร์นอยู่รอดมาก็เพราะความเข้มงวดและแข็งแกร่งของขุนนางในยุคสมัย มิใช่ด้วยคุณธรรมและอุดมคติเพ้อฝัน ประชาชนคือผู้อยู่ใต้อาณัติซึ่งต้องปกครองอย่างกวดขัน ทุกส่วนสรรพต้องถูกควบคุมและแบ่งสรรปันจ่าย แรงงานดีก็มีกิน  มีหัวคิดเล่ห์เหลี่ยมก็ก้าวหน้า มีฝีมือผู้คนก็ยำเกรง อำนาจทั้งสามคือสิ่งสูงสุดที่ถูกยอมรับในปฐพีแห่งกรวดทราย



           มันคือสัจธรรมในระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ อำนาจที่ทำให้ไซเพิร์นลืมตาขึ้นมาจากฝันของจักรวรรดิ์



           ทำให้เราทั้งหลายยังเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้



           ไม่จำเป็นต้องฟังปรมาจารย์คร่ำครึ ที่เห็นการเสียสละเป็นศิลปะและเกียรติยศ ไม่จำเป็นต้องวิวาทะกับสภาและพึ่งพาฑูต ไม่จำเป็นต้องญาติดีกับพวกเผ่าพันธ์ชั้นสูง ทั้งภูต วิหคเทพ หรือ พฤษภา



           แม้กระทั่ง มังกรผู้ทรงฤทธานุภาพที่วันนี้กลายเป็นแค่ตำนานสอนเด็ก



           แค่ลับฝีมือให้เหนือชั้น ฝึกจิตใจให้กล้าแกร่ง และคำนึงถึงตนเองเอาไว้  



           สู้เพื่อรอด ก้าวหน้าเพื่อมั่นคง



           คิดได้เท่านี้อำนาจใดก็ไม่ไกลเกินเอื้อม



           ในระหว่างความคิดล่องลอยไป สายตาก็กวาดมองเหล่าบริวารชุดแดงกำลังลากศพสองแม่ลูก ขึ้นแขวนกับเสาไม้หน้าบ้านโคลนซ่อมซ่อ รู้สึกถึงกลิ่นอายความทารุณที่แผ่ซ่านไปยังบ้านทุกหลังในละแวกนั้น สายตาหลายคู่แอบจับจ้องผ่านหน้าต่างด้วยใจสั่นระรัว มันเป็นอำนาจที่พวกชั้นล่างต้องประจักษ์และยำเกรง



            ไม่แน่นักว่าภาษีพืชผลในโมไนโรว์อาจพุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละสิบ จากผลงานในครั้งนี้



            เป็นการตัดสินยุติธรรมรึไม่ ไม่ต้องไปคิดถึง ผลลัพธ์ต่างหากที่สำคัญ



            นึกถึงความยุติธรรมของสองแม่ลูก สีหน้าเย้ยหยันก็บ่งออกมาจากรอยยิ้มนั้น ราอูลเองก็เพิ่งคิดได้ว่า เขาเองก็มิเคยพบเห็นความยุติธรรมเลยว่ามันเป็นยังไง ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตวัยเด็กในโรงอาบน้ำ มันสอนว่าความจริงแล้วชีวิตมนุษย์นั้น ........



            .......... หญิงผู้ให้กำเนิดเขารู้คำตอบดี เชื้อพันธุ์และประสบการณ์จากนักรบทั้งหลายคงถ่ายโอนสู่เขา ทั้งความเข้มแข็งและด้านโสมม



          ทำให้ราอูลสามารถเป็นจิ้งจอกทะเลทรายดั่งเช่นปัจจุบัน      



          และราอูลคนนี้อาจจะต้องเป็นหนี้ นางโลมร้อยรักผู้นั้นไปจนกว่าจะตายกระมัง



          ยุติธรรมดีไหม ? กับชีวิตแบบนี้ ...............



          กุบกับๆ กุบกับๆ ๆ ๆ !!!!!  



         เสียงห้อตะบึงอย่างเร่งด่วนกระทบความคิด เรียกความสนใจจากใบหน้าแผลเป็นและเหล่านักรบชุดแดง



          " เกิดเรื่อง ใหญ่แล้ว !!! ท่านราอูล "  พลสาส์นบนหลังม้า ตะโกนก้องอย่างตื่นตระหนกด้วยสีหน้าจริงจัง กระชากบังเหียนให้ม้าหยุดจนฝุ่นตลบ



          " ...................... !!!!!"  แววตาสีน้ำตาลข่มความตื้นเต้นเอาไว้  ลางสังหรณ์เริ่มไม่ดี



          "สายเลือดมาโลทาร์ (Malorta)ถูกโค่นล้มแล้ว ......!  ราชวงศ์ล่มสลายแล้ว โมไนโรว์กำลังจะวิบัติ"



           ราอูลตะลึงแทบจะผงะหงาย  เมื่อได้ยินคำกล่าวถึงสถาบันที่จงรักภักดี



           " ระ.ยำถ่อย ......! ต้นข่าวมาจากไหน เจ้าถึงใจกล้าเช่นนี้ ...!"  โทสะพลุ่งพล่านจากดวงเนตร ดังจะขยี้ร่างเหนืออานม้านั้น



           ใบหน้าบนหลังม้าถึงกับซีดเผือด แต่กลั้นใจกล่าวต่อว่า



           " เป็นเรื่องจริงขอรับ ......... เราประมือกับพวกมันแล้ว...... กองกำลังในบัญชาท่านถูกฆ่าเรียบ พวกที่เหลือรอดกำลังรักษาการณ์ไว้ ... "



           " ฝีมือใครบงการ ...! " ใบหน้าบากเครียดคล้ำดั่งหินดินดาน ใจระอุเดือด



            " คะ คะ..... คะคิดว่า ..." ปากคอสั่นไม่ได้ภาษา



            " ใคร ! "



            " ดะ ดะ ........... ไดเมียว (Dymyo) ขอรับ "



             ใจที่เดือดดาลถึงกับสะท้อนยอก เมื่อได้ยินชื่อนั้น  แววตาจิ้งจอกก็แปรเปลี่ยน



              ทุกนามในไซเพิร์นมีอยู่นามเดียว ที่จะสะท้านบังลังก์และเร่งรัดการปฏิวัติให้เป็นเรื่องจริงได้



              ไดเมียว จ้าวอสรพิษ ผู้นำสมาคมมืดแห่งไซเพิร์นตะวันตก



               หนึ่งในบรรดาผู้แบ่งแยกการปกครองของระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ ผู้เดียวที่ควบคุมกำลังนักดาบชั้นยอดนับพันได้โดยมิต้องมีบรรดาศักดิ์มารองรับ



               ชื่อของเขาถูกเรียกตามผู้นำในโลกอดีตกาล  ภาษาโบราณหมายถึงตำแหน่งที่จักรพรรดิยังต้องสยบและแม่ทัพมิอาจยิ่งใหญ่เท่า



               ในบรรดาผู้ใต้บัญชา ไม่เคยมีใครได้ประจักษ์รูปโฉมของไดเมียว แต่แปลกที่ทุกคนยินดีเดินตามคำสั่งโดยอย่างภักดี และไร้ข้อกังขาใด



                ฤา อำนาจใดในอาณาจักรที่น่าหวั่นหวาดและทรงพลังไปมากกว่านี้



                โดยไม่รั้งรอสิ่งใด ราอูลกระชากร่างพลสาสน์ร่วงจากหลังม้าก่อนขึ้นกุมบังเหียนแทน ห้อตะบึงสู่กำแพงเมืองหลวง ด้วยใจเต้นระทึก



                เค้าลางวิบัติภัยกำลังคลืบคลานเข้ามาอีกครั้ง  



       ..............................................................................................................................................................................



                " ท่านแม่ขอรับ........." เสียงใสนุ่มจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องเรียกหามารดาด้วยเรื่องบางอย่าง



                " ว่าไง จ๊ะ มินโฮ " แววตาสีน้ำตาลตอบรับ หนุ่มน้อย ภายใต้หลังคาของตึกอิฐแดงทรงสี่เหลี่ยมอันเรียกได้ว่าบ้าน



                " วันนี้ข้าอาสาไปตักน้ำที่บ่อหลัก แทนพี่มัคซาร์นะครับ" สีหน้าคะยั้นคะยอด้วยแรงปราถนาบางอย่าง



                หญิงผู้นั้นสะดุดใจ นางวางหม้อดินในมือลงบนโต๊ะสีเปลือกไม้ ปลายผมสีแดงเปื้อนฝุ่นสะบัดเมื่อหันหน้ามาหาลูกชาย

              

               " เอ้า .... ทำไมวันนี้ ถึงนึกขยันขึ้นมาละ.. ลูกแม่ หืม..? " รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าหยาบกร้านซึ่งเกิดจากการทำงานหนัก



                " อืม .... ใช่ ปกติ .. เจ้าก็ไม่ค่อยจะอาสาทำอะไรแทนข้าอยู่แล้วนี่ " เสียงเข้มจากชายหนุ่มอีกคน ที่กำลังลงแรงกับงานผีมือบางอย่างอยู่



                "เอ่อ ... คือ "   มินโฮอึกอักในลำคอ เกาเส้นผมสีดำขลับด้วยกิริยาไม่มั่นคง



                ผู้เป็นมารดาจ้องมาที่เด็กหนุ่ม พยายามค้นหาอะไรบางอย่างจากท่าทางนั้น ก่อนที่คำตอบจะล่องลอยผ่านบานหน้าต่างมา ..



                " สวัสดีจ้า.... พี่มินโฮอยู่ไหมเอ่ย.."  น้ำเสียงอ่อนใสแว่วมาพร้อมไอฝุ่น



                ทันทีที่รับรู้ถึงเสียงนั้น ใบหน้าของมัคซาร์ละจากงาน หันไปสบตากับท่านแม่แวบหนึ่ง ก่อนหันกลับมาล้อน้องชายว่า



                " อ้อ ...... ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง " รอยยิ้มมุมปาก บนใบหน้าสีเข้ม พลอยทำให้มารดายิ้มไปด้วย

                

                มินโฮรู้สึกถึงแก้มตัวเองที่พองออก เขาลองพยามยามฝืนกลั้นไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ



                ยังมีเสียงหัวเราะคิกคักจากคนทั้งสอง ทำเด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นไปอีก

              

              " อย่ามายั่ว ข้านะ.......! ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดสักหน่อย"  ความอายอย่างบอกไม่ถูกทำให้เขาเสียงดัง



               " เหอๆๆๆ ..... อะไรของเจ้า ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ " มัคซาร์เปลี่ยนสีหน้าเข้มให้ติดตลกในพริบตา



               " พอที ...!  ฮึ่ม ... อย่าทำหน้าแบบนั้นนะ " มินโฮชี้หน้ามัคชาร์ เขาเริ่มโกรธขึ้นมานิดๆแล้ว ในใจก็คิดจะเลิกล้มแผนการ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าเขาไม่รักษาสัญญากับคนที่ตนนัดไว้



                " เอา หละๆ ถ้าเจ้าอยากไปข้าก็ไม่ว่าเจ้า แต่ระวังพวก แมงป่องแดง (The red scorpions ) ไว้ด้วย หละ ถ้าเจ้าไม่อยากมีปัญหา" มัคชาร์ตัดบท พลางกล่าวเตือนน้องชาย



                " อืม ... " มินโฮมีท่าทีที่ดีขึ้น เมื่อมัคซาร์เอ่ยเตือนถึงแมงป่องแดง ซึ่งคำนั้นทำให้คนทั้งบ้านมีสีหน้ากังวลขึ้นมาถนัดตา



                เด็กหนุ่มในชุดลินินแขนกุดสีหม่นหยิบมวกฟางขึ้นสวม ก่อนก้าวไปหยิบหาบถังน้ำ ขึ้นพาดบ่า นัยน์ตาสีน้ำตาลตัดกับผมยาวสีดำขลับ ด้วยรูปร่างเหมาะกับวัยสิบสี่ปี แข็งแรงร่าเริงอย่างเด็กหนุ่มทั่วๆไป ทว่าอาจดูหยาบกร้านไปบ้างตามสภาพเยาวชนในโมไนโรว์ ที่ชีวิตขึ้นอยู่กับงานหนักและการช่วยครอบครัวหาเลี้ยงปากท้องตั้งแต่เด็ก    



              " งั้นข้าไปก่อน นะ ท่านพี่ ...."  มินโฮกล่าวอำลา ในใจจดจ่ออยู่กับผู้ซึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน



               มัคซาร์โบกมือเป็นเชิงว่า ' ไปไหนก็ไปเถอะ '  



               " พี่มินโฮ .... ท่านนัดข้าเองแล้วทำไมช้าแบบนี้หละ ... " น้ำเสียงใสเริ่มตัดพ้อมาตามสายลมร้อนทำให้ผุ้ถูกเรียกลนลานทันที



               แอ๊ด ....ดด..



               บานประตูเปิดต้อนรับ ด้วยฝีมือของท่านแม่



              เบื้องหน้าปรากฎร่างของสาวน้อยคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลแดงถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย มือเล็กๆถือถังนำใหนึ่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์แฝงด้วยความน่ารัก ถึงแม้เสื้อผ้าจะมอซอไปหน่อย



              นัยน์ตาสดใสแวววาวเมื่อเห็นเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ



              " ท่านแม่ริซาร์ .." ดรุณีน้อยก้มหัวทักทายท่านแม่ของมินโฮ



              " หวัดดีจ้า ... เลอา " หญิงอาวุโสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเป็นกันเอง



              " มาหา มินโฮ รึ จ๊ะ ... "  



               เลอาส่งสายตามองลอดประตูไป เห็นมินโฮกำลังกระตือรือร้นอยู่



               " ค่ะ ...."  สาวน้อยรับคำพร้อบใบหน้าแจ่มใส



               " มา แล้วๆ " เด็กหนุ่มผมดำกระหืดกระหอบวิ่งมา พยายามแทรกตัวออกจากประตู แต่ขาเจ้ากรรมดันสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง



               ตุบ !  



                มินโฮ หน้าทิ่มคะมำไปกับพื้น ถังน้ำกระดอนไปคนละทาง สร้างความตกใจให้กับท่านแม่



                " !  มินโฮ.. !. " นางอุทานก่อนที่จะรีบพยุงลูกรักขึ้นยืน



               เด็กหนุ่มรู้สึกระบมนิดหน่อยที่หัวเข่า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ถูกสะกดด้วยแววตาสดใสนั้น



                เลอา ตกตะลึงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางของมินโฮแล้วรอยยิ้มมุมปากก็ปรากฎ



               " แหะๆ  โทษทีข้ารีบไปหน่อย.... "



               "ลูกนี่ ซุ่มซ่าม จัง อายเขาไหมนั่น " ผู้เป็นมารดาว่า



              เด็กหนุ่มเกาศีรษะอีกครั้ง เป็นบุคลิกประจำตัวเมื่อเขามีท่าทีขัดเขิน



                " อะ........ นี่ "  เลอายื่นถังน้ำที่หลุดมือไปให้มินโฮ



                " ขอบคุณนะ "



                ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกถึงความเปรมปรีดิ์เล็กๆ ท่ามกลางแรงบีบคั้นของไอฝุ่น กรวดทราย แลตะวันร้อนยามบ่าย



                " ลูกจำระดับน้ำได้นะ ......... " มารดาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนกังวล



                 มินโฮตระหนักได้ถึงความหมายในนั้นได้ดี ตามกฎมลฑลแห่งโมไนโรว์ แล้ว ครอบครัวประชาชนอนุญาต ให้มีน้ำใช้ได้ไม่เกินวันละห้าถังไม้ โดยกำหนดเวลาตักน้ำในช่วงเช้าสองถัง และตอนเที่ยงสองถัง เย็นอีกหนึ่งถัง ผู้ได้ฝ่ามือ อาจโดนลงโทษได้



                 " ขอรับท่านแม่ "



                 " ฝากดูแลเลอาดีๆ นะ แล้วก็กลับมาให้ทันมื้อเที่ยงละ "



                 มินโฮพยักหน้ารับคำ



                " ไปกันเถอะ เดี๋ยวคนจะเยอะ " เขากล่าวชวนเพื่อนร่วมทาง



                สาวน้อยเลิกคิ้วเป็นคำตอบ ก่อนที่จะก้าวเดินไปพร้อมกัน .......



    ..................................................................................................................................................................................



                โมไนโรว์ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรไซเพิร์น ภายได้การปกครองแห่ง ราชัคฟิสรอส (Razukfilros)สายเลือดมาโลทาร์ เจ้าเมืองผู้เด็ดเดี่ยว ผู้สืบทอดบัลลังก์เอโกนิล รุ่นที่สาม นับเป็นราชวงศ์นักปกครองที่ยืนยาวที่สุดนับตั้งแต่มีการแบ่งแยกแผ่นดินในไซเพิร์น "  น้ำเสียงเกริ่นเป็นเชิงดั่งการเล่าตำนานปรัมปรา สงบ เยือกเย็น แต่มีเสน่ห์ดึงดูดชวนรับฟัง



               " แรกเริ่มเดิมทีในกำแพงแห่งกรวดทราย นักปกครองไซเพิร์น ขยายอำนาจด้วยระบอบศักดิ์นาสวามิภักดิ์ เนื่องด้วยเหตุอาเพศแห่งฤทธามังกร ทำให้ภูมิศาสตร์ดราก้อนโฮล์มถูกเปลี่ยนแปลงไป  อาณาเขตตะวันตกส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์ ถูกแบ่งแยกด้วยหุบเหวลึกที่กินระยะทางนับหลายหมื่นก้าว ซึ่งต่อมาบริเวณส่วนนั้นได้ถูกค้นพบและยึดครอง โดยขุนพลซากอนแห่งจักรวรรดิ์ ถัดมาทางตะวันออกนับแต่ปราการออบิเลียสที่ล่มสลาย เหล่าผู้รอดชีวิต ได้ค้นพบทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ซึ่งเดิมคือผืนดินอันอุดม แต่กลับถูกแผดเผาด้วยไฟของมังกร ถัดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือข้ามขุนเขาไป  เป็นที่พำนักของพวกอมนุษย์มีปีกซึ่งเรียกตัวเองว่าวิหคเทพ แลทางใต้แผ่นดินส่วนหนึ่งถูกแยกออกไปแปรสภาพเป็นเกาะกลางทะเลลึก ถ้ารวมเอาแผ่นดินทั้งสี่เข้าด้วยกันแล้ว ก็จะกลายเป็นทวีปเดิมแห่งอาณานิคมมนุษย์ ทว่ามิอาจเอ่ยเรียกด้วชื่อเดิมของจักวรรดิได้อีกต่อไป จึงมีผู้ขนานนามศูนย์กลางของแผ่นดินที่แตกแยกนี้ขึ้นใหม่ว่า มิดเดิ้ลไชน์ "   ผู้เล่ายืนสงบนิ่ง รอบกายรายล้อมด้วยหมู่ชนกลุ่มหนึ่งภายใต้อาภรณ์สีแดงเพลิง ทาบทับด้วยชุดเกราะรัดรูปสีดำขลับ  มีผ้าพันศรีษะอำพรางรูปโฉม  ทุกคนอยู่ในอาการสงบรับฟังคำพูดด้วยความเคารพ  



            " มิดเดิ้ลไชน์ ถูกแบ่งแยกการปกครองออกเป็นสองดินแดน หนึ่งคือ ราชอาณาจักรซากอน ศูนย์กลางแห่งมิดเดิ้ลไชน์ นับเขตแดนจาก หุบเหวแบ่งแยกจดพรมแดนเนไมอาร์เมียร์ของพวกเอลฟ์ " ท่วงทำนองวาทียังคงขับขานไปเรื่อย เจ้าของเสียงแต่งกายด้วยชุดสีแดงเพลิง ขลิบลายทองรูปงูใหญ่อันถูกตัดเย็บอย่างประณีต ข้างกายสะพายฝักดาบยาวโค้ง  เป็นอาวุธที่ถอดแบบมาจากศาสตราโบราณอันหาพบได้ยากแล้วในยุคสมัยนี้     

             

               " อีกหนึ่งคือถิ่นของนักรบผู้เข้มแข็ง บรรพบุรุษของสายเลือดมาโลทาร์ ได้สถาปนาแดนทรายโดยรอบปราการแห่งออบิเลียส เป็นอาณาจักรไซเพิร์น ซึ่งต่อมาได้มีการรบพุ่งและรุกรานเผ่าพันธ์อื่น  จนขยายดินแดนได้กว้างไกล  " ริมฝีปาก ขยับเป็นจังหวะ ภายใต้โลหะระยิบแดด ที่ปิดปังใบหน้าเอาไว้  สายตาในหน้ากากจ้องมองไปยังภูมิทัศน์เบิ้องหน้า  อาคารสีนำตาลนับร้อย  วางตัวทอดยาวไปตามแนวแสงตะวัน ลมพัดพาฝุ่นปลิวไสว            

                " เป็นเวลายาวนานแล้ว ที่พวกเรา ชาวอสรพิษ จ้องมองความเปลี่ยนแปลงของไซเพิร์น ด้วยความหวังว่าพี่น้องเราจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ด้วยมือของตัวเองอีกหน แน่นอนว่า นี่ไม่นับรวมไอพวกลูกครอกที่เฝ้าหวังแต่รอวิงวอนอำนาจของมังกร นั่นไม่ทำให้เราไม่แตกต่างไปจากอมนุษย์โง่งมพวกนั้น....."
    น้ำเสียงหนักแน่น นัยน์ตากร้าวกร้าน

                  " พวกเรายอมหลบอยู่ในเงา  หลั่งเลือด ประหัตประหาร กวาดล้าง แย่งชิง เพื่อหวังให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กลับมายิ่งใหญ่ด้วยลำแข้งตัวเอง พิสูจน์ให้ไอ้หน้าเกล็ด ติดปีกรู้กันว่า เราก็แข็งแกร่ง  " นักรบในชุดเกราะดำทุกคน นิ่งเงียบ หากแต่ใจสำนึกถึงคำพูดนั้น

                  " ข้ามิได้ชื่นชอบการต่อสู้หรอกสหาย แต่ข้ารู้สึกทุเรศตัวเอง ทุกครั้งที่หลับตาลง มโนภาพของหญิงชายที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไปวิงวอนวิหคเทพ  ก่อนที่จะโดนปล่อยให้ถูกฉีกเป็นชิ้นด้วยสัตว์หน้าขน โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ย้อนคิดแล้วมันเจ็บจิตยิ่งนัก....................."

                 " .....พวกมนุษย์เรา มันน่าสมเพชขนาดนั้นเชียวหรือ ? "  
                
                 สิ้นประโยค เจ้าของอาภรณ์รูปงู หันกายมาเผชิญหน้ากับบรรดาสาวก กลิ่นอายพลังอำนาจแผ่ซ่านออกมาจากใบหน้าลึกลับนั้น 

                   ภายใต้ หมวกนักรบสีบรอนซ์รูปเศียรงูเห่าทะเลทราย  

                    ความแวววาวของโลหะสะท้อนประกายแดด นัยน์ตาอสรพิษสีทับทิมเรืองรอง ทุกลายสลักถูกประดิษฐ์อย่างบรรจง

                    จะมีสักกี่คนในแดนมนุษย์ ที่อาจหาญเผชิญหน้ากับสิ่งนี้

                  " แล้ว ดูวันนี้ สิ ................ สิ่งที่เราได้สั่งสมมากำลังจะมลายสูญด้วย ความโง่งม ของพวกเห็นแก่ได้กลุ่มหนึ่ง "   เสียงทุ้มต่ำยามลมปากผ่านหน้ากาก บ่งบอกถึงความคับแค้น

                   " พวกที่ครั้งหนึ่ง เราวางใจมอบหมาย  ให้ดูแลสายเลือดไซเพิร์น  เป็นผู้นำในโลกอันเปิดเผย   ควรค่าแก่การปกครอง และสมควรได้รับการเคารพ "  

                   " แต่สัจธรรม แห่งสันดานมนุษย์ คือความไม่มั่นคง ลุ่มหลงได้ง่าย จุดอ่อนที่ทำให้ผ่าพันธ์อื่น แลมองว่าอ่อนแอ  น่าเวทนา "
     
                  สาวกเกราะดำทั้งหลาย สดับได้ถึงเสียงถอนหายใจของจ้าวอสรพิษ

                   " วันนี้ราชวงศ์มาโลทาร์ได้ แสดงธาตุแท้ให้เห็นแล้วว่า  ล้มเหลวในการปกครอง  ไซเพิรน์ต้องการวีรชนที่เข้มแข็ง  มิใช่พวกลุ่มหลงในอำนาจและกดขี่ประชาชน ........."

                   สายตาวาวโรจน์ด้วยจิตมั่นคง  ก่อนเอ่ยเสียงเฉียบขาด

                   " ในเมื่อข้าเองที่เป็นผู้มอบอำนาจให้แก่มาโลทาร์   วันนี้ ข้า! ไดเมียว ผู้นี้! จะเป็นผู้ริบมันคืนจากมือราชัคฟิรอส  แม้ว่าจะต้องแลกด้วยเลือดก็ตาม !"  
              
                    มืดตวัดศาสตราชี้สู่แสงตะวัน ในขณะที่สายตาจ้องมองเหล่าผู้ภักดี

                    " พวกเจ้าจะร่วมด้วยหรือไม่ ? "  

                     เสียงกู่ร้องรับคำด้วยความเข้มแข็งพร้อมเพรียง

                    " เลือดอสรพิษ  พร้อมหลั่งเพื่อไซเพิร์น ! " 

                   
       



          


           



           



           

                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×