ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ I นิมิตแห่งการเริ่มต้น ( Nigth Fall)
                           
                    สายลมแรกแห่งวสันตฤดูพัดโชยมาพร้อมหอบเอาความชุ่มฉ่ำของสายฝนโปรยปรายเข้าปกคลุม ภูผาไกห์ลา (Mother hill) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าภูต ซึ่งตั้งตระหง่านท้ากาลเวลาอยู่คู่ผืนป่า เนไมอาร์เมียร์ ( Nemiare Mia forest) มานานหลายชั่วอายุคน
                    สูงขึ้นไปเหนือยอดเขาเป็นที่ตั้งของ วิหารวัฏจักร ( Temple of Circles ) สิ่งก่อสร้างโบราณ อันถูกสร้างขึ้นเพื่อพิธีการสำคัญ ต้นกำเนิดของพลังลึกลับ ที่มีเรื่องเล่าขานว่าวิญญาณทุกดวงจักต้องเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้ด้วยจุดประสงค์เพื่อจุติใหม่ แต่ก็มีชนบางกลุ่มที่ยังเห็นว่า เรื่องเล่าก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า
                  ภายใต้เสากำแพงหินอ่อนผุกร่อนไร้เพดานปกปิด บ่งบอกถึงสภาพอายุผ่านกาลเวลา... ปรากฏรูปสลักที่คงความงดงามวิจิตรไว้ ซึ่งรูปสลักนี้ถือเป็นตัวแทนของสิ่งที่เหล่าภูตเคารพและศรัทธา
                  นามของนางคือ.... \"ไกห์ลา พระแม่แห่งชีวิต\" ( Gaihla the mother of nature )
                  ภาพลักษณ์แห่งความอ่อนโยนและเมตตา สะท้อนอยู่ในทุกอณูของเนื้อศิลา ประหนึ่งตัวตนของนางยังคงสถิตอยู่ ณ ตรงนั้น แววตามั่นคงเพ่งมองสู่บูรพทิศในขณะที่ปลายเท้าเรียวงามจรดหนักแน่นอยู่บนขอบผา แม้นม่านหมอกของสายฝนและความหม่นหมองแห่งท้องนภาจะมีมากเพียงใด ก็มิอาจบดบังรัศมีแห่งความงามนี้ได้
                ... ทว่าภายใต้ลมฝนยามราตรีนั้นกลับมีกลิ่นอายของเรื่องร้ายแฝงเร้นอยู่ ...
                เปรี้ยง...ง..งง.....ครืน..น..น.น.....
                เสียงคำรามของท้องฟ้าพร้อมแสงอัสนีเปิดเผยให้เห็นร่องรอยของพฤติการณ์บางอย่าง ...
                เบื้องหน้ารัศมีของรูปเคารพติดริมขอบผา บนเศษซากกำแพงที่แตกร้าว ร่างสองร่างยืนเผชิญหน้ากันท่ามกลางลมฝนที่กำลังทวีความแปรปรวนขึ้นทุกขณะ
                \" เซรีน ( Sereane ) .... นี่เจ้าจะทำอะไร !? \" เสียงตะโกนฝ่าสายฝนดังออกมาจากร่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนท่าทีของบุรุษผู้เป็นมนุษย์ ภายใต้บุคลิกอันบ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ เรือนผมสีนำตาลเข้มเคียงดำ บนใบหน้างามได้รูป ร่างสมส่วนดูแข็งแรง หากแต่แววตาคมลึกคู่นั้นแฝงไว้ซึ่งความขัดแย้งบางอย่าง
                \" ..........มันจำเป็น..... อาร์รอน ( Auron) เพื่อความมั่นคงของพวกเรา\" น้ำเสียงกังวาลใส ทว่าแทรกซึมด้วยความเย็นชา ขานตอบรับบุรุษหนุ่ม เจ้าของเสียงแต่งกายด้วยชุดอำพรางสีใบโอ๊ค สวมผ้าหมวกคลุมศีรษะ ง้างคันธนูประทับศรเล็งตรงไปยังคู่สนทนา ตั้งท่าพร้อมสำหรับการปลิดชีพด้วยการยิงเพียงครั้งเดียว
                ดอกไม้ในคนโทสูงใหญ่รอบวิหารพลิ้วไหวระริก ประหนึ่งตื่นกลัวต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ลางวิกฤติทอดตัวไปในบรรยากาศ
                สายลมพัดแรงจนอาร์รอนรู้สึกตึงๆบริเวณใบหน้า เขาเบนสายตาลงจ้องมองหัวไหล่ขวาซึ่งบัดนี้ปรากฎบาดแผลฉีก รอยเลือดไหลซึมผ่านเนื้อผ้าเป็นระยะๆ... ลูกธนูแห่งเนไมอาร์ทรงพลังกว่าที่คาดคิด.... หากสัญชาติญาณไม่เตือนเขาให้ฉากหลบ ในยามนี้บุรุษหนุ่มคงเหลือแค่ร่างไร้ศีรษะ ... ความเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทุกขุมขน แม้บรรยากาศจะเยือกเย็นเพียงใด หากแต่อาร์รอนรู้สึกเหมือนมีธารน้ำเดือดไหลวนอยู่ในทุกอณูร่าง
                .... ความสับสนบังเกิดขึ้นในจิตใจ... แท้จริงแล้วผู้มีฝีมือเช่นอาร์รอนคงไม่กังวลในยามนี้ โอกาสแห่งการตอบโต้ ด้วยทักษะแล้วบุรุษหนุ่มสามารถโต้กลับและสังหารผู้มุ่งร้ายได้อย่างไม่ยากเย็น ทว่า...มีบางอย่างขวางทางความคิดของเขาไว้
              \"ความจำเป็น !? ความจำเป็นใด สำคัญกว่าชีวิตข้า รึ..? เซรีน.. \" อาร์รอนพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบเพื่อควมคุมจิตใจให้สงบลง ดวงตาเพ่งมองผ่านละอองฝน ด้วยหวังเห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้าม
                แววตาสีเขียวมรกตยังคงสงบนิ่งภายใต้เงามืดของผ้าคลุม คันธนูวางแนวเล็งตรงไปยังเป้าหมายอย่างมั่นคง แสดงถึงทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีไม่หวั่นไหวด้วยภาวะแวดล้อม
              เวลาไหลผ่านไปพร้อมสายฝน ผู้มีแผลยืนนิ่งรอฟังคำตอบ..... ทุกชั่วลมหายใจยาวนานเหมือนแรมปี ในใจตอนนี้อาร์รอนหาได้กังวลเรื่องความเป็นความตายไม่ เงื่อนงำการมุ่งร้ายในครั้งนี้ต่างหากที่บีบคั้นจิตใจ
             
              .... เหตุใดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถึงต้องเป็นนาง... ทำไมท่าทีจึงเย็นชานักแววตาที่เคยอ่อนโยน บัดนี้กลับวาวโรจน์ ดุจสายตานักรบผู้หมายเอาชีวิตข้าศึก ความเป็นมิตรกลายเป็นความแข็งกร้าว.....เหินห่าง
              มันเกิดอะไรขึ้น...!? กับผู้ซึ่งตนพลีไอรักและดวงใจให้
              ความสับสนไหลเวียนผ่านห้วงความคิดหนแล้วหนเล่า วนเวียนไปมาดั่งวารีในห้วงทะเลลึก ยาวนานเท่าไรเจ้าตัวก็มิอาจประเมินได้
              ในช่วงเสี้ยวเวลานั่นเอง วูบหนึ่งของสติสัมปชัญญะก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
              บุรุษหนุ่มเพิ่งสังเกตุรู้ว่า เสียงของสรรพสิ่งโดยรอบเงียบหายไป...
              เสียงสายลม เสียงฝนปะทะหินผา เสียงฟ้าร้อง
              ทั้งที่ภาพเบื้องหน้าปรากฎชัดแจ้ง แต่โสตประสาทไม่ตอบสนอง....ราวกับว่าเสียงเหล่านั้นเลือนหายไปจากมวลจักรวาลเสียเฉยๆ
              มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่ทันนึกรู้...
              อาร์รอนสะบัดหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กระพริบตาถี่ยิบ เป็นการเรียกสติ
                หากแต่ภวังค์ของความเงียบยิ่งคลืบคลานครอบคลุม ตอนนี้เขาแทบไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าสายฝนกำลังสาดเทลงบนร่างกาย ดูเหมือนประสาทสัมผัสถึงคราวผิดปกติ .... ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดในห้วงความคิดของเขายังคงจดจ่ออยู่กับปฎิกิริยาของเซรีน
              บุรุษหนุ่มหันกลับมามองยังคู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
              ภาพที่ปรากฏให้เห็นดุจดั่งสายธารแห่งเวลา ถูกเหนี่ยวรั้งให้ช้าลง...
              แสงเจิดจ้าของฟ้าผ่าซึ่งเคยรวดเร็วกว่าสายลม บัดนี้เชื่องช้าดุจโคลนตมไหลเอื่อย
              ... สัมผัสของละอองฝนที่ปะทะใบหน้าเลือนหายไป...
              จากความสับสนเปลี่ยนเป็นความอึดอัด บีบคั้นปะทุอยู่ในอก
              อาร์รอนพยายามเพ่งสายตาที่เริ่มพร่าเลือน จับจ้องไปยังนางผู้เป็นที่รัก นางยังคงยืนนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม เสื้อคลุมโบกสะบัดตามจังหวะเคลื่อนไหวของสายลม
              ช่วงเวลาไหลผ่านอย่างช้าๆ ..... อึดใจแล้ว อึดใจเล่า...
              ทันใดนั้นท่ามกลางภวังค์แห่งความเงียบ อาร์รอนก็สดับฟังเสียงสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท
                \"ข้า เสียใจ......เสี..ย..ใ จ...เสี..ย ใจ...\"
              ผู้ครองสติสูดลมหายใจลึก พลางจ้องมองริมฝีปากบางได้รูปเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อย แช่มช้า
              \"แต่เผ่าพันธุ์มัง..กร มั...ง ก...ร  มิสมควรถูกรบกวนอีก ...รบกวนอี..ก.ก รบกวน รบก....วนอีก.\"
                เหมือนดั่งโดนฟาดแสกหน้า ด้วยค้อนแห่งความฉงน ...
                    เผ่าพันธ์มังกรมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้?
                  ทำไม...หญิง..ผู้ครั้งหนึ่งจิตใจงาม จึงตั้งท่าหมายเอาชีวิต?
                  และที่สำคัญ .... ทำไมต้องเป็น เซรีน... คนเขารัก?
                  นางคงไม่ได้คิดการนี้ด้วยตนเองเป็นแน่...
                  ใคร..? คือผู้บงการนาง ให้ลวงเขามายัง วิหารวัฏจักร
                  อำนาจใด? ในพิภพนี้ ที่สามารถผลิกผันให้คู่รัก มุ่งหมาย ฆ่าฟันกัน
                  .......เบื้องหลังทั้งหมดถูกฉาบด้วยเงามืดแห่งความลับ.......
              ในใจของอาร์รอนตอนนี้กำลังถูกทับถมด้วยเศษซากของคำถาม ความอึดอัด สับสน และคับแค้น
               
                \" มันเกิดอะไรขึ้น...? เซรีน ทำไม.... ทำไม.... ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ !!!\" เสียงตวาดลั่นก้อง ความจริงจังของแววตาและความเย็นชาของน้ำเสียง ทำให้อาร์รอนเริ่มเดือดดาล
                ด้วยอำนาจแห่งน้ำเสียงนั้น ทำให้เซรีนถึงกับชะงัก ด้วยความรู้สึกหนึ่งแล่นเข้าสู่หัวใจ
           
                .... มือซึ่งเคยกำธนูแน่น บัดนี้สั่นระริก ...
              วูบหนึ่ง........ ลมพัดสะบัดแรง พัดหมวกผ้าคลุมหลุดออก เผยให้เห็นสิ่งซ่อนเร้นในเงาผ้า
              หยาดน้ำตาไหลริน ผ่านนวลแก้มขาวละออดุจใยไหม แววตาสีมรกตเปี่ยมไปด้วยความกล้ำกลืน ริมฝีปากบางสีชมพูกุหลาบ ภายใต้เรือนผมสีบลอนล์ยาวสลวย ใบหูแหลมเรียวได้รูปสะท้อนลักษณะ
              เซรีนคือ เอล์ฟ ( Elf ) หนึ่งในบรรดาเผ่าพันธ์ภูตทั้งมวล
       
              ในยามนี้ถึงแม้จะดูเศร้าสร้อย ทว่างดงามยิ่งนัก
              นางลดคันศรลงอย่างช้าๆ ทอดสายตาอาดูรสู่คนรัก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
              \"สายไปแล้วท่านอาร์รอน... ไม่มีเวลาพอสำหรับคำตอบแล้ว...\"   
            อาร์รอนสะท้านวูบไปทั้งร่าง หัวใจเหมือนถูกนาบด้วยถ่านไฟ
             
              ...เซรีน กำลังร้องไห้...
            ภาพตรงหน้าทำเอาความเดือดดาลหายไปสิ้น แต่ความคับแค้นก่อตัวไม่สิ้นสุด แน่นขนัด.... จนเขาแทบไม่อยากหายใจ
            \" ซะ...ซะ ....เซรีน\" เสียงสั่นแหบในลำคอแห้งผาก ฝ่ามืออบอุ่นยกขึ้นซับน้ำตานาง แต่มันเป็นเพียงมโนภาพ
            ความกล้ำกลืน ฉายแววอยู่ในสีหน้า หากแต่เซรีนก็พยายมฝืนใจเหนี่ยวสายธนูขึ้นอีกหน
            อาร์รอนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ... เขาก้าวถอยหลังไปยังขอบผาอย่างช้าๆ แรงมุ่งมั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ของเซรีน
กอรปกับแรงกดดันที่มิอาจตอบโต้ ทำให้บุรุษหนุ่มทำใจยอมรับ
            ....... ประหนึ่งชีวิตลืมแล้วซึ่งสำนึกเอาตัวรอด ....
            ...... แม้นจุดประสงค์ของจุดจบยังไม่กระจ่างด้วยเหตุผล ....
            ..... เขายอมจำนนแล้วต่อโชคชะตา ....
            ....  จำนนแล้วอย่างง่ายดายเสียด้วย .....
            \" ข้ารักท่าน .. .. .รัก..ท่าน....ท่..าน.....\" สำเนียงสุดท้ายจากนางเอลฟ์
              ฟุ่บ..บ....บ... ฉึก.ก...ก...ก......... !!!!
            ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศ ทะลวงเข้าทรวงอกอย่างแม่นยำ แรงกระแทกส่งเป้าหมายกระเด็นออกจากหน้าผา
            .....อาร์รอนดิ่งลึกตรงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง  ลอยละล่องเวิ้งว้างในทางมรณะ แม้นลูกศรปักคาอก ทว่าความรู้สึกจากบาดแผลหามีในห้วงคำนึงของเขาไม่ สีหน้าอันรวดร้าวของเซรีนต่างหาก ที่ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าร้อยเท่าพันทวี เปรียบดุจดั่งห่าเข็มทิ่มแทงจิตใจ
         
          .....มันกลืนกินความคิดของเขาเพียงชั่วขณะก่อนที่สำนึกสุดท้ายจะมาเยือน
            ฟุบ.........พลั่ก!!!
          สิ้นเสียงกระแทกทุกอย่างก็ดับวูบลง
 
               
          .............................................................................................................................................................
            เค้าเงื่อนของเวลาอาจเที่ยงตรงในความเป็นจริง แต่หาแน่นอนไม่....ในแง่ความรู้สึก
          เวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งพร้อมทั้งตัวมันเอง
          ท่ามกลางเงามืดของหุบเหว....เจือด้วยกลิ่นไอน้ำจากตะไคร่ และไม้เถา
         
          ร่างหนึ่ง...นอนสลบไสลอยู่บนกองหิน สภาพสะบักสะบอม ลูกธนูปักคาทรวง โลหิตรินไหล ในขณะที่จิตใจลอยสู่ภวังค์....
          และแล้วในช่วงแห่งความเพ้อพบ ไร้สตินั่นเอง แว่วสำเนียงหนึ่งก็ดังขึ้น
          \"ผู้ถูกเลือก....................... ข้าเรียกหาเจ้า.......\"
          \"ลุกขึ้นมาเถิด ..... นี่มิใช่ชะตากรรมของเจ้า เจ้ายังไม่หมดภาระ.....\"
          \"จงทำตัวให้สมกับสิ่งที่เจ้าครอบครอง....... ลุกขึ้นมา...... ความอ่อนแอมิใช่ภาพลักษณ์ของเจ้า.... อย่าทำเช่นนั้น ...... ลุกขึ้นสิ\"
          \"อย่าให้ความตายชนะเจ้า............ ถ้าหากเจ้าแพ้............ เราทั้งมวลก็วิบัติ......\"
            \"อย่าทำกับข้าแบบนี้.........ทายาทข้า........จงลุกขึ้นและเป็นในสิ่งที่เจ้าเกิดมาเพื่อเป็น\"
            จิตใจอ่อนแอ ยังคงลอยเวิ้งว้าง ใกล้หลุดพ้นจากโคจรวิถี....... ในขณที่น้ำเสียงเงียบลงไปสักพัก
            \"ไม่ได้ยินรึไง......! ข้าสั่งให้เจ้าลุกขึ้นมา..!!!!\"
            เสียงสุดท้ายอันเกรี้ยวกราด กระชากจิตคืนสู่ร่าง.... อาร์รอนสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงด้วยอาการตระหนก
          เขาสูดลมหายใจถี่หอบ ก่อนที่รอยแผลจะสำแดงฤทธิ์ อาการร้าวระบบแล่นจากแผลกระจายไปทั่วอณูทรวง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
          ....ไม่เพียงแต่รอยแผล หากแรงกระแทกยังสร้างความบอบช้ำให้กับร่างกาย จนแทบจะขยับกายไม่ได้         
 
          .... ทว่า...ทุกขเวทนายังไม่ทันสิ้น เหตุการณ์หนึ่งก็อุบัติขึ้น...
          ครืน.น..นน.นน......ซูม.ม.ม.ม..............
          ในบันดลสายธารแห่งไฟลำมหึมา ทะลวงผ่านความมืดของซอกหินเบื้องหน้า พุ่งจู่โจมสู่ร่างผู้บาดเจ็บ
       
          มันพลิ้วไหวดุจงูเลื้อยมุ่งรวบรัดพันธนาการร่างของอาร์รอนไว้มิให้ขยับเขยื้อน บุรุษหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนตรึงด้วยโซ่ตรวนอันแข็งแกร่ง
            ....ทว่า เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรอบร่างกายนั้นหาได้แผดเผาผิวหนังไม่ แต่กลับรู้สึกถึงเพียงไออุ่นเท่านั้น
          \"อะ....อะไรกัน...\" เขาเปรยคำถามด้วยแรงอ่อนล้า งุนงงกับชะตากรรมของตนเอง
          เจ้าเพลิงปริศนาพันร่างของอาร์รอนไว้แน่น ก่อนที่สุดสายแห่งเปลวไฟด้านหนึ่งจะค่อยๆเคลื่อนไหว นัยน์ตาสีสนิมของผู้เป็นมนุษย์ พยายามจับจ้องอย่างตั้งใจ  ในขณะที่สุดปลายนั้นกำลังแปรสภาพ
            แสงสว่างจ้าเปล่งประกายจากแนวกึ่งกลางของส่วนปลายแวบหนึ่งก่อนที่จะวิ่งดิ่งสู่เบื้องหน้าผู้ถูกพันธนาการ
            ....ส่วนกึ่งกลางบัดนี้แยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับปากของสิ่งมีชีวิต ในขณะที่ส่วนปลายเอนลู่จนเป็นโครงหน้า จุดสีแดงทับทิมเข้ม ปรากฏขึ้นคู่กันบนเปลวเพลิงสีทองสุกใส
            ...อาร์รอนผู้กำลังอ่อนแรงตะลึง...งงงันกับภาพตรงหน้า
            ...เป็นเวลานานกว่าร้อยปีแล้ว ที่ไม่มีใคร....แน่ล่ะ...ไม่เคยมีใครเลยในพิภพ จะได้ประจักษ์ชัดแจ้งกับสิ่งตรงหน้าดังเช่นตัวเขาในตอนนี้
            มังกร...!!!
            ความอัศจรรย์ใจพรั่งพรูอยู่บนทุกขเวทนาและแรงอ่อนล้า แม้ลักษณะจะไม่เด่นชัด แต่อาร์รอนแน่ใจว่ารูปลักษณ์ตรงหน้าคือเผ่าพันธุ์ในตำนานของดราก้อนโฮล์มอย่างแน่แท้
            ... แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงปรากฏกายในยามนี้... บุรุษหนุ่มครุ่นคิดในใจ ปากอยากขยับถาม แต่สิ้นเรี่ยวแรงจะเปล่งเสียง
            \"อย่าได้กังวลไปเลย.... ทายาทแห่งข้า อาร์รอน บุตรแห่งอาร์คีเดียส ( Aurkeydius )\" สำเนียงทรงอำนาจจับขั้วโสต สะท้อนก้องกังวาลไปทั่วหุบเขา อาร์รอนรู้สึกประหนึ่งต้องมนต์สะกด
            ประกายตาสีทับทิมทอแสงแพรวพราว ก่อนมีท่วงทำนองกล่าวต่อว่า
            \"น่าเสียดาย.... เวลามักเป็นปรปักษ์กับพวกเราเสมอ... อำนาจข้ากำลังเสื่อมถอย อาร์รอนเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี...\"
            จิตใจอันเขม็งเกลียวด้วยปมปัญหามากมายปานดอกเห็ด กำลังลำดับเรียงเหตุการณ์ทั้งมวล
            ผู้อ่อนแรงพึ่งสำเหนียกได้ว่า ห้วงทำนองที่สดับฟังอยู่นี้ คือเสียงเรียกเดียวกับเสียงที่ปลุกตนเองจากภวังค์
            \"ทะ...ทะ..ท่านรู้จักบิดาข้า !?\" เสียงเพรียกถามเบาแผ่ว เหมือนคนใกล้มรณา ห้วงความคิดบิดเบี้ยวล่องลอยไปตามกระแสแห่งความสับสนรวนเร มาตรแม้นเจ้าตัวจะพยายามคงไว้ซึ่งสัมปะชัญญะ
            นัยน์ตาสีสนิมโรยรา จ้องมองขั้วอำนาจสีทับทิมคู่นั้นด้วยอาการแห่งความใคร่รู้ คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว แต่ว่าสภาพการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้พูดจามากนัก
            \"จงฟังให้ดี.....\" น้ำเสียงย้ำลึกจากเปลวอัคคี เตือนสติให้บุรุษหนุ่มสดับฟังอย่างตั้งใจ
            \"...บากหน้าสู่บูรพา... บรรจบโชคชะตาแห่งภารกิจ... พิชิตศัตรูร้าย... มุ่งหมาย ดิ เอ็มเพอร์เรี่ยม... เปี่ยมใจรู้พิทักษ์... รักษาพลานุภาพ ตราบชั่วลมหายใจ อุทิศให้จิตวิญญาณ...\"
            ...เหมือนหนึ่งทำนองดนตรีไพเราะ แว่วผ่านสายลมในฤดูร้อน ทำเอาอาร์รอนชะงักงัน ...
       
            \"...บากหน้าสู่บูรพา... บรรจบโชคชะตาแห่งภารกิจ... พิชิตศัตรูร้าย... มุ่งหมาย ดิ เอ็มเพอร์เรี่ยม... เปี่ยมใจรู้พิทักษ์... รักษาพลานุภาพ ตราบชั่วลมหายใจ อุทิศให้จิตวิญญาณ...\"    ถ้อยสำนวนยังคงกังวาลหากแต่ความหนักแน่นถูกลดทอนลง
              อาร์รอนพยายามฝืนม่านตาเอาไว้ ในขณะที่ความอ่อนล้ากำลังกดดันร่างกายมากขึ้น สำเนียงจากเปลวเพลิงยังคงแว่วมาอีกสองสามหน
              ...น้ำเสียงเบาลงเรื่อยๆ เหมือนสุดปลายของเสียงสะท้อน...
              ...และแล้วภาพลักษณ์ของมังกรเพลิงประกายสุกสว่าง ก็ค่อยเลือนลางลงปล่อยให้ร่างอิดโรยสิ้นแรง ทอดกายลงบนเนินหินสีดำท่ามกลางเงามืดของหินผา
              เปลือกตาถูกดึงลงมาพร้อมเสียงทอดถอนใจ ครึ่งหนึ่งรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก อีกครึ่งถูกบีบกดด้วยความสงสัยและแรงผลักดันแห่งความใคร่รู้
              \"นี่...เรา....สะ...สมควรตาย....หรือยัง ?\"  ถามอย่างไร้จุดหมายเหมือนรอคอยคำตอบจากผู้สร้างกฏชะตากรรม ซึ่งแน่แท้ว่าหามีตัวตนเป็นรูปธรรมไม่
                  ..................................
                  ..................................
                  ..................................
              เปรี้ยง...ง.ง.ง..ครืน.น.นน....น
              ...เสียงลั่นกึกก้องของฟ้าร้อง ปลุกประสาทของอาร์รอนให้ตื่นตัว
              ...แต่แล้วเมื่อลืมตาขึ้น ก็ต้องพบกับเรื่องน่าประหลาด
              บุรุษหนุ่มพบว่าตนเองกลับมายืน ณ ยอดสูงสุดของภูผาไกห์ลาอีกหน
              ด้วยความว่องไวของสัญชาติญาณ อาร์รอนหมุนตัวหันหลังกลับ
              ภาพตรงหน้าทำเอาประสาทเขม็งเกลียว เหมือนสายฟ้าแล่นผ่านร่าง
            เซรีนยืนประทับเล็งคันธนูตรงมายังร่างของอาร์รอน ด้วยบรรยากาศและอิริยาบทแบบเดิมแทบทุกอย่าง 
            วิหาร....เงาฝน....รูปปั้นท่านไกห์ลา... ดอกไม้....และทุกรายละเอียด.. คงเดิม ดุจเงาซ้ำของความฝัน
            สิ่งที่ขัดใจเขายามนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกเดิมของผู้กำลังจะโดนฆ่าแต่อย่างใด หากเป็น.......
            ....เงาร่างองอาจ ปรากฏความสง่างามผนวกกับความหยิ่งยโสดั่งม้าศึก บุคลิกมาดมั่นสอดคล้องกับรูปโฉมอันน่าหลงใหล มีมีสิ่งเดียวที่แลดูขัดแย้ง นั่นคือแรงอาฆาตและความเดียดฉันท์ ที่ฉายแววอยู่ในดวงตาสีฟ้าสดใส  ร่างนั้นเผยกายอยู่เบื้องหลังผู้มีตามรกต
          อาร์รอนเบิกตากว้าง เมื่อรู้ชัดแจ้งว่าบุรุษตรงหน้า คือใคร...
          \" เอเธน....!?! ( Athene )\" น้ำเสียงเผยความตกตะลึง
         
          \"อย่าได้เอ่ยนามข้า........ เจ้าลูกครึ่งโสโครก..!! นามศักดิ์สิทธิ์นี้.... ไม่คู่ควรกับลมปากเจ้า........\"
          ... เสียงตอบดุจสายฟ้าฟาด หนักแน่น ไร้ไมตรี...
          อาร์รอนถึงกับสะอึก ไม่คาดคิดว่าเอเธนจะกล้าใช้วาจาแบบนี้ต่อหน้าเซรีน ถึงแม้จะบาดหมางกัน แต่บุรษเพศทั้งสองไม่เคยก้าวร้าวต่อหน้าบุคคลที่สามเลย....ก่อนหน้านี้
          เอล์ฟหนุ่มสะบัดผ้าคลุมไหมขลิบทองกลางสายฝน ดุจปีกสะบัดแห่งเทพเจ้า นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องเขม็งมายังแววตาสีสนิม ฝ่ามืออิงไหล่เซรีนเบาๆ ปลายผมสีนำตาลอ่อน สลายปรกผ้าคลุมเสือรบสีเข้ม อีกมือกุมดาบผลึกซึ่งสะพายข้างไว้ บ่งบอกถึงฐานะแห่งนักรบ
          \"ฆ่ามันซะ...........เพื่อบรรลุภารกิจ และพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคู่ครองที่ดี..\" น้ำเสียงราบเรียบจากใบหน้างดงาม เอเธนเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
        ...ประกายแสงสีฟ้าเรืองรอง ปรากฏจากฝ่ามือมีปลอกแขนซึ่งอิงไหล่เซรีนไว้ ดุจเงาเคลื่อนของควัน...
        ...ร่างในชุดพรางนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เหมือนครุ่นคิดคำนวณอะไรบางอย่าง..... ก่อนมีเสียงตอบว่า
        \"ตามประสงค์ของท่าน... เอเธน\"
        อาร์รอนรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงไขสันหลัง สีหน้าส่อแววตระหนก
          \"ซะ....ซะ...เซ\" ปากคอสั่นระริก สติถูกกลืนหายไปกับความสับสน ชะตากรรมกลิ้งกลอกทำให้บุรุษหนุ่มใจเสีย
          \"...ตัวหายนะ....! อยู่ไปรั้งแต่จะนำวิบัติภัยมาสู่ดราก้อนโฮล์ม..\" สำเนียงสุดท้ายจากนางเอล์ฟแว่วผ่านไปสู่คู่สนทนา
        ทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลอง เสียงคมเหล็กทะลวงผ่านเนื้อ ส่งผ่านความเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนลอยละล่องสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง
          ลึกลงไป............................
          ลึกลงไป.......................................
          ลึกลงไป.... ลึกลงไปทุกที...................
               
                                   
           
         
         
                     
                    สายลมแรกแห่งวสันตฤดูพัดโชยมาพร้อมหอบเอาความชุ่มฉ่ำของสายฝนโปรยปรายเข้าปกคลุม ภูผาไกห์ลา (Mother hill) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าภูต ซึ่งตั้งตระหง่านท้ากาลเวลาอยู่คู่ผืนป่า เนไมอาร์เมียร์ ( Nemiare Mia forest) มานานหลายชั่วอายุคน
                    สูงขึ้นไปเหนือยอดเขาเป็นที่ตั้งของ วิหารวัฏจักร ( Temple of Circles ) สิ่งก่อสร้างโบราณ อันถูกสร้างขึ้นเพื่อพิธีการสำคัญ ต้นกำเนิดของพลังลึกลับ ที่มีเรื่องเล่าขานว่าวิญญาณทุกดวงจักต้องเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้ด้วยจุดประสงค์เพื่อจุติใหม่ แต่ก็มีชนบางกลุ่มที่ยังเห็นว่า เรื่องเล่าก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า
                  ภายใต้เสากำแพงหินอ่อนผุกร่อนไร้เพดานปกปิด บ่งบอกถึงสภาพอายุผ่านกาลเวลา... ปรากฏรูปสลักที่คงความงดงามวิจิตรไว้ ซึ่งรูปสลักนี้ถือเป็นตัวแทนของสิ่งที่เหล่าภูตเคารพและศรัทธา
                  นามของนางคือ.... \"ไกห์ลา พระแม่แห่งชีวิต\" ( Gaihla the mother of nature )
                  ภาพลักษณ์แห่งความอ่อนโยนและเมตตา สะท้อนอยู่ในทุกอณูของเนื้อศิลา ประหนึ่งตัวตนของนางยังคงสถิตอยู่ ณ ตรงนั้น แววตามั่นคงเพ่งมองสู่บูรพทิศในขณะที่ปลายเท้าเรียวงามจรดหนักแน่นอยู่บนขอบผา แม้นม่านหมอกของสายฝนและความหม่นหมองแห่งท้องนภาจะมีมากเพียงใด ก็มิอาจบดบังรัศมีแห่งความงามนี้ได้
                ... ทว่าภายใต้ลมฝนยามราตรีนั้นกลับมีกลิ่นอายของเรื่องร้ายแฝงเร้นอยู่ ...
                เปรี้ยง...ง..งง.....ครืน..น..น.น.....
                เสียงคำรามของท้องฟ้าพร้อมแสงอัสนีเปิดเผยให้เห็นร่องรอยของพฤติการณ์บางอย่าง ...
                เบื้องหน้ารัศมีของรูปเคารพติดริมขอบผา บนเศษซากกำแพงที่แตกร้าว ร่างสองร่างยืนเผชิญหน้ากันท่ามกลางลมฝนที่กำลังทวีความแปรปรวนขึ้นทุกขณะ
                \" เซรีน ( Sereane ) .... นี่เจ้าจะทำอะไร !? \" เสียงตะโกนฝ่าสายฝนดังออกมาจากร่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนท่าทีของบุรุษผู้เป็นมนุษย์ ภายใต้บุคลิกอันบ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ เรือนผมสีนำตาลเข้มเคียงดำ บนใบหน้างามได้รูป ร่างสมส่วนดูแข็งแรง หากแต่แววตาคมลึกคู่นั้นแฝงไว้ซึ่งความขัดแย้งบางอย่าง
                \" ..........มันจำเป็น..... อาร์รอน ( Auron) เพื่อความมั่นคงของพวกเรา\" น้ำเสียงกังวาลใส ทว่าแทรกซึมด้วยความเย็นชา ขานตอบรับบุรุษหนุ่ม เจ้าของเสียงแต่งกายด้วยชุดอำพรางสีใบโอ๊ค สวมผ้าหมวกคลุมศีรษะ ง้างคันธนูประทับศรเล็งตรงไปยังคู่สนทนา ตั้งท่าพร้อมสำหรับการปลิดชีพด้วยการยิงเพียงครั้งเดียว
                ดอกไม้ในคนโทสูงใหญ่รอบวิหารพลิ้วไหวระริก ประหนึ่งตื่นกลัวต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ลางวิกฤติทอดตัวไปในบรรยากาศ
                สายลมพัดแรงจนอาร์รอนรู้สึกตึงๆบริเวณใบหน้า เขาเบนสายตาลงจ้องมองหัวไหล่ขวาซึ่งบัดนี้ปรากฎบาดแผลฉีก รอยเลือดไหลซึมผ่านเนื้อผ้าเป็นระยะๆ... ลูกธนูแห่งเนไมอาร์ทรงพลังกว่าที่คาดคิด.... หากสัญชาติญาณไม่เตือนเขาให้ฉากหลบ ในยามนี้บุรุษหนุ่มคงเหลือแค่ร่างไร้ศีรษะ ... ความเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทุกขุมขน แม้บรรยากาศจะเยือกเย็นเพียงใด หากแต่อาร์รอนรู้สึกเหมือนมีธารน้ำเดือดไหลวนอยู่ในทุกอณูร่าง
                .... ความสับสนบังเกิดขึ้นในจิตใจ... แท้จริงแล้วผู้มีฝีมือเช่นอาร์รอนคงไม่กังวลในยามนี้ โอกาสแห่งการตอบโต้ ด้วยทักษะแล้วบุรุษหนุ่มสามารถโต้กลับและสังหารผู้มุ่งร้ายได้อย่างไม่ยากเย็น ทว่า...มีบางอย่างขวางทางความคิดของเขาไว้
              \"ความจำเป็น !? ความจำเป็นใด สำคัญกว่าชีวิตข้า รึ..? เซรีน.. \" อาร์รอนพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบเพื่อควมคุมจิตใจให้สงบลง ดวงตาเพ่งมองผ่านละอองฝน ด้วยหวังเห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้าม
                แววตาสีเขียวมรกตยังคงสงบนิ่งภายใต้เงามืดของผ้าคลุม คันธนูวางแนวเล็งตรงไปยังเป้าหมายอย่างมั่นคง แสดงถึงทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีไม่หวั่นไหวด้วยภาวะแวดล้อม
              เวลาไหลผ่านไปพร้อมสายฝน ผู้มีแผลยืนนิ่งรอฟังคำตอบ..... ทุกชั่วลมหายใจยาวนานเหมือนแรมปี ในใจตอนนี้อาร์รอนหาได้กังวลเรื่องความเป็นความตายไม่ เงื่อนงำการมุ่งร้ายในครั้งนี้ต่างหากที่บีบคั้นจิตใจ
             
              .... เหตุใดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถึงต้องเป็นนาง... ทำไมท่าทีจึงเย็นชานักแววตาที่เคยอ่อนโยน บัดนี้กลับวาวโรจน์ ดุจสายตานักรบผู้หมายเอาชีวิตข้าศึก ความเป็นมิตรกลายเป็นความแข็งกร้าว.....เหินห่าง
              มันเกิดอะไรขึ้น...!? กับผู้ซึ่งตนพลีไอรักและดวงใจให้
              ความสับสนไหลเวียนผ่านห้วงความคิดหนแล้วหนเล่า วนเวียนไปมาดั่งวารีในห้วงทะเลลึก ยาวนานเท่าไรเจ้าตัวก็มิอาจประเมินได้
              ในช่วงเสี้ยวเวลานั่นเอง วูบหนึ่งของสติสัมปชัญญะก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
              บุรุษหนุ่มเพิ่งสังเกตุรู้ว่า เสียงของสรรพสิ่งโดยรอบเงียบหายไป...
              เสียงสายลม เสียงฝนปะทะหินผา เสียงฟ้าร้อง
              ทั้งที่ภาพเบื้องหน้าปรากฎชัดแจ้ง แต่โสตประสาทไม่ตอบสนอง....ราวกับว่าเสียงเหล่านั้นเลือนหายไปจากมวลจักรวาลเสียเฉยๆ
              มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่ทันนึกรู้...
              อาร์รอนสะบัดหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กระพริบตาถี่ยิบ เป็นการเรียกสติ
                หากแต่ภวังค์ของความเงียบยิ่งคลืบคลานครอบคลุม ตอนนี้เขาแทบไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าสายฝนกำลังสาดเทลงบนร่างกาย ดูเหมือนประสาทสัมผัสถึงคราวผิดปกติ .... ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดในห้วงความคิดของเขายังคงจดจ่ออยู่กับปฎิกิริยาของเซรีน
              บุรุษหนุ่มหันกลับมามองยังคู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
              ภาพที่ปรากฏให้เห็นดุจดั่งสายธารแห่งเวลา ถูกเหนี่ยวรั้งให้ช้าลง...
              แสงเจิดจ้าของฟ้าผ่าซึ่งเคยรวดเร็วกว่าสายลม บัดนี้เชื่องช้าดุจโคลนตมไหลเอื่อย
              ... สัมผัสของละอองฝนที่ปะทะใบหน้าเลือนหายไป...
              จากความสับสนเปลี่ยนเป็นความอึดอัด บีบคั้นปะทุอยู่ในอก
              อาร์รอนพยายามเพ่งสายตาที่เริ่มพร่าเลือน จับจ้องไปยังนางผู้เป็นที่รัก นางยังคงยืนนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม เสื้อคลุมโบกสะบัดตามจังหวะเคลื่อนไหวของสายลม
              ช่วงเวลาไหลผ่านอย่างช้าๆ ..... อึดใจแล้ว อึดใจเล่า...
              ทันใดนั้นท่ามกลางภวังค์แห่งความเงียบ อาร์รอนก็สดับฟังเสียงสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท
                \"ข้า เสียใจ......เสี..ย..ใ จ...เสี..ย ใจ...\"
              ผู้ครองสติสูดลมหายใจลึก พลางจ้องมองริมฝีปากบางได้รูปเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อย แช่มช้า
              \"แต่เผ่าพันธุ์มัง..กร มั...ง ก...ร  มิสมควรถูกรบกวนอีก ...รบกวนอี..ก.ก รบกวน รบก....วนอีก.\"
                เหมือนดั่งโดนฟาดแสกหน้า ด้วยค้อนแห่งความฉงน ...
                    เผ่าพันธ์มังกรมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้?
                  ทำไม...หญิง..ผู้ครั้งหนึ่งจิตใจงาม จึงตั้งท่าหมายเอาชีวิต?
                  และที่สำคัญ .... ทำไมต้องเป็น เซรีน... คนเขารัก?
                  นางคงไม่ได้คิดการนี้ด้วยตนเองเป็นแน่...
                  ใคร..? คือผู้บงการนาง ให้ลวงเขามายัง วิหารวัฏจักร
                  อำนาจใด? ในพิภพนี้ ที่สามารถผลิกผันให้คู่รัก มุ่งหมาย ฆ่าฟันกัน
                  .......เบื้องหลังทั้งหมดถูกฉาบด้วยเงามืดแห่งความลับ.......
              ในใจของอาร์รอนตอนนี้กำลังถูกทับถมด้วยเศษซากของคำถาม ความอึดอัด สับสน และคับแค้น
               
                \" มันเกิดอะไรขึ้น...? เซรีน ทำไม.... ทำไม.... ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ !!!\" เสียงตวาดลั่นก้อง ความจริงจังของแววตาและความเย็นชาของน้ำเสียง ทำให้อาร์รอนเริ่มเดือดดาล
                ด้วยอำนาจแห่งน้ำเสียงนั้น ทำให้เซรีนถึงกับชะงัก ด้วยความรู้สึกหนึ่งแล่นเข้าสู่หัวใจ
           
                .... มือซึ่งเคยกำธนูแน่น บัดนี้สั่นระริก ...
              วูบหนึ่ง........ ลมพัดสะบัดแรง พัดหมวกผ้าคลุมหลุดออก เผยให้เห็นสิ่งซ่อนเร้นในเงาผ้า
              หยาดน้ำตาไหลริน ผ่านนวลแก้มขาวละออดุจใยไหม แววตาสีมรกตเปี่ยมไปด้วยความกล้ำกลืน ริมฝีปากบางสีชมพูกุหลาบ ภายใต้เรือนผมสีบลอนล์ยาวสลวย ใบหูแหลมเรียวได้รูปสะท้อนลักษณะ
              เซรีนคือ เอล์ฟ ( Elf ) หนึ่งในบรรดาเผ่าพันธ์ภูตทั้งมวล
       
              ในยามนี้ถึงแม้จะดูเศร้าสร้อย ทว่างดงามยิ่งนัก
              นางลดคันศรลงอย่างช้าๆ ทอดสายตาอาดูรสู่คนรัก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
              \"สายไปแล้วท่านอาร์รอน... ไม่มีเวลาพอสำหรับคำตอบแล้ว...\"   
            อาร์รอนสะท้านวูบไปทั้งร่าง หัวใจเหมือนถูกนาบด้วยถ่านไฟ
             
              ...เซรีน กำลังร้องไห้...
            ภาพตรงหน้าทำเอาความเดือดดาลหายไปสิ้น แต่ความคับแค้นก่อตัวไม่สิ้นสุด แน่นขนัด.... จนเขาแทบไม่อยากหายใจ
            \" ซะ...ซะ ....เซรีน\" เสียงสั่นแหบในลำคอแห้งผาก ฝ่ามืออบอุ่นยกขึ้นซับน้ำตานาง แต่มันเป็นเพียงมโนภาพ
            ความกล้ำกลืน ฉายแววอยู่ในสีหน้า หากแต่เซรีนก็พยายมฝืนใจเหนี่ยวสายธนูขึ้นอีกหน
            อาร์รอนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ... เขาก้าวถอยหลังไปยังขอบผาอย่างช้าๆ แรงมุ่งมั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ของเซรีน
กอรปกับแรงกดดันที่มิอาจตอบโต้ ทำให้บุรุษหนุ่มทำใจยอมรับ
            ....... ประหนึ่งชีวิตลืมแล้วซึ่งสำนึกเอาตัวรอด ....
            ...... แม้นจุดประสงค์ของจุดจบยังไม่กระจ่างด้วยเหตุผล ....
            ..... เขายอมจำนนแล้วต่อโชคชะตา ....
            ....  จำนนแล้วอย่างง่ายดายเสียด้วย .....
            \" ข้ารักท่าน .. .. .รัก..ท่าน....ท่..าน.....\" สำเนียงสุดท้ายจากนางเอลฟ์
              ฟุ่บ..บ....บ... ฉึก.ก...ก...ก......... !!!!
            ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศ ทะลวงเข้าทรวงอกอย่างแม่นยำ แรงกระแทกส่งเป้าหมายกระเด็นออกจากหน้าผา
            .....อาร์รอนดิ่งลึกตรงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง  ลอยละล่องเวิ้งว้างในทางมรณะ แม้นลูกศรปักคาอก ทว่าความรู้สึกจากบาดแผลหามีในห้วงคำนึงของเขาไม่ สีหน้าอันรวดร้าวของเซรีนต่างหาก ที่ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าร้อยเท่าพันทวี เปรียบดุจดั่งห่าเข็มทิ่มแทงจิตใจ
         
          .....มันกลืนกินความคิดของเขาเพียงชั่วขณะก่อนที่สำนึกสุดท้ายจะมาเยือน
            ฟุบ.........พลั่ก!!!
          สิ้นเสียงกระแทกทุกอย่างก็ดับวูบลง
 
               
          .............................................................................................................................................................
            เค้าเงื่อนของเวลาอาจเที่ยงตรงในความเป็นจริง แต่หาแน่นอนไม่....ในแง่ความรู้สึก
          เวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งพร้อมทั้งตัวมันเอง
          ท่ามกลางเงามืดของหุบเหว....เจือด้วยกลิ่นไอน้ำจากตะไคร่ และไม้เถา
         
          ร่างหนึ่ง...นอนสลบไสลอยู่บนกองหิน สภาพสะบักสะบอม ลูกธนูปักคาทรวง โลหิตรินไหล ในขณะที่จิตใจลอยสู่ภวังค์....
          และแล้วในช่วงแห่งความเพ้อพบ ไร้สตินั่นเอง แว่วสำเนียงหนึ่งก็ดังขึ้น
          \"ผู้ถูกเลือก....................... ข้าเรียกหาเจ้า.......\"
          \"ลุกขึ้นมาเถิด ..... นี่มิใช่ชะตากรรมของเจ้า เจ้ายังไม่หมดภาระ.....\"
          \"จงทำตัวให้สมกับสิ่งที่เจ้าครอบครอง....... ลุกขึ้นมา...... ความอ่อนแอมิใช่ภาพลักษณ์ของเจ้า.... อย่าทำเช่นนั้น ...... ลุกขึ้นสิ\"
          \"อย่าให้ความตายชนะเจ้า............ ถ้าหากเจ้าแพ้............ เราทั้งมวลก็วิบัติ......\"
            \"อย่าทำกับข้าแบบนี้.........ทายาทข้า........จงลุกขึ้นและเป็นในสิ่งที่เจ้าเกิดมาเพื่อเป็น\"
            จิตใจอ่อนแอ ยังคงลอยเวิ้งว้าง ใกล้หลุดพ้นจากโคจรวิถี....... ในขณที่น้ำเสียงเงียบลงไปสักพัก
            \"ไม่ได้ยินรึไง......! ข้าสั่งให้เจ้าลุกขึ้นมา..!!!!\"
            เสียงสุดท้ายอันเกรี้ยวกราด กระชากจิตคืนสู่ร่าง.... อาร์รอนสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงด้วยอาการตระหนก
          เขาสูดลมหายใจถี่หอบ ก่อนที่รอยแผลจะสำแดงฤทธิ์ อาการร้าวระบบแล่นจากแผลกระจายไปทั่วอณูทรวง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
          ....ไม่เพียงแต่รอยแผล หากแรงกระแทกยังสร้างความบอบช้ำให้กับร่างกาย จนแทบจะขยับกายไม่ได้         
 
          .... ทว่า...ทุกขเวทนายังไม่ทันสิ้น เหตุการณ์หนึ่งก็อุบัติขึ้น...
          ครืน.น..นน.นน......ซูม.ม.ม.ม..............
          ในบันดลสายธารแห่งไฟลำมหึมา ทะลวงผ่านความมืดของซอกหินเบื้องหน้า พุ่งจู่โจมสู่ร่างผู้บาดเจ็บ
       
          มันพลิ้วไหวดุจงูเลื้อยมุ่งรวบรัดพันธนาการร่างของอาร์รอนไว้มิให้ขยับเขยื้อน บุรุษหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนตรึงด้วยโซ่ตรวนอันแข็งแกร่ง
            ....ทว่า เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรอบร่างกายนั้นหาได้แผดเผาผิวหนังไม่ แต่กลับรู้สึกถึงเพียงไออุ่นเท่านั้น
          \"อะ....อะไรกัน...\" เขาเปรยคำถามด้วยแรงอ่อนล้า งุนงงกับชะตากรรมของตนเอง
          เจ้าเพลิงปริศนาพันร่างของอาร์รอนไว้แน่น ก่อนที่สุดสายแห่งเปลวไฟด้านหนึ่งจะค่อยๆเคลื่อนไหว นัยน์ตาสีสนิมของผู้เป็นมนุษย์ พยายามจับจ้องอย่างตั้งใจ  ในขณะที่สุดปลายนั้นกำลังแปรสภาพ
            แสงสว่างจ้าเปล่งประกายจากแนวกึ่งกลางของส่วนปลายแวบหนึ่งก่อนที่จะวิ่งดิ่งสู่เบื้องหน้าผู้ถูกพันธนาการ
            ....ส่วนกึ่งกลางบัดนี้แยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับปากของสิ่งมีชีวิต ในขณะที่ส่วนปลายเอนลู่จนเป็นโครงหน้า จุดสีแดงทับทิมเข้ม ปรากฏขึ้นคู่กันบนเปลวเพลิงสีทองสุกใส
            ...อาร์รอนผู้กำลังอ่อนแรงตะลึง...งงงันกับภาพตรงหน้า
            ...เป็นเวลานานกว่าร้อยปีแล้ว ที่ไม่มีใคร....แน่ล่ะ...ไม่เคยมีใครเลยในพิภพ จะได้ประจักษ์ชัดแจ้งกับสิ่งตรงหน้าดังเช่นตัวเขาในตอนนี้
            มังกร...!!!
            ความอัศจรรย์ใจพรั่งพรูอยู่บนทุกขเวทนาและแรงอ่อนล้า แม้ลักษณะจะไม่เด่นชัด แต่อาร์รอนแน่ใจว่ารูปลักษณ์ตรงหน้าคือเผ่าพันธุ์ในตำนานของดราก้อนโฮล์มอย่างแน่แท้
            ... แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงปรากฏกายในยามนี้... บุรุษหนุ่มครุ่นคิดในใจ ปากอยากขยับถาม แต่สิ้นเรี่ยวแรงจะเปล่งเสียง
            \"อย่าได้กังวลไปเลย.... ทายาทแห่งข้า อาร์รอน บุตรแห่งอาร์คีเดียส ( Aurkeydius )\" สำเนียงทรงอำนาจจับขั้วโสต สะท้อนก้องกังวาลไปทั่วหุบเขา อาร์รอนรู้สึกประหนึ่งต้องมนต์สะกด
            ประกายตาสีทับทิมทอแสงแพรวพราว ก่อนมีท่วงทำนองกล่าวต่อว่า
            \"น่าเสียดาย.... เวลามักเป็นปรปักษ์กับพวกเราเสมอ... อำนาจข้ากำลังเสื่อมถอย อาร์รอนเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี...\"
            จิตใจอันเขม็งเกลียวด้วยปมปัญหามากมายปานดอกเห็ด กำลังลำดับเรียงเหตุการณ์ทั้งมวล
            ผู้อ่อนแรงพึ่งสำเหนียกได้ว่า ห้วงทำนองที่สดับฟังอยู่นี้ คือเสียงเรียกเดียวกับเสียงที่ปลุกตนเองจากภวังค์
            \"ทะ...ทะ..ท่านรู้จักบิดาข้า !?\" เสียงเพรียกถามเบาแผ่ว เหมือนคนใกล้มรณา ห้วงความคิดบิดเบี้ยวล่องลอยไปตามกระแสแห่งความสับสนรวนเร มาตรแม้นเจ้าตัวจะพยายามคงไว้ซึ่งสัมปะชัญญะ
            นัยน์ตาสีสนิมโรยรา จ้องมองขั้วอำนาจสีทับทิมคู่นั้นด้วยอาการแห่งความใคร่รู้ คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว แต่ว่าสภาพการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้พูดจามากนัก
            \"จงฟังให้ดี.....\" น้ำเสียงย้ำลึกจากเปลวอัคคี เตือนสติให้บุรุษหนุ่มสดับฟังอย่างตั้งใจ
            \"...บากหน้าสู่บูรพา... บรรจบโชคชะตาแห่งภารกิจ... พิชิตศัตรูร้าย... มุ่งหมาย ดิ เอ็มเพอร์เรี่ยม... เปี่ยมใจรู้พิทักษ์... รักษาพลานุภาพ ตราบชั่วลมหายใจ อุทิศให้จิตวิญญาณ...\"
            ...เหมือนหนึ่งทำนองดนตรีไพเราะ แว่วผ่านสายลมในฤดูร้อน ทำเอาอาร์รอนชะงักงัน ...
       
            \"...บากหน้าสู่บูรพา... บรรจบโชคชะตาแห่งภารกิจ... พิชิตศัตรูร้าย... มุ่งหมาย ดิ เอ็มเพอร์เรี่ยม... เปี่ยมใจรู้พิทักษ์... รักษาพลานุภาพ ตราบชั่วลมหายใจ อุทิศให้จิตวิญญาณ...\"    ถ้อยสำนวนยังคงกังวาลหากแต่ความหนักแน่นถูกลดทอนลง
              อาร์รอนพยายามฝืนม่านตาเอาไว้ ในขณะที่ความอ่อนล้ากำลังกดดันร่างกายมากขึ้น สำเนียงจากเปลวเพลิงยังคงแว่วมาอีกสองสามหน
              ...น้ำเสียงเบาลงเรื่อยๆ เหมือนสุดปลายของเสียงสะท้อน...
              ...และแล้วภาพลักษณ์ของมังกรเพลิงประกายสุกสว่าง ก็ค่อยเลือนลางลงปล่อยให้ร่างอิดโรยสิ้นแรง ทอดกายลงบนเนินหินสีดำท่ามกลางเงามืดของหินผา
              เปลือกตาถูกดึงลงมาพร้อมเสียงทอดถอนใจ ครึ่งหนึ่งรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก อีกครึ่งถูกบีบกดด้วยความสงสัยและแรงผลักดันแห่งความใคร่รู้
              \"นี่...เรา....สะ...สมควรตาย....หรือยัง ?\"  ถามอย่างไร้จุดหมายเหมือนรอคอยคำตอบจากผู้สร้างกฏชะตากรรม ซึ่งแน่แท้ว่าหามีตัวตนเป็นรูปธรรมไม่
                  ..................................
                  ..................................
                  ..................................
              เปรี้ยง...ง.ง.ง..ครืน.น.นน....น
              ...เสียงลั่นกึกก้องของฟ้าร้อง ปลุกประสาทของอาร์รอนให้ตื่นตัว
              ...แต่แล้วเมื่อลืมตาขึ้น ก็ต้องพบกับเรื่องน่าประหลาด
              บุรุษหนุ่มพบว่าตนเองกลับมายืน ณ ยอดสูงสุดของภูผาไกห์ลาอีกหน
              ด้วยความว่องไวของสัญชาติญาณ อาร์รอนหมุนตัวหันหลังกลับ
              ภาพตรงหน้าทำเอาประสาทเขม็งเกลียว เหมือนสายฟ้าแล่นผ่านร่าง
            เซรีนยืนประทับเล็งคันธนูตรงมายังร่างของอาร์รอน ด้วยบรรยากาศและอิริยาบทแบบเดิมแทบทุกอย่าง 
            วิหาร....เงาฝน....รูปปั้นท่านไกห์ลา... ดอกไม้....และทุกรายละเอียด.. คงเดิม ดุจเงาซ้ำของความฝัน
            สิ่งที่ขัดใจเขายามนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกเดิมของผู้กำลังจะโดนฆ่าแต่อย่างใด หากเป็น.......
            ....เงาร่างองอาจ ปรากฏความสง่างามผนวกกับความหยิ่งยโสดั่งม้าศึก บุคลิกมาดมั่นสอดคล้องกับรูปโฉมอันน่าหลงใหล มีมีสิ่งเดียวที่แลดูขัดแย้ง นั่นคือแรงอาฆาตและความเดียดฉันท์ ที่ฉายแววอยู่ในดวงตาสีฟ้าสดใส  ร่างนั้นเผยกายอยู่เบื้องหลังผู้มีตามรกต
          อาร์รอนเบิกตากว้าง เมื่อรู้ชัดแจ้งว่าบุรุษตรงหน้า คือใคร...
          \" เอเธน....!?! ( Athene )\" น้ำเสียงเผยความตกตะลึง
         
          \"อย่าได้เอ่ยนามข้า........ เจ้าลูกครึ่งโสโครก..!! นามศักดิ์สิทธิ์นี้.... ไม่คู่ควรกับลมปากเจ้า........\"
          ... เสียงตอบดุจสายฟ้าฟาด หนักแน่น ไร้ไมตรี...
          อาร์รอนถึงกับสะอึก ไม่คาดคิดว่าเอเธนจะกล้าใช้วาจาแบบนี้ต่อหน้าเซรีน ถึงแม้จะบาดหมางกัน แต่บุรษเพศทั้งสองไม่เคยก้าวร้าวต่อหน้าบุคคลที่สามเลย....ก่อนหน้านี้
          เอล์ฟหนุ่มสะบัดผ้าคลุมไหมขลิบทองกลางสายฝน ดุจปีกสะบัดแห่งเทพเจ้า นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องเขม็งมายังแววตาสีสนิม ฝ่ามืออิงไหล่เซรีนเบาๆ ปลายผมสีนำตาลอ่อน สลายปรกผ้าคลุมเสือรบสีเข้ม อีกมือกุมดาบผลึกซึ่งสะพายข้างไว้ บ่งบอกถึงฐานะแห่งนักรบ
          \"ฆ่ามันซะ...........เพื่อบรรลุภารกิจ และพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคู่ครองที่ดี..\" น้ำเสียงราบเรียบจากใบหน้างดงาม เอเธนเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
        ...ประกายแสงสีฟ้าเรืองรอง ปรากฏจากฝ่ามือมีปลอกแขนซึ่งอิงไหล่เซรีนไว้ ดุจเงาเคลื่อนของควัน...
        ...ร่างในชุดพรางนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เหมือนครุ่นคิดคำนวณอะไรบางอย่าง..... ก่อนมีเสียงตอบว่า
        \"ตามประสงค์ของท่าน... เอเธน\"
        อาร์รอนรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงไขสันหลัง สีหน้าส่อแววตระหนก
          \"ซะ....ซะ...เซ\" ปากคอสั่นระริก สติถูกกลืนหายไปกับความสับสน ชะตากรรมกลิ้งกลอกทำให้บุรุษหนุ่มใจเสีย
          \"...ตัวหายนะ....! อยู่ไปรั้งแต่จะนำวิบัติภัยมาสู่ดราก้อนโฮล์ม..\" สำเนียงสุดท้ายจากนางเอล์ฟแว่วผ่านไปสู่คู่สนทนา
        ทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลอง เสียงคมเหล็กทะลวงผ่านเนื้อ ส่งผ่านความเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนลอยละล่องสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง
          ลึกลงไป............................
          ลึกลงไป.......................................
          ลึกลงไป.... ลึกลงไปทุกที...................
               
                                   
           
         
         
                     
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น