ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บารามอส ตอน คุมตัวนักโทษแห่งเดมอส

    ลำดับตอนที่ #11 : 010 นรกอสูร

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 55


    มีใครที่มีเคยมีอาการแบบเราไหมเนี้ยที่ พอปิดเทอมทั้งๆที่น่าจะแต่งฟิคต่อได้ กลับไม่มีอะไรแล่นเข้ามาในสมองให้แต่งซะงั้น ช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายก็ไม่มีเวลาที่จะมาแต่งฟิคได้ เล่นเอาเหนื่อบ =^=

    =================================================================

    “เฮ้อ หมดสักที”วูฟถอนหายใจออกมา หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดจัดการกับพวกนักโทษด่านที่ 1 หมดทุกคนที่มาดักรอที่ทางไปด่านที่2 ดูจากรูปการแล้วไม่มีใครในคณะที่บาดเจ็บมากจมีก็คงมีแค่บาดแผลเล็กๆเท่านั้น อย่างน้อยก็สามารถทำให้ทั้งเขาและลูซิน่าต้องเปลี่ยนมุมมองเรื่องความสามารถของทางเอเดนได้

    “ดูเหมือนว่าผมไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือแล้วสินะ”มีเสียงพูดขึ้นมาจากไหนไม่รู้ ทางเอเดนจึงต้องเตรียมตัวอีกครั้ง มาเพียงทางเดมอสเท่านั้นที่ไม่ตั้งท่าเตรียมพร้อมเลย จนมีคนเดินออกมาจากเงาของต้นไม้

    “ผู้คุมด่าน2”วูฟเอ่ยบอกให้คนอื่นๆรู้ จะได้ไม่มีการสู้กัน

    “ยินดีที่ได้รู้จัก ผมมิราจ เดรก”ชายผู้คุมด่านที่ 2 เอ่ยแนะนำตัวเอง ชายที่ชื่อมิลาดสูงพอๆกับเจ้าชายโรม ใบหน้าดูสวยคล้ายกับสตรี แต่งกายโดยชุดที่รัดกุม

    “ไม่คิดว่า จะมารับ”วิกเตอร์บอก มิลานแค่ขำๆออกมา

    “อย่าพูดนี้สิ เพื่อนเก่าแก่อุตส่าห์เดินทางกลับมาเยี่ยมเยียนทั้งที จะไม่ออกมารับด้วยตัวเองไม่อย่างไรกัน”มิราจตอบแก้การพูดที่ออกจะให้ความเสียหายแก่ตัวเอง

    “ผู้คุมนี้มันสบายมากหรือไงกัน”คิลถามขึ้นมาตรงๆ ทำเอาคนโดยถามออกจะอึ่งนิดๆไม่ได้ที่มีคนกล้าขนาดนี้

    “จัดการไปแล้ว”ลูซิน่าเอ่ยออกมาเมื่อมองดูร่างของนักโทษที่กระจายไป

    “ภาพลวงตาใช้กับเธอไม่ได้จริงๆ”มิราจเอ่ยออกมา แล้วภาพที่ทำให้ทุกคนตะลึงก็คือ นักโทษที่นอนอยู่จนพื้นเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีเลย ทุกคนต่างสังเกตุใบหน้าของพวกนักโทษที่ปรากฎตัวขึ้นมา ใบหน้าของแต่ละคนเหมือนกับว่าเจอสิ่งที่น่ากลัวมา

    “ไม่ตายใช่ไหม”วูฟถามดู เพราะถ้าผู้คุมด่าน2 ลงมือเมื่อไหร่ตอนนั้นมักไม่มีใครรอดจากเสียงเรียกหาแห่งความตายไปได้ มิราจแค่พยีกหน้ารับเท่านั้น ไม่ทันทีทุกคนจะได้ทำอะไร ชายที่คุมด่าน1 ก็มาปรากฎตัวต่อหน้าทุกคนๆ

    “ไอ้บ้ามิราจ ใครให้แกออกมายุ่งกับพื้นที่ของฉัน หา!!!”ชายที่คุมด่าน1 ด่าผู้คุมด่าน2ทันที ไม่สนใจคนที่อยู่รอบข้างเลย

    “เอาน่า ทีซ่า อย่างน้อยก็ไม่มีใครตายนี้”มิราจดูจะไม่สนใจกับคำพูดของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่ไม่ใช่กับบางคนที่พึ่งจะรู้ว่าผู้คุมด่าน1 ที่เจอเมื่อวานนั้นเป็นผู้หญิง ทั้งๆที่ทุกคนต่างมองเห็นเป็นผู้ชายตัวเป็นๆ

    “มิราจ เดอะ เดรก อย่าให้ต้องสอนนะ”ทีซ่าพยายามกั้นอารมย์โกรธเอาไว้อย่างสุดๆ แต่ฟันนั้นกลับยาวขึ้น

    “ใจเย็นจ๊ะ ทีซ่า เขี้ยวออกมาแล้วนะ”มิราจเอ่ยเตือน ดูเหมือนว่าคนตรงหน้ากำลังจะกลับร่างเดิมของตน ซึ่งคนฟันก็ดูเหมือนว่าจะไม่สนคำเตือนนั้นซักนิด ถ้าไม่มีคนที่3 ที่เข้ามาร่วมด้วย

    “พอได้แล้ว ทีซ่า เดอะ เดรก เธอก็รู้ไม่ใช่หรอว่า ห้ามกลับร่างเดิมของตัวเอง”เสียงชายแก่ที่อยู่ปากประตูก่อนที่จะเข้ามายังดินแดนนี้ เพียงแค่มีแต่เสียงส่วนตัวนั้นไม่ได้อยู่ที่นี้ด้วย คำพูดของชายแก่มีผลทันทีเมื่อเขี้ยวของทีซ่าหดกลับไป

    “ขออภัยด้วยค่ะ”ทีซ่าเอ่ยเสียงเบาๆแล้วหายตัวกลับไปยืนคุมที่ด่านของตัวเองทันที มิราจเมื่อเห็นว่าตัวเองรอดแล้วนั้นก็โค้งตัวขอบคุณผู้ที่มช่วยเหลือไว้

    “ถ้าอย่างนั้น พวกเราเดินไปที่ด่าน2กันเถอะ”มิราจบอก ส่วนร่างของนักโทษก็ปล่อยไว้ให้อยู่ตรงนั้นไป

     เมื่อทุกคนเดินตามผู้คุมด่าน2 ไปจนถึงประตูกั้นของด่านทั้ง2แล้วนั้น โดยรอบๆของกำแพงมีสิ่งที่เรียกเสียง กรี๊ดของสาวๆทั้งคณะยกเว้นเพียงลูซิน่าเท่านั้น (นี้เจ้อารมย์ตายไปนิดหรือเปล่า: Dra )(=_= ตัวเองเขียนเอง ถามตัวเองซิ:ลูซิ)(อ๊าก ศรปักอกตัวเองไม่น่าถามเลย~T|||||T: Dra)

    หลังจากที่พวกผู้หญิงกรี๊ดกันทันทีนั้น ส่วนทางด้านพวกผู้ชายทั้งหลายก็ตกตะลึงไม่ได้แต่ก็เกือบมีเสียงกรี๊ดออกมาเหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ได้มองผิดไปมันก็คือ กระดูก!! กระดูกจำนวนมากที่ไม่อยากนับว่าเมื่อนำมาต่อกันเป็นโครงกระดูกคนนั้น จะมีมากแค่ไหนกัน

    “อ่าไม่ต้องกลัวไป นั้นนะเป็นพวกนักโทษที่คิดจะหลบหนีจากด่าน2 เท่านั้น”มิราจบอก ดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะเชื่อแล้วว่าคนตรงหน้านี้กินคนเป็นอาหาร เลยเดินเว้นระยะห่างจากเจ้าตัวเอาไว้

    “พูดอย่างนี้ไม่ได้นะครับ คนอื่นเขาเข้าใจผิดกันหมด”วิกเตอร์เอ่ยเตือนประโยคพูดที่มันออกจะไม่ชัดเจน สำหรับคนที่เข้ามาที่นี้ครั้งแรก

    “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เห็นเป็นไรเลย”มิราจไม่คิดที่จะพูดให้ชัดเจนทำเอาวิกเตอร์เอามือกุมหัวไว้ กับนิสัยของผู้คุมด่าน2 มิราจเดินนำทุกคนจนมาถึงประตูด่านถัดไป

    “หลังประตูนี้ จะเป็นดินแดนที่พวกนักโทษที่อยู่ที่นี้ จะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ เพราะมันไม่ได้มีเพียงแค่นักโทษเท่านั้นแต่ทำยังเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์อสูรที่ไม่เคยมีใครเคยเจอมาก่อน ด่านที่2จึงได้ถูกที่เรียกนามว่า ดินแดนอสูร”มิราจแนะนำพื้นที่รับผิดชอบของตัวเองพร้อมกับมีเสียงร้องของสัตว์อสูรที่อยู่ใต้พื้นดินร้องออกมาจนทุกคนต่างรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้เลย

    “วันนี้พวกเราจะพักกันที่นี้กันก่อนนะครับ พรุ่งนี้ถึงจะเดินทางเข้าไป”วิกเตอร์บอกเพราะวันนี้ทุกคนน่าจะเหนื่อยกันมามากแล้ว แถมในตอนนี้ก็กำลังจะมืดแล้วมันยิ่งไม่ควรที่จะเดินทางต่อ

    “เดินทางกันอีกนิดไม่เห็นจะเป็นไรเลย”วีช่าบอกซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นด้วย แต่วิกเตอร์ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเหตุผล

    “ดินแดนอสูร มีสัตว์อสูรทั้งตอนเช้าและตอนมืดแต่ละตัวเก่งๆกันทั้งนั้นครับ ขนาดพวกผม3คนยังเคยเดินทางเข้าไปตอนมืดแล้ว เกือบจนเอาตัวไม่รอดนะครับ”วิกเตอร์ปลดกระดุกเสื้อออกให้ทุกคนไปเห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนอกที่ยังคงอยู่ ทำให้ทุกคนกลืนน้ำลายกันอย่างยากลำบาก

    “อย่างที่เจ้านี้บอกละอย่าเอาชีวิตไปทิ้งเลย พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปพร้อมพวกเจ้าจนถึงด่าน3”มิราจบอดทำเอาทุกคนไม่อยากให้ผู้คุมตามมาด้วยไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีใครสักคนได้เป็นอาหารแน่

    “จริงสิพวกเจ้าเข้ามาที่นี้อีกทำไมละ”มิราจถามขึ้น เพราะจากที่เขาดูกลุ่มเดินทางกลุ่มนี้แล้ว เกือบทั้งหมดน่าจะยังเป็นนักเรียนอยู่ ส่วนอีก3คนก็เคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่น่าที่จะเข้ามาอีก

    “คือเรื่องนี้”วิกเตอร์รุ้ดีว่าเรื่องการคุมตัวนักโทษนั้นมันเป็นเรื่องที่สามารถบอกได้ แต่อีกเรื่องที่สำคัญมากพอๆกันพวกเขาทั้ง3คนได้รับมานั้นสมควรที่จะพูดออกมาไหม

    “พวกเรา3คนกับเจ้าพวกนั้น”ลูซิน่าเป็นคนพูดเองพร้อมกับชี้ไปยังทางฝั่งเอเดน

    “ท่านจ้าวมีคำสั่งให้นำตัวเขาคนนั้น กลับไปยังเดมอสพร้อมกับมอบสิ่งนี้ให้กับเขาคนนั้น”ลูซิน่าดึงตะเกียงที่มีไฟแต่ไม่มีเทียนอยู่ข้างใน มิราจมองดูไฟที่อยู่ในตะเกียงก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นมาเพราะรู้ดีว่าไฟนั้นคืออะไร

    “อย่างนั้น ทุกคนก็พักผ่อนกันไปแล้ว พรุ่งนี้จะพาไปส่งที่ด่าน3 ให้เร็วที่สุด”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×