ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8: ราชินีสีแดง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 66


    ความเดิมตอนที่แล้ว

    เบลเซบับเป็นฝ่ายรุกไล่เดลวาลินโดยไม่ให้โอกาสได้ตั้งตัว ในตอนนี้เดลวาลินกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างยิ่งเนื่องจากเขานั้นไม่มีอาวุธ 

    ฉัวะ!!!

    เบลเซบับฟันดาบมังกรสีแดงมาที่เขา แต่เดลวาลินก็ตีลังกาหลบออกมาได้ทัน ก่อนจะหันไปเห็นดาบของนักเรียนนักผจญภัยที่ทำตกเอาไว้ก่อนหน้า เขาจึงหยิบมันขึ้นมาและเข้าไปประดาบกับเบลเซบับตรงๆ 

    เบลเซบับ: ฮ่าๆๆ!!! กล้าบุกเข้ามาตรงๆแบบนี้กับดาบห่วยๆแบบนั้นก็เสร็จฉันน่ะเซ่~!!!!

    เพล้งงง!!!

    ทั้งสองพุ่งเข้ามาแลกคมดาบคนละกระบวนท่า ก่อนที่เดลวาลินจะต้องช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพบว่า ดาบของเขานั้นถูกฟันจนหัก แต่มันไม่ได้หักจากการกระแทกอย่างรุนแรง แต่มันหักเพราะถูกความร้อนหลอมละลายจนดาบหักเป็นสองท่อน อีกทั้งที่หน้าท้องของเขายังมีรอบบาดแผลถูกเปาไหม้จากการถูกฟันอีก ทำให้เดลวาลินถึงพับทรุดไปกองกับพื้น ส่วนเบลเซบับนั้นไม่มีรอยบาดแผลใดๆแม้แต่น้อย แถมยังหันมาจ้องมองแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความแตกตื่นให้กับคนดูจำนวนมาก โดยเฉพาะลอร่าที่ดูเป็นห่วงเดลวาลินมากกว่าใครเพื่อน

    ลอร่า: ไม่นะคุณเดลวาลิน! ถ้าขืนสู้ต่อไปแบบนี้เขาแย่แน่ๆ 0 0 !!

    แล้วลอร่าก็หันไปมองที่สเตลร่าเพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีท่าทียังไงบ้าง แค่ผลปรากฏว่าสเตลร่านั้นนั่งกอดอก ขาไขว่ห้างและจ้องมองดูการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อโดยไม่สนใจว่าเดลวาลินจะเป็นตายร้ายดียังไง

    ลอร่า: ทำไมคุณสเตลร่าถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเดลวาลินบ้างเลยล่ะคะ ตอนนี้คุณเดลวาลินกำลังแย่นะคะ!

    สเตลร่า: นั่งลงและใจเย็นๆก่อน 

    ลอร่าประหลาดใจที่สเตลร่าตอบกลับมานิ่งๆและยังคงใจเย็น แต่สำหรับเธอนั้นเรื่องแบบนี้มันใจเย็นง่ายๆได้สะที่ไหน

    ลอร่า: จะให้ฉันใจเย็นๆได้ยังไงคะ ในเมื่อคุณเดลวาลินกำลังลำบากและกำลังจะแพ้แบบนี้น่ะ

    สเตลร่า: เชื่อฉันเถอะ นั่งลงแล้วรอดูสิ่งที่ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นตีอจากนี้เถอะ

    ลอร่ารู้สึกไม่พอใจและไม่เข้าใจสเตลร่า แต่เธอก็ยอมทำตามที่สเตลร่าบอกเพราะเธอนั้นก็ช่วยอะไรเดลวาลินไม่ได้ 

    ในขณะที่เดลวาลินกำลังนั่งทรุดและเอามือปิดบาดแผลอยู่นั้น เบลเซบับก็ได้โอกาสพูดจาโอ้อวดตนเองอีกครั้ง

    เบลเซบับ: ฮ่าๆ!! ฉันลืมบอกอะไรแกไปอย่างหนึ่ง ดาบที่ฉันใช้อยู่นี่มันไม่ใช่ดาบธรรมดาทั่วไปหรอกนะ แต่มันเป็นดาบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบพลังมังกรเพลิงในตำนานโซเบลยังไงล่ะ! เพราะงั้นจึงไม่มีอาวุธหรือโล่ใดป้องกันการโจมตีจากดาบเล่มนี้ได้!

    สเตลร่า: (เป็นไปอย่างที่คาดจริงๆด้วย พวกราชวงค์ของอาณาจักรเซซิลล่าร์แอบสร้างอาวุธที่ใกล้เคียงกับพลังของมังกรธาตุในตำนานจริงๆด้วยสินะ) 

    ลอร่า: (ดาบมังกรเพลิงในตำนานของโซเบล เป็นดาบที่มีการแผ่ความร้อนอย่างยิ่งยวดออกมาตลอดเวลาเมื่อผู้ใช้ต้องการจะใช้งานมัน…ไม่มีอาวุธหรือสิ่งป้องกันทางกายภาพใดๆที่สามารถทนต่อความร้อนอันมหาศาลของดาบเล่มนั้นจากการปะทะตรงๆได้…คุณเดลวาลิน….อย่าเป็นอะไรไปเลยนะคะ คุณเดลวาลิน .> <. )

    ลอร่านั่งกุมมือและเริ่มสวดภาวนาขอให้เทพธิดาไมอาร์ปกป้องคุ้มครองเดลวาลินให้ปลอดภัยทั้งน้ำตา

    สเตลร่านั่งวิเคราะห์สถานการณ์เงียบๆอยู่ในใจ ในขณะที่ลอร่าเองนั้นรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีราวกับว่าการประลองในครั้งนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น 

    หลังจากนั้นเบลเซบับก็อยากจะให้เดลวาลินได้เห็นอะไรดีๆเป็นขวัญตา โดยการชูดาบมังกรเพลิงขึ้นเหนือศีษระก่อนจะทำการร่ายเวทย์เพื่อปลุกพลังมังกรเพลิงในตำนานที่สถิตย์อยู่ในดาบออกมา 

    จงตื่นและรับใช้ข้า มังกรเพลิงแห่งการทำลายล้าง เฟลม ดราก้อน ซอร์ด อิมแพค!

    ทันทีที่สิ้นเสียงร่ายเวทย์ปลุกพลังของเบลเซบับ ดาบมังกรเพลิงก็เกิดประกายเพลิงพวยพุ่งออกมาจากคมดาบพุ่งทะลุขึ้นไปบนฟ้าเหนือสเตเดี้ยมลานประลองอย่างรุนแรง ทำให้นักเรียนและอาจารย์ที่เป็นคนมาร่วมดูการต่อสู้หลายพันคนต่างพากันตกตะลึงกับพลังเวทย์อันมหาศาลที่ถูกปล่อยออกมาจากดาบ ก่อนที่เบลเซบับจะทำการชี้ดาบมังกรเพลิงที่มีพลังเปลวเพลิงพุ่งพล่านไปที่เดลวาลินเพื่อเตรียมปิดฉาก

    ฟรู้มมมม!!!!

    เบลเซบับ: ตายไปซะ!!!

    เบลเซบับบินขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะยกดาบขึ้นเหนือศีษระเพื่อเตรียมปล่อยพลังเวทย์ท่าไม้ตายที่รุนแรงใส่เดลวาลิน ซึ่งเวทย์ที่เบลเซบับใช้โจมตีใส่เดลวาลินก็คือ เพลงดาบมังกรเพลิงกำปนาด โจมตีใส่เดลวาลินในรูปแบบกระบวนท่าฟันดาบแล้วปล่อยคลื่นพลังเวทย์หัวมังกรเพลิงขนาดย่อมๆ ซึ่งมันก็กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว 

    ตู้มมมมมมม!!!!!!!

    พลังเวทย์หัวมังกรเพลิงซัดเข้าตำแหน่งที่เดลวาลินอยู่เข้าอย่างจัง จนเกิดการระเบิดเปลวเพลิงขนาดย่อมๆที่รุนแรง จนทำให้สเตเดี้ยมสั่นสะเทือน และทำให้นักเรียนรวมถึงบุคลากรหลายๆท่านต่างพากันตกใจ เบลเซบับมองดูผลงานของตนท่ามกลางฝุ่นควันที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าและสะเก็ตไฟที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ก่อนที่เขาจะยิ้มเยาะในใจว่าตนนั้นชนะแล้ว และไม่มีทางที่เดลวาลินจะต้านทานพลังมังกรเพลิงในตำนานที่มีอยู๋ในดาบเล่นนี้ได้อย่างแน่นอน 

    ลอร่ารู้สึกช็อคที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ เธอไม่เชื่อว่าเดลวาลินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังปักใจเชื่อว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้วนั้น จู่ๆ สเตลร่าก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์กลางที่รุนแรงและทรงพลังมากแผ่ออกมาจากจุดที่เดลวาลินอยู่ ก่อนที่จะเกิดคลื่นลมกรรโชกรุนแรงพัดออกมาเป่าฝุ่นควันที่ปกคลุมออกไปจนหมด 

    แล้วทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ต้องตกตะลึงเมื่อจู่ๆ เดลวาลินยืนดาบเล่มหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดาบมังกรเพลิงของเบลเซบับ แต่ว่ามันมีรายละเอียดที่แตกต่างออกไปไม่ว่าจะเป็น กันคมที่มีลักษณะเป็นหัวมังกรเพลิงมีออร่าพลังเวทย์สีแดงพวยพุ่งออกมาเหมือนเปลวไฟที่กำลังลุกโชน คมดาบสองคมที่มีลวดลายสลักสีเหลืองเฉียบคม ดุดัน และมีออร่าเปลวเพลิงปกคลุมทั่วทั้งดาบอย่างน่าเกรงขาม 

    อีลอน: นั่นมัน….ดาบมังกรเพลิงอีกเล่มอย่างงั้นหรอ 0 0 ?

    ลอร่า: คุณเดลวาลิน 0 0 

    สเตลร่า: มาแล้วสินะ :) 

    เบลเซบับที่เห็นเดลวาลินถือดาบมังกรเพลิงแบบเดียวกันกับที่ตนถือดู ก็เกิดอาการตกใจและสงสัยว่าเดลวาลินได้มันมาจากไหน 

    เบลเซบับ: น…น…นี่แก…มีดาบมังกรเพลิงเหมือนกันด้วยงั้นหรอ 0 0" ?!!

    เดลวาลิน: เซอร์ไพร์มั้ยล่ะ แต่ฉันก็ต้องขอบใจนายมากเลยนะที่เอาพลังเวทย์มาชาร์จให้กับดาบของฉันน่ะ คราวนี้ฉันจะแสดงให้นายเห็นเองว่าของแท้กับของก็อปเกรดเอ มันต่างกันยังไง

    เดลวาลินยกดาบมังกรเพลิงขึ้นมาให้ดู และเผยให้เห็นว่าดาบของเขานั้นมีพลังเวทย์จากดาบของเบลเซบับสถิตย์อยู่เป็ฯผลมาจากการดูดพลังเวทย์มาเป็นของตนเอง จนทำให้เบลเซบับที่มีความมั่นหน้าเริ่มแสดงอาการหน้าถอดสี

    เบลเซบับ: บ…บ….บ้าที่สุด….มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง 0 0 ?!

    เดลวาลินไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาและเตรียมที่จะเอาคืนเบลเซบับในทันที เขาย่อตัววางดาบไปด้านข้างทำท่าร่ายเวทย์ไปที่ดาบมังกรเพลิงของเขา 

    จงตื่นและตอบสนองต่อเสียงเรียกของฉันเถิด มังกรเพลิงผู้พิทักษ์ในตำนาน เพลงดาบมังกรเพลิงพิฆาต!!

    เดลวาลินร่ายเวทย์บทเดียวกันกับที่เบลเซบับใช้ แต่ทว่าประโยคคำพูดนั้นแตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นรูปแบบพลังเวทย์และพลังทำลายล้างก็อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เดลวาลินชาร์จพลังเวทย์ไปที่ดาบจนดาบมังกรเพลิงเปล่งแสงสีแดงเพลิงพร้อมกับไอความร้อนอย่างยิ่งยวดรุนแรงยิ่งกว่าของเบลเซบับหลายร้อยเท่า ก่อนที่เดลวาลินจะฟาดดาบไปข้างหน้าจนเกิดเป็นร่างมังกรเพลิงโซเบลขนาดใหญ่ 10 เมตรกู่ก้องร้องแผดเสียงคำรามลั่นก่อนจะบินพุ่งทะยานเข้าไปหาเบลเซบับอย่างรุนแรง ซึ่งเบลเซบับก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำหน้าเหว๋อ ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก 

    ตู้มมมมม!!!!!!!

    แรงระเบิดจากท่าไม้ตายของเดลวาลินรุนแรงมากจนทำลายพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของสเตเดี้ยม แต่โชคดีที่สเตลร่านั้นร่ายเวทย์ป้องกันให้นักเรียนได้ทันจึงไม่มีใครโดนลูกหลงในเหตุระเบิดครั้งนี้ แต่ทุกคนนั่งอึ้งตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของเดลวาลิน 

    อีลอนที่ตั้งสติได้ได้รีบมองหากรรมการในการตัดสิน ก่อนจะสั่งให้กรรมการชุดหนึ่งเข้าไปตรวจสอบเบลเซบับเพื่อยืนยันสถานะก่อนจะทำการตัดสิน แต่แล้วชุดกรรมตัดสินที่เข้าไปตรวจสอบร่างของเบลเซบับก็ต้องผงะเมื่อพวกเขานั้นพบร่างของเบลเซบับนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น แต่ทว่าร่างที่กรรมการไปเห็นนั้นไม่ใช่เบลเซบับในร่างมนุษย์ปกติ แต่เป็นเบลเซบับในร่างปีศาจที่มีผิวสีดำคล้ำ ร่างกายกำยำ มีเขี้ยวยื่นออกมาจากปาก นิ้วมือมีกรงเล็บยาวแหลม และมีปีกค้างคาว กับหางของเผ่าปีศาจชัดเจน 

     ทุกคนต่างพากันตะลึงเพราะไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า เบลเซบับนั้นจะเป็นเผ่าปีศาจแฝงตัวมา แถมยังเป็นดาวเด่นของโรงเรียนที่สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่ยอมรับขององค์ราชาอีก แต่ดาบมังกรเพลิงที่องค์ราชามอบให้เขาก็ได้ถูกทำลายไปแล้วจนตอนนี้เหลือแต่เศษเหล็กเท่านั้น

    อีลอน: ไม่นึกเลยว่านักเรียนดาวเด่นที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนจะเป็นพวกปีศาจแฝงตัวมาแบบนี้

    ครูสาว: จะให้ดิฉันนำเรื่องนี้ไปรายงานฝ่าบาทเลยมั้ยคะ

    อีลอน: ช่วยไม่ได้ คงต้องรายงานฝ่าบาทเรื่องนี้แล้วล่ะ 

    อีลอนทำหน้าเคร่งขรึมและออกคำสั่งให้ครูสาวผู้ช่วยเขียนรายงานเรื่องนี้เพื่อทูลองค์ราชาของอาณาจักรเซซิลล่าร์ให้ทราบถึงเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะหันไปมองเดลวาลินที่กำลังยืนคุยจับกลุ่มอยู่กับลอร่าและสเตลร่า 

    อีลอน: ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่ทำให้พวกเรารู้ว่านักเรียนของพวกเรามีกลุ่มปีศาจแอบแฝงตัวเข้ามาปะปนด้วย

    สเตลร่า: ไม่ต้องขอบคุณพวกเราหรอก เรื่องทั้งหมดมันเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า 

    สเตลร่ายิ้ม ก่อนที่อีลอนจะให้ครูผู้ช่วยอีกคนนำกล่องที่มีตราสัญลักษณ์รับรองมามอบให้เดลวาลินตามข้อตกลง และเมื่อเปิดกล่องออกมาทั้งสามคนก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ตราสัญลักษณ์ที่อีลอนมอบให้นั้นมันคือตราระดับคลาสเงิน แต่มีเครื่องหมายตราเกียรติยศพิเศษสีทองซึ่งบ่งบอกว่า เขานั้นคือผู้ท้าประลองชิงตราสัญลักษณ์ระดับยอดฝีมือ ซึ่งมีไม่กี่คนในรอบ 500 ปีที่สามารถทำได้

    อีลอน: ตราระดับไม้คงไม่เหมาะกับเธอหรอก ฉันเลยอยากจะมอบตราระดับคลาสเงินพิเศษนี้ให้เธอแทน ทั้งการความสามารถที่เหลือล้น รวมถึงการช่วยกำจัดปีศาจที่แฝงตัวก่อนที่มันจะไปก่อความวุ่นวายในภายหลัง 

    เดลวาลินรับตรานักผจญภัยระดับบพิเศษมาก่อนจะพยักหน้าเพื่อขอบคุณ

    เดลวาลิน: ขอบคุณ

    ลอร่า: ว่าแต่ทำไมถึงมีเผ่าปีศาจแฝงตัวเข้ามาปะปนอยู๋กับมนุษย์แบบนี้ล่ะคะ 0 0 ?

    อีลอน: อืมมม….สงสัยพวกมันต้องการจะแทรกซึมเข้ามาสร้างความปั่นป่วนภายในให้กับฝ่ายมนุษย์ เพราะช่วงนี้อาณาจักรก็กำลังทำสงครามกับเผ่าปีศาจอยู่ แถมยังมีการต่อสู้เกิดขึ้นเนืองๆด้วย

    ลอร่า: *ฟู่ว…*  โล่งอกไปที โชคดีจังเลยนะคะที่พวกเราจัดการปีศาจตัวนี้ได้ก่อน ไม่อย่างงั้นมันคงจะเอาดาบมังกรเพลิงที่ได้รับมาจากองค์ราชาไปก่อความวุ่นวายแน่ๆ ขอบคุณพระแม่ไมอาร์จริงๆที่ช่วยพวกเรา ^ ^ 

    ในระหว่างที่ลอร่ากับคุยกับอาจารย์ใหญ่อย่างสนิทสนมอยู่นั้น สเตลร่าก็ได้เข้าไปตรวจสอบเศษซากของดาบมังกรเพลิง ก่อนจะพบว่ามีชิ้นส่วนหนึ่งตกอยู่ที่พื้นซึ่งมันมีลักษณะเหมือนกับหินสีแดงเพลิง และเมื่อเธอลองใช้เวทย์มนต์ตรวจสอบก็พบว่าหินสีแดงนี้นั้น คือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณแห่งธาตุเธอจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วเอาไปให้เดลวาลินดู

    สเตลร่า: เดลวาลิน นายมาดูนี่สิ

    เดลวาลิน: อะไรงั้นหรอ ?

    สเตลร่ายื่นเศษชิ้นส่วนจิตวิญญาณแห่งธาตุให้เดลวาลินดู ก่อนจะพบว่าสิ่งนี้คือสิ่งเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบพลังของมังกรธาตุในตำนาน 

    สเตลร่า: นี่คือเศษชิ้นส่วนจิตวิญญาณแห่งธาตุที่มีพลังเวทย์คล้ายคลึงกับพลังเวทย์ของนายไม่มีผิด เพียงแต่ระดับค่าพลังความแข็งแกร่งมันต่างกันโดยสิ้นเชิง

    เดลวาลิน: แล้วมันทำไมงั้นหรอ

    สเตลร่า: ฉันคิดว่าอาจมีคนต้องการจะใช้พลังของนายไปในทางที่ไม่ดีและบางทีอาจจะใช้มันเพื่อทำสงครามก็ได้ ซึ่งนายก็น่าจะรู้ดีว่าท่านแม่นั้นไม่ต้องการให้เกิดสงครามเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้น เลยให้นายเป็นคนหยุดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกเหมือนในเหตุการณ์เมื่อหนึ่งพันปีก่อน

    เดลวาลิน: นั่นสินะ ต้นเหตุทั้งหมดมาเกิดจากฉันเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนี่นา แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ

    สเตลร่า: ถ้าให้ดีต้องไปสืบว่าใครเป็นคนต้นคิดวิทยาการแบบนี้ขึ้นมาและคาดว่าน่าจะอยู่ที่วังหลวง แต่ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งทำอะไรดีกว่า

    เดลวาลินพยักหน้าและเริ่มมีสีหน้าที่จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย 

    ต่อมาเดลวาลินก็คิดจะจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับสเตเดี้ยมรวมไปถึงพื้นที่ส่วนอื่นๆที่โดนลูกหลงจากการใช้พลังเวทย์ของเขา ซึ่งในทีแรกอีลอนปฏิเสธเพราะเกรงใจและเขาก็เข้าใจว่าเดลวาลินนั้นแข็งแกร่งมากๆจึงไม่แปลกที่จะเกิดความเสียหายต่อพื้นที่การต่อสู้

    แต่ถึงอย่างนั้นเดลวาลินก็ยังต้องพึ่งพาอีลอนเขาจึงบอกว่าจะแบ่งเงินทองจำนวนหนึ่งที่เก็บเอาไว้ในคลังมาจ่ายชดเชยให้กับโรงเรียน ทำให้อีลอนต้องยอมรับเงินค่าชดเชยแต่โดยดีและรู้สึกปลาบปลื้มที่เดลวาลินนั้นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ

    .

    .

    .

    .

    หลายชั่วโมงต่อมาในช่วงเวลาโพล้เพล้

    หลังจากที่เดลวาลินได้รับเหรียญตรามาแล้วทั้งสามก็คิดจะไปนั่งกินเพื่อเลี้ยงฉลองให้กับเดลวาลินที่ก้าวเข้าสู่การเป็นนักผจญภัยได้ โดยร้านที่ลอร่าเลือกนั้นเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีพนักงานเอลฟ์สาวแสนสวยรอต้อนรับอย่างอบอุ่น

    พนักงานเอลฟ์: ยินดีต้อนรับค่าา~! ^ ^ 

    พนักงานเอลฟ์ในชุดพนักงานเสิร์ฟสีแดง ผมเหลืองและผมน้ำตาล 2 คนยืนอยู่หน้าทางเข้าก่อนจะคำนับกล่าวต้อนรับทั้งสามคนอย่างสุภาพ พร้อมกับยิ้มแย้มอย่างเป็นกันเอง จากนั้นทั้งสามคนก็ไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับมองบรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งไปด้วยโคมไฟสีเหลืองให้บรรยากาศผ่อนคลาย อีกทั้งยังประดับตกแต่งด้วยศิลปะและวัตถุโบราณหายากตั้งโชว์เป็นพิพิภัณฑ์ขนาดย่อมๆให้ลูกค้าดูระหว่างรออาหารด้วย

    สเตลร่า: เธอเคยมาร้านนี้บ่อยงั้นหรอ 

    ลอร่า: ค่ะ ฉันกับเพื่อนๆมักจะมาที่ร้านนี้หลังจากทำเควสจบในแต่ละวันน่ะค่ะ 

    สเตลร่า: อย่างงั้นเองหรอ 

    ในระหว่างที่สเตลร่ากับลอร่ากำลังนั่งคุยกัน เดลวาลินก็รู้สึกว่าเขากำลังถูกใครบางคนจับตามองอยู่ และเมื่อเขาหันไปมาตามความรู้สึกนั้นก็พบเข้ากับพนักงานเอลฟ์ผมบลอนน่ารักคนหนึ่งกำลังแอบจ้องมองเขาอยู่หลังประตูไปทางหลังร้าน และดูเหมือนเธอจะตกใจเมื่อเห็นเดลวาลินหันมาพบเธอเข้าว่าตนกำลังแอบดูอยู่ จึงรีบหลบกลับเข้าไปหลังร้านในทันที 

    ลอร่า: อะอ้าวคุณเดลวาลิน จะไปไหนหรอคะ 0 0 ?

    เดลวาลิน: เมื่อกี้ฉันเห็นพนักงานคนนึงแอบมองฉันอยู่ อยากจะเข้าไปถามสักหน่อย

    ลอร่าทำหน้าสงสัยก่อนที่เดลวาลินจะเดินไปยังจุดที่พบกับพนักงานเอลฟ์น่าสงสัยคนนั้นครั้งล่าสุด จนกระทั่งเชฟที่ประจำอยู่หน้าร้านทักเขาเพราะเห็นว่าเดลวาลินกำลังจะเข้าไปในห้องที่มีเฉพาะพนักงานเท่านั้นที่เข้าไปได้

    เชฟ: เดี๋ยวก่อนสิ นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ เข้าไปไม่ได้นะ 

    เดลวาลินไม่สนใจคำท้วงจากเชฟ เขาเอื้อมมือไปบิดลูกประตูเพื่อที่จะเปิดประตูไปยังหลังร้าน แต่ทว่าก็มีใครบางคนเปิดประตูออกมาตัดหน้าเขาก่อนจนเผยให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 28 ปี สูง 178 ซม ผิวขาวอมชมพู เป็นสาวสวยเซ็กซี่ ใส่ชุดเดรสเปิดขาสีแดงลายมังกรยุโรปสีเหลือง มีเขามังกร 2 ข้างอยู่บนศีษระ ผมยาวสีแดงเข้ม แววตาสีแดงดุดัน ทาลิปสติกสีแดง ทำให้เดลวาลินตกใจเดินถอยหลังออกมาเล็กน้อย 

    หญิงสาวที่เดินออกมาเกือบชนหน้ากับเดลวาลินนั้นเธอมีชื่อว่า ‘เรดควีน’ เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ ปกติเธอไม่ค่อยจะมาที่ร้านสักเท่าไหร่เนื่องจากเธอมักติดธุระสำคัญเกือบตลอดทั้งปี อีกทั้งเธอยังเป็นมังกรไฟเพศเมียที่แฝงตัวมาใช้ชีวิตปะปนในสังคมมนุษย์เพื่อความมั่งคั่ง และทันทีที่เรดควีนได้เจอกับเดลวาลินเธอก็อุทานขึ้นมาในทันทีราวกับว่ารู้จักกับเดลวาลินมาก่อน 

    เรดควีน: น…นี่เธอ…! 0 0

    หลังจากนั้นเรดควีนก็เข้าไปจับไหล่และลูบหน้าของเดลวาลินเพื่อที่จะมองหน้าเขาให้ชัดๆ และยิ่งมองเธอก็ยิ่งตกใจเมื่อเธอรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นคือ มังกรเพลิงโซเบลที่ตายไปแล้วเมื่อ 1,000 ปีก่อน แต่ตอนนี้เขามาปรากฏตัวให้เธอเห็นอีกครั้งในร่างจำแลงมนุษย์ที่คุ้นเคย

    ลอร่า: เกิดอะไรขึ้นหรอคะ 0 0 ? 

    เดลวาลิน: ไม่รู้สิ จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ทำตัวแปลกๆ แถมยังเอามือมาลูบหน้าฉันอีก

    เรดควีนที่ได้ยินเดลวาลินใช้คำพูดคำจากับเธอเหมือนเป็นคนห่างเหิน มันก็ทำให้เธอสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโซเบล

     

    ต่อมากลุ่มของเดลวาลินก็ได้ไปคุยกับเรดควีนที่หลังร้านในห้องรับแขกส่วนตัว ก่อนที่เรดควีนจะรู้คยามจริงจากปากของสเตลร่าว่า โซเบลนั้นได้ตายแล้วไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ก่อนจะตายอีกครั้งแล้วมาเกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงอีกที นั่นจึงทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้

    เรดควีน: อย่างงั้นก็แสดงว่า ท่านโซเบลที่ฉันเคยรู้จักได้ตายไปแล้วจริงๆ ส่วนท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือท่านโซเบลที่มีความทรงจำในชาติใหม่ ฉันเข้าใจถูกต้องใช่มั้ย?

    สเตลร่าพยักหน้าตอบเงียบๆ นั่นจึงทำให้เรดควีนรู้สึกเสียดายที่ความสัมพันธ์ในอดีตตนเคยมีร่วมกันกับโซเบลต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่ลึกๆในใจของเรดควีนนั้นเธอกลับรู้สึกว่าเธอเสียใจที่โซเบลจำเธอไม่ได้ในฐานะที่ตัวเธอกับโซเบลนั้นเคยมีความสัมพันธ์อันดีอย่างลึกซึ้งมาก่อน และเป็นความสัมพันธ์ที่มีเพียงเรดควีนกับโซเบลรู้เพียงสองคนเท่านั้น

    เรดควีน: ในเมื่อท่านโซเบลจำข้าไม่ได้ และกำลังแฝงตัวเป็นมนุษย์พร้อมกับใช้นามแฝงอื่นอยู่แบบนี้ ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะปล่อยเลยตามเลยก็แล้วกัน 

    หลังจากนั้นเรดควีนก็ลุกขึ้นก่อนจะพูดขึ้นมาว่า 

    เรดควีน: แต่ก่อนอื่น ขอฉันได้คุยกับท่านโซเบลตามลำพังจะได้รึเปล่า 

    เดลวาลินกับลอร่าหันไปมองสเตลร่า เพื่อถามความเห็นจากเธอ ก่อนที่สเตลร่าจะตอบรับแต่โดยดี

    สเตลร่า: เอาสิ เชิญตามสบาย

    หลังจากนั้นสเตลร่าก็พาลอร่าออกไปจากห้องปล่อยให้เดลวาลินกับเรดควีนได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ก่อนที่เรดควีนจะชวนเดลวาลินดื่มกาแฟ

    เรดควีน: ท่านดื่มกาแฟเป็นรึเปล่า

    เดลวาลิน: อืม แน่นอน

    เรดควีนรินกาแฟร้อนก่อนจะยื่นแก้วกาแฟร้อนให้เดลวาลิน ส่วนเรดควีนก็รินกาแฟใส่แก้วในส่วนของตนเองเช่นกัน 

    เรดควีน: ขอถามอะไรสักอย่าง ท่านจำเรื่องราวในอดีตชาติของตนเองสักได้อย่างหรือไม่ 

    เดลวาลิน: ไม่เลย ฉันจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

    เรดควีน: *เฮ้อออ…* น่าเสียดายจริงๆ แบบนี้ท่านก็จำไม่ได้น่ะสิ ว่าเราสองคนเคยเจอกันได้ยังไง 

    เดลวาลินพยักหน้า ก่อนที่สายตาของเขาจะหันไปโฟกัสที่หน้าอกที่สะบึมของเรดควีน ราวกับแม่เหล็กดูดเข้าหากันตามสัญชาตญาน แต่ดูเหมือนว่าเรดควีนจะรู้ตัวว่าเดลวาลินกำลังมองหน้าอกของเธออยู่ แต่เธอนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทางเขินอาย หรือรังเกียจแต่อย่างใด เพราะสำหรับเธอแล้วนั้นทั้งกายและใจเป็นของโซเบลอยู่แล้ว 

    เรดควีน: ท่านโซเบลอยากลองจับดูมั้ยคะ ^ ^ ?

    เดลวาลิน: เอ๋ 0 0 ?! 

    เรดควีนลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเดินเข้ามายืนคร่อมตัวเดลวาลินเพื่อให้เขาจับได้เต็มมือ แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะลนลานจนวางตัวไม่ถูก

    เดลวาลิน: (อะ....อะไรเนี่ย...ทำไมจู่ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเรากันนะ มีผู้หญิงที่เต็มใจยอมให้เราจับหน่มน๊มด้วยง้้นหรอ?! 0 0)  

    เดลวาลินจ้องมองไปยังหน้าอกของเรดควีนตาไม่กระพริบ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่สับสน ลังเลว่าเขานั้นจะทำตามใจตัวเอง หรือจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ทว่าสุดท้ายแล้วนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะลองจับหน้าอกของเรดควีน เพราะสำหรับเขาแล้วไม่มีโอกาสไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว

    สุดท้ายเขาก็ค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่หน้าอกของเรดควีน ก่อนจะค่อยๆซึมซับความรู้สึกแล้วเขาก็พบว่าหน้าอกของผู้หญิงนั้นมันนุ่มนิ่มเหมือนลูกโป่งน้ำ และยิ่งจับก็ยิ่งติดมือทำให้เขาเผลอออกแรงบีบจนทำให้เรดควีนเผลอส่งเสียงอือในลำคอด้วยความเคลิบเคลิ้ม

    เรดควีน: *แฮ่ก…แฮ่ก…* รู้สึกเป็นยังไงบ้างเจ้าคะ….ชอบรึเปล่าเจ้าคะ ? v///v

    เดลวาลินลูบๆบีบๆอยู่สักพักก่อนจะปล่อยมือเพราะสาแก่ใจตนเองแล้ว 

    เดลวาลิน: ไม่นึกมาก่อนเลยว่า…มันจะรู้สึกแปลกแต่ก็รู้สึกดีในเวลาเดียวกันแบบนี้ 

    หลังจากที่เรดควีนให้เดลวาลินจับหน้าอกจนสาแก่ใจแล้ว เธอก็กลับไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ก่อนจะเก็บทรงให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

    เรดควีน: ดูเหมือนท่านคงจะชอบสัมผัสเรือนร่างของหญิงสาวอยู่เหมือนกันนะ เพราะสมัยก่อนท่านดูไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย

    เดลวาลิน: อย่างงั้นหรอ ถ้างั้นเธอช่วยเล่าเหตุการณ์ครั้งแรกที่เราเจอกันได้รึเปล่า 

    เรดควีน: ท่านหมายถึง เราสองคนมาพบกันได้ยังไงอย่างงั้นหรอ ?

    เดลวาลินพยักหน้า ก่อนเรดควีนจะยอมเล่าเรื่องราวตามคำขอของเขาแต่โดยดี 

     

    ย้อนกลับไปเมื่อ 1,000 ปีก่อน ในช่วงยุคบั้นปลายสุดท้ายของยุคสงครามแห่งไฟ เรดควีนที่ยังเป็นเพียงมังกรสาวตนหนึ่งที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น เธอได้รับบาดเจ็บจากการถูกมนุษย์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุสมาชิกมังกรภายในฝูงของเธอ และมีเพียงเรดควีนเพียงคนเดียวที่ยังเหลือรอดอยู่ 

    นักล่ามังกร A: มีเหลือรอดอยู่อีกตัวงั้นหรอ

    นักล่ามังกร B: ให้ตายสิ รีบจัดการให้มันเสร็จๆดีกว่า 

    เรดควีน: อย่านะ….ขอร้องล่ะ…อย่าฆ่าฉันเลย…

    เรดควีนที่หวาดกลัวกลุ่มนักล่ามังกรสุดขีดพยายามอ้อนวอนร้องขอชีวิต แต่ดูเหมือนพวกนักล่ามังกรใจโหดจะไม่ฟังคำอ้อนวอนของเธอเลยแม้แต่น้อย 

    นักล่ามังกร C: หุบปากซะ ยังไงคนที่จ้างวานพวกเรามาก็ไม่ยอมปล่อยให้มีมังกรอยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตายสะเถอะ!!

    ในขณะที่นักรล่ามังกรคนหนึ่งกำลังจะแทงหอกยาวไปที่หัวของเรดควีนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของพวกนักล่ามังกรเหมือนกับว่าพวกนั้นกำลังถูกไฟแผดเผาทั้งเป็น จนเมื่อเรดควีนลืมตาขึ้นมาก็พบว่าพวกนักล่ามังกรถูกไฟคลอกทั้งเป็นอย่างน่าสยดสยอง และสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นขามังกรคู่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตมากๆยืนอยู่ตรงหน้าเธอ จนเมื่อเรดควีนได้เงยหน้าขึ้นไปมอง เธอก็ได้เห็นมังกรเพลิงในตำนานโซเบลที่มีแววตาสีแดงก่ำกำลังยืนจ้องมองเธอด้วยความสงสัย 

    โซเบล: เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า…

    โซเบลถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือน่าเกรงขาม

    เรดควีน: ท…ท่านเป็นใคร….

    โซเบล: ข้า…มีนามว่าโซเบล เป็นมังกรเพลิงในตำนานตัวแทนแห่งเปลวเพลิงของโลกนี้…

    เรดควีน: มังกรเพลิงในตำนาน…โซเบลงั้นหรอเจ้าคะ..?

    หลังจากวันนั้น วันที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากโซเบลมันก็ทำให้เธอตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง จนในเวลาต่อมาเธอก็พยายามแอบติดตามโซเบลไปทุกที เพื่อสังเกตุการณ์อยู่ห่างๆจนเธอนั้นได้เห็นเรื่องราวถึงการกระทำต่างๆของโซเบลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคน เผาเมือง ปล้นสมบัติ รวมถึงนอนหลับอยู่บนกองเปลวเพลิงที่พังทลายของอารยธรรม จนกระทั่งวันหนึ่งเรดควีนตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์กับโซเบลอย่างจริงๆจังๆโดยการขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้

    โซเบล: ข้าไม่ได้ต้องการให้ใครมาฝากตัวเป็นคนรับใช้ทั้งนั้น ไปให้พ้นหน้าข้าซะ!

    เรดควีน: ไม่ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น หัวใจของข้านั้นข้าได้มอบให้แก่ท่านไปจนหมดแล้ว และไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับท่าน ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างท่านเสมอ 

    โซเบล: เจ้านี่น่ารำคาญชะมัด อยากจะทำให้ข้าโกรธรึยังไงกัน ?!

    เรดควีน: เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าจึงอยากจะฝากตัวรับใช้ท่านเพื่อแทนคุณไปตลอดชีวิต และทั้งหมดนี้ข้ายอมทำตามำคสั่งของท่านทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีนัยยะแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น

    เมื่อโซเบลได้ยินดังนั้น เขาก็ได้ใช้สายตาจ้องมองเข้าไปในแววตาที่ใสซื่อของเรดควีนในวัยสาวแรกรุ่นร่างมังกรไฟเพศเมียสีแดง เพื่อทดสอบสภาพจิตใจของเธอว่าสิ่งที่เรดควีนพูดมานั้นเธอมีความจริงใจมากแค่ไหน ก่อนจะพบว่าเรดควีนนั้นเต็มใจที่จะมอบชีวิตของเธอทั้งชีวิตเพื่อเขาจริงๆ 

    โซเบล: เฮ้อออ….ในเมื่อเจ้าอยากจะติดตามข้ามากนัก ข้าก็จะไม่ห้าม แต่ข้าขอเตือนเอาไว้อย่าง…ข้าน่ะมีศัตรูอยู่มากมายนับไม่ถ้วนและสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธ์ุจ้องจะเล่นงานข้าทุกเวลา เจ้าพร้อมที่จะรับมือกับภัยอันตรายที่พร้อมจะเข้ามาหาได้ทุกเมื่อแน่นะ ? 

    เรดควีน: ขอแค่ข้าได้อยู่กับท่านโซเบล ข้ายินดีที่จะปกป้องท่านและดูแลท่าน แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

    หลังจากนั้นโซเบลก็ยอมรับเรดควีนมาเป็นมังกรบริวารข้ารับใช้ ก่อนที่โซเบลกับเรดควีนจะตกลงปลงใจคบหากันอย่างลับๆ จนในเวลาต่อมาเขาจะได้ปะทะกับผู้กล้าลูซิสจนรู้ซึ้งถึงความน่าเกรงขามของดาบล่ามังกร จนทำให้โซเบลต้องการจะตัดสินกับผู้กล้าลูซิสที่เมืองเดนิส และสั่งห้ามไม่ให้เรดควีนตามไปช่วยในการต่อสู้ในครั้งนี้ ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดโซเบลมังกรเพลิงที่ชั่วร้ายถึงสั่งห้ามไม่ให้เธอตามเข้าไปช่วยต่อสู้ในครั้งนี้

     แต่เธอก็สันนิษฐานว่าโซเบลอาจจะเป็นห่วงเธอและไม่อยากให้ตนนั้นไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่สามารถฆ่ามังกรได้ง่ายๆ 

     

    ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน…

    เรดควีน: หลังจากนั้นฉันก็ทราบข่าวในภายหลัง…ว่าท่านโซเบลได้สิ้นชีพด้วยน้ำมือของผู้กล้าลูซิสในเวลาต่อมาเจ้าค่ะ

    เดลวาลิน: อย่างงั้นเองหรอกหรอ 

    เรดควีน: ท่านไม่รู้หรอกว่า หลังจากที่ฉันต้องสูญเสียท่านไปในตอนนั้น จิตใจของฉันนั้นเคว้งคว้างมากขนาดไหน 

    เดลวาลิน: เธอคงจะเสียใจมากเลยสินะที่ตัวฉันในอดีตชาติถูกฆ่าตายไปน่ะ 

    เรดควีน: อืม…ฉันต้องใช้เวลาทำใจนานเป็นเดือนๆกว่าจะยอมรับความจริงได้ v v 

    เดลวาลินนั่งกอดอกพยักหน้าก่อนจะถามต่อว่า

    เดลวาลิน: แล้วทำไมเธอถึงมาเลือกเปิดร้านอาหารในตัวเมืองแบบนี้ล่ะ แถมยังตั้งชื่อร้านที่เหมือนกับชื่อของเธออีก

    เรดควีน: อ้อ…ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ แค่ฉันอยากได้เงินและพบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่สัญจรมาทานอาหารในร้านเฉยๆแค่นั้นเอง ^ ^ 

    เดลวาลิน: อ้าว…สะงั้น = =

    เรดควีนหัวเราะคิคักอย่างร่าเริงอย่างที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบ 1,000 ปี และเธอมีความสุขมากๆในวันนี้ ที่ได้อยู่กับอดีตคนรักที่จากไปนาน ถึงแม้สถานะภาพของเดลวาลินหรือโซเบลในตอนนี้จะเป็นคนละคนไปแล้วก็ตาม

    แล้วเธอก็ได้บอกเล่าประสบการณ์ต่างๆในช่วงชีวิตของเธอให้เดลวาลินฟังตลอด 1,000 ปี ที่ผ่านมา ว่าเธอนั้นต้องเรียนรู้ในการแฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตปะปนกับสังคมมนุษย์ให้กลมกลืน รวมถึงเรียนรู้คำศัพท์ภาษาสำเนียงที่มนุษย์ใช้กันในแต่ละยุคสมัยเพื่อความแนบเนียน 

    อีกทั้งเธอยังรับหญิงสาวน้อยใหญ่มากมายที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอให้มาเป็นพนักงานในร้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเอลฟ์สาวแสนสวยที่เธอนั้นจะพิจารณาเป็นพิเศษ เนื่องจากเผ่าเอลฟ์นั้นมีอานุขัยที่ยืนยาวกว่ามนุษย์ อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่สวย น่ารัก สดใส จึงสามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านได้ และเธอถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายในร้านคือสมบัติของเธอไม่เว้นแม้แต่พนักงานเองก็ตาม

    หลังจากที่เดลวาลินได้พูดคุยกับเรดควีนมาได้สักพักใหญ่ๆ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้มากขึ้น เรดควีนก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับบุคลิกใหม่ของโซเบลในชาตินี้ ส่วนเดลวาลินก็พยายามที่จะทำความรู้จักกับเรดควีนให้มากขึ้น เผื่อวันข้างหน้าทั้งสองจะได้คบหาสมาคมกันอีกนาน และในคืนนี้ดูเหมือนว่าเดลวาลินจะได้ไปนอนพักที่บ้านพักนอกเมืองของเรดควีนพร้อมกับสเตลร่าและลอร่าด้วย 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×