ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4: กลุ่มมังกรปีศาจบรรพกาล

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 66


    ณ ปราสาทมังกรแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใน 'ดาร์คเนส เวิลด์ ดรากูน' (Darkness World Dragoon) ดินแดนแห่งความมืดที่อยู่สุดขอบโลกเอเซอร์เชี่ยน อันเป็นสถานที่ที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมังกรน้อยใหญ่มากมายนานาชนิดที่มีนิสัย โหดร้าย ป่าเถื่อน และชอบกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นอาหารไม่เลือกหน้า โดยมีความสูงตั้งแต่ 3 เมตร ไปจนถึง 15 เมตร

    และที่นี่ถูกปกครองโดย

    'เซฟิลอส มังกรแห่งความมืดในตำนาน' (Sephilos The First of Darkness Dragon) ที่มีพลังความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด 

    ย้อนกลับไปในอดีตครั้งสมัยที่เทพธิดาไมอาร์สร้างโลกเอเซอร์เชี่ยนได้ไม่นาน เซฟิลอส คือมังกรแห่งแสงตัวแรกของจักรวาล สูง 60 เมตร ยืน 4 ขา มีเกล็ดแผ่นเรียบสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมทั่วร่างกาย มีปีกขนนกสีขาวตัดทองเป็นออร่าที่ด้านหลังขนาดใหญ่ มีหางขนาดใหญ่ทรงพลังที่สุด มีกรงเล็บที่แหลมคมที่สุด มีดวงตาสีฟ้าที่มีความสามารถในการมองเห็นที่ดีที่สุด และเป็นมังกรแห่งแสงในตำนานที่มีความใกล้ชิดกับเทพธิดาไมอาร์มากที่สุด บนเซเลสเทรีย เนื่องจากเซฟิลอสเป็นมังกรเพียงตัวเดียวในโลกที่มีสิ่งที่เรียกว่า 'คริสตัลแห่งแสง' (Crystal of Light) คริสตัลสีฟ้าสว่างสดใสที่ติดอยู่บริเวณหน้าผากและกลางหน้าอก และยังเป็นมังกรธาตุในตำนานระดับหัวหน้าของเหล่ามังกร 4 ธาตุในตำนานรุ่นแรกอีกด้วย ในฐานะที่เซฟิลอสนั้นคือตัวแทนของเทพธิดาไมอาร์

    เซฟิลอส คอยทำหน้าที่สอดส่อง ดูแลความเรียบร้อยในการจัดการสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามที่คิดจะสร้างความปั่นป่วนและความวุ่นวายให้กับโลกเอเซอร์เชี่ยน เสมือนเป็นหูเป็นตาให้กับเทพธิดาไมอาร์อีกแรงในการลงทัณฑ์คนบาป

    เขามีพลังอำนาจมากมาย สามารถดลบันดาบ สร้างอภินิหาริย์ต่างๆได้ มีพลังเวทย์มนต์แห่งแสงที่แข็งแกร่าง มีร่างกายและพลังที่สามารถปรับตัวเอาชนะธาตุได้ทุกธาตุในโลก สามารถบงการสิ่งมีชีวิต หรือเปลี่ยนแปลงความคิดของสิ่งมีชีวิตให้เชื่อในสิ่งที่มันต้องการได้ และเขามีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยความรุนแรงหากจำเป็นเพื่อเป็นการสั่งสอนจากเทพธิดาไมอาร์ แต่ความทำนงตนและหลงละเลิงในอำนาจของมันในการจัดการเหล่าคนบาป ทำให้เซฟิลอสเริ่มนึกสำคัญตนเองว่า มันนั้นคือผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง และมันนั้นมีสถานะเท่าเทียมกับเทพธิดาไมอาร์ ทำให้มันเริ่มลงโทษสิ่งมีชีวิตอื่นโดยพลการเพื่อความสุขส่วนตนเ

    เทพธิดาไมอาร์รู้และเห็นถึงการกระทำทุกอย่างที่อุกอาจของเซฟิลอส แต่เทพธิดาไมอาร์ก็ยังคงอดทนอดกลั้นและยังเชื่อในตัวเซฟิลอสว่ามันนั้นจะตระหนักรู้ได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันเกินขอบเขตและสำนึกผิดในสิ่งที่ตนทำลงไป 

    แต่เปล่าเลยเซฟิลอสเชื้อเชิญให้มังกร 4 ธาตุในตำนานเริ่มฆ่าล้างบางทั้งเหล่าคนบาปและสิ่งมีชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องโดยใช้พลังควบคุมจิตเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาไปทีละนิด แม้เหล่ามังกร 4 ธาตุ ในตำนานรุ่นแรก จะปฏิเสธแต่เมื่อเวลาผ่านความคิดของพวกเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิดและเริ่มออกนอกกรอบมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดมังกร ภ ธาตุในตำนานทั้งหมดก็ยอมเข้าร่วมกับเซฟิลอส

    เมื่อเซฟิลอสเกลี้ยกล่อมมังกร 4 ธาตุในตำนานมาเป็นพวกได้ทั้งหมดมันก็คิดจะกบฏต่อเทพธิดาไมอาร์ จนเกิดเป็นสงครามระหว่างเซฟิลอสกับเทพธิดาไมอาร์ขึ้น แต่สุดท้ายเทพธิดาไมอาร์ก็เป็นฝ่ายชนะโดยมีมังกรธาตุในตำนาน 5 ธาตุรุ่นใหม่ที่เทพธิดาไมอาร์สร้างขึ้นมาจากพลังอีกครึ่งหนึ่งมาช่วยทำสงครามและทำหน้าที่แทนบรรดามังกรธาตุรุ่นแรกที่ย้ายขั้วไปอยู่ฝั่งเดียวกันกับเซฟิลอส 

    ส่วนเซฟิลอสและบรรดามังกรธาตุในตำนานรุ่นแรกทั้งหมดที่เข้าร่วมแผนการกบฏต่อเทพธิดาไมอาร์ พวกมันทั้งหมดก็ถูกเนรเทศให้ตกสวรรค์และตัดขาดจากเทพธิดาไมอาร์ อีกทั้งยังถูกส่งให้ไปอยู่ดินแดนที่มืดมืดที่สุดอย่าง ดาร์คเนส เวิลด์ ดินแดนที่ไร้แสงสว่างและการคุ้มครองใดๆจากเทพธิดาไมอาร์โดนสิ้นเชิง

    ด้วยความโกรธแค้นที่เซฟิลอสไม่สามารถชนะเทพธิดาไมอาร์ได้ มันจึงละทิ้งแสงสว่าง จากสีเกล็ดบนร่างกายที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์และปีกนกที่ด้านหลังที่มีสีขาวตัดกับสีทองค่อยๆหม่นหมองกลายเป็นสีดำสนิทคริสตัลแห่งแสงที่เคยสว่างสไหว กลับกลายเป็นคริสตัลสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยความมืดมืดสุดขั้ว แววตาที่สดใสค่อยๆกลายสภาพเป็นนัตย์ตาสีแดงที่แข็งกร้าวสีแดง และถูกล่ามโซ่ให้ถูกจองจำอยู่ในความมืดมิดไปชั่วนิรันดร์ 

    ส่วนเหล่ามังกรธาตุในตำนานรุ่นแรกทั้งหมดก็ถูกเนรเทศจากสวรรค์และถูกตัดขาดสายสัมพันธ์จากเทพธิดาไมอาร์โดยสิ้นเชิง ทำให้พลังธาตุของมังกรธาตุในตำนานรุ่นแรกที่ได้รับอิทธิจากพลังงานแสงบริสุทธิ์จากเทพธิดาค่อยๆมอดดับลง ทำพวกมันต้องหาแหล่งพลังเวทย์จากที่อื่นมาทดแทนจนได้พลังความมืดมาแทน ทำมังกรธาตุรุ่นแรกทั้งหมดกลายเป็นมังกรแห่งความมืดและได้เกิดกลุ่มมังกรแห่งความมืดที่มีชื่อว่า 'เซอร์ราฟรีส ดรากูน' และต้องคอยกัดกินพลังงานสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง รวมถึงชักจูงให้สิ่งมีชีวิตเข้าสู่ด้านมืดเพื่อต่อต้านเทพธิดาไมอาร์

     

    และในตอนนี้เองที่ปราสาท 'ดาร์คเนส ราฟรีส' ที่ตั้งอยู่ใน ดาร์คเนส เวิลด์ ดรากูน เหล่ามังกรปีศาจเซอร์ราฟรีสทก็ได้มาชุมนุมกันในรอบ 1000 ปี หลังจากที่มังกรเพลิงโซเบลสิ้นชีพไปด้วยฝีมือของลูซิส โดยที่พวกมันพยายามตามหาจิตวิญญานแห่งธาตุดวงสุดท้ายของโซเบล แต่ปัจจุบันพวกมันก็ยังหาไม่เจอ 

    ???: ว่าไง...พวกเจ้าได้ข่าวคราวอะไรกลับมาบ้างรึเปล่า 

    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา ในขณะที่มีกลุ่มมังกรปริศนาสีดำกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ซึ่งร่างทั้ง 3 ร่างนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน

    ???: ไม่มีวี่แววและร่องรอยอะไรที่พวกเราเจอเป็นชิ้นเป็นอันเลย  

    เสียงของมังกรตัวหนึ่งที่ดูราบเรียบ และสุขุมดังขึ้นมาเพื่อตอบคำถามนั้น

    ???: พวกเราหามานานเป็นพันๆปีแล้ว แต่ก็ยังหาจิตวิญญาณแห่งธาตุของโซเบลไม่เจอเลย ยังกับว่ามันหายไปจากโลกนี้สะอย่างงั้นแหละ 

    เสียงเล็กแหลมขวนแสบแก้วหูดังขึ้นมาต่อ 

    ???: เป็นไปได้มั้ยว่า เทพธิดาไมอาร์อาจจะซ่อนจิตวิญญาณแห่งธาตุของโซเบลเอาไว้ ทำให้พวกเราหามันไม่พบเสียที

    เสียงที่ดูมาดเข้ม ดุดันดังขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่เจ้าของเสียงผู้หญิงจะพูดขึ้นมาปิดท้าย

    ???: ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้... 

    มังกรปีศาจทั้ง 4 ตน ได้มาชุมนุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อนจะพบว่าทั้งหมดคว้าน้ำเหลวในการตามหาจิตวิญญาณแห่งธาตุของโซเบล โดยมังกรแต่ละตัวมีไอความมืดปกคลุมทั่วร่างกาย แต่ก็ยังมีร่องรองพลังงานธาตุในตำนานหลงเหลืออยู่บ้าง ก่อนที่ร่างของพวกมันจะปรากฏให้เห็น 

     

    มังกรแห่งความมืดตนแรก 'เอเทล มังกรเพลิงแห่งความมืดในตำนาน' (Ethel Legendary Fire Dragon of Darkness) มังกรไฟ เพศเมีย สูง 40 เมตร ยืน 4 ขา มีเกล็ดสีม่วงอมแดงรอบตัว รูปร่างสมส่วน มีเขามังกรโง้งยาวสีขาวจำนวน 3 คู่บนศีรษระ ดวงตาสีแดงฉานน่ากลัว สวมปลอกคอมังกรสีขาวมีอัญมณีสีแดงประดับ มีลวดลายรูปเปลวไฟตั้งแต่หัวจรดหาง มีหางขนาดใหญ่และปลายหางมีคมมีดรูปเปลวไฟสีขาวเงาวับ และ มีจิตวิญญาณแห่งความมืดรูปเปลวไฟสีแดงฉาน อยู่ที่หน้าอก เป็นตัวแทนของพลังธาตุไฟในอดีตและเป็นอดีตมังกรธาตุในตำนานตัวแรกที่เข้าร่วมกับเซฟิลอส

     

    มังกรแห่งความมืดตนที่ 2 'เฟอร์ดิอุส มังกรลมแห่งความมืดในตำนาน' (Ferdius Legendary Storm Dragon of Darkness) มังกรลม เพศผู้ สูง 30 เมตร ยืน 2 ขา มีเขายาวเรียวแหลมสีขาวบริเวณบนศีรษะและหลังแก้มชี้ตรงไปด้านหลังสำหรับลู่ลม รูปร่างผอมบางตัวเล็ก มีแขนเป็นปีกไอพ่นขนาดใหญ่ 2 ข้าง มีเกล็ดหยกดำ มีลวดลายพายุลมกรดสีขาวอยู่ที่ใบหน้าซีกขวา ดวงตาสีเขียวเข้มลายประจุไฟฟ้า หางยาวและปลายหางมีครีบเหมือนหางเสือสำหรับควบคุมการทรงตัวในการบินด้วยความเร็วสูง มีอุ้งเท้าที่เต็มไปด้วยกรงเล็บยาวขนาดใหญ่สำหรับโฉบจับเป้าหมาย และ มีจิตวิญญาณแห่งความมืดสีเขียวมรกตรูปคลื่นพายุสายฟ้า อยู่บริเวนหน้าอก เป็นตัวแทนแห่งลมและสายฟ้า เป็นตัวแทนของพลังธาตุลมและเป็นอดีตมังกรธาตุในตำนานตัวที่ 2 ที่เข้าร่วมกับเซฟิลอส

     

    มังกรแห่งความมืดตนที่ 3 'เลเวียธาน มังกรทะเลแห่งความมืดในตำนาน' (Leviathan Legendary Dark Sea Dragon of Darkness) มังกรทะเล เพศผู้ ลำตัวยาว 100 เมตร มีผังผืดขนาดใหญ่สามารถแผ่ออกมาได้หลังคอใกล้ๆศีรษะ และหนวด 1 คู่ บริเวนปลายจมูก มีเกล็ดสีกรมท่า มีครีบเป็นแขนกับขา อย่างละ 1 คู่ สำหรับว่ายน้ำ มีหางที่ลีบแบนและมีครีบขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายหางสำหรับตีน้ำ ลำตัวค่อนข้างเล็ก เรียวยาว ดวงตาสีครามคลื่นทะเล และมีจิตวิญญานแห่งความมืดสีน้ำเงินรูปคลื่นน้ำวน อยู่บริเวณหน้าอก เป็นตัวแทนพลังธาตุน้ำและเป็นอดีตมังกรธาตุในตำนานตัวที่ 3 ที่เข้าร่วมกับเซฟิลอส

     

    มังกรแห่งความมืดตนที่ 4 'บาฮามุท มังกรธรณีแห่งความมืดในตำนาน (Bahamut Legendary Earth Dragon of Darkness) มังกรสวมเกราะหนักสีเงิน เพศผู้ สูง 50 เมตร มีเขาอัญมณี 5 สีได้แก่ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีน้ำตาล และสีม่วง ที่โง้งไปด้านหลังบนศีรษะ มีเกล็ดสีน้ำตาลไหม้ ไม่มีปีกสำหรับบิน มี 4 ขาแต่ขามีขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง มีหางที่สั้นท้วม มีเงี่ยงหินสีดำงอกออกมาที่ด้านหลัง 3 แถว และมีลูกตุ้มที่ปลายหางสำหรับฟาดหรือทุบเป้าหมาย ลำตัวสูงใหญ่ บึกบึน และ มีจิตวิญญาณแห่งความมืดสีน้ำตาลรูปผลึกหิน อยู่กลางหน้าอก เป็นตัวแทนพลังธาตุดินและเป็นมังกรธาตุในตำนานตนสุดท้ายที่เข้าร่วมกับเซฟิลอส

     

    มังกรแห่งความมืดทั้ง 4 ได้เดินมาหยุดอยู่ที่หน้ารูปปั้นมังกรเทพปีศาจก่อนคำนับเป็นการเคารพรูปอย่างนอบน้อม ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันคือร่างของเซฟิลอสที่เข้าสู้สภาวะจำศีลของเซฟิลอสจนกลายสภาพเป็นหิน

    เอเทล: ผ่านมาเนิ่นนานหลายล้านปี ท่านเซฟิลอสก็ยังคงหลับไหลและจำศีลอยู่ในรูปปั้น หลังจากที่พวกเราทำสงครามกับเทพธิดาไมอาร์

    เฟอร์ดิอุส: แต่สุดท้ายพวกเราก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แถมท่านเซฟิลอสก็สูญเสียพลังเวทย์ไปจนเกือบหมด จึงไม่แปลกที่ท่านจะต้องหาวิธีอื่นในการฟื้นฟูพลังเวทย์ของตนเองให้กลับมาอีกครั้ง

    บาฮามุท: ตามความเห็นของข้า...ข้าคิดว่าปัญหาและความขัดแย้งของพวกมนุษย์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ท่านเซฟิลอสตื่นจากการจำศีลในไม่ช้านี้ เพราะได้รับพลังด้านลบมาจากสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก

    เลเวียธาน: เจ้าพูดถูก และต้องขอบใจเจ้าโซเบลด้วยที่ทำลายล้างอารยธรรมบนโลกนี้และผลาญธรรมชาติไปเกือบหมด ทำให้พวกมนุษย์ เอลฟ์ หรือแม้แต่พวกปีศาจ ต้องทำสงครามกันเอง จนตอนนี้โลกเข้าสู่กลียุคแล้ว

    เหล่ามังกรแห่งความมืดสนทนากันอย่างคึกคักก่อนที่เอเทลที่กำลังยืนมองรูปปั้นจะพูดตัดบทขึ้นมา

    เอเทล: ตอนนี้พวกเรายังมีงานที่ต้องทำ เพื่อเตรียมการจุติใหม่อีกครั้งของท่านเซฟิลอสในโลกยุคใหม่ พวกเจ้ารีบไปจัดการพวกมังกรธาตุตัวอื่นที่เหลือจะดีกว่า และข้าเชื่อหลังจากที่เทพธิดาไมอาร์สร้างมังกรธาตุในตำนานรุ่นใหม่ขึ้นมา นางคงไม่มีพลังหลงเหลืออยู่อีกแล้วล่ะ 

    เอเทลพูดพร้อมกับแสยะยิ้มนึกการไกลอย่างแยบยน ก่อนที่พวกมังกรแห่งความมืดทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน จนเหลือแค่เอเทลเพียงคนเดียวที่อยู่ในปราสาท

    .

    .

    .

    .

    วิหารมังกรเพลิง ดราก้อน เทมเพลต

    เวลาเช้าตรู่ของวันหนึ่ง โซเบลยังนอนหลับาบายใจเชิบบนกองเงินกองทองที่เขาเก็บรวบรวมและขโมยมาในอดีต ซึ่งในขณะเดียวกันนี้เองสเตลร่าก็เดินทางมาหาเขาเพื่อพาโซเบลไปเผชิญโลกกว้างและเริ่มทำภารกิจกอบกู้ชื่อเสียงอีกครั้ง แต่เมื่อเธอมาถึงเธอก็พบกับสภาพเดิมๆนั่นคือ โซเบลยังนอนตื่นสายเหมือนเดิม

    สเตลร่า: ตื่นได้แล้วเจ้าคนขี้เซา ได้เวลาออกเดินทางแล้วนะ

    โซเบล: หืมมม....

    โซเบลค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการงัวเงีย ก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหลังตื่นนอน

    สเตลร่า: เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่า

    โซเบล: อืมม นอนหลับสบายดีไม่มีปัญหาอะไร

    สเตลร่า: อย่างงั้นหรอ เมื่อวันก่อนตอนที่ฝึกให้นาย ที่ฉันปล่อยเวทย์ช๊อตไฟฟ้าใส่นายไปหลายรอบ กลัวว่านายจะหลอนจนนอนไม่หลับสะอีก 

    โซเบล: งั้นหรอ อันที่จริงมันก็ยังแอบรู้สึกแปล๊บๆสันหลังอยู่บ้างอ่ะนะ แต่ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ^ ^

    สเตลร่าที่เห็นโซเบลส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตรมาให้ เธอก็อดเอ็นดูไม่ได้จึงต้องยิ้มมุมปากออกมา

    สเตลร่า: เอาล่ะๆ อย่ามัวเสียเวลาเลย นายรีบไปเตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะพานายไปเปิดหูเปิดตาที่โลกภายนอก

    โซเบลพยักหน้าพร้อมกับอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาสเตลร่าสงสัยอีกครั้ง

     

    โซเบลบินผ่านท้องฟ้าไปด้วยกันในเช้าอากาศแจ่มใสโดยมีสเตลร่านั่งอยู่บนหัวของโซเบล พร้อมกับมีเกาะลอยฟ้าบ้านของมอนเตอร์บินมากมายที่ลอยอยู่ประปรายบนน่านฟ้า และผืนป่าสภาพภูมิประเทศของอาณาจักรเซซิลล่าร์ที่หลากหลายและเขียวขจี

    โซเบลที่เริ่มจะคุ้นเคยกับสเตลร่ามากขึ้น แต่เขามีเรื่องสงสัยอะไรบางอย่างเขาจึงได้ถามสเตลร่าขึ้นมาผ่านโทรจิต

    โซเบล: (นี่สเตลร่า ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเธอหน่อย)

    สเตลร่า: (อะไรหรอ) 

    โซเบล: (ก่อนหน้าที่ฉันจะประสบอุบัติเหตุ ตอนที่เธอกำลังเดินข้ามถนน นั่นเป็นแผนจัดฉากที่เธอกับเทพธิดาไมอาร์สร้างขึ้นเพื่อให้ฉันตายรึเปล่า)

    สเตลร่านั่งเงียบไปสักพักเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะเล่าสาเหตุให้โซเบลรู้ดีหรือไม่ แต่เมื่อสเตลร่าคิดดูดีๆแล้ว มันก็ไม่เสียหายอะไรถ้าโซเบลจะรู้

    สเตลร่า: (อืม...มันเป็นดารจัดฉากขึ้น เพื่อล่อให้นายมาติดกับ)

    โซเบลที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกอึ้งไปสักพัก แต่ก็ยังไม่แสดงอาการอะไรออกมา

    โซเบล: (ถ้าฉันตายไปแล้วที่โลกฝั่งโน้น พ่อแม่ฉัน เพื่อนฉัน และคนที่ฉันรู้จักล่ะ...) 

    สเตลร่า: (ไม่ต้องห่วงไปหรอก ก่อนหน้าที่ฉันจะไปปรากฏตัวให้นายเห็น ฉันได้ทำการลบความทรงจำ พ่อแม่ ญาติมิตรเพื่อนฝูงของนาย และทำลายหลักฐานการมีอยู่ของนายไปหมดแล้ว และจะไม่มีใครจำนายได้รวมถึงหาร่างของนายไม่พบตอนเกิดอุบัติเเหตุด้วย)

    โซเบลเริ่มรู้สึกอาลัยอาวอนกับโลกที่เคยใช้ชีวิตก่อนหน้า แต่ดูเหมือนสเตลร่าจะจับอาการของเขาได้จึงได้พูดปลอบว่า

    สเตลร่า: (ฉันกับท่านแม่เองก็ไม่ได้อยากจะพรากชีวิตในฐานะมนุษย์ที่แสนสงบสุขของนายมาแบบนี้หรอก ฉันติดตามเฝ้าดูนายมาตลอดหลายปีที่โลกฝั่งนั้นจนเข้าใจความเป็นอยู่ของนายดีว่านายมีสไตล์การใช้ชีวิตแบบไหน แต่ยังไงโลกใบนี้คือบ้านที่แท้จริงของนายนะ)

    โซเบลยังคงเงียบและดูซึมหนักกว่าเดิม ทำเอาสเตลร่าแอบรู้สึกผิดเล็กน้อยแทนเทพธิดาไมอาร์

    สเตลร่า: (โซเบล นายไม่โกรธฉันกับท่านแม่ใช่มั้ย 0 0 ? ) 

    โซเบล: (เปล่า....แค่ฉันรู้สึกเสียดายที่หนังสือการ์ตูนมังกรสามเล่มที่ฉันซื้อมายังไม่ได้มีโอกาสได้อ่านต่อเลย)

    เมื่อสเตลร่าถูกโซเบลหักมุมว่าที่เขามีอาการเงียบๆและซึมๆไปนั้นเพราะกำลังโกรธตนกับเทพธิดาไมอาร์ แท้จริงแล้วเขาแค่เสียดายหนังสือการ์ตูนที่ไม่ได้อ่านเท่านั้น ทำเอาสเตลร่าที่หน้าแตกถึงกับกำหมัดแล้วร่ายเวทย์ช๊อตสายฟ้าใส่โซเบลเป็นการเอาคืน โทษฐานหลอกให้เข้าใจผิด

    สเตลร่า: หน๋ออยยย~! เจ้ากิ้งก่าเพลิงบ้านี่ ไอ้เราก็อุส่าเป็นห่วง = =** !!!

    เปรี้ยงงงง!!!!

    จ๊าาากกกก!!!!!

     

    ณ หมู่บ้านเกษตรแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง เวลานี้เหล่าชาวบ้านกำลังประสบปัญหาพื้นที่เพาะปลูกถูกฝูงมอนเตอร์ 'หมูป่าแองกิโร เฟลม' บุกเข้ามาเหยียบย่ำ เผาทำลายพืชผลในสวนจนราบ 

    เหล่าชาวบ้านต้องช่วยกันไล่ และหาน้ำมาดับไฟกันยกใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการพวกหมูป่าแองกิโรเฟลมได้ เพราะพวกมันมีผิวหนังสีส้มที่เหนียวมาก มีเขี้ยวหมูป่ายื่นออกมาจากปาก และมีสามารถพ่นไฟได้ แม้จะมีความสูงแค่ 40 ซม แต่พวกมันก็อยู่รวมกันเป็นฝูง วิ่งได้เร็ว และพวกมันมาพร้อมกับหมูป่าจ่าฝูงที่สูงถึง 2 เมตร ซึ่งมีความดุร้าย และตัวใหญ่บึกบึน ตาแดงก่ำ ชอบการทำลายล้าง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ 

    ชาวบ้าน: แย่ล่ะสิ พวกเราจัดการมันไม่ได้แน่เลย 0 0" 

    ในระหว่างที่พวกชาวบ้านหนุ่มๆกำลังยืนตะลึงด้วยความตกใจ เจ้าหมูป่าจ่าฝูงที่เกรี้ยวกราดก็ใช้ขาคู่หน้าตะกุยดินไปมาก่อนจะตั้งท่าเตรียมจะวิ่งพุ่งชนเข้ามาใส่กลุ่มชาวบ้าน 

     

    'ด้วยฤทธานุภาพและปัญญาอันสูงส่งของพระแม่ไมอาร์ มารดาผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งทั้งมวล โปรดมอบเกราะกำบังแสงศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่งของพระองค์แด่เหล่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์และไร้ทางสู้ด้วยเถิด' 

     

    โคร้มม!!!

    กำแพงแสงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่สูง 10 เมตร ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้ากลุ่มชาวบ้านอย่างฉับพลันก่อนที่หมูป่าจ่าฝูงจะวิ่งพุ่งชนเข้าอย่างจังจนมันมึนเซถอยหลังออกไป 

    ชาวบ้านต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่กลุ่มนักผจญภัยของเซอร์ริวจะปรากฏตัวด้วยการกระโดดลงมาจากหลังมังกรบริวารของโมนาที่บินสังเกตุการณ์อยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะตามมาด้วยอลันบีที่อุ้มลอร่าเจ้าของเสียงสวดภาวนาพลังก็โดดลงมาด้วย

    เซอร์ริว: ตรงนี้ปล่อยให้พวกฉันจัดการเอง พวกนายรีบกลับเข้าบ้านเร็ว

    ชาวบ้าน: พวกคุณคือนักผจญภัยงั้นสินะ ถ้ายังไงพวกเราฝากจัดการด้วยนะ 

    หลังจากนั้นพวกชาวบ้านทั้งหมดก็รีบหนีเข้าไปหลบอยู่ในบ้าน ก่อนจะปล่อยให้กลุ่มนักผจญภัยของเซอร์ริวจัดการพวกหมูป่าแองกิโร เฟลม 

    เซอร์ริว: เอาล่ะ ในเมื่อพลาดเควสอีเว้นไปแล้ว งั้นขอจัดการพวกแกมาทำเป็นหมูหันกินแก้เซ็งก็แล้วกัน 

    แล้วเซอร์ริวก็ชักดาบยาวของเขาออกมาก่อนจะวิ่งเข้าไปใช้ดาบยางฟันพวกลูกสมุนหมูป่าตัวเล็กไปทีละตัว สองตัวด้วยความบ้าดีเดือด 

    อลันบี: เดี๋ยวก่อนสิเซอร์ริว! บุกไปคนเดียวแบบนั้นมันอันตรายนะ! 

    อลันบีวางลอร่าลงเพื่อให้ลอร่าคอยช่วยร่ายเวทย์แสงสนับสนุนจากแนวหลังเหมือนอย่างที่เคยทำมา 

    อลันบี: ฉันฝากเธอสนับสนุนอยู่ห่างๆด้วยนะ 

    ลอร่า: อือ ไว้ใจฉันได้เลย ^ ^ 

    หลังจากนั้นอลันบีก็วิ่งเข้าไปใช้หมัดและลูกเตะเพลิงที่รุนแรงซัดใส่พวกหมูป่าแองกิโร เฟลม ส่วนลอร่าก็คอยร่านเวทย์ 'เสกโซ่ตรวจแห่งการจองจำ' จับพวกหมูป่าลูกสมุนให้หยุดอยู่กับที่ และร่ายเวทย์ 'ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์' เสกแสงแฟลชที่สว่างจ้ามากๆใส่พวกหมูป่าทำให้พวกมันวิ่งสะเปะสะปะไปมา ทำให้พวกมันโจมตีเซอร์กับอลันบีไม่โดน จึงง่ายต่อการให้เซอร์ริวใช้ดาบไล่แทงและอลันบีต่อยไปที่จุดตายของพวกมันได้ 

    พวกลูกสมุนหมูป่าถูกจัดการจนหมดก็เหลือแค่จ่าฝูง ซึ่งในตอนนี้แม้มันจะอยู่เพียงลำพังตัวเดียว แต่พวกเขาก็เอาชนะมันยากพอสมควร ด้วยร่างกายที่ใหญ่ กำยำ แถมยังวิ่งได้เร็ว อีกทั้งโควต้าการใช้พลังเวทย์แห่งแสงของลอร่าก็หมดแล้ว ทำให้ศึกนี้เซอร์ริวกับอลันบีต้องรับมือสองคน 

    เซอร์ริว: เหลือแกตัวสุดท้านแล้ว รีบจบงานนี้เลยดีกว่า! *ย๊าาากกกก!!!*

    อลันบี: เดี๋ยวก่อนสิเซอร์ริว! นายใจร้อนเกินไปแล้วนะ 0 0 !

    เซอร์ริววิ่งบวกเข้าใส่หมูป่าแองกิโรเฟลมยักษ์ในทันที โดยไม่ฟังคำเตือนจากอลันบี จนกระทั่งเจ้าหมูป่าได้ใช้เขี้ยวขนาดใหญ่ของมันควิดใส่เซอร์ริวมจนร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกล อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บอีก 

    อ๊าาากกก!!! โคร้มมม!!!!

    เซอร์ริวลอยกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาอลันบีและลอร่า ทำเอาทั้งสองตกใจไปพักหนึ่งก่อนที่ลอร่าจะรีบวิ่งไปดูอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง ส่วนอลันบีนั้นต้องการจะเอาคืนให้กับเซอร์ริว เธอจึงวิ่งเข้าไปกระโดดเตะที่แก้มซ้ายของมันอย่างแรง 

    ปั๊กกก!!!!

    อลันบีเตะเข้าไปที่หน้าของมันอย่างแรง แต่ปรากฏว่าร่างกายของมันนั้นแข็งมาก จนแรงเตะของเธอไม่ส่งผลใดๆกับมันเลยก่อนที่เธอจะถูกมันพ่นไฟใส่ จนตัวเธอกระเด็นออกมาจากแรงอันของเปลวเพลิงระเบิดจนบาดเจ็บไปอีกคน 

    ลอร่า: อลันบี 0 0 !!

    อลันบี: *อึก...อึก...* ไฟแค่นี้...ทำให้ฉันยอมแพ้ไม่ได้หรอกน่า... 

    อลันบีพยายามลุกขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับชุดที่มีรอยไหม้จากการโดนเผาเล็กน้อย แต่เธอก็ทรุดลงเนื่องจากหมดแรงจากการจัดการพวกหมูป่าลูกสมุนไปมาก ทำให้ตอนนี้กลุ่มของเซอร์ริวไม่สามารถจัดการหมูป่าจ่าฝูงตัวปัญหาตัวนี้ได้ 

    แต่แล้วการช่วยเหลือก็มาถึงเมื่อมีไพ่เวทย์จำนวน 3 ใบพุ่งลงมาจากฟ้าปักลงพื้น 3 ทิศรูปสามเหลี่ยม ก่อนจะปรากฏเสาคลื่นน้ำขนาดใหญ่ขนาดใหญ่สูง 10 เมตรขึ้นรองตัวหมูป่าจ่าฝูง เพื่อทำให้มันสับสนและหยุดชงักไปชั่วคราว

    โมนาที่เพิ่งกลับมาจากการจัดการพวกหมูป่าลูกสมุนที่เหลือที่อยู่รอบๆหมูบ้าน บินลงมาจากฟ้าก่อนจะลงจอดใกล้ๆเพื่ออุ้มอลันบี ก่อนจะเดินอุ้มอลันบีไปส่งให้กับลอร่า อย่างสุขุม

    ลอร่า: คุณลอร่า ดีใจจริงที่คุณมาทันเวลาได้เหมาะเจาะพอดี 0u0

    โมนา: เธอรักษาสองคนนี้ไป...เดี๋ยวเจ้านั้นปล่อยให้ฉันจัดการเอง... 

    โมนาตอบกลับลอร่าด้วยน้ำเสียงที่นิ่งๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป พร้อมกับโชว์สำหรับไพ่เวทย์มนต์ที่มีธาตุ อักขระ และสัญลักษณ์สัตว์อสูรมายาในตำนานออกมา

    โมนาใช้นิ้วของเธอคีบเอาไพ่ที่ลอยอยู่ตรงหน้ามาคีบในมืออย่างรวดเร็ว และไพ่ที่โมนาเลือกมานั้นคือไพ่เมจิก 'สายฟ้าลงทัณฑ์ฟากฟ้า' เวทย์ธาตุสายฟ้าระดับ 3 ที่จะสร้างคลื่นสายฟ้าฟาดลูกใหญ่ใส่พื้นเป้าหมายที่ไพ่ปักอยู่ 

    หมูป่าจ่าฝูงที่กำลังเกรี้ยวกราดคิดจะวิ่งเข้าใส่โมนาด้วยการตะกุยดินเพื่อเตรียมวิ่งพุ่งชน แต่ทว่าโมนานั้นรู้ทัน เธอได้สั่งให้เสาคลื่นน้ำวนโถมรวมกันใส่หมูป่าจ่าฝูงเป็นจุดเดียว ทำให้มันถูกกระแสน้ำพัดลอยขึ้นไป ก่อนที่โมนาจะปาไพ่เวทย์สายฟ้าลงทัณฑฺฟากฟ้าเข้าไป และแล้วก็บังเกิดเมฆสายฟ้าสีดำขนาดใหญ่กินอานาเขตกว้าง 10 เมตร ขึ้นเหนือบริเวนศีรษะหมูป่าจ่าฝูง ก่อนที่จะมีคลื่นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงมาที่คลื่นน้ำที่มีหมูป่าจ่าฝูงถูดน้ำซัดอยู่ 

    เปรี้ยงงงงงง!!!!!

    เมื่อน้ำกับสายฟ้ามาอยู่ด้วยกันก็เกิดการช็อตครั้งใหญ่ ทำให้หมูป่าจ่าฝูงถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจนตายในที่สุด ก่อนที่โมนาจะโบกไม้โบกมือเพื่อสั่งให้ไพ่เวทย์มนต์หยุดทำงานและบินกลับมาอยู่ในมือเธอแล้วเก็บใส่สำรับไพ่ตามเดิม จากนั้นโมนาก็เดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนๆ

    โมนา: เท่านี้...เควสจัดการหมูป่าแองกิโรเฟลมก็เสร็จสิ้นแล้ว...

    อลันบี: ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยฉันเอาไว้ แถมยังปิดงานนี้ได้อีก 

    ลอร่า: สมแล้วที่คุณโมนาเป็นนักเวทย์ที่เลื่องลือแห่งเมืองเดนิสจริงๆ ทั้งสุขุม รอบคอบ และแยบยลแบบนี้ ^ ^ 

    โมนา: ฉันก็แค่ทำตามเควสที่ได้รับมาก็เท่านั้นเอง..ไม่มีอะไรพิเศษหรอก...

    เซอร์ริว: เพราะเธอมาช้าแท้ๆเลย ถึงทำให้ฉันโดนมันเล่นงานจนน่วมกลับมาแบบนี้ แต่ก็นะความดีความชอบทั้งหมดฉันยกให้เธอก็ได้ - - 

    อลันบี: ก็ช่วยไม่ได้ นายใจร้อนอยากรีบจบงานเองนี่นา 

    กลุ่มนักผจญภัยพูดคุยหัวเราะขบขันกันอย่างมีความสุขหลังจากที่พวกเขาสามารถจัดการมอนเตอร์หมูป่าพ่นไฟได้สำเร็จ ก่อนที่ชาวบ้านจะพากันออกมาแสดงความชื่นชมให้กับพวกเขา โดยเฉพาะชายแก่ที่ไปจ้างวานที่กิลด์ก่อนหน้า

    ชายแก่: ขอบคุณพวกเธอจริงๆที่มาช่วยจัดการพวกหมูป่าแองกิโร เฟลมให้พวกเรา หากไม่ได้พวกเธอรับงานนี้ มีหวังพืชผลการเกษตรของพวกเราเสียหายหมดแน่ ^ ^ 

    ลอร่า: ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราอยากจะช่วยเพราะเห็นคนอ่อนแอกำลังเดือดร้อน พวกเราไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านี้แล้วค่ะ ^ ^ 

    ชายแก่: แหม่ เธอช่างเป็นสาวนักบุญที่ใจดี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่จริงๆ 

    ลอร่า: พวกเราต้องรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์และสิ่งมีชีวิตร่วมโลกด้วยกัน เหมือนที่เทพธิดาไมอาร์สั่งสอนแด่สาวกของพระองค์ที่เชื่อและเคารพในตัวพระองค์ค่ะ 

    ชายแก่ที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งในหลักคำสอนของเทพธิดาไมอาร์ ก่อนที่เขาจะอาสากล่าวอวยพรชาวบ้านทุกคนเพื่อเป็นขวัญแก่ชาวบ้าน

    ชายแก่: ของคุณพระเมตตาของพระองค์จริงๆ...ไมลีอาเมน... v v 

    ลอร่า: ไมลีอาเมน v v

    หลังจากทุกอย่างสงบลง กลุ่มนักผจญภัยเซอร์ริวก็คิดจะเดินทางกลับเมืองหลวงเดนิสเพราะคิดว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว แต่ไม่ทันไรก็มีร่างเงาสีดำขนาดใหญ่บินผ่านหัวพวกเขาและเหล่าชาวบ้านกว่าร้อยชีวิตไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งร่างเงานั้นมีลักษณะเหมือนมังกรซึ่งคาดว่ามีความใหญ่ถึง 10 เมตร 

    ตู้มมมมม!!! 

    ไม่นานเกินรอร่างมังกรขนาดใหญ่สีดำ ตาสีแดง ก็ปรากฏตัวลงมาที่ใจกลางหมู่บ้าน พร้อมกับสยายปีกขนาดใหญ่ออกจนสุดเพื่อข่มขวัญ 

    ชาวบ้าน A: น...นั่นมันมังกรนี่นา 0 0 ?!!

    ชาวบ้าน B: พวกเรา...หนีเร็วเข้า !!

    เหล่าชาวบ้านที่เห็นมังกรปรากฏตัวที่นี่ก็เกิดพากันตื่นตระหนก บางคนสติแตกวิ่งเพ่นป่าราบอย่างำม่คิดชีวิต เพราะมังกรนั้นเป็นสัตว์ในตำนานที่ดุร้าย โหดเหี้ยม และทรงพลังมากๆเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะเอาชนะได้ 

    เซอร์ริว: เห้ยย....แบบนี้ไม่ดีแล้วมั้ง... 0 0

    อลันบี: มังกรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเราจะทำยังไงกันดี 

    ลอร่า: ไม่จริงน่า...นี่มันไม่จริงใช่มั้ย 

    ลอร่าถึงกับบ้มทั้งยืนตะลึงงันกับภาพมังกรขนาดใหญ่ที่กำลังเริ่มเผาทำลายล้างหมู่บ้าน พร้อมกับมีคนจำนวนมากถูกเผาตายไปต่อหน้าต่อตา 

    เซอร์ริว: ฉันคิดว่าพวกเราต้องรีบหนีแล้วนะ !

    อลันบี: แล้วชาวบ้านพวกนี้ล่ะ พวกเราจะปล่อยพวกเบาเอาไว้แบบนี้งั้นหรอ ?

    เซอร์ริว: แล้วเธอจะให้ฉันเอาดาบเวทย์ธรรมดาไปฟันกับมังกรรึไง?! พวกเราทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากต้องหนีเอาชีวิตรอดนะ!

    ในระหว่างที่เซอร์ริวกับอลันบีกำลังเถียงกันและโมนาก็พยายามห้ามปรามทั้งสองไม่ให้ทะเลาะกัน บอร่าที่เชื่อมั่นในศรัทธาที่มีต่อเทพธิดาไมอาร์ก็ได้คุกเข่า กุมมือทั้งสองข้างประสานกันทำท่าตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงเทพธิดาไมอาร์ 

     

    'แด่พระวิญญานอันบริสุทธิ์ของพระแม่ไมอาร์ โปรดมอบความหวังและความกล้าให้แก่ลูก และโปรดมอบความคุ้มครองให้รอดพ้นต่อภัยอันตรายที่ลูกกำลังเผชิญอยู่ตรงหน้านี้ด้วยเถิด .> <.'

     

    ลอร่าสวดมนต์ภาวนาซ้ำไปซ้ำมาและหวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ยุติลง จนเมื่อเธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นลางบอกเหตุ เธอก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ ก่อนจะพบเข้ากับแสงสว่างสีทอง พร้อมกับเห็นร่างมังกรร่างหนึ่งกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า

    และด้วยการที่ร่างนั้นย้อนกับแสงที่สาดส่องมาที่ด้านหลังทำให้ปรากฏเป็นร่างเงาที่มองเห็นรายละเอียดไม่ค่อยชัด แต่ลักษณะของมังกรตัวนั้น มีแสงสีแดงเพลิงส่องประกายอยู่บริเวณหน้าอก รวมถึงมีแววตาสีฟ้าสดใสแสดงถึงความอ่อนโยนและการมาโปรดตามคำขอของเธอ และมังกรที่กำลังปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าลอร่านั้นก็คือ มังกรเพลิงในตำนานโซเบล นั่นเอง 

    ลอร่า: มังกรตัวนั้นมัน... 0 0

    ทั้งสามที่กำลังเถียงกันสังเกตุเห็นแสงสีทองที่ส่องลงมาจากท้องฟ้า ทำให้เซอร์ริว อลันบี และโมนาหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน ก่อนจะพบภาพแบบเดียวกันกับที่ลอร่ากำลังมองดูอยู่

    อลันบี: นั่นมันอะไรน่ะ 0 0

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×