ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3: การฝึกฝนของมังกรเพลิง

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 66


    ผ่านมานานหลายวัน หลังจากที่โซเบลใช้ชีวิตใหม่ที่โลกเอเซอร์เชี่ยน เขาก็ได้รับการอบรม ฝึกสอนการใช้ชีวิตตามแบบวิถีดั้งเดิมของมังกรธาตุในตำนานจากสเตลร่าอย่างต่อเนื่อง 

    แม้ว่าเขาจะต้องเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตเดิมๆ จากชายหนุ่มที่วันๆเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ หาเงินไปซื้อการ์ตูนอ่านเล่นไปวันๆ ต้องกลายเป็นมังกรเพลิงในตำนานผู้ปกป้องโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งมวลให้เกิดความสงสุขต่อโลก 

     

    วันนี้วันที่อากาศยังคงสดใสในยามเช้า ที่วิหารมังกรเพลิง สเตลร่า มาพร้อมกับบันทึกรายการแบททดสอบพื้นฐานของโซเบล แต่ทว่าเมื่อเธอมาถึงก็พบกับโซเบลที่กำลังนอนตื่นสาย ทำให้เธอต้องปลุกโซเบลให้ตื่นขึ้นมาด้วยวิธีการพิเศษ 

    สเตลร่าเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าของโซเบลก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่ปลายคางของโซเบล จากนั้นก็ทำการร่ายเวทย์สายฟ้าช็อตร่างของโซเบล ทำให้โซเบลถึงกับสะดุ้งตื่น 

    โคร้มมม!!! 

    โซเบล: โอ๊ยๆๆ~!!! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย .0 0. ?!!

    สเตลร่า: ตื่นได้แล้วเจ้าคนขี้เซา ทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นมังกรเพลิงในตำนานเลยนะ = =*

    โซเบล: นี่เช้าแล้วหรอ...?

    โซเบลขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อไล่ความง่วง 

    สเตลร่า: ก็ใช่น่ะสิ และนี่มันใกล้จะได้เวลาทำการทดสอบการบินของนายแล้วนะ เห็นมั้ยว่าฉันถืออะไรมาด้วยน่ะ 

    สเตลร่าตบกระดาษแบบประเมินที่ถืออยู่ในมือให้โซเบลดูด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่

    สเตลร่า: ถ้านายยังทำตัวขี้เกียจและไม่สนใจที่จะเรียนรู้วิถีการเป็นมังกรแบบนี้ แล้วจะเอาความสามารถที่ไหนไปช่วยโลกใบนี้กันเล่า 

    โซเบล: ใจเย็นก่อนสิ สเตลร่า ฉันไม่ได้นอนตื่นสายเพราะฉันขี้เกียจสักหน่อย แต่เป็นเพราะฉันแอบไปฝึกนอกรอบมาเกือบทั้งคืนน่ะ

    สเตลร่า: เห๋?

    สเตลร่าทำหน้าสงสัยและไม่รู้มาก่อนว่าโซเบลนั้นแอบไปฝึกนอกรอบมา ก่อนจะสังเกตุเห็นร่องรอยอะไรบางอย่างตามร่างกายของโซเบล

    สเตลร่า: นายไปโดนอะไรมาน่ะ

    โซเบล: เปล่า...ไม่มีอะไร แต่ก่อนจะถามอะไร มาดูอะไรดีๆก่อนดีกว่า

    หลังจากนั้นโซเบลก็ไม่รอช้ารีบบอกให้สเตลร่าตามเขาไปยังหน้าผาด้านนอกวิหารในทันที เพื่อแสดงให้สเตลร่าเห็นว่า เขานั้นไม่ได้หย่อนยานและมองข้ามในการฝึกอย่างที่สเตลร่าคิด

     

    เมื่อสเตลร่าตามโซเบลมายังหน้าผาที่สูงเกือบ 200 เมตร และด้านหน้าเป็นวิวทิวทัศน์ผืนป่าและภูเขาที่สวยงาม โซเบลก็ไม่รอช้าค่อยๆกางปีกของเขาออกจนสุด ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วหายใจออกเป็นจังหวะ

    ฟรู้มมมมม~!!!!! 

    โซเบลกระโดดลงหน้าผาก่อนที่ตัวเขาจะค่อยๆบินโต้ลมทำให้ตัวของเขาค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ โซเบลค่อยๆกระพือปีกอย่างเป็นจังหวะและปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสลม เหมือนกับนกที่โบยบินไปบนท้องฟ้าอย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ 

    สเตลร่ารู้สึกทึ่งที่เห็นพัฒนาการแบบก้าวกระโดดของโซเบล โดยใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถเรียนรู้ในการบินได้แล้ว แต่นั่นยังไม่พอโซเบลยังโชว์การบินแบบผาดโผน และการทิ้งตัวลงมาในแนวดิ่งก่อนจะหักลำบินเชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างสวยงาม

    ก่อนจะบินกลับมาหาสเตลร่าและทำการลงจอดอย่างปลอดภัย

    โซเบล: เป็นไงบ้าง การบินของฉันผ่านรึเปล่า

    สเตลร่ายืนพินิจประเมินความสามารถของโซเบลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเอกสารแบบประเมินขึ้นมาจดพร้อมสรุป

    สเตลร่า: *หื้มมม...* ดูเหมือนว่าการฝึกบินของนายจะสอบผ่านแล้วนะ 

    โซเบลพยักหน้าด้วยความดีใจที่ในที่สุดเขาก็สามารถผ่านด่านทดสอบด่านแรกไปได้ 

    สเตลร่า: ว่าแต่ฉันสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ว่ารอยข่วนตามร่างกายของนายคืออะไรงั้นหรอ

    โซเบล: อ้อ มันเป็นรอยจากการที่ฉันพยายามหัดบินท่าดิ่งตัวแล้วพลาดเอาหัวโหม่งพื้นน่ะ ^w^" 

    สเตลร่า: งั้นหรอกหรอ แต่นายไม่เห็นจะต้องเล่นท่ายากพิสดารแบบนั้นเลยนี่นา 

    โซเบล: ก็ฉันอยากให้เธอเห็นนี่นา ว่าฉันเก่งและเรียนรู้เร็วแค่ไหนไง 

    สเตลร่าที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจแต่ก็แอบนึกดีใจที่โซเบลมีพัฒนาการที่ดี 

    สเตลร่า: เอาล่ะ ในเมื่อนานตั้งใจฝึกจนสามารถบินได้คล่องในระดับนึงแล้ว ต่อไปจะเข้าสู่การฝึกใช้พลังเวทย์พื้นฐานที่นายควรมี

    โซเบล: เวทย์พื้นฐานงั้นหรอ ? 

    สเตลร่าพยักหน้าก่อนที่เธอจะทำการดีดนิ้วขึ้นมา ป๊อก~!!

    หลังจากสิ้นเสียงดัดนิ้วของสเตลร่า ทั้งคู่ก็ถูกวาร์ปไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นอวกาศ มีดาวเคราะห์ และโลกเอเซอร์เชี่ยนเป็นฉากพื้นหลัง ทำให้โซเบลรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น 

    แต่สิ่งที่ทำให้โซเบลตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ สเตลร่า ได้กลายร่างเป็นมังกรสาว ตัวสีขาว มีเกล็ดสีขาวสะท้อนแสงเป็นประกายรุ้ง สูง 40 เมตร มีเขาโค้งยาวไปด้านหลังเหมือนกวางสีทองขนาดใหญ่บนศีษระ นัยต์ตาสีเหลือง สวมปลอกคอสีทอง มีปีกขนาดใหญ่ที่ด้านหลัง ยืนสี่ขา มีพวงขนสีชมพูอ่อนอยู่รอบคอ มีลายอักขระมังกรสีทองประทับอยู่บนหน้าผาก มีพวงคริสตัลสีฟ้าขนาดเล็กจำนวนมากห้อยอยู่บนเขา และปลายหางมีคริสตัลสีเหลืองขนาดใหญ่ประดับอยู่

    สเตลร่า: เอาล่ะ เรามาเริ่มฝึกการใช้พลังเวทย์ที่นี่เลย!

    โซเบล: เดี๋ยวก่อนนะ นี่เธอสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมังกรได้ด้วยหรอ 0 0 ?! 

    สเตลร่า: มันคงเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับนายในตอนนี้ แต่ถ้าเป็นตัวนายในอดีตเมื่อก่อนคงจะมองเป็นเรื่องปกติก็ได้

    แล้วสเตลร่าก็ย่อตัวลงเล็กน้อย ตั้งท่า กางปีกอยู่ในท่าเตรียมตั้งรับ พร้อมกับมีม่านบาเรียเวทย์มนต์แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมอยู่รอบตัว 

    สเตลร่า: เอาล่ะ ตั้งจิตและสมาธิให้มั่นแล้วปล่อยให้สัญชาตญานสอนนายโจมตีมาที่ฉันได้เลย 

    โซเบล: เอาจริงดิ? ให้ฉันโจมตีใส่เธอแบบนี้เลยหรอ 0 0 ? 

    สเตลร่า: ใช่ แต่นายไม่ต้องเป็นห่วง ม่านแสงศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นโล่ป้องกันให้ฉันเอง ฉันจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆจากการโจมตีทุกรูปแบบ

    โซเบล: อย่างงั้นเองหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็สบายใจขึ้นมาหน่อย 

    สเตลร่า: อันที่จริง ถ้าจบการฝึกนี้แล้ว ฉันจะสอนนายจำแลงร่างเป็นมนุษย์ให้ด้วยก็ได้นะ เวลาแฝงตัวเข้าไปปะปนกับผู้คนในสังคมจะได้กลมกลืน

    โซเบล: จริงดิ? ฉันสามารถคืนร่างเป็นคนโดยไม่ต้องอยู่ในร่างมังกรได้ด้วยด้วย 0o0 ?!

    สเตลร่า: อือหื้อ~ 

    โซเบล: ดีล่ะ! ถ้างั้นรีบฝึกให้มันเสร็จๆเลยดีกว่า!

    หลังจากนั้นโซเบลก็เริ่มตั้งจิต ทำสมาธิตามคำแนะนำของสเตลร่า เพื่อปลุกรือฟื้นความทรงจำและความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ที่สาบสูญไปแล้วในอดีตชาติให้กลับคืนมา ก่อนที่เขาจะเริ่มเปิดฉากโจมตีสเตลร่าเพื่อเริ่มการฝึกในทันที

    สเตลร่า: (เจ้าบ้านี่จะเลือดร้อนอะไรขนาดนั้นแค่พลังเวทย์จำแลงกายพื้นฐานที่มังกรระดับสูงต้องทำได้ทุกตัวแท้ๆ -_- ? )

    ย๊ากกกกกก!!!!

    .

    .

    .

    .

     

    ณ เมืองหลวงเดนิส แห่ง อาณาจักร เซซิลล่าร์ 

     

    เมืองแห่งความหรูหราและความมั่งคั่ง อันเป็นสถานที่สำคัญของอาณาจักรเซซิลล่าร์ ศูนย์ธุรกิจ อำนาจทางทหาร และการท่องเที่ยว

     อีกทั้งเมืองแห่งนี้ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเมืองแห่งนี้เป็นสนามการต่อสู้กันระหว่าง มังกรเพลิงในตำนานโซเบล กับ ลูซิส ผู้พิชิตมังกรเพลิง และเป็นที่ที่ลูซิสมีชัยเหนือมังกรเพลิงโซเบล โดยสังเกตุได้จากรูปปั้นอนุเสาวรีย์เกียรติยศผู้กล้าลูซิสทองคำที่หล่อขึ้นมาจากทองคำทั้งอัน สูง 120 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางสวนสาธารณะของเมืองซึ่งอยู่บริเวณเกือบใจกลางเมืองและมีคนเดินพลุ้งพล่านไปมาตลอดทั้งวัน

    และที่นี่เองก็มีตึกสำนักงานกิลด์นักผจญภัย 'เซซิลล่าร์ แอดเวนเจอร์ กิลด์' (Cecillar Adventure Guild) ตั้งอยู่โดยเหล่านักผจญภัยทุกคนของอาณาจักรเซซิลล่าร์ ไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ทุกคนจะได้มาเริ่มรับเควสรายวันและรายสัปดาห์อยู่ที่นี่เป็นที่แรกในชีวิตการเป็นนักผจญภัยของพวกเขาเสมอ สำหรับนักผจญภัยที่เรียนจบโรงเรียนเตรียมนักผจญภัยของอาณาจักรนี้

    ภายในล็อบบี้กิลด์ที่มีปาร์ตี้กลุ่มนักผจญภัยมากมายหลายกลุ่มมารวมตัวกัน ก็มีกลุ่มนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันเพื่อรอเจ้าหน้าที่ประจำเคาเตอร์ทำการติดประกาศเควสรายวันที่บอร์ดให้เสร็จเหมือนกับตี้นักผจญภัยกลุ่มอื่นๆ 

    สมาชิกของกลุ่มประกอบไปด้วย 

    1. เซอร์ริว หัวหน้ากลุ่ม สายนักดาบ ชายหนุ่มผมสั้นสีนำตาล ตาสีน้ำเงิน สวมเกราะเบาสีเงิน ชุดลำลองสีน้ำเงิน กางเกงขายาว รองเท้าหนัง นักผจญภัยที่มีประสบการณ์ในการล่ามอนเตอร์และทำเควสระดับสูงในระดับหนึ่ง เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และเกรงกลัวต่อสิ่งใด

    2. ลอร่า นักบุญของกลุ่มนักผจญภัยกลุ่ม หญิงสาวรูปร่างผอมบาง ผมยาวสีน้ำเหลืองอ่อน ตาสีเหลือง สวมชุดนักบวชสีขาว มีคฑาศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองเป็นอาวุธ เป็นสมาชิกนักผจญภัยที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายและขี้ตื่นตระหนก

    3. โมนา นักเวทย์สายซัมมอนเนอร์ หญิงสาวผมยาวสีม่วงดำ มีผ้าปิดตาสีดำที่มีอักขระเวทย์แปลกๆเพื่อปกปิดดวงตาที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ สวมชุดคลุมบ่าเวทย์สีม่วงเข้ม กางเกงขาสั้น รองเท้าบูทขายาวสีดำ มีสำรับไพ่เวทย์เป็นอาวุธ มีความเชี่ยวชาญในการใช้เวทย์ซัมมอนเนอร์ สัตว์เทพอสูรระดับสูง และเวทย์ผนึกมนตราสะกดที่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวสิ่งมีชีวิตได้ชั่วขณะ เป็นสมาชิกที่ค่อนข้างเงียบ สงบสุขุม

    4. อลันบี สาวนักสู้เท้าไฟ หญิงสาว ผมยาวสีดำมัดผมทรงหางม้า สวมเสื้อแขนสั้นสีส้ม กางเกงขายาวรัดรูป สวมถุงมือเสริมพลังและรองเท้าเวทย์ไฟ เป็นสาวดูที่ห้าวหาน ไม่หวาดกลัวใคร

     

    ทั้ง 4 คนนั่งรอเวลาประกาศเปิดเควสอย่างใจจดใจจ่อโดยเฉพาะเซอร์ริวที่เขาเริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะออกไปจัดการมอนเตอร์โหดๆจนนั่งไม่ติด

    อลันบี: นี่นายเป็นอะไรของนายน่ะเซอร์ริว เห็นนั่งสั่นขามาสักพักใหญ่ๆแล้วนะ

    เซอร์ริว: ก็ฉันเวลาเปิดรับเควสไม่ไหวแล้วน่ะสิ ฉันได้ยินเขาลือกันว่า เดือนนี้ทางกิลด์มีเควสโบนัสพิเศษ ลงดันเจี้ยนล่า เรกูลอส ด้วยนะ 

    อลันบี: จริงหรอ? เรกูลอส สัตว์อสูรสิงโตเพลิงในตำนานที่เขาลือกันว่าสามารถพ่นลมหายใจออกมาเป็นเพลิงพิษน่ะหรอ ? 

    เซอร์ริว: ใช่ๆ แถมค่าหัวที่เขาลือกันมาก็เห็นได้ยินมาว่าอยู่ที่ 350,000 เอเชี่ยนคอยน์ เลยนะ ถ้าทำเควสนั้นสำเร็จ มีหวังพวกเรารวยเละ +w+!

    ลอร่า: อืมมม...แต่ถ้าไม่รอดกลับมา พวกเราทุกคนก็ไม่มีโอกาสได้แตะเงินรางวัลพวกเราหรอกนะ v v 

    ลอร่าพูดไปพร้อมกับประสานมือคอยสวดมนต์ภาวนาจิตตลอดเวลาตามแบบสายทางนักบุญผู้มีจิตใจเมตตาและมองโลกเป็นกลาง

    อลันบี: ที่ลอร่าพูดมาก็ถูก และอีกอย่าง เรกูลอส ก็ไม่ใช่มอนเตอร์บอสอีเว้นโบนัสที่พวกเราจะเอาชนะมันได้ง่ายๆ ถ้าไม่ให้ปาร์ตี้อื่นช่วย

    เซอร์ริว: จะไปกลัวทำไมล่ะ ในเมื่อกลุ่มของพวกเรายังมีโมนาอยู่ด้วย พลังเวทย์ในการซัมม่อนสัตว์เทพอสูรของเธอทำให้โมนาเป็นที่เลื่องลือของเมืองเซซิลล่าร์เลยนะ 

    แล้วเซอร์ริวกับอลันบีก็มองไปที่โมนาที่นั่งกอดอกเงียบๆไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ

    กริ๊งงงงง~!!!!!

    พนักงาน: ได้เวลาเปิดบอร์ดเควสแล้วค่าาาา~!!

    เสียงกริ่งแจ้งเตือนดังถี่เป็นเวลา 10 วินาที พร้อมกับเสียงประกาศข่าวของพนักงานเคาเตอร์สาวสุดน่ารักเพื่อบอกให้นักผจญภัยทุกคนรู้ว่า เวลาเริ่มรับเควสมาถึงแล้ว

    ทันทีที่สัญญานแจ้งเตือนมาถึง นักผจญภัยหลายกลุ่มก็รีบกรูกันเข้าไปรุมที่หน้ากระดานบอร์ดเควสกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากพวกเขาก็ได้ยินข่าวลือเรื่องเควสโบนัสเหมือนกัน และเซอร์ริวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่พยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปค้นหาแผ่นงานเควสโบนัสดังกล่าว 

    5 นาทีต่อมา...

    เซอร์ริวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับอาการแห่ว กลังจากที่เขาพยายามฝ่าฝูงชนเพื่อหาใบงานเควสโบนัสให้เจอ แต่สุดท้ายก็มีนักผจญภัยตี้อื่นได้ไปทำให้เขารู้สึกเจ็บใจและเสียดายมากๆ 

    อลันบี: ไม่เอาน่า อย่างน้อยนายก็พยายามดีที่สุดแล้ว 

    เซอร์ริว: เฮ้ออออ.... - -" 

    ลอร่า: ในเมื่อโชคชะตาไม่ได้กำหนดให้พวกเราได้เควสอีเว้นโบนัส ก็อย่าไปอาลัยอาวอนกับสิ่งที่ไม่ได้ลิขิตกับชีวิตของเราเลยนะ

    อลันบีและลอร่าช่วยกันปลอบให้เซอร์ริวพยายามปล่อยวาง ก่อนที่จะมีชายแก่คนหนึ่งท่าทางเหมือนชาวบ้านชนบทจะเดินเข้ามาในกิลด์ก่อนจะเดินตรงไปติดต่อกับพนักงานเคาเตอร์

    พนักงาน: สวัสดีค่ะ กิลด์นักผจญภัยเซซิลล่าร์ ยินดีรับใช้ค่ะ ^ ^ 

    ชายแก่: เออ...คือว่า...ฉันอยากจะมาขอให้ส่งนักผจญภัยไปจัดการมอนเตอร์สักหน่อยน่ะ พอดีหมู่บ้านของพวกเราถูกมอนเตอร์เข้ามารบกวนพื้นที่การเกษตรมาหลายคืนแล้ว อยากจะให้พวกคุณช่วยส่งนักผจญภัยมือดีไปจัดการสักหน่อยน่ะ

    พนักงาน: ทราบแล้วค่ะ ว่าแต่มอสเตอร์ที่บุกรุกพื้นที่การเกษตรของหมู่บ้านมีลักษณะเป็นอย่างไรคะ 

    ชายแก่: เออ...เท่าที่ฉันจำได้ มันน่าจะเป็น ฝูงหมูป่าแองกิโรเฟลมนะ

    เมื่อพนักงานเคาเตอร์ได้รับข้อมูลเป้าหมายที่ต้องการให้นักผจญภัยไปจัดการแล้ว เธอก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

    พนักงาน: เข้าใจแล้วค่ะ มอนเตอร์ที่คุณต้องการให้ทางเราส่งนักผจญภัยไปจะจัดการคือ หมูป่าแองกิโรเฟลม นะคะ

    หลังจากนั้นพนักงานเคาเตอร์ก็ทำการเขียนเอกสารอยู่ครู่หนึ่งที่โต๊ะก่อนจะทำการเรียกเก็บค่าแรงเป็นจำนวน 300 เอเซอร์เชี่ยนคอยน์ 

    ชายแก่ที่ได้ยินราคาค่าแรงเขาก็ตกใจเล็กน้อย เพราะทีแรกเขาเข้าใจว่ากิลด์นักผจญภัยจะรับทำงานข่วยเหลือผู้คนแบบไม่คิดเงิน ก่อนที่เขาจะหยิบเอาเหรียญเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ

    ชายแก่: ฉันมีเศษเงินแค่นี้เอง หยวนๆกันได้รึเปล่า 

    พนักงานที่เห็นเศษเงินก็ทำได้เพียงถอนหายใจแต่ก็ต้องฝืนยิ้มต่อไปเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของกิลด์

    พนักงาน: จำนวนเงินนั้นไม่พอที่จะดำเนินการตามที่คุณร้องขอได้นะคะ ถ้าหากคุณมีเงินเพียงเท่านี้ทางเราก็ไม่สามารถส่งนักผจญภัยที่มีฝีมือในการต่อกรกับฝูงหมูป่าแองกิโรเฟลมได้ค่ะ ^ ^" 

    ชายแก่: แล้วกัน...แบบนี้ผลผลิตทางเกษตรของพวกเราก็ทำยอดไม่ได้ตามเป้าน่ะสิ 

    ชายแก่มีท่าทางที่ดูหดหู่ ก่อนที่ลอร่าที่แอบมองอยู่นานจะนึกสงสารขึ้นมา

    ลอร่า: คุณตาคนนั้นดูน่าสงสารจังเลยนะคะ พวกเราไปช่วยคุณตาดีมั้ยคะ ?

    อลันบี: อืมม ยังไงดีล่ะคนที่ตัดสินใจได้มีแต่เซอร์ริวคนเดียวนี่นา 

    แล้วสองสาวก็หันไปมองเซอร์ริวที่ในตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาวะหมดไฟไม่อยากทำอะไร ก่อนที่เขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าสองสาวกำลังจ้องมองมาทางเขาเหมือนกำลังขอกาาตัดสินใจจากเขาอยู่

    เซอร์ริว: มีอะไรงั้นหรอ 0 0 ?

    .

    .

    .

    .

    เวลาหัวค่ำ

    โซเบลและสเตลร่ากลับออกมาจากมิติฝึกฝนหลังจากที่ทั้งสองฝึกร่วมกันเพื่อให้โซเบลเรียนรู้และเข้าใจพลังความสามารถทั้งหมดของตัวเอง ซึ่งกว่าโซเบลจะฝึกเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาจนค่ำมืดแล้ว 

    สเตลร่า: วันนี้นายทำได้ดีมากๆเลยนะ ต่อไปนายจะต้องได้ใช้พลังเหล่านั้นเพื่อกอบกู้โลกในอนาคตแน่นอน

    โซเบล: อืม เพราะเธอคอยช่วยสอนและให้คำแนะนำแท้ไ เลยทำให้ฉันสามารถใช้พลังมังกรเพลิงในตำนานได้ และมันก็สุดยอดมากๆเลยล่ะ ^ ^ 

    สเตลร่ามองไปที่ใบหน้าของโซเบลและทันทีที่เธอเห็นโซเบลยิ้มแย้ม มีความสุขและแสดงความใสซื่อทำให้เธออดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

    สเตลร่า: อย่างงั้นหรอ...ถ้านายคิดแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ

    หลังจากนั้นโซเบลก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนเนื่องจากมันเริ่มดึกแล้ว ส่วนสเตลร่าก็ต้องกลับไปรายงานสถานการณ์ความคืยหน้าให้เทพธิดาไมอาร์รับรู้ตามปกติ ทำให้ทั้งสองต้องแยกย้ายกันไปพักผ่อน

     

    ณ สรวงสวรรค์ เซเลสเทรีย

     

    เซเลสเทรียคือสวรรค์ที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์ ท้องฟ้าสว่างสดใส มีลมอ่อนพัดโชยตลอดเวลา และมีต้นไม้ทองคำตั้งอยู่ เป็นสถานที่ที่เทพธิดาไมอาร์ประทับอยู่ และเป็นสถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหยั่งรู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ได้ว่ามันตั้งอยู่ที่ใดในจักรวาล แม้แต่เทพบนสวรรค์เองที่อยู่ชั้นล่างๆก็ไม่อาจล่วงรู้ได้

    เวลานี้ เทพธิดาไมอาร์กำลังยืนรดน้ำดอกไม้สีทองดอกหนึ่งในกระถางและดูแลมันอย่างทะนุทะนอม เนื่องจากดอกไม้ในกระถางนี้คือ 'ดอกไม้แห่งวัฏจักร' (Flower of The Cycle) ที่เปรียบเสมือนเวลาอายุขัยของโลกเอเซอร์เชี่ยน โดยในตอนนี้มันอยู่ในช่วงที่กำลังเบ่งบานอย่างถึงที่สุด นั่นหมายความว่าอายุขัยของโลกเอเซอร์เชี่ยนในตอนนี้อยู่ในช่วงวัยกลางคน

    โดยเทพธิดาไมอาร์ก็รดน้ำไปฮำเพลงอย่างร่าเริงไปก้วยในตัว ก่อนที่เทพธิดาไมอาร์จะนำกระถางดอกไม้ไปวางไว้ใต้ต้นไม้ทองคำเพื่อให้มันได้รับพลังงานแห่งธรรมชาติในการหล่อเลี้ยง

    เทพธิดาไมอาร์: ดูเหมือนว่าทุกๆอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดีนะ ^ ^

    ???: เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆงั้นหรอ...

    ในขณะที่เทพธิดาไมอาร์กำลังชื่นชมดอกไม้สีทองอยู่นี้เอง จู่ๆ ก็ปรากฏเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้จากทางด้านหลัง และเสียงนั้นเป็นเสียงของหญิงสาวที่ดูราบเรียบ เย็นชา และไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆอย่างน่าขนลุก

    เทพธิดาไมอาร์ค่อยๆหันไปมองที่ด้านหลังอันเป็นต้นตอที่มาของเสียง ก่อนจะพบเข้ากับร่างร่างหนึ่งของหญิงสาว ผิวซีดเผือด ผมยาวสีขาว ดวงตาสีน้ำเงินมีลูกบากศ์สี่เหลี่ยมอยู่ภายในม่านตา มีเส้นเลือดสีน้ำเงินปรากฏอยู่ทั่วร่าง สวมเกราะอกสีดำตัดสลับขาวมีแถบพลังงานสีน้ำเงินส่องแสงออกมา มีปลอกแขนพลังงานสวมอยู่ที่แขนทั้งสองข้าง พร้อมกับมิติพลังงานในลักษณะของลูกบากศ์ลอยอยู่รอบตัว มีชายเสื้อที่มีลักษณะเหมือนหางจิ้งจอกสีขาวปลิวสไหวเหมือนหางของสุนัขจิ้งจอกที่กำลังสบัดไปมาอย่างน่าเกรงขาม และมี ไซโคร แฟรงค์ อาวุธพลังจิตจำนวน 5 อัน ลอยอยู่บริเวณด้านหลัง ซึ่งเธอคนนี้ก็คือ เอเฟนเทียร์ ผู้คุมกฏพหุจักรวาล (Afentier Ruler of The Univeres)

     

    เทพธิดาไมอาร์ตกใจกับการปรากฏของเอเฟนเทียร์ จนเธอแสดงสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆเดินเหยียบอากาศโดยมีมิติพลังงานลูกบากศ์รองรับเสมือนว่าเธอกำลังเดินลงมาเป็นคั่นบันได

    เทพธิดาไมอาร์: เอเฟนเทียร์ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ 0 0 ?

    เอเฟนเทียร์: เพราะข้าต้องการเช็คให้แน่ใจ...ว่าการกระทำของเจ้าจะไม่นำมาซึ่งหายนะมาสู่ตัวเจ้าและจักรวาลแห่งนี้น่ะสิ...

    เทพธิดาไมอาร์: เรื่องนั้นท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ฉันดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่สิ่งแปลกปลอมจากภายนอกจะรู้ที่ตั้งของจักรวาลแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน

    เอเฟนเทียร์: ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ดี...แต่ข้าบอกอะไรเจ้าเอาไว้อย่างหนึ่ง...การที่ข้ายอมช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้ในการพาจิตวิญญาณของมังกรเพลิงโซเบลส่งข้ามไปมาระหว่างจักรวาลนี้ไปจักรวาลอื่น...ใช่ว่าข้าจะเห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าหรอกนะ...

    เทพธิดาไมอาร์: เรื่องนั้นฉันรู้ดี ว่าการเปิดมิติไปยังจักรวาลอื่นมันมีความเสี่ยงมากมาย แต่ที่ฉันทำไปก็เพื่อลูกของฉันให้เขาได้รู้จักความอ่อนโยนและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เผื่อที่เขากลับมาจุติใหม่อีกครั้ง เขาจะมีความทรงจำตอนที่เป็นมนุษย์ติดตัวมาด้วย 

    เทพธิดาไมอาร์บอกเล่าจุดประสงค์ให้เอเฟนเทียร์ฟัง แต่เอเฟนเทียร์ก็รับฟังเงียบๆอย่างนิ่งเฉย

    เอเฟนเทียร์: แล้วทำไมเจ้าไม่ให้เขาเกิดใหม่เป็นมนุษย์และปล่อยให้เขาใช้ชีวิตเรียนรู้ในฐานะมนุษย์ที่โลกใบนี้ล่ะ...ทำไมต้องทำอะไรเสี่ยงโดยการส่งเขาไปยังโลกอื่นด้วย

    เทพธิดาไมอาร์เงียบไปอยู่สักพักก่อนที่เธอจะเผยความลับที่ไม่มีใครรู้มาก่อนให้เอเฟนเทียร์รู้

    เทพธิดาไมอาร์: เพราะโซเบลน่ะ...ถูกใครบางคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ทำให้เขาแสดงตนเป็นปรปักษ์กับฉัน และเพื่อความปลอดภัยต่อจิตวิญญาณแห่งธาตุ ฉันให้โซเบลเขาเติบโตและใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ที่โลกนี้ไม่ได้ เพราะคนที่จ้องจะทำลายกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้เพ่งเล็งที่จะจัดการเขาอยู่

    เอเฟนเทียร์: *หึ...* อย่างงั้นหรอ...้เทพธิดาไมอาร์: เพราะแบบนั้น การปล่อยให้โซเบลต้องใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ที่โลกใบนี้ จึงกลายเป็นจุดอ่อนและเป็นตัวต่อสำคัญของเจ้าสิ่งนั้นในการใช้เป็รช่องทางในการทำลายล้างทุกสิ่งบนโลกนี้....ทุกอย่างที่ฉันสร้างขี้นด้วยมือคู่นี้...และฉันจะไม่ยอมให้เจ้าสิ่งนั้นทำลายโลกเอเซอร์เชี่ยนและลูกๆของฉันอย่างเด็ดขาด!

    เอเฟนเทียร์เงียบไปสักพัก ก่อนที่เธอจะชูมือขึ้นมาเพื่อเรียกประตูมิติที่สามารถเดินทางไปยังจักรวาลอื่นได้ แต่ก่อนที่เอเฟนเทียร์จะจากไปเธอก็ได้ทิ้งคำเตือนบางอย่างให้เทพธิดาไมอาร์ระลึกเอาไว้

    เอเฟนเทียร์: จำเอาไว้ให้ดี...นับจากนี้ต่อไปในอนาคตอันแสนไกลโพ้นข้างหน้า...เจ้าจะทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นการกระทำที่มาจากการตัดสินใจส่วนตัวของเจ้า...และผลที่ตามมานั้นจะร้ายแรงเกอนกว่าที่เจ้าจะหยั่งถึง...นี่คือคำเตือนจากข้า...

    เอเฟนเทียร์มองขวางมายังเทพธิดาไมอาร์อยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับกล่าวเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้าให้เทพธิดาไมอาร์ทราบ ก่อนที่เอเฟนเทียร์จะเดินหายเข้าไปในประตูมิติ ปล่อยให้เทพธิดาไมอาร์ครุ่นคิดกับคำพูดของเอเฟรเทียร์ที่ทิ้งปริศนาเอาไว้ให้เธอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×