ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #34 : ตอนที่ 29: ความหลังของลาเนีย

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 67


    หลายวันต่อมา…

    ณ วิหารมังกรเพลิงโซเบล

    หลังจากที่โซเบลถูกพิษมรณะของเฟอร์ดิอุสทำร้ายจนหมดสติไป เขาก็นอนพักอยู่ในห้องพักภายในวิหารหลังจากได้รับยาถอนพิษจากอาร์เบดอร์สโดยมีสเตลร่ากับเรยาขออยู่เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดตลอดหลายวันที่ผ่านมา โดยหวังว่าโซเบลจะฟื้นจากอาการป่วยในเร็ววัน

    “ท่านโซเบลนอนหลับเช่นนี้มาหลายวันแล้วนะเจ้าคะ ยาถอนพิษของท่านอาร์เบดอร์สจะใช้ได้จริงๆหรือเจ้าคะ ? ”

    “ฉันเองก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าเขานั้นจะฟื้นตอนไหน แต่โดนพิษเข้าไปมากขนาดนั้นร่างกายก็ต้องบอบช้ำมาหนักพอตัวเลยล่ะ”

    “พวกเราให้ยาถอนพิษน้อยเกินไปรึเปล่าเจ้าคะ ท่านโซเบลถึงไม่ฟื้นตัวสักที”

    “ไม่หรอก อาร์เบดอร์สเคยบอกเอาไว้แล้วว่าให้ยาถอนพิษแค่ขวดเดียวก็พอ ที่เหลือก็ปล่อยให้ยาถอนพิษค่อยๆกำจัดพิษออกไปจากร่างกายของโซเบลให้หมดเท่านั้น”

    พูดจบสเตลร่าก็มีท่าทีอิดโรยจนเรยาต้องรีบเข้ามาช่วยประคองด้วยความตกใจ

    “ท่านสเตลร่าเจ้าคะ เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าคะ ?! 0 0 ”

    “ไม่เป็นไร แค่อ่อนเพลียนิดหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”

    สเตลร่าบอกกับเรยาว่าตัวเธอนั้นไม่เป็นไร ทั้งๆที่ในตอนนี้สภาพของเธอเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอจนเรยาสังเกตุเห็นได้

    “จะให้ข้ามองว่าท่านสเตลร่าไม่เป็นอะไรได้ยังไงเจ้าคะ ในเมื่อสภาพของท่านเหมือนคนอดหลับอดนอนไม่มีผิด”

    “ฉันดูแลตัวเองได้น่า เรื่องแค่นี้ฉันมีวิธีจัดการอยู่แล้ว เธอน่ะกลับไปดูคนเจ็บคนอื่นๆที่อยู่ข้างนอกกับคนอื่นๆเถอะนะ เดี๋ยวตรงนี้ให้ฉันเป็นคนดูแลเอง”

    พูดจบสเตลร่าก็ยิ้มแบบฝืนๆทำให้เรยารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ในเมื่อสเตลร่าให้คำมั่นมาแบบนั้นเธอจึงยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี

    “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

    หลังจากนั้นเรยาก็ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อไปดูแลคนเจ็บ ปล่อยให้สเตลร่านั่งเฝ้าดูอาการของโซเบลตามลำพัง

    สเตลร่านั่งมองโซเบลที่นอนไม่ได้สติด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจากหัวใจ และเธอก็นึกแต่โทษตนเองที่ตอนนั้นหากเธอตัดสินใจที่จะตามไปห้ามโซเบลไม่ให้ไปสู้กับเฟอร์ดิอุสตั้งแต่เนิ่นๆ เขาก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนอนเป็นผักแบบนี้ ทำให้เธอแอบนั่งร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่อยู่คนเดียวในห้องพักแห่งนี้ พร้อมกับนั่งกุมมือโซเบลเพื่อหวังว่าเขาาจะฟืิ้นกลับมาอย่างปลอดภัย

     

    ตัดภาพมายังด้านนอกวิหารมังกรเพลิง 

    ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่ 'ตำหนักผู้พิทักษ์มังกรเพลิง' ฮามัส หัวหน้าภูติเห็ดเผ่ามัชรูมี่ ไกอัส และแรนแซค พร้อมกับมังกรบริวารหลายสิบตนที่เป็นผู้ช่วยก็กำลังหารือในการวางแผนจัดการวางโครงสร้างแผนผังเมืองขึ้นมาใหม่รวมถึงการสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้เองเรยาก็เดินทางมายังตำหนักเพื่อมาพบทั้งสี่คน

    “อ่า เจ้าเองงั้นรึยอดรักของข้า”

    ไกอัสที่เห็นเรยาภรรยาของเขาเดินเข้ามาก็รีบวิ่งเข้ามาทักทาย ก่อนที่เขาจะถามอาการของโซเบลจากเรยา

    “ท่านโซเบลตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง”

    “ยังคงนอนหมดสติอยู่เช่นเดิมเจ้าค่ะ แต่สภาพร่างกายโดยรวมก็ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”

    เรยาส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็บอกสถานะการณ์เบื้องต้นให้กับไกอัสและคนอื่นๆได้รับทราบ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็โล่งใจเพราะที่โซเบลนั้นรอดพ้นขีดอันตรายมาแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาก็ตาม

    “อย่างนั้นเองหรอ ถ้าท่านโซเบลรอดพ้นขีดอันตรายมาได้พวกเราทั้งหมดก็โล่งใจ เพียงแต่…”

    “เพียงแต่อะไรหรือเจ้าคะ สามีข้า 0 0 ? ”

    “ข้าแค่คิดว่า…ข้าควรจะทำหน้าที่มังกรผู้พิทักษ์ได้ดีกว่านี้ ข้าควรที่จะปกป้องท่านโซเบลนายเหนือหัวขอข้าให้รอดพ้นจากอันตราย ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์มังกรเพลิงแท้ๆ แต่ข้ากลับไม่สามารถช่วยอะไรท่านโซเบลได้เลย แถมยังปล่อยให้ท่านโซเบลต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีก”

    ไกอัสกล่าวโทษในความอ่อนหัดของตัวเองและไม่สมฐานะที่ได้รับมาด้วยความรู้สึกผิด จนฮามัส แรนแซค และภูติจิ๋วต้องเข้ามาช่วยปลอบ แต่เรยาก็ได้พูดขึ้นมาว่า

    “ไม่หรอกสามีข้า เหตุที่ตอนนั้นท่านโซเบลไม่ต้องการให้พวกเราติดตามเขาไปเผชิญหน้ากับมังกรปีศาจลมตนนั้น ก็เพราะเขารู้ดีว่าลำพังพลังของพวกเราไม่อาจจะเทียบเคียงกับมังกรปีศาจตนนั้นได้ แม้ว่าท่านจะมีเศษเสี้ยวพลังของมังกรเพลิงในตำนานอยู่ในตัวก็ตาม”

    “เรยา…เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆงั้นรึ ? ”

    “จริงเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงแต่พวกเราและเหล่าบริวารผู้ติดตามจะปกป้องท่านโซเบลอยู่ฝ่ายเดียว ท่านโซเบลเองก็พยายามปกป้องพวกเราเช่นเดียวกันนะเจ้าคะ ^ ^ ”

    เรยาส่งรอยยิ้มที่อ่อนหวานให้ไกอัสนั้นไม่คิดมาก ก่อนที่เขาจะเข้าใจแล้วเข้าไปสวมกอดภรรยาของเขาด้วยความรัก

    “ข้าเข้าใจแล้วล่ะยอดรัก ข้าเองก็ลืมไปว่าข้านั้นเป็นถึงมังกรผู้พิทักษ์มือขวาคนสนิทของท่านโซเบล แม้ท่านโซเบลจะไม่อยู่หรือเป็นอะไรไป อาณาจักรโซเบลลิสและพื้นที่เขตอาศัยรอบนอกวิหารมังกรเพลิงก็ยังมีข้าคอยทำหน้าที่เป็นผู้รักษาการณ์แทนอยู่นี่นา ^ ^ ”

    เรยาพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะหอมแก้มซึ่งกันและกัน ต่อหน้าฮามัส แรนแซค หัวหน้าเผ่าเห็ดมัชรูมี่และคนอื่นๆซึ่งมองทั้งสองด้วยความเหนื่อยใจ จนฮามัสต้องพูดตัดบทขึ้นมาว่า

    “เอาล่ะทั้งสองคน เรื่องส่วนตัวเอาไว้ค่อยคุยกันเวลาอื่นจะดีกว่า ตอนนี้พวกเรามีงานสำคัญอย่างอื่นที่ต้องทำอยู่นะ - - ”

    “อะ…ข้าขอโทดด้วยนะท่านพี่ พอดีลืมตัวไปหน่อยว่ากำลังอยู่ในเวลางานน่ะ ^ ^" ”

    “เฮ้ออ…ให้ตายสิ…ได้เป็นหัวหน้าเผ่าแล้วก็ทำตัวให้มันดูหนักแน่นน่าเชื่อถือหน่อยสิ ถ้าเวลางานกับเรื่องส่วนตัวมาปนแบบนี้มังกรตัวอื่นๆในเผ่าจะให้ความมั่นใจในการทำงานของเจ้าได้ยังไง”

    “ข้าเข้าใจแล้วล่ะท่านพี่”

    หลังจากนั้นทั้งหมดก็กลับมาประชุมกันต่อ โดยพวกเขาตัดสินใจจะใช้ภูเขาที่อยู่ทางตอนบนหลังวิหารเป็นเสมือนกำแพงปราการธรรมชาติ เพราะพื้นที่บริเวณทางตอนเหนือของวิหารนั้นเป็นภูเขาหิมะที่ค่อนข้างสูงชันเหมาะในการทำเหมืองแร่ใต้ดินและใช้เป็นสถานที่หลบภัย ส่วนพื้นที่ทางตอนใต้เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมติดกับทะเลซึ่งเหมาะสมในการใช้เป็นเส้นทางค้าขายทางทะเล ส่วนพื้นที่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างเหมาะสำหรับการเกษตรและปศุสัตว์ของชาวบ้านมากที่สุด 

    แต่ก่อนอื่นสิ่งแรกที่พวกเขาจะต้องวางแผนและวางรากโครงสร้างบ้านเมืองให้เป็นระเบียบพร้อมกับแบ่งจัดพื้นที่โซนแต่ละโซนเพื่อความชัดเจนในการบริหารดูแล โดยมีเรยาเป็นคนให้คำปรึกษาเนื่องจากเธอนั้นเป็นมังกรเพียงตนเดียวที่เคยเรียนรู้สภาพแวดล้อมและวิถีการใช้ชีวิตของมนุษย์มากที่สุด ทำให้ทุกคนฝากฝังงานทั้งหมดมาที่เรยาแม้ว่าเจ้าตัวเองก็มีงานสำคัญอื่นๆที่ต้องทำแต่เธอก็พร้อมที่จะรับงานนี้ด้วยความเต็มใจ เพื่อประโยชน์สุขของมังกรและผู้คนทุกๆคนที่อาศัยอยู่ที่นี่

    จากนั้นอาณาจักรโซเบลลิสเริ่มมีการก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาทีละนิด โดยมีชาวบ้าน และพลเรือนมังกรทุกคนร่วมด้วยช่วยกันสร้างกำแพงเมืองชั้นในและชั้นนอก สร้างโบสถ์วิหารสำหรับสักการะเทพธิดาไมอาร์ มีการสร้างอนุเสวรีย์มังกรเพลิงโซเบลผู้มาโปรดร่วมกับเทพธิดาไมอาร์อยู่กลางเมือง อีกทั้งยังมีการเบิกสมบัติจากกองคลังในวิหารมังกรเพลิงเพื่อช่วยสนับสนุนชาวบ้านในการซื้อเครื่องไม้เครื่องมือทำอาชีพการงานของตัวเองทั้งการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง และอื่นๆอย่างไม่จำกัด เพื่อให้พลเมืองใหม่ของอาณาจักรแห่งนี้สามารถตั้งรกรากอาศัยอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภัยอันตรายจากภายนอก

    และในระหว่างนั้นเอง แรนแซคก็ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝูงมังกรช่วยเหลือคอยออกตระเวนตามพื้นที่ชายแดนรอบๆของอาณาจักรเผื่อว่าพวกเขาจะได้พบเจอกับกลุ่มคาราวานหรือกลุ่มอพยพของผู้คนที่ต้องการหนีมาพึ่งอาศัยขอความช่วยเหลือจากโซเบลเป็นระยะๆ จนกระทั่งประชากรรอบๆวิหารมังกรเพลิงเริ่มหนาแน่นและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากในตอนนี้จากหมู่บ้านเล็กๆ ก็ค่อยๆขยายใหญ่กลายเป็นหมู่บ้านขนาดกลางๆ โดยสเตลร่าเองก็คอยเฝ้าดูสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและเฝ้ามองดูกลุ่มของไกอัสตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อส่วนรวมกันอย่างขยันขันแข็ง ทำให้เธอยิ้มและรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอยู่บ้าง

    .

    .

    .

    .

     3 วันต่อมา…

    หลังจากที่กลุ่มของลาเนียได้เดินทางจากเมืองหลวงเดนิสมุ่งหน้ามาทางตะวันออกเพื่อไปยังพิกัดที่ตั้งวิหารมังกรเพลิงและพวกเขาก็เดินทางมาหลายวันทำให้เกิดความเหนื่อยล้า พวกเขาจึงตัดสินใจตั้งแคมป์เพื่อพักเอาแรงอยู่ที่ป่าเวทย์มนต์ที่เต็มไปด้วยสัตว์เวทย์มนต์ขนสีน้ำเงินเข้มมากมายอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ซึ่งพวกมันมีตาประกายสีครามเรืองแสงในความมืดดูน่ากลัว

    “เรามาหยุดพักกันตรงนี้แหละ”

    “เฮ้อออ ในที่สุดก็ได้พักสักที เดินมาทั้งวันเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว \~o~/ ”

    ทอร์เรนต์เมื่อได้ยินลาเนียบอกให้พัก เขาถึงกับล้มฟุบนอนอ้าซ่ากับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากตรากตรำเดินเท้ามาหลายวัน ส่วนคนอื่นนั้นก็วางสัมภาระและเริ่มก่อแคมป์ก่อกองไฟตามปกติ

    แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองอัลเบโดนักเวทย์ประจำกลุ่มก็ได้พาเรดควีน เอลเดน และไอริสที่ถูกจับมัดเชือกผนึกเวทย์ มานั่งพักอยู่ที่โขดหินใต้ต้นไม้ พร้อมกับนำสตูใส่ชามมาให้ทั้งสามคน เพื่อให้พวกเขากินเอาแรงก่อนจะเดินทางกันต่อ

    “รับไปสิ ตอนนี้กำลังร้อนๆอยู่เลยนะ”

    อัลเบโดยื่นชชามอาหารให้เอลเดนกับไอริส ก่อนที่สองสาวจะรับไปทาน ก่อนที่อัลเบโดจะนำอาหารไปมอบให้เรดควีนเป็นคนสุดท้าย 

    “อ่ะ นี่อาหารของเจ้า”

    “แหม่…ถ้าพวกนักล่ามังกรอย่างพวกเธอปฏิบัติดีกับมังกรตัวอื่นๆได้ดีแบบนี้ได้ตลอดก็ดี”

    “อย่าพูดมากจะได้มั้ย สรุปเจ้าจะเอารึเปล่า ? ”

    “ฉันไม่หิวหรอก แบ่งให้สองคนนี้ดีกว่า สองคนนี้ค่อนข้างจะกินจุเวลาเหนื่อยๆ”

    เอลเดนกับไอริสที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหันมามองหน้าเรดควีนด้วยความตะลึง เพราะทั้งสองสังเกตุตั้งแต่วันแรกๆที่โดนจับแล้วว่าเรดควีนนั้นมักจะยอมเสียสละอาหารในส่วนของเธอมาให้ทั้งสองคน ในขณะที่ตัวเองนั้นอดอาหารและกินเท่าที่จำเป็น จนตอนนี้ทั้งสองก็ไม่อาจจะเก็บความสงสัยนั้นอีกต่อไปจึงได้ถามเรดควีนออกไปว่า

    “คุณเรดควีนคะ คุณเรดควีนไม่ค่อยกินอะไรมาหลายวันแล้วนะคะ 0 0 ”

    “นั่นสิ เวลามีอะไรคุณเรดควีนก็จะแบ่งมาให้เราสองคนตลอดแล้วปล่อยให้ตัวเองหิวตลอด แบบนี้มันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพนะคะ”

    “เธอสองคนไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก เรื่องแค่นี้ฉันทนได้สบายอยู่แล้ว สำหรับฉันน่ะเรื่องปากท้องของคนอื่นต้องมาก่อนเสมอ โดยเฉพาะ…การให้เธอสองคนได้กินอาหารจนอิ่มแค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”

    “คุณเรดควีน… .0 0. ”

    เอลเดนกับไอริสที่ได้ยินดังนั้นทั้งสองก็รู้สึกซาบซึ้งใจในความเสียสละของเรดควีนจนแทบจะกลั้นน้ำตาออกมาไม่อยู่ 

    “ฉันทำผิดต่อคนอื่นมามากเพื่อคนที่ฉันรักจนมองไม่เห็นว่าสิ่งไหนคือความถูกต้อง…ตอนนี้ฉันอยากจะชดใช้ความผิดนั้น…แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี…”

    เรดควีนนั่งตัดเพ้อถึงอดีตที่แสนโหดร้ายก่อนที่เธอนั้นจะนั่งหลับปล่อยให้เอลเดนกับไอริสทานอาหารต่อไป แม้ว่าทั้งสองจะไม่อยากก็ตามเพราะสงสารเรดควีนที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณ

    เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆหลังจากที่ทุกคนพักทำกิจวัตรส่วนตัวและรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ไอริสที่เห็นว่าบรรยากาศรอบๆมันดูเงียบๆเธอจึงชวนกลุ่มลาเนียคุยไปพลางเพื่อให้บรรยากาศมันมีชีวิตชีวาขึ้นมา

    “เออ….ขอถามอะไรหน่อยจะได้รึเปล่าคะ ทำไมพวกคุณถึงเลือกที่จะเป็นนักล่ามังกรหรอคะ ? ”

    “อยากรู้ไปทำไมอย่างงั้นหรอ ? ”

    ทอร์เรนต์ที่นั่งบดยาอยู่ไม่ห่างจากจุดที่กลุ่มไอริสนั่งอยู่ถามขึ้นมา

    “คือฉันแค่อยากรู้น่ะค่ะ…ว่าทำไมพวกคุณถึงเลือกที่จะทำอาชีพที่มันเสี่ยงตายแบบนี้แค่นั้นเองค่ะ”

    “เหอะ พวกเธออยากรู้จริงๆหรอว่าทำไมพวกเราถึงเลือกมาทำอาชีพล่ามังกรขาย ถ้าอย่างงั้นฉันจะบอกเล่าเรื่องราวที่มาของฉันให้พวกเธอฟังเอง vuv/ ”

    ทอร์เรนต์ที่ถูกไอริสชงให้เล่าประวัติความเป็นมาของตัวเองให้ฟัง 

    ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ในตอนนั้นทอร์เรนต์เป็นเพียงจิ้งจอกเผ่าเฟอร์เรี่ยนธรรมดาที่ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพงานแกะสลัก อาชีพปลูกผัก อาชีพส่งของ หรือแม้แต่อาชีพที่เผ่าจิ้งจอกเฟอร์เรี่ยนทุกตัวนิยมทำกันอย่างอาชีพล่าสัตว์เป็นฝูงเขาก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากตัวเขานั้นขี้ขลาดและอ่อนแอเกินไปทำให้จิ้งจอกเฟอร์เรี่ยนในหมู่บ้านรู้สึกดูแคลนในตัวเขาและมองว่าตัวเขานั้นเป็นปมด้อยของเผ่าสุดท้ายเขาก็กลายเป็นตัวตลกของเผ่าไปโดยไม่เต็มใจ

    แต่อยู่มาวันหนึ่งหมู่บ้านของถูกจู่โจมจากฝูงมังกรล่าเนื้อกลุ่มหนึ่งที่กำลังบินออกหากินและบังเอิญมาเห็นหมู่บ้านของเขาเข้าพวกมันจึงบุกโจมตีเผาทำลายบ้านเรือนและสังหารจิ้งจอกทุกคน ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านเสียชีวิตจนหมด ไม่เว้นแม้แต่แม่ของเขาที่ต้องตายในกองเพลิง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาจึงปฏิญานกับตัวเองว่าจะล้างบางพวกมังกรให้หมด เพราะเขานั้นไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเจ็บปวดจากการสูญเสียบ้านเกิดและคนที่เขารักเหมือนกับเขา สุดท้ายเขาก็ได้ไปเรียนรู้วิชาจากสุดยอดหมอนักปรุงยาในอาณาจักรแห่งหนึ่ง ทำให้เขาเข้าใจและรู้ศาสตร์การปรุงยารวมถึงอาวุธยาพิษทุกชนิดในโลกจนมาถึงทุกวันนี้

    “เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนั้นแหละ”

    ไอริสที่ได้ฟังประวัติความเป็นมาของทอร์เรนต์เธอก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาในทันที เพราะทอร์เรนต์นั้นสูญเสียบ้านเกิดรวมไปถึงคนในครอบครัว ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากๆสำหรับเขา

    “แล้วคุณล่ะคะคุณกิ้งก่า”

    ไอริสหันไปถามอัลโดเบโดที่กำลังนั่งทำสมาธิ ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างหัวเสียเล็กน้อยในระหว่างทำสมาธิว่า

    “เรียกข้าให้มันดีๆหน่อยนังหนูเอลฟ์ตัวน้อย ข้าเป็นลิซาร์ดแมนที่มีนามว่าอัลโดเบโดนะ v-v* ”

    “อ…เออ ขอโทดด้วยค่ะ คุณอัลโดเบโด ^ ^" ”

    “แต่เอาเถอะ เจ้าจะเรียกข้าว่าอัลเบโดก็ได้ ข้าไม่ถือหรอก"

    “เข้าใจแล้วค่ะคุณอัลเบโด”

    เรื่องของข้าน่ะหรอ…เอาที่จริงมันก็ค่อนข้างจะแตกต่างจากของทอร์เรนต์พอสมควรอยู่นะ”

    “ยังไงหรอคะ ลองเล่ามาให้เราสองคนฟังเถอะค่ะ”

    เอลเดนพูดขึ้นมาอย่างสนใจก่อนที่อัลโดเบโดจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเขารวมถึงแรงจูงใจในการเดินบนเส้นทางเป็นนักล่ามังกรให้เอลเดนกับไอริสฟัง

    ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้วอัลโดเบโดเคยทำหน้าที่เป็นพ่อหมอประจำเผ่าในหมู่บ้านหนองน้ำเล็กๆของพวกลิซาร์ดแมน ซึ่งเขากับลิซาร์ดแมนทุกตัวในเผ่าก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตลอดเร่ื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งอัลโดเบโดก็เกิดเขาต้องการที่จะขัดเกลาความสามารถของตัวเขาเองและแสวงหาความหมายของความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพลังเวทย์กลางในธรรมชาติ เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางออกจากเผ่าและก่อนไปเขาก็ได้ฝากฝังหน้าที่ให้กับลูกศิษย์ของเขาให้ทำหน้าที่เป็นพ่อหมอประจำเผ่าต่อจากเขา 

    อัลโดเบโดได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆโดยเขานั้นยังคงเป็นเพียงนักเดินทางที่เดินทางเสาะแสวงหาหนทางไปสู่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ซึ่งเขาก็ได้เดินทางไปตามเมืองและอาณาจักรต่างๆจนได้พบเจอกับผู้คนมากมาย แต่ทว่าเขาก็ยังไม่เห็นหนทางที่จะพบความหมายของความแข็งแกร่งที่แท้จริงดั่งที่เขาใฝ่หาเสียที จนกระทั่งเขาได้มาพบกับทอร์เรนต์ที่กำลังเดินทางเพื่อฝึกฝนตัวไปล่ามังกรที่เมืองแห่งหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะตกลงออกเดินทางไปด้วยกันในที่สุด และอัลโดเบโดก็เชื่อว่าหากเขาเดินทางไปพร้อมกับทอร์เรนต์และช่วยเขาปราบมังกร เขาอาจจะสามารถทำให้ขัดเกลาวิชาให้ดีขึ้นและอาจจะพบกับสิ่งที่เขาต้องการก็เป็นได้

    “จนถึงตอนนี้ข้าก็เริ่มที่จะเข้าใจความหมายของความแข็งแกร่งที่แท้จริงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ข้าก็ยังคำถามบางอย่างที่ยังค้างคาในใจอยู่”

    “อะไรงั้นหรอคะ ? ”

    “ข้าไม่รู้ว่า สิ่งที่ข้าพบในตอนนี้กับสิ่งที่ข้าเผชิญอยู่ มันใช่ในสิ่งที่ข้าต้องการตามหาจริงๆอยู่รึเปล่า ซึ่งก็จริงที่ข้านั้นมีพลังเวทย์แข็งแกร่งมากพอที่จะทนรับการโจมตีของมังกรระดับสูงได้ แต่ข้ายังรู้สึกว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่นี้มันยังมีบางอย่างที่ข้ายังไม่อาจจะหาคำตอบให้กับมันได้”

    เมื่ออัลโดเบโดพูดจบเอลเดนกับไอริสก็พยายามนึกภาพตามในสิ่งที่เขาพูดมา แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเพราะทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าโลกของการต่อสู้นั้น ความหมายที่แท้จริงของความแข็งแกร่งนั้นมันคืออะไรกันแน่ ก่อนที่ไอริสจะหันไปมองลาเนียกับเร็กซ์ที่กำลังนั่งเขี่ยฟืนอยู่ไม่ไกล

    “แล้วสองคนนั้นล่ะคะ”

    “อ้อ ลาเนียกับเร็กซ์งั้นหรอ สองคนนั้นเขาไม่ค่อยอยากจะบอกเหตุผลให้ใครรู้สักเท่าไหร่ว่าเขาออกล่ามังกรเพราะอะไร”

    ทอร์เรนต์กล่าวพร้อมกับมองไปที่ลาเนียกับเร็กซ์ตาม

    “ทำไมเป็นอย่างงั้นไปได้ล่ะคะ 0 0 ? ”

    “ไม่รู้สิ ฉันถามสองคนนั้นกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ลาเนียกับเร็กซ์ก็ชอบตอบปัดๆตลอด ประมาณว่า ‘พวกเรามีเหตุผลของเรา นายไม่ต้องรู้’ หรือไม่ก็ ‘เรื่องมันยาวไม่อยากจะเล่าสักเท่าไหร่’ อะไรทำนองนี้หน่ะนะ”

    “อืมมม~ งั้นหรอคะ 0 0 ”

    ไอริสนั่งมองด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนจนเอลเดนถามขึ้นมาว่า

    “นั่นเธอจะไปไหนน่ะไอริส ? ”

    “ฉันจะไปคุยกับสองคนนั้นหน่อยน่ะ”

    แล้วไอริสก็เดินตรงเข้าไปหาลาเนียกับเร็กซ์ทันทีโดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆจากเอลเดนเลย

    ในระหว่างที่ลาเนียกับเร็กซ์กำลังนั่งเขี่ยไฟและพูดคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเอง ไอริสก็โผล่หน้าเข้าไปทักทายทั้งสองด้วยความรู้สึกเขินๆเล็กน้อยว่า

    “ส…สวัสดีค่ะ…ฉันขอร่วมวงด้วยคนจะได้มั้ยคะ ^ ^ ”

    ลาเนียกับเร็กซ์หันมามองไอริสด้วยความงุนงง ก่อนที่ลาเนียจะผายมือเชิญให้ไอริสมาร่วมวงล้อมรอบกองไฟเงียบๆ

    “คุณสองคนคือคุณเร็กซ์กับคุณลาเนียใช่มั้ยคะ”

    “อืม”

    ลาเนียตอบกลับแค่คำเดียวและไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะโยนไม้ฟืนเข้ากองไฟเพื่อเติมเชื้อเพลิง ทำเอาไอริสไม่รู้ว่าเธอนั้นจะถามอะไรจากทั้งสองคน เธอจึงลองหาเรื่องคุยกับทั้งสองคนเผื่อว่าลาเนียกับเร็กซ์จะเปิดใจคุยกับเธอ

    “คุณลาเนียกับคุณเร็กซ์ ล่ามังกรเป็นชีวิตจิตใจเลยงั้นหรอคะ”

    “ก็คงงั้น นักล่ามังกรไม่ล่ามังกรเลี้ยงชีพแล้วจะให้ไปทำอะไรล่ะ”

    “อืมม…ถ้าหากคุณเร็กซ์กับคุณลาเนียไม่ได้เป็นนักล่ามังกร คุณสองคนก็สามารถเป็นทหารรับจ้างหรือไม่ก็นักผจญภัยได้นี่คะ”

    เร็กซ์กับลาเนียเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ลาเนียจะพูดขึ้นมาว่า

    “พวกเราน่ะไม่ได้ต่อสู้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเหมือนพวกนักผจญภัยหรอกนะ พวกเราเหล่าดราก้อน สเลเยอร์น่ะต่อสู้เพื่อตัวของเราเองเท่านั้น”

    “เอ๋ ? ”

    “เธออาจจะยังไม่เข้าใจวิถีชีวิตและแนวคิดของพวกเราที่เป็นนักล่ามังกรนะแม่สาวน้อย พวกเราน่ะล่าแต่มังกรเท่านั้น มังกรคือรายได้ที่ทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ พวกเราล่าเฉพาะมังกรที่ก่อความวุ่นวายให้กับโลกใบนี้ตามผู้ว่าจ้าง ไม่ว่ามังกรตนนั้นจะก่อเรื่องด้วยสาเหตุเรื่องเล็กน้อยหรือเหตุผลใดก็ตาม”

    เร็กซ์กล่าวพร้อมกับหันมามองไอริสตาเป็นประกายแวววับ ตามสไตล์หมาป่านักล่าทำให้ไอริสรู้สึกใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อถูกแววตาคู่นั้นจับจ้องมาที่ตัวเธอ

    “ถ้างั้นก็แสดงว่า พวกคุณล่ามังกรทุกตัวและสังหารพวกมันตามคำไว้วานจากนายจ้างเพื่อรับค่าตอบแทนงั้นสินะคะ”

    “ถูกต้องแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นมังกรชั้นต่ำหรือมังกรชั้นสูงพวกเราก็ล่าเพื่อฆ่าเอาอวัยวะกับชิ้นส่วนของมันไปขายในยุคนี้ที่โลกกำลังขัดสนและเต็มไปด้วยความขัดแย้งจากปัญหาเรื้อรังหลังจากผ่านยุคสงครามแห่งไฟมา นั่นจึงทำให้พวกเรายังอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ”

    “แสดงว่าพวกคุณจะต้องล่ามังกรทุกตัวที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนแล้วรับค่าจ้างเป็นสิ่งตอบแทนสินะคะ”

    เร็กซ์พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ไอริสจะถามคำถามบางอย่างที่จะทำให้เร็กซ์กับลาเนียไม่คาดคิดมาก่อน

    “งั้นตอนนี้พวกคุณก็กำลังจะไปสังหารมังกรเพลิงปีศาจสินะคะ”

    “ใช่แล้ว”

    “ถ้าอย่างนั้น คุณโซเบลเขาทำอะไรผิดพวกคุณถึงต้องไปฆ่าเขาล่ะคะ”

    เร็กซ์กับลาเนียทำหน้าอึ้งๆไปสักพักและเงียบไม่ตอบอะไร ก่อนที่ไอริสจะจี้ถามคำถามย้ำอีกว่า

    “คุณโซเบลเขาไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ ถึงเขาจะเป็นมังกรที่ใครต่างก็ตราหน้าว่าเป็นมังกรเพลิงปีศาจที่ทำลายล้างโลกนี้ แต่พวกคุณไม่เห็นในสิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้อยู่หรอคะ ว่าตอนนี้คุณโซเบลเขากำลังทำอะไรเพื่อผู้คนอยู่”

    เร็กซ์กับลาเนียหันมามองหน้ากันและไม่รู้ว่าจะให้คำตอบกับคำถามนี้ยังไง 

    “จริงอยู่นะคะ ที่คุณโซเบลมีความผิดและใครๆต่างก็หวาดกลัวในพลังอำนาจของเขา แต่ทุกวันนี้คุณโซเบลเขาก็พยายามเปิดรับผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือและต้องการมาขอพึ่งพิงให้เขาคุ้มครองจากสงครามและความอดอยาก นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอคะ ? ”

    “เรื่องนั้น…”

    “พวกคุณเป็นคนบอกฉันเอง ว่าพวกคุณจะล่าแต่มังกรที่นิสัยไม่ดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คน แต่คุณโซเบลไม่ใช่มังกรที่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แถมยังเป็นที่พึ่งให้กับเหล่าผู้อ่อนแอที่หมดหนทางในยุคนี้ แล้วพวกคุณจะทำลายความหวังของผู้คนเหล่านั้นที่ไร้ทางสู้เพื่อตัวของพวกคุณเองอย่างงั้นหรอคะ ? ”

    เร็กซ์กับลาเนียถึงกับนั่งซึมเล็กน้อยเพราะพวกเขานั้นไม่อาจจะให้คำตอบที่ชัดเจนกับคำถามที่เต็มไปด้วยความใสซื่อจากไอริสเอลฟ์สาวผู้มองโลกในแง่ดีคนนี้ได้ ก่อนที่ลาเนียจะตัดบทขึ้นมาว่า

    “ฉันขอไปนอนก่อนนะ หลายวันมานี้ฉันกลุ้มใจมามากพอแล้ว”

    พูดจบลาเนียก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปนอนในเต้นท์ที่พักแยกของเธอทันที ปล่อยให้เร็กซ์อยู่กับไอริสตามลำพังรอบกองไฟ

    “ฉันต้องขอโทดแทนลาเนียด้วยก็แล้วกัน พอดีช่วงนี้เขามีเรื่องไม่สบายใจอยู่น่ะ”

    ไอริสพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่เร็กซ์จะตอบคำถามที่ไอริสเคยถามไปก่อนหน้านั้น แม้ว่าคำตอบที่เขาคิดได้ในตอนนี้มันจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่

    “อันที่จริง พวกเราเองก็ไม่ได้อยากจะไปสังหารมังกรเพลิงปีศาจหรอกนะ พวกเราน่ะรู้ดีว่ามังกรเพลิงโซเบลนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน ต่อให้เอามังกรระดับสูงทั้งโลกมาช่วยกันจัดการมังกรเพลิงโซเบล ที่เป็นดั่งตัวแทนแห่งเปลวเพลิงของโลกก็ไม่อาจจะต่อกรกับเขาได้หรอก”

    “แล้วเพราะอะไรล่ะคะ พวกคุณถึงจะไปเผชิญหน้ากับคุณโซเบล ทั้งๆที่รู้ตัวเองดีว่ายังไงพวกคุณเอาเอาชนะเขาไม่ได้ ? ”

    “มันเป็นหน้าที่ที่พวกเราเหล่าดราก้อน สเลเยอร์ได้รับมาจากผู้ไว้วานน่ะ…และดราก้อน สเลเยอร์อย่างพวกเราไม่สามารถปฏิเสธคำไว้วานเหล่านั้นได้ เพราะมันจะทำให้เกียรติยศและชื่อเสียงของพวกเราต้องหม่นหมองในสายตากลุ่มนักล่ามังกรกลุ่มอื่นๆ ซึ่งพวกเราจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้”

    “กลุ่มนักล่ามังกรเป็นสังคมที่ชอบดูถูกดูแคลนเพื่อนร่วมอาชีพงั้นหรอคะ ? ”

    “ก็คงงั้น ยิ่งกลุ่มไหนสามารถจัดการมังกรที่ล่ำลือว่าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ชื่อเสียงและสมยานามของพวกเขาก็จะยิ่งเลื่องลอกระฉ่อนมากขึ้นเท่านั้น และก็จะยิ่งได้รับความไว้วางใจจากใครก็ตามที่จะมาเป็นผู้ไว้วานมากขึ้นอีกด้วย”

    ไอริสนั่งฟังอย่างตั้งใจ และดูเหมือนเร็กซ์จะเริ่มสนใจในความใฝ่รู้และเอ็นดูในความน่ารักของเธอขึ้นมาแล้ว

    “ดูท่า…เธอจะสนใจเรื่องของกลุ่มดราก้อน สเลเยอร์พอตัวเลยนะ หรือว่าเธออยากจะเปลี่ยนอาชีพจากพนักงานร้านอาหารมาเป็นนักล่ามังกรล่ะ ? ”

    ไอริสที่โดนเร็กซ์ถามแหย่มาแบบนั้นก็ออกอาการลนลานเล็กน้อย ก่อนจะตอบเร็กซ์กลับไปว่า

    “ปะ..ปะ…เปล่าหรอกค่ะ ฉันก็แค่อยากจะทำความรู้จักกับพวกคุณก็เท่านั้นเอง ดีกว่ามองกันเป็นแค่นักโทษกับผู้คุมไปตลอดการเดินทางก็เท่านั้นเอง ^ ^" ”

    “งั้นหรอ เธอนี่ช่างมีมนุษย์สัมพันธ์เข้าหาคนอื่นเก่งเสียจริงๆเลยนะ”

    พูดจบหมาป่าเผ่าเฟอร์เรี่ยนหนุ่มก็หัวเราะในลำคออย่างมีอารมณ์ขันในความซื่อของไอริส 

    “แล้วคุณเร็กซ์กับคุณลาเนียเป็นอะไรกันรึเปล่าคะ เพราะไม่กี่วันหลังจากที่พวกคุณจับพวกเรามา คุณดูจะเป็นห่วงเป็นใยคุณลาเนียตลอดไม่เคยอยู่ห่างจากเขาเลย”

    เร็กซ์นั่งเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจว่าเขานั้นควรจะตอบไอริสดีหรือไม่ แต่สุดท้ายด้วยสายตาที่ดูอ้อนวอนของไอริสมันก็ทำให้เขายอมใจอ่อนเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับลาเนียให้ไอริสฟัง 

     

    ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเร็กซ์เป็นหมาป่าหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และหมู่บ้านของเขาก็เป็นหมู่บ้านเผ่าเฟอร์เรี่ยนหมาป่าที่อาศัยอยู่ในป่าบนภูเขาเขตหนาว อีกทั้งเผ่าของเขาหมู่ก็มีแต่หมาป่าเฟอร์เรี่ยนที่มีความเชี่ยวชาญในการออกล่าสิ่งมีชีวิตอื่นกินเป็นอาหาร เร็กซ์เป็นหมาป่าเฟอร์เรี่ยนที่กำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็กเนื่องจากตอนที่เขาเกิดมาอาหารขาดแคลนในช่วงหน้าหนาว ส่วนพ่อของเขาเป็นหัวหน้าเผ่าที่มีภรรยาหลายคน แต่สำหรับเร็กซ์นั้นเขาเลือกที่จะออกล่าคนเดียวเพราะเขามองว่าการล่าเป็นฝูงกับพี่น้องของตนก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงสำหรับเขาและเขาก็มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับพ่อของเขาสักเท่าไหร่ ถึงแม้การล่าเป็นฝูงจะมีโอกาสล่าเหยื่อได้สำเร็จมากกว่าออกไปล่าคนเดียวก็ตาม 

    เร็กซ์ใช้ชีวิตเป็นหมาป่าเดียวดายออกล่าในเผ่ามาโดยตลอด และเขามองว่าคนอื่นๆนั้นไม่สำคัญแม้แม่ญาติพี่น้องในครอบครัว เพราะเขาเลือหที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำเท่านั้น ถึงม้ว่าจะมีหมาป่าสาวพยายามจะเข้ามาตีสนิทกับเขาก็ตาม เขาก็มักจะทำเป็นเมินมองข้ามโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไงหากเขาตอบปฏิเสธเยื่อใยจากอีกฝ่าย

    โดยในยามออกล่าเขามักจะใช้วิธีการสะกดรอยตามเหยื่อที่เขาต้องการที่จะล่าอย่างเงียบเฉียบและคอยหาจังหวะในการซุ่มโจมตีไปที่จุดตายด้วยดาบขนาดใหญ่ของเขา โดยเขาจะยึดหลักในการฆ่าให้ตายภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะเขาไม่ต้องการให้เหยื่อต้องตายอย่างทรมาน ก่อนที่เขาจะบรรจงหั่นชำแหละร่างกายของเหยื่อกินสดๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถกินอาหารสุกได้เหมือนมนุษย์ทั่วๆไปเวลาที่ต้องเข้าสังคมในเมือง 

    แต่มีอยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เร็กซ์กำลังออกล่าตามปกติในวันที่หิมะตกประปรายในป่าแดนเหนืออยู่นั้นเอง จู่ๆ เขาก็ได้กลิ่นควันเหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ก่อนที่เขาจะเห็นระเบิดลูกใหญ่ปรากฏขึ้นอยู่ที่ป่าอีกฟากหนึ่งใต้ภูเขาลงไปซึ่งเป็นเขตที่อบอุ่นกว่า ตอนนั้นเร็กซ์นึกขึ้นมาในหัวว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงบางอย่างขึ้นเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังต้นตอของแรงระเบิดนั่น 

    จนเมื่อเขาผ่านอาณาเขตป่าแดนเหนือที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมบนภูเขาเข้ามายังป่าเขตอุ่นที่ค่อยๆเขียวขจี เขาก็พบเข้ากับหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตอนนี้กำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีม่วงดำอย่างบ้าคลั่ง

    และท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกไหม้หมู่บ้านอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครบางคนดั่งออกมาจากกองเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านเรือน ด้วยสัญชาตญานบางอย่างทำให้เร็กซ์ตัดสินใจวิ่งฝ่ากองเพลิงเข้าไปเพื่อตามหาเสียงร้องไห้ปริศนาในหมู่บ้านที่กำลังลุกไหม้ จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับลาเนียที่กำลังพยายามช่วยแม่เธอที่ติดอยู่ในซากภายในบ้านของเธอ

    เร็กซ์ที่เห็นว่าลาเนียกำลังตกอยู่ในอันตรายเขาจึงตัดสินใจกระโดดฝ่าสิ่งกีดขวางเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะไปช่วยลาเนีย แต่ก่อนที่เขาจะพาลาเนียหนีออกไปแม่ของเธอก็ได้ฝากฝังเร็กซ์ให้ช่วยดูแลลาเนียต่อจากเธอ ซึ่งคำขอของแม่ลาเนียมันก็ได้ฝังเข้าไปในหัวของเร็กซ์ราวกับว่าเขานั้นถูกตั้งคำสั่งให้ทำตามคำขอสุดท้ายนี้โดยไม่มีเงื่อนไข จนเมื่อแม่ของลาเนียได้กล่าวคำสั่งเสียสุดท้ายเสร็จ เร็กซ์ก็รีบพาลาเนียหนีออกไปจากบ้านก่อนที่หลังคาบ้านจะถล่มลงมาทับร่างแม่ของลาเนียทั้งเป็น

    เขายังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ดีว่าลาเนียนั้นร้องไห้ปานจะขาดใจที่เห็นผู้เป็นแม่ตายไปต่อหน้าต่อตา นั่นจึงทำให้เร็กซ์เกิดความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นขึ้นมาเป็นครั้งแรก จนนับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ตั้งปฏิญานกับตัวเองว่าเขานั้นจะดูแลและปกป้องลาเนียด้วยชีวิตของเขา 

    ส่วนสาเหตุที่เขาต้องมาเป็นนักล่ามังกรและต้องเดินทางออกจากเผ่ามาร่วมเดินทางไปกับลาเนียนั้นเป็นเพราะลาเนียนั้นต้องการจะล้างแค้นคนที่โจมตีหมู่บ้านของเธอจนทำให้แม่ของเธอต้องตาย โดยลาเนียได้เล่าให้ฟังหลังจากผ่านเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาไม่นานว่า ก่อนที่หมู่บ้านจะถูกทำลายเธอที่กำลังฝึกยิงธนูอยู่นอกหมู่บ้านก็สังเกตุเห็นเงาขนาดใหญ่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่จะเกิดสายฟ้าสีแดงผ่าสนั่นลงมาใส่ทุกคนในหมู่บ้านจนร่างของพวกเขาแหลกสลายไม่เหลือซาก และตามมาด้วยลูกบอลไฟสีม่วงดำตกลงมาใส่บ้านเรือนอย่างบ้าคลั่ง 

    ด้วยความตกใจและเป็นห่วงแม่ของเธอที่บ้าน ลาเนียจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปหาแม่ของเธอและภาวนาในใจขอให้แม่ของเธอปลอดภัย แต่ระหว่างนั้นเองร่างสีดำทมึนขนาดใหญ่ก็โผล่ลงมาจากท้องฟ้าลงมาตัดหน้าเธอ โดยลักษณะของมังกรตัวนั้นที่ลาเนียจำคราวได้มันเป็นร่างของมังกรตัวสีดำขนาดใหญ่ สูง 40 เมตร มีเขาโง้งยาว 3 คู่บนศีษระ ดวงตาสีแดงฉาน สวมปลอกคอ และมีจิตวิญญาณแห่งความมืดรูปเปลวเพลิงสีแดงฉาน ซึ่งมันคือลักษณะของมังกรบรรพกาลแห่งความมืดไม่มีผิด 

    มังกรแห่งความมืดตนนั้นได้พ่นเปลวเพลิงแห่งความมืดไล่ทำลายหมู่บ้านของลาเนียจนย่อยยับ ซึ่งในระหว่างนั้นลาเนียก็พยายามจะวิ่งตามหาแม่ของเธอ จนกระทั่งเธอได้มาพบเจอกับแม่ของเธอที่ติดอยู่ในเศษซากภายในบ้านของตัวเอง และในเวลาเดียวกันนี้เองก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มังกรบรรพกาลแห่งความมืดตัวนั้นใช้ลมหายใจมังกรทำลายล้างกลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายที่พยายามต่อสู้จนเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนเร็กซ์ที่อยู่บนภูเขาสังเกตุเห็น ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดของทั้งสองจะมาบรรจบกัน แต่หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เลือกที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

    “เรื่องทั้งหมดที่ก็มีเท่านี้แหละ”

    "อย่างงี้นี่เอง คุณเร็กซ์กับคุณลาเนียเป็นเพื่อนสนิทที่ไปไหนไปกันสินะคะ"

    "อืม"

    "เอ...แต่จะว่าไปเหมือนว่าตอนคุณเล่าอดีตภูมิหลังของคุณลาเนียให้ฟัง เหมือนว่าจะมีพูดถึงมัังกรตัวหนึ่งสินะคะ" 

    "ใช่...ว่าแต่เธอถามทำไมงั้นหรอ ? "

    "ฉันรู้สึกว่า...มังกรที่บุกโจมตีหมู่บ้านน่าจะเป็น...มังกรแห่งความมืดบรรพกาลนะคะ

    ไอริสที่เคยฟังเรื่องราวจากเรดควีนเผลอพูดชื่อมังกรที่บุกโจมตีหมู่บ้านของลาเนียขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จนเร็กซ์นึกเอะใจขึ้นมา

    “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ ? ”

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…แค่ฉันรู้สึก…ลักษณะมังกรตัวที่บุกโจมตีหมู่บ้านที่คุณเร็กซ์ฟังมาจากคุณลาเนียมันคล้ายๆกับลักษณะของมังกรแห่งความมืดที่เคยต่อสู้กับมังกรสี่ธาตุในตำนานหน่ะค่ะ”

    “นี่เธอรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมังกรตัวนั้นด้วยรึหรอ 0 0 ? ”

    เร็กซ์ที่เหมือนจะได้เบาะแสเพิ่มเติมจากปากไอริส เขาก็กระตือรือร้นรีบถามขอข้อมูลเพิ่มเติมจากไอริสทันที และดูเหมือนไอริสจะหาวิธีสร้างเครื่องต่อรองไม่ให้กลุ่มของลาเนียจัดการเรดควีนได้แล้ว เธอจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดแล้วตอบเร็กซ์กลับไปว่า

    “ฉันเองก็ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมังกรแห่งความมืดสักเท่าไหร่นะคะ แต่ถ้าเป็นคุณเรดควีนที่เป็นมังกรคนสนิทของมังกรเพลิงโซเบลล่ะก็ เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้นะคะ”

    “อย่างงั้นหรอ แสดงว่านางมังกรชุดแดงคนนั้นรู้ว่าคนร้ายที่โจมตีหมู่บ้านของลาเนียคือใครงั้นสินะ”

    “ถ้าคุณเร็กซ์อยากรู้ก็ลองไปถามคุณเรดควีนดูสิคะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณเรดควีนจะยอมบอกรึเปล่า”

    “*หืมม….*”

    เร็กซ์นั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ก่อนที่ไอริสจะใช้โอกาสนี้เป็นคนกลางในการต่อรอง

    “เอาอย่างงี้มั้ยคะ ถ้าหากพวกคุณยอมปล่อยคุณเรดควีนและเราสองคนไป ฉันอาจจะเกลี้ยกล่อมให้คุณเรดควีนยอมบอกข้อมูลที่คุณต้องการอยากรู้ก็ได้นะคะ”

    “นี่เธอคิดจะสร้างเงื่อนไขมาต่อรองกับพวกเรางั้นหรอ ? ”

    “ถ้าคุณเร็กซ์ต้องการจะช่วยคุณลาเนียล้างแค้น ยังไงคุณก็ต้องยอมตกลงข้อเสนอนี้อยู่แล้ว…จริงมั้ยคะ… ^ ^ ”

    เร็กซ์ที่ได้ยินไอริสยื่นคำขาดมาแบบนั้นเขาก็นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกให้ไอริสกลับไปรวมกับคนอื่นเพื่อพักผ่อน แต่ไอริสรู้ดีว่ายังไงเร็กซ์ก็ต้องยอมตกลงเงื่อนไขนี้ของเธออย่างแน่นอน และเธอก็จะสามารถช่วยเรดควีนกับเอลเดนได้

    ตัดภาพมายังลาเนียที่นอนเงียบๆอยู่ในเต้นท์คนเดียว 

    ลาเนียที่นอนห่มผ้าอยู่คนเดียวภายในเต้นท์เธอก็ได้นึกถึงคำพูดของไอริสที่ว่า ‘พวกคุณเป็นคนบอกฉันเอง ว่าพวกคุณจะล่าแต่มังกรที่นิสัยไม่ดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คน…แต่คุณโซเบลไม่ใช่มังกรที่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แถมยังเป็นที่พึ่งให้กับเหล่าผู้อ่อนแอที่หมดหนทางในยุคนี้…แล้วพวกคุณจะทำลายความหวังของผู้คนเหล่านั้นที่ไร้ทางสู้เพื่อตัวของพวกคุณเองอย่างงั้นหรอคะ…’ คำถามนั่นยังคงดังวนอยู่ในหัวของเธอและเธอเองก็ไม่อาจจะสลัดคำถามนี้ออกไปจากหัวได้ ก่อนจะตามมาด้วยภาพความทรงจำตอนที่แม่ของเธอต้องตายกับหมู่บ้านที่ถูกมังกรแห่งความมืดทำลายจนไม่เหลือซาก มันก็ยิ่งตอกย้ำปมของเธอหนักขึ้นไปอีก 

    .

    .

    .

    .

    เวลาช่วงหัวค่ำ…

    เวลาผ่านพ้นไปจนตกดึก กลุ่มของลาเนียต่างพากันนอนพักผ่อนภายใต้ม่านป้องกันที่อัลเบโดสร้างขึ้นเพื่อป้องกันมอนเตอร์บุกโจมตีซึ่งทุกคนต่างก็พากันหลับลึก แต่ทว่าคืนนี้ลาเนียที่นอนอยู่ในเต้นท์ส่วนตัวของเธอกลับรู้สึกนอนไม่ค่อยหลับเพราะเธอรู้สึกกังวลเพราะยิ่งกลุ่มของพวกเธอถึงจุดหมายมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับว่ากลุ่มของพวกเธอก็ยิ่งต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับความตายมากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจจนไม่รู้จะหาทางออกของเรื่องนี้ยังไง 

    ลาเนียที่สลัดความกังวลนี้ออกไปไม่ได้ เธอจึงลุกขึ้นจากที่นอนในเต้นท์ก่อนจะโผล่หัวออกมามองสำรวจไปรอบๆแคมป์ก่อนจะพบว่าทุกคนรวมถึงกลุ่มของเรดควีนก็หลับกันไปหมดแล้ว ลาเนียจึงใช้โอกาสนี้เดินออกไปจากอาณาเขตเวทย์ป้องกันแคมป์ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบึงน้ำที่อยู่ใกล้ๆ 

    ลาเนียได้ถอดเสื้อของเธอออกพร้อมกับอุปกรณ์สัมภาระพกพาจนเห็นร่างขนสีขาวปุกปุย หางเล็กตั้งดก และลวดลายบนร่างกายเผ่าพันธุ์เฟอร์เรี่ยนของเธออย่างชัดเจน ก่อนที่ลาเนียจะเดินลงไปนั่งแช่น้ำในบึงน้ำที่เย็นจัดในยามค่ำคืนเพื่อทำให้จิตใจของเธอสงบตามวิถึของกลุ่มนักล่ามังกร โดยสาเหตุที่ลาเนียทำแบบนี้ก็เพื่อทำให้ความเย็นของบึงน้ำขจัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากหัวของเธอ ซึ่งมันก็ช่วยทำให้เธอผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่ง

    ‘นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันนะ…สิ่งที่ฉันกำลังทำมันถูกต้องรึเปล่า…’ ลาเนียนั่งบ่นพึมพำกับสถานการณ์ที่กลุ่มของเธอกำลังเผชิญอยู่ ก่อนที่เธอจะปล่อยตัวปล่อยใจไปตามธรรมชาติ

    แต่ในระหว่างที่ลาเนียกำลังนั่งแช่น้ำเพื่อผ่อนคลายจิตใจอยู่นั้นเอง ที่ใต้ก้นบึงน้ำแห่งนี้กลับมีบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายหนวดหลายเส้นกำลังแหวกว่ายขึ้นมาจากก้นบึงที่มืดมิด และมันก็มาพร้อมกับเจ้าของแววตาสีแดงที่ดูชั่วร้ายโดยมันนั้นได้เพ่งเล็งเป้าหมายมายังลาเนียที่ไม่ทันระวังตัว

    ตู้มมมซ่าาาส์~~!!!!

    “*อ๊าาา!!!*”

    ลาเนียถูกหนวดจำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากน้ำก่อนจะตวัดเข้าจับรัดตามร่างกายของลาเนีย จนเธอนั้นไม่สามารถขยับเขยือนหรือทำอะไรได้ ก่อนที่ใบหน้าขนาดใหญ่ที่เป็นเจ้าของหนวดปริศนาพวกนี้จะค่อยๆโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเผยให้เห็นปีศาจคางคกที่มีขนาดใหญ่ สูงถึง 3 เมตร สวมเกราะทหารปีศาจกองทัพจักรพรรดิ์ปีศาจของเซาเซอร์เด่นสง่า และมีหนวดระโยงระยางอยู่ที่ด้านหลัง 

    “*ฮี่ฮี่ฮ่ี่* จับตัวได้แล้วว~ เจ้าแกะเฟอร์เรี่ยนตัวน้อยย~~ ” ปีศาจคางคกพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแฝงไปด้วยความหื่นกระหาย 

    “ปล่อยฉันนะ!! ไอ้ปีศาจคางคกน่ารังเกียจ!!”

    “อย่าพูดแบบนั้นสิ ข้าน่ะยังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลยสักหน่อยยย~~ *แฮะๆๆ* ”

    เจ้าปีศาจคางคกหัวเราะอย่างหื่นกามก่อนที่สายตาของมันจะจ้องมองไปยังเรือนร่างอันบอบบางของลาเนีย และมันก็เริ่มใช้หนวดของมันเล้าโลมถูไถไปตามร่างกายของลาเนียจนเธอรู้สึกขยะแขยงขนลุก จนตอนนี้สถานการณ์เริ่มย่ำแย่เต็มที

    เร็กซ์ที่นอนอยู่ในเต้นท์ข้างๆเต้นท์ของลาเนียรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นตามสัญชาตญานก่อนที่เขาจะรีบวิ่งมาส่องดูเต้นท์ของลาเนีย จนเขาพบว่าลาเนียนั้นไม่อยู่ที่เต้นท์ เร็กซ์พยายามมองหาลาเนียเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเธอ จนกระทั่งหูของเขาได้ยินเสียงตะโกนเรียกของลาเนียดังมาจากทางบึงน้ำไกลๆ ทำให้เร็กซ์รีบหยิบดาบเล็บมังกรอาวุธคู่ใจของเขาขึ้นมาก่อนจะวิ่งมุ่งหน้าไปยังต้นตอของเสียงนั้นทันที 'ลาเนีย รอก่อนนะฉันกำลังไปช่วย…!!'

    และในระหว่างที่เร็กซ์กำลังวิ่งเข้าไปในป่ามุ่งหน้าไปยังบึงน้ำเพื่อไปช่วยลาเนียอยู่นั้นเอง ดูเหมือนว่าเรดควีนที่งีบหลับจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาเหมือนเธอรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ไม่ชอบมาพากล 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×