คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่ 25: สายลมที่เป็นไปได้
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
มังกรลมในตำนานอาร์เบดอร์สและมังกรลมความมืดในตำนานเฟอร์ดิอุส ได้เข้าต่อสู้กันพร้อมกับใช้หอกอาวุธคู่กายของตนกระหน่ำแทงอีกฝ่ายเพื่อหวังจะปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามให้จงได้ แต่ก็ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือเสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้
เปรี้ยงงงงงง!!!! ปร้างงงง!!
ทั้งคู่เร่งสปีดความเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน กลุ่มของโซเบลและคนอื่นๆที่มองดูการต่อสู้อยู่ห่างๆเห็นเป็นเพียงกระจุกแสงสีเขียวและสีม่วงดำพุ่งเข้ากระทบหากัน จนเกิดเป็นแสงวาบของสายฟ้ากับคลื่นลมกรรโชกระเบิดออกมารอบข้างอย่างรุนแรงเพียงเท่านั้นและดูเหมือนมันมีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเกิดเมฆสีดำปกคลุมก่อตัวเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่สีดำ
“ระ…เร็วอะไรขนาดนั้น 0 0 ”
กลุ่มของไกอัสยืนมองภาพการต่อสู้ด้วยความตื่นตาตื่นใจเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ชิงไหวชิงพริบด้วยความเร็วแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งโซเบลและสเตลร่าพร้อมมังกรนักรบติดตามตัวอื่นๆก็ได้บินลงมาหากลุ่มของไกอัส
“พวกนายทุกคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
โซเบลถามกลุ่มไกอัสด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่เห็นสถานการณ์รอบด้านย่ำแย่ไปหมดจากหมอกพิษที่กัดกร่อนทุกอย่างรอบนอกเขตม่านพลังวิหารมังกรเพลิงจนเละ
“พวกข้าน้อยปลอดภัยดีขอรับ รวมถึงพวกชาวบ้านและมังกรตัวอื่นด้วยขอรับ”
ไกอัสกล่าวพร้อมกับหันหลังไปมองชาวบ้านและมังกรที่หลบอยู่ในวิหารมังกรเพลิง ทำให้โซเบลโล่งอกที่คนส่วนใหญ่ยังปลอดภัยดี
“โล่งอกไปที หมอกพิษปกคลุมไปทั่วแบบนี้ฉันนึกว่าพวกชาวบ้านและมังกรตัวอื่นๆจะไม่รอดกันสะแล้ว”
“พวกข้าน้อยไม่เป็นอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ พอดีพวกข้าน้อยและคนอื่นๆพากันหนีเข้ามาหลบในเขตวิหารมังกรเพลิงได้ทันแถมยังได้ม่านพลังปกป้องจากวิหารทำให้พวกข้าน้อยไม่ถูกหมอกพิษเล่นงาน”
ฮามัสกล่าว
“แต่พวกข้าน้อยไม่รู้ว่าจะจัดการกับหมอกพิษที่ปกคลุมที่นี่อย่างไรดี ตอนนี้คงทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ในม่านพลังป้องกันนี้เท่านั้น”
“ท่านโซเบลกับท่านสเตลร่าพอจะมีวิธีแก้ไขสถานการณ์นี้ีรึเปล่าขอรับ”
แรนแซคถาม ก่อนที่โซเบลจะคิดหาวิธีนำหมอกพิษนี้ออกไปแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกเพราะไม่ได้เคยรับมือสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ส่วนสเตลร่านั้นก็จนปัญญาที่จะช่วยเหมือนกัน
จนกระทั่งมีเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้า ซึ่งน้ำเสียงนั้นดูอ่อนหวานและร่าเริงทำเอาทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของเสียงนั้น ก่อนที่พวกเขาจะพบเข้ากับมังกรเด็กตนหนึ่งกำลังนอนเล่นอยู่ในฟองสบู่อย่างสบายใจเชิบและชะโงกหน้าลงมามองอยู่บนศีษระกลุ่มของโซเบล
“ข้าสามารถช่วยพวกท่านนำหมอกพิษนี้ออกไปได้นะเจ้าคะ ^w^ ”
มังกรขนตัวน้อย เพศเมีย หน้าตาบ้องแบ้ว สูงประมาณ 5 เมตร มีดวงตากลมโตสีชมพูอ่อน มีขนสีชมพูอมฟ้าปุกปุยทั่วร่างกาย มีเขามังกรขนาดเล็กสีน้ำตาลอยู่บนศีษระ มีปีกนกสีเขียวสว่างมีออร่า ที่หน้าอกสวมเหมือนปลอกคอสีทองพร้อมลายแกะสลักมังกรลมอาร์เบดอร์ส นั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้คนอื่นได้รู้ว่าเธอคือมังกรข้ารับใช้คนสนิทของอาร์เบดอร์ส อีกทั้งยังมาพร้อมกับลูกแก้วเวทย์มนต์สายฟ้าพายุหมุนที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ดั่งใจนึก
“นี่เธอเป็นใครน่ะ ? ”
สเตลร่าถามก่อนที่มังกรตัวน้อยปริศนาค่อยๆควบคุมฟองสบู่ของตัวเองให้ลอยต่ำลงมาหากลุ่มของโซเบล จากนั้นเธอก็กระโดดออกมาจากฟองสบู่นั้นพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวว่า
“ข้ามีชื่อว่า 'ยูเรเซีย เฟอร์เรี่ยน ดรากูน' เป็นมังกรลูกผสมระหว่างมังกรกับเผ่าเฟอร์เรี่ยน และเป็นมังกรข้ารับใช้ติดตามของท่านอาร์เบดอร์สเจ้าค่ะ \^w^/ ”
“เป็นลูกผสมอย่างงั้นหรอ ถ้ายังเป็นข้ารับใช้ของอาร์เบดอร์สด้วย ? ”
“ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ข้าติดตามรับใช้ท่านอาร์เบดอร์สมานานหลายร้อยปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้ท่านอาร์เบดอร์สจะกำลังเจอศัตรูคู่ปรับเก่าที่ไม่เคยเอาชนะได้จริงๆจังๆเสียทีนะเจ้าคะ”
“อย่างงั้นเองหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าอาร์เบดอร์สจะมีคู่หูติดตามอยู่ด้วย”
สเตลร่ายืนกอดอกและทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างในหัว
“เธออยู่ที่โลกนี้มาตั้งนาน เธอไม่รู้หรอว่าอาร์เบดอร์สมีคู่หูน่ะ ? ”
โซเบลถาม
“อันที่จริงก่อนหน้านั้นอาร์เบดอร์สไม่เคยมีคู่หูมาก่อน ถ้านับตั้งแต่ตอนที่ฉันยังไม่เดินทางไปที่ต่างโลก แต่ถ้าให้เดาระหว่างที่ฉันไม่อยู่ที่โลกนี้ อาร์เบดอร์สน่าจะไปพบเจอกับเด็กคนนี้เข้าโดยบังเอิญไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
ยูเรเซียพยักหน้ารับรัวๆบ่งบอกว่าข้อสันนิษฐานของสเตลร่าถูกต้อง แต่ในเวลาแบบนี้คงยังอธิบายความเป็นมาอะไรไม่ได้มากนักเพราะเธอต้องจัดการกับหมอกพิษพวกนี้เสียก่อน
“จริงสิ เธอบอกว่าเธอสามารถจัดการหมอกพิษพวกนี้ได้ใช่มั้ย”
โซเบลถาม ก่อนที่ยูเรเซียจะเงยหน้ามองโซเบลที่มีความสูงกว่าเธอหลายสิบเมตรด้วยความสงสัย
“*โอ้ววว~ ว้าววว~* ไม่นึกเลยว่ามังกรเพลิงในตำนานที่เป็นสหายกับท่านอาร์เบดอร์สจะตัวสูงเสียดฟ้าแบบนี้ พอได้มาเห็นใกล้ๆชัดๆดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามไม่แพ้ท่านอาร์เบดอร์สเลยนะเจ้าคะ~!! \+0+/ ”
“(จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น = =?) สรุปเธอช่วยพวกเราได้ใช่มั้ย ? ”
โซเบลถามย้ำอีกรอบ
“เจ้าค่ะ หมอกพิษแค่นี้ข้าจัดการได้สบายอยู่แล้ว เพราะข้ามีลูกแก้วสายฟ้าพายุของขวัญอาวุธที่ท่านอาร์เบดอร์สแบ่งเศษเสี้ยวพลังแล้วมอบมาให้ข้าลูกนี้ไง”
ยูเรเซียทำหน้าอมยิ้มก่อนจะวิ่งออกไปนอกเขตม่านป้องกันพร้อมกับนำลูกแก้วลอยติดตามตัวไปด้วย
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มร่ายมนต์ให้ลูกแก้วสายฟ้าพายุของขวัญที่อาร์เบดอร์สมอบให้เธอใช้เป็นอาวุธสารพัดประโยชน์ทำการเสกฟองสบู่ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
จากนั้นฟองสบู่ดังกล่าวก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลอยขึ้นไปอยู่เหนือลมก่อนจะทำการดูดเอาหมอกพิษสีม่วงที่ลอยปกคลุมรอบนอกวิหารมังกรเพลิงเข้าไปเก็บเอาไว้ในฟองสบู่อย่างรวดเร็ว จนในที่สุดหมอกพิษทั้งหมดก็ถูกกำจัดออกไปพร้อมกับมีกระสมลมฟื้นฟูชำระล้างสิ่งปนเปือนทั่วบริเวณออกไปจนหมดให้กลับมาเป็นดังเดิม ก่อนที่ยูเรเซียจะนำฟองสบู่พิษทั้งหมดมาเก็บเอาไว้ในลูกแก้วสายฟ้าพายุเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป
“(เก่งสุดๆไปเลยแหะ เจ้าปุกปุยตัวนี้ 0 0 )”
โซเบลนึกในใจ ก่อนที่ยูเรเซียจะทำำหน้าอมยิ้มวิ่งเยาะกลับมาอย่างสบายใจเชิบ
“จัดการหมอกพิษเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”
“สุดยอดไปเลย นี่น่ะหรอพลังของมังกรลมในตำนานอาร์เบดอร์ส”
“สามารถดูดเอาหมอกพิษและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ถูกพิษกัดกร่อนให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก 0 0 ”
“ฮะฮ่า แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ พลังเวทย์ของท่านอาร์เบดอร์สสามารถฟื้นฟูสิ่งของหรือสภาพแวดล้อมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์หรือไม่ก็ชำระล้างสิ่งไม่ดีให้หายไปได้นะเจ้าคะ”
ยูเรเซียกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“อย่างงั้นเองหรอ เป็นพลังความสามารถที่สุดยอดไปเลยนะ”
โซเบลกล่าว
“ค่ะ แต่ว่าพลังนี้จะใช้ได้ในระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้นและต้องใช้พลังงานจากลูกแก้วสูงมากๆ เพราะงั้นท่านอาร์เบดอร์สจึงสั่งกำชับเสมอว่าควรใช้พลังจากลูกแก้วนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด เพราะหากพลังงานของลูกแก้วหมดจะต้องรอฟื้นฟูเป็นเวลานานกว่าจะกลับมาใช้งานมันได้อีกครั้ง”
“แสดงว่าอาร์เบดอร์สเขาคงห่วงใยและเอ็นดูเธอมากๆเลยสินะเนี่ย ถึงได้ยอมแบ่งเศษเสี้ยวพลังของเขาให้เธอใช้เป็นอาวุธสารพัดประโยชน์น่ะ”
สเตลร่ากล่าวพร้อมกับยืนกอดอก ก่อนที่ยูเรเซียจะพยักหน้า
และในเวลาเดียวกันนี้เองกองทัพระลอกใหม่ของเฟอร์ดิอุสก็ยกโขยงกันมาอีกรอบซึ่งพวกมันมีจำนวนที่มากกว่าเดิมหลายสิบเท่า
“มาเยอะขนาดนี้ พวกเราต้านพวกมันไม่ไหวแน่ๆขอรับ 0 0 ”
ไกอัสกล่าวด้วยความตกใจ พร้อมกับมองภาพกองทัพอมนุษย์และไวเวิร์นปีศาจจำนวนมหาศาลที่อยู่เบื้องหน้าจนพ้นสุดขอบสายตา
“พวกนายอยู่คุ้มกันชาวบ้านและคนเจ็บอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวพวกที่อยู่ข้างนอกฉันจะจัดการเอง”
“ทราบแล้วขอรับ ท่านโซเบลระวังตัวด้วยนะขอรับ”
ไกอัสออกปากรับคำแทนทุกคนก่อนที่โซเบลจะเดินออกไปจากม่านพลังป้องกัน โดยมียูเรเซียบินไปเกาะอยู่บนหัวของโซเบลด้วย
“ท่านโซเบลจะออกไปจัดการพวกนั้นหรอเจ้าคะ ? ”
“เธอมาทำไมเนี่ย อยู่ตรงนี้มันอันตรายนะ”
โซเบลเหลือกตามองยูเรเซียที่กำลังเกาะอยู่บนหัวของเขาด้วยท่าทางกะดุ๊กกะดิ๊กน่ารักน่าชัง
“ก็แหม๋ ท่านอาร์เบดอร์สสั่งมาว่าหากเจอพวกอมนุษย์หรือพวกสิ่งมีชีวิตจากโลกมืดสุดขอบโลกให้จัดการทันทีถ้าเป็นไปได้นี่นา แถมตอนนี้ท่านโซเบลก็เป็นหนึ่งในมังกรที่เคยร่วมต่อสู้ในศึกวันพิพากษากับท่านอาร์เบดอร์สเพื่อปกป้องโลกใบนี้ด้วยนี่เจ้าคะ”
โซเบลได้ฟังดังนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะเหตุการณ์ในตอนนั้นมันเป็นอดีตที่น่าจะผ่านมานานมากแล้ว ก่อนที่เขาจะดึงเอาพลังเวทย์เปลวเพลิงทำลายล้างจากจิตวิญญาณแห่งธาตุขึ้นมาพร้อมกับกางปีกออกจนสุดเพื่อปกป้องกลุ่มของไกอัสที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ให้โดนลูกหลงจากคลื่นกระแทกจากท่าโจมตีที่เขากำลังจะใช้ต่อจากนี้
“(อืมม….ต้องกะพลังโจมตีให้พอเหมาะกับจำนวนของกองทัพศัตรูสินะ…ถ้าเราอัดพลังออกไปรวดเดียวมันจะไม่ได้แค่ทำลายแค่กองทัพศัตรู แต่มันอาจจะทำลายสภาพแวดล้อมส่วนอื่นๆไปด้วย) นี่ยูเรเซีย…”
“เจ้าคะ ? ”
“ถ้าสามารถกำหนดขอบเขตพลังทำลายให้ฉันได้รึเปล่า”
“ท่านโซเบลหมายถึง ให้ข้าสร้างกำแพงลมช่วยกำบังพื้นที่แนวหลังไม่ให้เปลวเพลิงของท่านแพร่กระจายไปสร้างความเสียหายพื้นที่รอบนอกอย่างงั้นหรอเจ้าคะ?”
โซเบลพยักหน้าเบาๆยืนยันสิ่งที่ยูเรเซียคิด
“ถ้าให้ข้าสร้างกำแพงมหาพายุเพื่อลดทอนความเสียหายจากเปลวเพลิงมันก็พอได้อยู่นะเจ้าคะ แต่มันต้องใช้พลังเวทย์ที่สูงเอาเรื่องเลยและข้าก็ไม่สามารถคงพลังเวทย์เอาไว้ได้นานสักเท่าไหร่ ท่านโซเบลแน่ใจแล้วใช่มั้ยคะ ? ”
“แน่นอน จัดไปอย่ารอช้า”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบทำตามที่ท่านโซเบลบอกก็แล้วกันนะเจ้าคะ!! \^w^/ ”
หลังจากที่โซเบลกับยูเรเซียได้แนะนำวางแผนการโจมตีกันเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ไม่รอช้าเริ่มทำตามแผนที่นัดแนะตามที่ตกลงกันไว้ทันที
ยูเรเซียได้รวมสมาธิและกำหนดจิตท่องมนตราอักขระอัญเชิญจิตวิญญาณมังกรราชันแห่งลมอาร์เบดอร์สออกมาจากลูกแก้วสายฟ้าพายุของเธอ เพื่อให้วิญญาณมังกรราชันแห่งลมสร้างกำแพงพายุหมุนขึ้นมาเพื่อปิดกั้นทางผ่านของไฟที่โซเบลจะโจมตีใส่กองทัพอมนุษย์ของเฟอร์ดิอุส โดยกำแพงพายุนี้นั้นก่อตัวขึ้นที่แนวหลังกองทัพอมนุษย์และลอยตัวสูงขึ้นไปเกือบ 100 เมตร
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว โซเบลจึงไม่รอช้าพ่นลมหายใจมังกรพลังทำลาย 20% ของพลังทั้งหมดโจมตีใส่กองทัพอมนุษย์และฝูงไวเวิร์นปีศาจทันที
ตู้มมมมม!!!!!!!!
คลื่นพลังเปลวเพลิงที่โซเบลปล่อยออกมาจากปากได้เผาระเบิดทำลายล้างกองทัพอมนุษย์และไวเวิร์นปีศาจเสียหายเป็นวงกว้างราวกับเอาระเบิดนิวเคลียร์ขนาดย่อมๆหย่อนใส่กองทัพอมนุษย์เป็นระลอกก็ไม่ปาน กองทัพอมนุษย์และฝูงไวเวิร์นปีศาจพยายามที่จะวิ่งหนีเปลวเพลิงแห่งการทำลายล้างจากมังกรเพลิงในตำนานกันอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าธุลี ซึ่งความเสียหายจากเปลวเพลิงของโซเบลก็ไม่แพร่กระจายไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆเนื่องจากมีกำแพงพายุคอยพัดเปลวเพลิงให้สลายหายไปก่อน ทำให้ความเสียหายถูกจำกัดอยู่ในวงขอบเขตที่ยูเรเซียกำหนดเท่านั้น
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ได้ซ้อนทับกับภาพในความทรงจำของสเตลร่าที่ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่เบื้องหลัง เป็นภาพที่โซเบลใช้ลมหายใจมังกรเพลิงของเขาเผาผลาญ สังหารชีวิตผู้คนและผู้บริสุทธิ์จนสูญสิ้นอารยธรรม โซเบลในภาพความทรงจำในอดีตของเธอได้หันมามองเธอ เผยให้เห็นแววตาสีแดงก่ำ ที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ไร้ความสงสารและเห็นใจใดๆซึ่งมาพร้อมกับควันไฟ ฝุ่นเถ้าลอยคลุ้งในอากาศ นั่นคือสิ่งที่ทำให้สเตลร่าที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นนั้นรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกเวทนาในเวลาเดียวกัน
แต่ในวันนี้โซเบลได้หันมามองที่สเตลร่าด้วยดวงตาสีฟ้า พร้อมกับรอยยิ้มอย่างอบอุ่นที่สามารถสัมผัสได้ผ่านแววตาและรอยยิ้มพวกนั้น ทำให้สเตลร่าอดทำหน้าอมยิ้มไม่ได้
กองทัพอมนุษย์ของเฟอร์ดิอุสถูกทำลายจนราบคาบภายในไม่กี่วินาที ทำให้ชาวบ้านฝั่งมนุษย์ที่ได้เห็นภาพการแสดงพลังทำลายล้างของมังกรเทพในตำนานกับตาที่กำลังต่อสู้ศัตรูผู้รุกรานเพื่อปกป้องพวกเขา ด้วยความซาบซึ้งและเหมือนได้รับพระกรุณาจากสวรรค์ทำให้มีชาวบ้านโดยเฉพาะคนแก่ชราเริ่มทำท่ากุมมือ คำนับสวดภาวนาต่อเทพธิดาไมอาร์ที่พระองค์ได้ประทานความรอดให้แก่พวกเขาผ่านการปกป้องจากมังกรเพลิงในตำนานโซเบล สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นเสมือนตัวแทนของพระแม่ไมอาร์และธรรมชาติของโลกนี้
“โอ้…ขอบพระคุณพระแม่ไมอาร์จริงๆ…ที่มอบความอยู่รอดให้แก่พวกเรา…”
หญิงแก่คนหนึ่งกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่โรยราทั้งน้ำตา ทำให้สเตลร่าและมังกรตัวอื่นๆที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ก็เกิดรู้สึกปลาบปลื้มขึ้นมาในใจ ที่พวกเขานั้นได้รวมแรงร่วมใจกันปกป้องผู้คนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ให้อยู่รอดปลอดภัยตามความต้องการของมังกรเพลิงโซเบลที่เขานั้นต้องการจะไถ่บาปในสิ่งที่เขาเคยก่อในอดีตสำเร็จ
ตัดภาพมายัง อาร์เบดอร์ส กับ เฟอร์ดิอุส ในเวลานี้
มังกรในตำนานทั้งสองต่อสู้กันอยู่นอกชั้นบรรยากาศของโลกจนแทบจะหลุดออกไปนอกอวกาศ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย จนเฟอร์ดิอุสต้องพูดขึ้นมาว่า
“เหอะ…ดูท่าเจ้าจะไม่ยอมเผยช่องโหว่ให้เห็นเลยสินะ”
“ใครมันจะยอมเผยจุดอ่อนให้โดนโจมตีง่ายๆกันเล่า”
“นั่นสินะ แต่ถ้าหากสู้กันเช่นนี้ต่อไปมันจะยืดยื้อกันสะเปล่าๆ ข้าว่าเรามาจบเรื่องนี้กันจะดีกว่า”
แล้วเฟอร์ดิอุสกับอาร์เบดอร์สก็จ้องประสานตากันเป็นมันเหมือนทั้งสองรู้แล้วว่าถึงเวลาจะต้องปิดฉากการต่อสู้นี้
อาร์เบดอร์สและเฟอร์ดิอุสรวมพลังเวทย์กลางทั้งหมดที่มีใส่ลงไปในอาวุธของตนเองทำให้ หอกสายฟ้ามังกรลมอาร์เบดอร์ส และ หอกเกลียวคลื่นทมิฬเฟอร์ดิอุส ปลดปล่อยออร่าพลังเวทย์สีเขียวและสีม่วงดำข่มพลังใส่กันอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นพายุแสงสีเขียวปนม่วงนอกชั้นบรรยากาศโลก สุดท้ายทั้งสองก็ปากหอกอาวุธในตำนานของตนเองใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงราวกับดาวตก
ฟรู้มมมมมมฟรู้วววววว~~~~!!!!!!
อาร์เบดอร์สและเฟอร์ดิอุสต่างซัดพลังทั้งหมดที่มีควบคุมหอกให้พุ่งทะลวงไปที่ร่างของอีกฝ่ายให้ได้จนทำให้เกิดภัยพิบัติพายุทำลายล้างลูกใหญ่ถล่มรอบๆเขตการต่อสู้ของทั้งสอง ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้เองโซเบลและคนอื่นๆที่มองดูการต่อสู้อยู่บนพื้นโลกเห็นท่าไม่ดี โซเบลจึงตัดสินบินขึ้นไปหาอาร์เบดอร์สเพื่อที่จะหยุดการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
“นั่นท่านโซเบลจะทำอะไรหน่ะขอรับ 0 0 !? ”
“ฉันจะไปหาอาร์เบดอร์ส ขืนปล่อยไว้แบบนี้ที่นี่ถูกทำลายเป็นจุนแน่ๆ”
เมื่อสิ้นเสียงของโซเบลแล้ว เขาก็บินมุ่งหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที โดยที่มีเสียงห้ามปรามจากสเตลร่าตะโกนไล่ตามหลังไปว่า
“ด…เดี๋ยวก่อนสิเจ้าบ้า! นายไม่ใช่มังกรลมในตำนานที่จะสามารถบินขึ้นไปนอกชั้นบรรยากาศของโลกได้นะ 0 0 !! ”
สเตลร่าพยายามจะตะโกนบอกโซเบลว่าตัวเขานั้นไม่มีขีดความสามารถพอที่จะบินไต่ระดับขึ้นไปถึงนอกชั้นบรรยากาศของโลกได้ เพราะร่างกายและรูปแบบพลังความสามารถของเขานั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้สามารถบินทะยานขึ้นฟ้าเหมือนอาร์เบดอร์สได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการเพราะตอนนี้โซเบลบินสูงขึ้นไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนยูเรเซียขออาสาจะช่วยพาโซเบลไปหาอาร์เบดอร์ส
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนช่วยพาท่านโซเบลไปหาท่านอาร์เบดอร์สเองเจ้าค่ะ”
ทุกคนหันไปมองยูเรเซียด้วยความสงสัย และอยากรู้ว่าเธอจะใช้วิธีไหนในการช่วยโซเบลบินไปให้ถึงตัวอาร์เบดอร์ส ก่อนที่ยูเรเซียจะขยิบตาขอความเชื่อใจอย่างเอ็นดู
ยูเรเซียกางบินออกก่อนจะบินพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนจรวดไล่ตามโซเบลไปติดๆ ส่วนทางฝั่งโซเบลนั้นเขาก็พยายามจะบินขึ้นไปให้ถึงระดับความสูง 80 กิโลเมตร แต่เขาก็รู้สึกว่ายิ่งเขาบินสูงมากเท่าไหร่ความเร็วในการบินของเขาก็เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด และดูท่าเขาจะไม่สามารถบินไปถึงนอกชั้นบรรยากาศที่อาร์เบดอร์สกับเฟอร์ดิอุสกำลังต่อสู้กันได้เหมือนที่เขาตั้งใจไว้ จนเขาเริ่มที่จะหมดแรงเพราะความกดอากาศที่เบาบางลงเรื่อยๆ
จนเมื่อยูเรเซียไล่ตามโซเบลทันเธอก็ได้บินเข้าไปเกาะอยู่ที่ด้านหลังของเขาพร้อมกับโทรจิตไปหาโซเบลเพื่อบอกวิธีที่เธอจะช่วยเหลือเขาให้ไปหาอาร์เบดอร์สว่า
“(ท่านโซเบลเจ้าคะ ให้ข้ายูเรเซียผู้นี้ช่วยพาท่านไปส่งเถอะนะคะ)”
“(ยูเรเซีย ? )”
“(ลำพังท่านไม่สามารถบินฝ่าออกไปนอกชั้นบรรยากาศโลกได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะงั้นข้าจะใช้พลังเวทย์ของข้าดีดตัวท่านโซเบลให้พุ่งขึ้นไปเกือบนอกชั้นบรรยากาศเองเจ้าค่ะ)”
“(เธอทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นหรอ ? )”
“(อือ ตราบใดที่โลกนี้ยังหมุนรอบตัวไปตามสายลมที่จะพัดผ่านฟากฟ้าไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ่งใดที่ข้ากับท่านอาร์เบดอร์สทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ถ้าหากพวกเราต้องการจะทำสิ่งๆนั้นให้สำเร็จ)”
เมื่อโซเบลได้ยินคำมั่นจากยูเรเซียดังนั้น เขาจึงยอมเชื่อใจให้ยูเรเซียช่วยส่งตัวเขาขึ้นไปหาอาร์เบดอร์สทันที
หลังจากนั้นยูเรเซียก็ได้ร่ายเวทย์สร้างช่องกระสวยพายุหมุนขนาดใหญ่ครอบร่างของโซเบลทั้งตัว ก่อนที่เธอจะสั่งให้ลมพายุเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นแรงผลักส่งตัวโซเบลให้พุ่งบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง จนกว่าโซเบลจะออกไปนอกชั้นบรรยากาศโลกได้
ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้เองอาร์เบดอร์สก็เหมือนจะเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะเหมือนว่าหอกเกลียวคลื่นทมิฬของเฟอร์ดิอุสจะเริ่มยันพลังหอกสายฟ้าของเขาให้เข้าใกล้ตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ และพลังเวทย์ของเขาก็กำลังถดถอยเนื่องจากการต่อสู้ประลองฝีมือกับโซเบลก่อนหน้า ทำให้พลังเวทย์ของเขาอยู่ในสภาพไม่เต็มร้อยเท่าไหร่นัก สุดท้ายเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เปรี้ยงงงงง!!!!!!
อ๊าาาากกกกก!!!!
อาร์เบดอร์สที่ไม่สามารถยันพลังสู้กับเฟอร์ดอุสได้ เขาก็ได้ถูกหอกเกลียวคลื่นทมิฬปักเข้าที่ปีกอย่างจังพร้อมกับเกลียวคลื่นสีดำที่คมดุจใบมีดนับพันเล่มเฉือนตามร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายของเขาได้รับความเสียหายไปทั่วร่างกาย อีกทั้งปีกของเขาก็ได้รับความเสียหายจนขาดวิ่น
ร่างของมังกรลมในตำนานอาร์เบดอร์สค่อยๆร่วงลงสู่พื้นโลกเอเซอร์เชี่ยน พร้อมกับสติที่กำลังเลือนลางเนื่องจากตอนนี้เขาได้พ่ายแพ้การต่อสู้ให้กับเฟอร์ดิอุสอย่างหมดรูป และตอนนี้ดูเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังจะถูกเฟอร์ดิอุสใช้หอกเกลียวคลื่นทมิฬเล่มใหญ่ซัดมาที่จิตวิญญาณแห่งธาตุเพื่อที่จะปลิดชีพเขาในอีกไม่ช้า
“เท่านี้…กลุ่มมังกรปีศาจบรรพกาลก็มีชัยชนะก้าวนำกลุ่มมังกรธาตุในตำนานไปหนึ่งก้าวแล้ว…ตายซะเถอะ…อาร์เบดอร์ส!!!”
พูดไม่ทันขาดคำเฟอร์ดิอุสก็ปากหอกเกลียวคลื่นทมิฬเล่มใหญ่ที่มีพลังหมุนทำลายล้างสูงเข้าใส่อาร์เบดอร์สด้วยความเร็วสูงทันที
บรู้มมมมมม!!!!
จังหวะเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายอยู่นั้น จู่ๆ หอกเกลียวคลื่นทมิฬของเฟอร์ดิอุสก็ถูกใครบางคนปล่อยคลื่นใบมีดเพลิงสกัดเอาไว้ได้ ทำให้อาร์เบดอร์สรอดตายจากการโจมตีเมื่อครู่ และเมื่ออาร์เบดอร์สกับเฟอร์ดิอุสหันไปมองที่มาทิศทางคลื่นใบมีดเพลิงที่ถูกปล่อยออกไป ทั้งสองก็ตกใจกับภาพที่เห็นเมื่อทั้งคู่เห็นมังกรเพลิงในตำนานกำลังบินทะยานขึ้นมายังตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่ด้วยความเร่งรีบ และโซเบลก็มาพร้อมกับดาบมังกรเพลิงเล่มยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉานในมือ
“โซเบล…ทำไมเจ้าถึงได้…. 0 0 ”
อาร์เบดอร์สนึกสงสัยหลังจากที่เห็นโซเบลที่ไม่คิดว่าจะสามารถบินขึ้นมานอกชั้นบรรยากาศได้
โซเบลที่อาศัยพลังเวทย์ลมพายุส่งตัวจากยูเรเซีย เขาก็ได้บินเข้ามารับตัวอาร์เบดอร์สเอาไว้ในอ้อมกอดเพื่อไม่ให้หล่นลงไปกระแทกพื้นโลกข้างล่าง ตามด้วยยูเรเซียที่รีบเข้ามาดูอาการเจ้านายของเธอด้วยความเป็นห่วง
“ท่านอาร์เบดอร์สเจ้าคะ ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ .0 0. !!”
“ยูเรเซีย….เจ้าเองก็มาด้วยงั้นหรอ…?”
อาร์เบดอร์สค่อยๆหันมามองยูเรเซียที่กำลังบินมองดูอาการบาดเจ็บของเขาทั้งน้ำตาอยู่ด้านข้าง
“อดทนเอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวที่เหลือฉันจะสานต่อจากนายเอง”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ….เจ้าจะไปสู้กับเฟอร์ดิอุสอย่างงั้นหรอ….?”
“มันมีไม่ใครที่จะมีพลังทัดเทียมกับมังกรปีศาจแห่งความมืดแล้วนอกจากฉันกับนายแล้วนี่นา เพราะงั้นฉันจะขออาสาไปสู้แทนนายเอง”
อาร์เบดอร์สและยูเรเซียที่ได้ยินโซเบลบอกมาดังนั้นทั้งสองก็ตกใจอย่างมาก ก่อนที่อาร์เบดอร์สจึงรีบออกปากห้ามโซเบลในทันทีว่า
“ไม่ได้นะ…เจ้าจะต่อสู้กับเฟอร์ดิอุสไม่ได้…เจ้าตามความเร็วของมันไม่ทันหรอก…”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ถึงท่านโซเบลจะมีพลังเวทย์ธาตุเพลิงที่แข็งแกร่งก็จริง แต่หากโจมตีไม่โดยอีกฝ่ายมันก็ไร้ความหมายนะเจ้าคะ”
ยูเรเซียพยายามช่วยพูดให้อาร์เบดอร์สอีกแรง เพื่อบอกให้โซเบลหนีไปและพยายามอย่าเผชิญหน้ากับเฟอร์ดิอุส แต่สำหรับโซเบลแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เขาพยายามจะช่วย หรือคนรอบข้างถูกทำร้ายเขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนเหล่านั้นไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งหรืออุปสรรคที่ยากลำบากแบบใดก็ตาม
นั่นจึงทำให้โซเบลตัดสินที่จะไม่หนีไปตามคำขอของอาร์เบดอร์ส เพราะอย่างน้อยอาร์เบดอร์สก็คือเพื่อนสนิทของเขาในอดีตและเขาก็จะไม่ยอมให้เฟอร์ดิอุสลอยนวลไปอย่างแน่นอน
“ขอโทดด้วยนะ ฉันคงทำตามคำขอของนายไม่ได้หรอก”
“อะไรนะ…”
“ฉันเคยให้คำสัญญากับสเตลร่าเอาไว้ ว่าฉันจะปกป้องทุกคนและคนรอบข้างให้ปลอดภัย เพราะงั้นจะให้ฉันหนีไปแล้วทิ้งคนอื่นไว้ข้างหลังทั้งๆที่ฉันยังสามารถทำอะไรได้แบบนั้น ฉันทำไม่ลงหรอก”
อาร์เบดอร์สอึ้งไปสักพักหนึ่งหลังจากได้ยินประโยคเหล่านี้ออกมาจากปากของโซเบล
“นายเองก็ต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่นายรักมาตลอดเวลาตอนที่ฉันไม่อยู่เลยสินะ นายถึงได้มียูเรเซียอยู่เคียงข้างมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะงั้นฉันเองก็จะขอต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่ฉันรักเหมือนกัน”
เมื่อสิ้นคำพูดของโซเบล เขาก็ได้วานฝากให้ยูเรเซียพาอาร์เบดอร์สไปส่งที่พื้นโลกและให้ไปพักรักษาตัวอยู่ที่วิหารมังกรเพลิงก่อน ส่วนตัวเขานั้นจะขอต่อสู้กับเฟอร์ดิอุสเองซึ่งยูเรเซียก็ทำตามที่โซเบลร้องขอแต่โดยดีก่อนที่เธอจะใช้พลังเวทย์ของเธอพาอาร์เบดอร์สเจ้านายของเธอกลับไปที่พื้นโลกอย่างปลอดภัย
และเมื่อไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเป็นกังวลแล้ว โซเบลก็ได้หันไปเผชิญหน้ากับเฟอร์ดิอุสพร้อมกับชี้ดาบมังกรเพลิงไปยังอีกฝ่ายเพื่อขอท้าสู้ให้ตายไปข้างหนึ่ง
“เอาล่ะ คู่ต่อสู้ยกต่อไปของนายก็คือฉัน!”
เฟอร์ดิอุสเงียบไปสักพักหนึ่งหลังจากที่เห็นมังกรเพลิงในตำนานโซเบลมาขอท้าสู้ตรงๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดหลายพันล้านปีที่ผ่านมานับจากสงครามวันพิพากษาครั้งแรก
“อื้มมม….นี่เจ้ากล้ามาท้าสู้กับข้าตัวต่อตัวเลยงั้นหรอเนี่ย ดูเหมือนว่าเจ้าที่ฟื้นคืนชีพจากหลุมจะเก่งกล้าขึ้นเยอะเลยนี่”
“คนที่ทำร้ายเพื่อนพ้องและคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่มีทางยกโทษให้มันเด็ดขาด เพราะฉะนั้นฉันนี่แหละจะจัดการนายเอง!”
“หึหึ น่าสนใจดีนิ ไหนๆเจ้าอาร์เบดอร์สมันก็สิ้นสภาพหมดน้ำยาที่จะบินต่อแล้ว ถ้าข้าฆ่าเจ้าเสียตอนนี้แล้วค่อยตามไปฆ่าเจ้าอาร์เบดอร์สทีหลังก็คงไม่เสียหายหรอกมั้ง”
เฟอร์ดิอุสทำท่าทางเหมือนเย้ยหยันใส่โซเบล เพราะมันคิดว่าการจัดการกับโซเบลที่ไม่ได้มีความสามารถในการบินที่รวดเร็วเหมือนตนนั้นมันเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าบินรอบโลกเสียอีกและโซเบลไม่มีทางที่จะไล่ตามความเร็วของมันได้ทัน
แต่ถึงอย่างนั้นโซเบลก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ให้กับความสามารถที่โดดเด่นของเฟอร์ดิอุส เพราะอย่างน้อยตัวเขาก็มีพลังโจมตีและความทนทานต่อการโจมตีสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดและเขาเชื่อว่าขีดความสามารถโดยรวมของเฟอร์ดิอุสก็น่าจะคล้ายๆกับของอาร์เบดอร์ส และต้องมีสักวิธีที่จะสามารถจัดการกับเฟอร์ดิอุสได้โดยที่ไม่ต้องประชันความเร็วเหมือนอาร์เบดอร์ส
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากจะตายล่ะก็…ข้าก็จะสนองให้ !! ”
พูดจบเฟอร์ดิอุสก็เสกหอกเกลียวคลื่นสองเล่มมาถืออยู่ในมือเตรียมพร้อมตั้งรับสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่ทันที
และแล้วการต่อสู้ครั้งใหม่ระหว่าง มังกรเพลิงในตำนานโซเบล มังกรผู้ครอบครองพลังเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก กับ มังกรลมแห่งความมืดในตำนานเฟอร์ดิอุส มังกรปีศาจบรรพากาลผู้สร้างภัยพิบัติแห่งความโกลาหล กำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้
ความคิดเห็น