ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #28 : [:Chapter 2:] ตอนที่ 23: สหายเก่าจากฟากฟ้า

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 67


    Chapter 2: ยุคสมัยแห่งการฟื้นฟู

     

    ผ่านไปนานหลายเดือนหลังจากที่โซเบลได้ประกาศสถาปนาอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาใหม่ เขาก็ทำหน้าที่เป็นทั้งราชามังกรเพลิงคอยช่วยเหลือผู้คนที่พากันเดินทางมาหาเขาจากทั่วทุกสารทิศซึ่งส่วนใหญ่ผู้คนที่เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากเขา เป็นชาวบ้านและกลุ่มคนที่อพยพหนีภัยสงครามมาขอพักอาศัยรอบๆวิหารมังกรเพลิง ซึ่งผู้คนเหล่านี้ก็ได้รับการช่วยเหลือจากมัชรูมี่และมังกรดำกับมังกรขาวเป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มคนอพยพเริ่มเคารพเชิดชูบูชามังกรเพลิงโซเบลดุจเทพพระเจ้า และทิ้งภาพลักษณ์มังกรเพลิงปีศาจจอมทำลายล้างอารยธรรมไปจนหมด 

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่ามังกรเพลิงโซเบลนั้นก็เป็นนักผจญภัยที่ชื่อเดลวาลินผู้ที่สามารถเอาชนะเผ่าปีศาจและสยบมังกรระดับสูงได้ด้วยตัวคนเดียว และเขาก็เลือกที่จะปิดบังตัวตนนี้เอาไว้

    ผู้คนบางส่วนที่อพยพหนีมาก็ตัดสินใจกันว่าจะตั้งรกรากอาศัยอยู่ที่นี่เป็นพลเมืองของอาณาจักรโซเบลลิส เนื่องจากบ้านเกิดของพวกเขาบางคนทุรกันดาน มีปัญหาทางการเมือง บ้างก็ถูกรุกรานจากเผ่าปีศาจและอมนุษย์ไม่เว้นแต่ละวัน การที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่โดยมีมังกรเพลิงโซเบลกับกองทัพมังกรเพลิงผู้พิทักษ์ของเขาคอยปกป้องดูแล อาจจะเป็นการดีกว่าที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตยากลำบากที่บ้านเกิด 

    และในวันหนึ่งนั้นเอง โซเบลก็ได้ออกไปพบปะกับผู้คนเพื่อสอบถามสารทุกข์สุขดิบของผู้คนที่อพยพมาขอพึ่งพิงในดินแดนของเขา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเข้าไว้ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ให้การตอบรับการมาเยือนของเขาเป็นอย่างดีเหมือนในทุกๆวัน 

    แต่ในขณะที่เขากำลังเดินพบปะกับผู้คนพร้อมกับสเตลร่าโดยมีไกอัสคอยเดินตามอารักขาอยู่นั้น ก็ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่งได้มายืนขวางอยู่ด้านหน้าของโซเบล ทำให้เขายืนมองด้วยความสงสัย

    “มีอะไรงั้นหรอ”

    “พวงดอกไม้สวยๆ…ที่หนูกับคุณแม่ช่วยกันทำมาเพื่อท่านโซเบลค่ะ… ^ ^ ”

    เด็กสาวพูดพร้อมกับชูพวงดอกไม้สีขาวขึ้นสองมือเพื่อมอบให้กับโซเบล ก่อนที่สเตลร่าจะอาสาลงไปรับพวงดอกไม้นั้นแทน ก่อนจะนำมาให้โซเบลไปเชยชม

    โซเบลได้สำรวจพวงดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่เด็กสาวมอบให้ มันแสดงถึงความอ่อนโยนและความใสซื่อ ไร้เดียงสา ไร้สิ่งแอบแฝงใดๆของเด็กสาว อีกทั้งยังบ่งบอกถึงคำขอบคุณที่ตัวเขานั้นได้มอบสถานที่ที่เงียบสงบให้ทุกคนได้หนีสงคราม อพยพมายังดินแดนแห่งนี้ให้พวกเขาได้มีชีวิตที่สงบสุขไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทำร้ายพวกเขาอีก

    “ในอดีต ไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าใกล้นายได้เลย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า หรือสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตาม ล้วนถูกเปลวเพลิงแห่งความเย่อหยิ่งและทนงตนของนายแผดเผาจนเหลือแต่ธุลี”

    สเตลร่าพูดขึ้นมาเหมือนจะบอกนัยยะสำคัญบางอย่างกับโซเบล

    “งั้นหรอ”

    “ใช่ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เปลวเพลิงของนายที่จ้องจะเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นจุน บัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นเปลวเพลิงแห่งการปกป้องไปแล้ว ขนาดพวงดอกไม้ที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์นี้ก็ยังไม่มอดไหม้คามือของนายเลย” 

    “นั่นสินะ เพราะฉันคิดว่าเปลวเพลิงและพลังของฉันมีไว้เพื่อปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า นั่นเป็นความเชื่อที่ฉันยึดมั่นมาตลอดตั้งแต่เด็ก”

    โซเบลยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขพร้อมกับนึกวันวานที่คิดถึงสมัยเด็กๆ

    ในระหว่างที่โซเบลกำลังระลึกถึงอดีตของตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดบางอย่างดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้า ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองที่ด้านบน ก่อนที่จะมีชาวบ้านคนหนึ่งสังเกตุเห็นอะไรบางอย่างเป็นแสงสีเขียวมรกตส่องสว่างบนท้องฟ้ากำลังบินพาดผ่านเหนือหัวพวกเขาไปอย่างรวดเร็วสูงจากพื้นดินขึ้นไปประมาณ 5 กิโลเมตร

    “ดูนั่นสิ นั่นแสงอะไรน่ะ 0 0 ”

    “ดาวหางงั้นหรอ ? ”

    ชาวบ้านต่างพากันซุบซิบไปมาดังระงมในขณะที่กลุ่มของโซเบลก็พยายามมองเจ้าสิ่งๆนั้นให้ชัดๆ แต่ดูเหมือนว่าสเตลร่านั้นจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าสิ่งนั้นคืออะไร

    ผ่านไปไม่นานนัก จู่ๆ เจ้าแสงสีเขียวนั่นก็ได้ดิ่งลงมาที่พื้นเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง ก่อนจะหักหลบเพื่อไปลงจอดพื้นที่บริเวณนอกหมู่บ้านของผู้คนเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่น 

    ฟ้าาวววว!!!!! ครืนนนน!!!

    สายลมกรรโชกขึ้นมาตามหลังเล็กน้อยหลังจากที่สิ่งๆนั้นบินผ่านหัวพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด ก่อนที่เจ้าสิ่งนั้นจะลงจอดที่พื้นอย่างปลอดภัยและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ทุกคนรวมถึงโซเบลจดจ้องไปยังร่างสีเขียวที่มีลายสายฟ้าพาดตามร่างกาย ปีกที่มีลักษณะหุบเข้าหากันเหมือนท่อไอพ่นและปล่อยพลังงานลมออกมาเป็นระยะและหางที่ทำหน้าที่เหมือนกับหางเสืิอในการควบคุมการบินขณะบินด้วยความเร็วสูง ซึ่งมันก็คือมังกรปริศนาที่ไม่ทราบที่มา

    “นั่นมัน 0 0 ”

    โซเบลอุทานขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่ร่างมังกรตัวนั้นจะค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างสุขุมพร้อมกับขยายปีกกลับคืนเป็นรูปทรงปีกมังกรทั่วๆไปตามเดิม พร้อมกับค่อยๆหันหลังมาทางที่กลุ่มของโซเบลและผู้คนยืนอยู่อย่างช้าๆ เผยให้เห็นจิตวิญญาณแห่งธาตุอยู่กลางหน้าอกแบบเดียวกันกับที่โซเบลมี ก่อนที่สเตลร่าจะร้องทักขึ้นมาว่า 

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อาร์เบดอร์ส”

    สเตลร่าได้เข้าไปทักทายอาร์เบดอร์ส หนึ่งในมังกรธาตุในตำนานตัวแทนแห่งสายลมและสายฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในเอเซอร์เชี่ยนอย่างเป็นกันเอง หลังจากที่ทั้งสองไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนตั้งแต่วันที่โซเบลเพิ่งเป็นนักผจญภัยแรกๆ

    “อืม เจ้ายังสบายดีอยู่ใช่มั้ยสเตลร่า”

    “แน่นอนอยู่แล้ว แต่ไหนๆนายก็มาที่นี่แล้วนายจะไม่ลองกลับไปทักทายเพื่อนเก่าของนายหน่อยหรอ”

    สเตลร่ายิ้มยืนกอดอกก่อนที่ทั้งสองจะหันไปมองโซเบลที่ยืนมองอยู่ไกลๆด้วยความสงสัย 

    อาร์เบดอร์สที่เห็นมังกรเพลิงโซเบลสหายเก่าที่ซี้กันมานานฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง เขาก็รีบรุดหน้าเดินเข้าไปหาโซเบลในทันทีด้วยความดีใจ ที่ในวันนี้เขาได้มีโอกาสได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าที่ีตายจากไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่าโซเบลในตอนนี้ไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับตัวอาร์เบดอร์สเลยแม้แต่นิดเดียว 

    “ไง…โซเบลสหายรักข้า เจ้าสบายดีใช่มั้ย”

    โซเบลที่เห็นอาร์เบดอร์สเดินเข้ามาทักทายเขาราวกับว่าเป็นคนรู้จักกันมานาน เขาก็มีอาการเลิ่กลักเล็กน้อยทำให้อาร์เบดอร์สรู้สึกสงสัยว่าทำไมสหายเก่าของเขาไม่ตอบกลับเหมือนอย่างเคยในอดีต

    “เจ้ามีอะไรรึเปล่าสหายข้า ทำไมเจ้าไม่ตอบข้าล่ะ 0 0 ? ”

    “เออ….คือว่า…นายเป็นใครงั้นหรอ”

    ทันทีที่โซเบลตอบกลับมาแบบนั้น อาร์เบดอร์สก็ทำหน้าเก้อตกใจเล็กน้อยที่โซเบลสหายรักของเขาตอบกลับมาแบบนั้นราวกับว่าทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันจึงทำให้อาร์เบดอร์สเสียความรู้สึกเล็กน้อยก่อนที่สเตลร่าจะเข้ามาช่วยอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง 

    สเตลร่าได้อธิบายผลข้างเคียงจากการนำดวงวิญญาณของโซเบลไปเกิดในร่างของสิ่งมีชีวิตที่โลกอื่นให้อาร์เบดอร์สฟัง ทำให้เขารู้ว่าโซเบลที่เกิดจากเด็กทารกเผ่ามนุษย์นั้นได้สูญเสียความทรงจำสมัยที่ตัวเขาเป็นมังกรเพลิงในตำนานไปจนหมด เพราะไม่ได้เข้าสู่กระบวนการถือกำเนิดจากไข่มังกรเพลิงเหมือนปกติ เขาจึงยอมรับและเข้าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ 

    “อย่างงั้นงี้นี่เอง ที่แท้สาเหตุมันก็เกิดมาจากเพราะเรื่องนั้นนี่เอง”

    “ถ้าหากให้โซเบลเกิดและฝักตัวอยู่ในไข่ตามปกติ เขาก็จะยังคงสามารถคงความทรงจำของตัวเองเอาไว้ได้ แต่นายก็น่าจะรู้ว่าตั้งแต่ตอนนั้นท่านแม่ต้องการเปลี่ยนให้โซเบลนั้นเกิดเป็นโซเบลคนใหม่ที่ดีกว่าโซเบลคนเก่า”

    อาร์เบดอร์สถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความสลดใจ ก่อนที่เขาจะถามสเตลร่าว่า

    “แล้วเจ้าได้บอกเบลโซไดร กับ เบเซลลิส ถึงเรื่องความทรงจำที่หายไปของเขาแล้วรึยัง”

    “ยังไม่ได้บอกเลย”

    “เฮ้ออ….แย่จริงๆ แบบนี้ก็เท่ากับว่าทักษะการต่อสู้และความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ของเขาก็หายไปด้วยน่ะสิ”

    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาใหม่ๆฉันก็ได้ติวเข้มเรื่องความสามารถและการต่อสู้พื้นฐานให้เขาแล้ว”

    “อย่างงั้นหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยเขาก็พอจะต่อสู้กับคนอื่นเป็นได้บ้างตามแบบของมังกรเพลิงล่ะนะ”

    แล้วสเตลร่ากับอาร์เบดอร์สก็หันไปมองโซเบลอีกรอบ ซึ่งในตอนนี้เหมือนว่าเขาจะเป็นส่วนเกินยังไงชอบกล ก่อนที่สเตลร่าจะพูดติดตลกให้อาร์เบดอร์สฟังว่า

    “ช่ายยยย ต่อสู้ในแบบของมังกรเพลิงในตำนาน ด้วยการพุ่งเข้าไปต่อยหน้ามังกรแห่งความมืดเอเทลจนหน้าหงายล่ะนะ >u0 ”

    “ห๊ะ ? ” 

    อาร์เบดอร์สถึงกับร้องอุทานด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่เขาจำได้โซเบลนั้นเป็นมังกรเพลิงที่เน้นการต่อสู้ด้วยคมเขี้ยวกับกรงเล็บควบคู่ไปกับพลังเวทย์เพลิงของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโซเบลนั้นจะใช้หมัดต่อยหน้ามังกรแห่งความมืดเอเทลมาก่อน 

    “นี่เจ้ากล้าต่อยหน้ามังกรแห่งความมืดเอเทลตามที่สเตลร่าพูดมางั้นหรอ 0 0 ? ”

    อาร์เบดอร์สเดินเข้าไปถามโซเบลเพื่อสอบถามความจริงจากปากเจ้าตัว ก่อนที่โซเบลจะตอบตามตรง

    “ก็คงงั้นแหละ”

    โซเบลที่ตอบกลับมาแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้อาร์เบดอร์สเชื่อว่าตอนนี้เพื่อนรักของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และคงไม่เหลือคราบมังกรเพลิงปีศาจเหมือนในอดีตแต่ก่อนแล้ว จนในที่สุดอาร์เบดอร์สก็ตัดสินใจได้ว่า

    “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น งั้นเราทั้งคู่มาวัดพลังกันหน่อย”

    “ เห ? ”

    โซเบลทำหน้าตกใจเมื่อ จู่ๆ อาร์เบดอร์สมาขอสู้ด้วยทั้งแบบนี้

    “ถ้าหากสหายเก่าของข้าในตอนนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอท้าสู้กับสหายข้าในตอนนี้เพื่อเริ่มสานสัมพันธ์กันใหม่”

    “เอิ่ม…เดี๋ยวก่อนสิ ถ้านายจะขอเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ไม่เห็นต้องเริ่มด้วยการต่อสู้กันเลยนี่นา”

    “หึ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะใจเสาะเพียงนี้ ทั้งๆที่ข้ากับเจ้าก็มีพลังทัดเทียมกันแท้ๆ ถ้าหากเป็นเจ้าแต่ก่อนคงรับคำท้าของข้าไปนานแล้ว”

    โซเบลที่โดนอีกฝ่ายดูถูกว่าเป็นคนใจเสาะเพราะไม่กล้ารับคำท้าสู้ เขาก็ยอมไม่ได้ทำให้สุดท้ายโซเบลก็ต้องยอมรับคำท้าตามคำขอของอาร์เบดอร์ส มังกรลมในตำนานที่เป็นเพื่อนเก่าของเขาในอดีตชาติอย่างไม่ลังเล

    “ก็ได้ ถ้าหากนายต้องการแบบนั้น ฉันจะสู้กับนายเอง!”

    “นี่สิ ถึงจะสมกับเป็นเจ้าหน่อย”

    พูดจบอาร์เบดอร์สก็กางปีกก่อนจะพับข้อต่อเข้าหากันกลายเป็นรูปทรงเหมือนท่อไอพ่น หลังจากนั้นเขาก็บินพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนเครื่องบินไอพ่นอย่างรวดเร็ว 

    “ที่นี่คงไม่เหมาะกับการต่อสู้ของเราสองคนสักเท่าไหร่ ตามข้ามา”

    อาร์เบดอร์สตะโกนบอกให้โซเบลบินตามเข้าไป เพื่อไปหาสถานที่ที่เงียบสงบในการต่อสู้ ก่อนที่โซเบลจะบินตามอาร์เบดอร์สไปติดๆ และก่อนไปเขาก็ไม่ลืมที่จะสั่งกำชับให้ไกอัสทำหน้าที่ดูแลพื้นที่รอบๆเขตวิหารมังกรเพลิงแทนเขาชั่วคราว

    .

    .

    .

    .

    ณ พื้นที่สุดขอบชายแดนอาณาจักรโซเบลลิสทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเอง กองกำลังนักรบมังกรขาวสวมเกราะมังกรเพลิงสีแดง ขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่คอยลาดตระเวนภายในอาณาเขตพรมแดนตามปกติ ตามคำสั่งของแรนแซค แม่ทัพมังกรขาวเหมือนทุกวันที่ผ่านมา 

    แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังบินลาดตระเวนตามเส้นทางปกติเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอยู่นั้น จู่ๆ พวกเขาก็พบเข้ากับหมอกควันสีดำทมิฬพร้อมกับสายฟ้าสีแดงเหมือนกับพลังของเอเทลกำลังก่อตัวขึ้นอยู่ห่างไกลออกไปเบื้องหน้าพวกเขาไม่กี่กิโลเมตร ก่อนที่จะมีคลื่นพลังเวทย์สายฟ้าสีแดงและเปลวเพลิงสีดำถูกยิงออกมาโจมตีใส่ฝูงมังกรลาดตระเวนเหล่านั้นจนร่วงหมดฝูงภายในพริบตา 

    อ๊าากกกกกก!!!

    หลังจากที่ฝูงมังกรลาดตระเวนถูกกำจัดจนหมดก็ได้มีร่างมังกรสีดำตัวหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายคลึงกับมังกรแห่งความมืดเอเทล แต่มีลักษณะที่แตกต่างออกไปนั่นก็คือ 

    มีเขายาวเรียวแหลมสีขาวบนศีษระและหลังแก้มเหมือนมีไว้สำหรับลู่ลมเฉพาะ รูปร่างผอมตัวเล็กกว่า มีแขนเป็นปีกที่มีรูปทรงคล้ายไอพ่น 1 คู่ มีเกล็ดสีเขียวเข้มออกไปทางดำ มีลวดลายพายุลมกรดสีขาวอยู่บริเวณใบหน้าซีกขวาชัดเจน ดวงตาสีเขียวเข้มลายประจุไฟฟ้า มีหางที่ยาวแหลมพร้อมปลายหางที่มีลักษณะเหมือนครีบหางเสือที่ดูดุดัน อุ้งเท้ามีกรงเล็บที่ยาวและมีขนาดใหญ่ และมีจิตวิญญานแห่งความมืดสีเขียวเข้มรูปคลื่นไฟฟ้าเหมือนกับอาร์เบดอร์ส แต่มีลวดลายแห่งความมืดแสมๆประปรายอยู่บริเวนหน้าอก ซึ่งมั่นก็คือ ‘เฟอร์ดิอุส มังกรสายลมแห่งความมืด’ ศัตรูคู่อาฆาตของมังกรลมในตำนานอาร์เบดอร์ส 

    “เจ้าหนีมามุดหัวอยู่ที่นี่เองสินะ…อาร์เบดอร์ส ข้าจะต้องฉีกกระชากปีกของเจ้าและปล่อยให้เจ้าต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้าจนเจ้าไม่สามารถโบยบินอยู่บนท้องนภาได้อีกตลอดกาลให้ได้….!”

    หลังจากนั้น เฟอร์ดิอุสก็ติดไอพ่นที่ปีกของมันก่อนจะบินพุ่งทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับคลื่นพลังแห่งความมืดแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างในระยะสั้นๆอย่างรวดเร็วเพื่อไปตามล่าหาอาร์เบดอร์สให้เจอ และตามมาด้วยฝูงไวเวิร์นทมิฬสีดำจำนวนมากบินตามหลังเป็นฝูงขนาดใหญ่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×