คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : (:ตอนพิเศษ:) ตอน การเดินทางของสเตลร่า บทที่ 1 (3/3)
7 ปีต่อมา…
เด็กน้อยในวันนั้น ตอนนี้เขาได้เติบโตเป็นวัยรุ่นและเป็นนักเรียนในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในตัวเมือง ตอนนี้เขาได้โตเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 ที่กำลังใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนไฮ สคูล แต่ดูเหมือนชีวิตของเขาจะไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก เนื่องจากว่าเขานั้นมักถูกเพื่อนๆในโรงเรียนบูลลี่และมองว่าเป็นพวกเพ้อเจ้อฝันลมๆแร้งๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากำลังทำนั้นคือการฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะเป็นมังกรเพลิงที่ดีงาม
โดยเขาใช้เวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจการใช้ชีวิตของมังกร ทั้งการเรียนรู้นิสัย พฤติกรรม และการกินการอยู่ของมังกรทุกรูปแบบ นั่นจึงทำให้เขาไม่มีเพื่อนและต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวเรื่อยมา ซึ่งสเตลร่าเองก็แอบรู้สึกผิดนิดๆที่เธอได้ให้คำสัญญากับเด็กหนุ่มเมื่อ 7 ปี ก่อน แต่ถ้ามองกลับกันมันคงจะเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะยังไงสักวันหนึ่งเด็กหนุ่มก็จะต้องจากโลกนี้ไป เพื่อกลับไปสู่โลกเดิมที่แท้จริง โลกที่เขาจากมา…
ในช่วงหลังเลิกเรียนนั้นเอง…
ชายหนุ่มเก็บของจากตู้ล็อคเกอร์ใส่กระเป๋าเป้ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน แต่ระหว่างนั้นเองเขาก็ถูกกลุ่มเด็กบูลลี่เข้ามาขวางทางเอาไว้
“จะกลับแล้วหรอไอ้กร๊วก”
หัวหน้าแก๊งเด็กบูลลี่เอามือค้ำตู้ล็อคเกอร์และมีกลุ่มเด็กบูลลี่อีก 3-4 คน เข้ามาล้อมตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ให้หนี
“นายต้องการอะไร….”
เด็กหนุ่มถามด้วยเสียงสั่นๆด้วยความหวาดกลัว
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่อยากจะหาที่ระบายอารมณ์นิดหน่อยก็เท่านั้นเอง”
เด็กหัวแก๊งบูลลี่แสยะยิ้มอย่างมีเลห์นัยแอบแฝง ก่อนที่เขาจะจับคอเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วลากไปที่ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด
“เอาล่ะ ถ้าหากนายไม่อยากโดนพวกเราตื้บล่ะก็ ส่งเงินมาให้พวกเราสะ”
“ใช่ๆ ถ้าไม่อย่างงั้นมีเจ็บตัวแน่”
เด็กหนุ่มตัวสั่นเพราะเขานั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยสู้คนและชอบเก็บตัว จึงตกเป็นเป้าสายตาของกลุ่มเด็กบูลลี่มาตลอด และในวันนี้ก็อาจจะเป็นเหมือนวันที่ผ่านๆมาที่เขานั้นจะต้องยอมเด็กกลุ่มนี้เหมือนเดิม
เมื่อกลุ่มเด็กบูลลี่ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาก็ทำการรุมกระทืบเด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่งเพื่อความสนุกสนานพร้อมกับพูดจาดูถูกทำให้เด็กหนุ่มช้ำใจเหมือนเคย ก่อนที่พวกมันจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้มปล่อยให้เด็กหนุ่มรับสภาพอยู่ในห้องน้ำเพียงคนเดียว โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายตาของสเตลร่าทั้งหมด และเธอรู้สึกโกรธแค้นแทนเด็กหนุ่มที่พวกเด็กบูลลี่รังแกคนที่ไม่มีทางสู้ และเธอทนมามากพอแล้ว
ในระหว่างที่แก๊งเด็กบูลลี่กำลังนั่งเดินทางกลับบ้านของตัวเองอยู่นั้น สเตลร่าก็ได้โผล่เข้ามาขวางทางเด็กพวกนั้นพร้อมกับสวมฮูท ผ้าปิดปาก แต่งแต่งปกปิดมิดชิด และส่งสายตามองไปยังเด็กกลุ่มนั้นแสดงถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“อะไรของเธอเนี่ย มองหน้าพวกเราแบบนั้นอยากมีเรื่องรึไง”
“รังแกคนอื่นที่ไม่มีทางสู้แบบนั้น ฉันยอมไม่ได้หรอก”
“นี่เธอ! คิดจะเล่นบทนางเอกผดุงความยุติธรรมรึไง”
“ช่ายย แต่งตัวแบบนั้นคิดจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนในหนังสือคอมิครึไง ตลกชะมัด ฮ่าๆๆ!!”
“หึ เสียงนกเสียงกาของพวกนายฉันไม่เสียเวลาฟังให้กระดากหูหรอก”
“ปากดีนักนะ!”
พูดไม่ทันขาดคำกลุ่มเด็กบูลลี่ก็วิ่งกรูเข้ามาหาสเตลร่าหวังจะสั่งสอนให้สำนึก แต่ทว่าสเตลร่านั้นก็ใช้พลังเวทย์มนต์ของเธอพัดร่างของกลุ่มเด็กบูลลี่ 4 คนนั้นลอยขึ้นไปบนฟ้าสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เมตร ซึ่งมันสูงมากๆหากคนธรรมดาตกลงมาจากระดับความสูงขนาดนั้นอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โหว๊ววว!!!! เหว๋อออออ!!!!
กลุ่มเด็กบูลลี่ร้องเสียงหลงพร้อมกับตกใจสุดขีดที่ร่างกายของพวกเขานั้น จู่ๆ ก็ถูกกระแสลมพัดลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างฉับพลัน สติของพวกเราเตลิดและสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่ไม่นานพวกเขาจะรู้ตัวว่าอีกสักพักร่างของพวกเขาจะตกลงมากระแทกพื้นเบื้องล่างในไม่ช้า แต่สเตลร่าก็ใช้ช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้ายก่อนที่ร่างของกลุ่มเด็กบูลลี่จะกระแทกพื้นร่ายเวทย์บินเพื่อช่วยประคองให้พวกเขาลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย
แต่ตอนนี้จิตใจของพวกเขาในตอนนี้อยู่ในสภาวะช็อคสุดขีด สมองไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ พวกเขาหายใจถี่ๆพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวไม่หยุด ก่อนที่สเตลร่าจะเดินเข้ามาใช้เท้าถีบไปที่ตัวหัวหน้าแก๊งอย่างแรง พร้อมกับใช้ไม้คฑาหัวมังกรขาวต่อไปที่คออีกฝ่ายอย่างแรง “นี่เป็นแค่การเตือนเบาะๆเท่านั้น ถ้าหากนายยังไม่เล็กยุ่งกับเด็กคนนั้นล่ะก็ เรื่องไม่จบแค่นี้แน่!”
เมื่อกลุ่มเด็กบูลลี่ได้ยินคำขาดดังนั้นพวกมันก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีเตลิดไปทันที และสเตลร่ารู้สึกว่าเธอจะต้องทำอะไรอย่างเพื่อช่วยประคบประคองเด็กหนุ่มให้ยังคงยึดมั่นในความเชื่อของเขาต่อไปจากกลุ่มเด็กเกเรหรือใครก็ตามที่จะทำให้เขาไขว่เขว่
ไม่กี่วันต่อมา…
สเตลร่าได้แปลงโฉมตัวเองจากหญิงสาวผู้คุมกฏมังกรให้กลายเป็นเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสวยละอ่อน เพื่อปลอมตัวเข้าไปอยู่ในโรงเรียนที่เด็กหนุ่มเรียนอยู่ เพื่อที่เธอนั้นจะได้อยู่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิดมากขึ้นและในสายตาเธอตลอดเวลา
โดยเธอได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า ‘เมลิน่า’ ซึ่งวินาทีแรกที่เธอได้ก้าวเข้ามาในห้องเรียน นักเรียนทุกคนต่างก็พากันร้องว้าวให้กับความน่ารักและเพอร์เฟคของเธอ ยกเว้นก็แต่เด็กหนุ่มที่เหมือนจะเป็นคนเงียบๆ เก็บตัวนั่งอยู่โต๊ะหลังห้อง
“เอาล่ะนักเรียน วันนี้พวกเรามีเพื่อนใหม่จะย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันกับพวกเธอนะ เพราะงั้นทำความรู้จักกันไว้ล่ะ”
“สวัสดี ฉันชื่อ เมลิน่า ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ”
ทันทีที่เมลิน่ากล่าวทักทายเพื่อนร่วมห้อง เด็กนักเรียนชายต่างก็พากันฮือฮาในน้ำเสียงที่น่ารักและอบอุ่นของเธอ ก่อนที่อาจารย์จะตบมือเพื่อบอกให้นักเรียนทุกคนเงียบ
“เงียบๆหน่อย นี่ไม่ใช่รายการเกมโชว์ซุปเปอร์สตาร์นะ”
พูดจบอาจารย์ก็บอกให้เมลิน่าไปนั่งที่โต๊ะหลังห้องที่ยังว่างอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโต๊ะของเด็กหนุ่มพอดี
นักเรียนทุกคนต่างพากันจดจ้องไปที่เมลิน่าตาไม่กระพริบเพราะพวกเขารู้สึกหลงไหลเหมือนต้องมนต์สะกดแปลกๆ ก่อนที่เมลิน่าจะได้นั่งลงที่โต๊ะของเธอ โดยที่เธอนั้นก็ได้หันมามองเด็กหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
และแล้วชั่วโมงแห่งการเรียนก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงแรกๆที่ผ่านเมลิน่าคอยพยายามเข้ามาตีสนิทกับเด็กหนุ่มตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเข้าเรียน ช่วงพักเที่ยง รวมถึงช่วงกลับบ้านหลังเลิกเรียน เธอก็มักจะคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาเสมอจนคนอื่นๆในชั้นเรียนรู้สึกอิจฉา
อีกทั้งเมลิน่ายังคอยกันพวกเด็กเกเรหรือใครก็ตามที่จะรวมหันกันแกล้งเด็กหนุ่มอยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งทั้งสองเริ่มเปิดใจให้กันและกันมากขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มที่จะมีความกล้าในการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนมากขึ้น
ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน
เย็นวันนี้เด็กหนุ่มก็ยังคงเก็บของออกจากตู้ล็อคเกอร์เหมือนเดิม แต่คราวนี้เขารู้สึกสบายใจอย่างมากเพราะหลังๆนี้ไม่มีพวกแก๊งเด็กบูลลี่มาคอยรีดไถ่เขาเหมือนครั้งก่อนๆแล้ว ทำให้เขาสามารถเก็บของแล้วเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
และในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังจะเดินทางกลับ เมลิน่าก็มายืนรอเขาอยู่ที่ประตูทางออกของตึกเหมือนทุกๆวัน
“เก็บของช้าจังเลยนะ ^ ^ "
“โทดที แต่ฉันไม่ได้ปล่อยให้เธอรอนานใช่มั้ย”
“ไม่หรอก”
เมลิน่าส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ จะได้แชร์หนังสือการ์ตูนกับเธอที่บ้านฉันด้วย”
“อืม ^ ^ ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินทางกลับบ้านของตน
ทั้งคู่ได้แชร์และแบ่งปันหนังสือการ์ตูนที่ตัวเองชอบ ได้ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมด้วยกันที่บ้านของเด็กหนุ่มบนห้องนอนของเขาอย่างสนุกสนาน และในวันนี้เด็กหนุ่มก็ได้แชร์หนังสือการ์ตูนหลายๆเรื่องที่เขาชอบไม่ว่าจะเป็น แนว ต่อสู้ปล่อยพลังหมัดมวย แนวต่างโลก แนวโชเน็น หรือแนวแฟนตาซี ให้เมลิน่าอ่าน ซึ่งเธอนั้นก็ชอบอ่านทุกแนวที่เด็กหนุ่มแบ่งมาให้
แต่มีหนังสืออยู่เรื่องหนึ่งที่เด็กหนุ่มนั้นชอบเป็นพิเศษและยกให้เป็นหนังสือการ์ตูนซีรีย์ที่เขาให้เป็นอันดับหนึ่งนั่นก็คือ หนังสือการ์ตูนเกิดใหม่ที่ตัวเอกเป็นมังกรที่โลกอื่นและร่วมผจญภัยพบเจอกับเรื่องราวมหัศจรรย์มากมาย โดยเขาให้เหตุผลว่ามันคล้ายกับความฝันที่เขาเคยฝันเมื่อ 7 ปีก่อน ทำให้เขาชอบหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้เป็นพิเศษ ซึ่งเมลิน่าก็รับฟังอีกฝ่ายและลองอ่านหนังสือเรื่องนั้นดู
หลายวันต่อมาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ทั้งสองคนได้นัดกันไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ในตัวเมือง และเมลิน่าก็มายืนรอเด็กหนุ่มอยู่ที่หน้าทางเข้าห้างพร้อมกับกดแชทคุยโทรศัพท์กับอีกฝ่ายเพื่อนัดแนะสถานที่นัดพบ ก่อนที่ในเวลาไม่นานเด็กหนุ่มจะตามพิกัดมาเจอในที่สุด
“มาช้าจังเลยนะ ปล่อยให้ฉันรอตั้งนาน”
“โทดทีนะ พอดีฉันหลงทางน่ะ ครั้งสุดท้ายที่พ่อแม่พาฉันมาที่นี่ก็เมื่อหกปีก่อนน่ะ ^ ^" "
“แย่จริงๆเลย ฉันก็อุส่าส่งพิกัดให้แล้วแท้ๆยังหลงได้อีกหรอ”
“เอาน่า อย่างน้อยฉันก็มาทันเวลานัดนะ”
เมลิน่าที่หัวเสียเล็กน้อยหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา ก่อนจะเปิดเวลาที่หน้าจอให้เด็กหนุ่มดูว่าตอนนี้มันเลยเวลานัดมาตั้ง 15 นาที และรอบหนังฉายก็เริ่มไปแล้ว ทำให้ทั้งสองต้องรอดูรอบหนังฉายรอบต่อไปแทน
“เอิ่ม…ไหนๆรอบหนังก็ฉายไปแล้ว งั้นเราไปกินไอติมฆ่าเวลากันก่อนดีมั้ย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“ *เฮ้อออ..* ก็ได้… v v ”
เมลิน่าที่ยังอยู่ในอาการงอน เดินกอดอกไปหาร้านไอติมใกล้ๆก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบวิ่งตามไปติดเพื่อง้ออีกฝ่าย
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมองหาร้านที่น่าสนใจอยู่นั้นเอง จู่ๆ ทั้งสองก็ไปเจอกับแก๊งเด็กบูลลี่กลุ่มเดิมที่ตอนนี้เขากำลังรีดไถ่เงินจากเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีทางสู้ ทีแรกเด็กหนุ่มที่เห็นดังนั้นเขาก็บอกให้เมลิน่าเลี่ยงไปทางอื่นเพราะไม่อยากโดนเจอตัว แต่ทว่าเมลิน่ากับไม่เห็นด้วยที่เด็กหนุ่มจะหนีไปดื้อๆแบบนี้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย
“นายจะปล่อยให้เด็กคนนั้นโดนรังแกเหมือนอย่างที่พวกนั้นทำกับนายรึไง”
“ต…แต่ว่า พวกนั้นมากันเยอะ แถมฉัน…”
“ถ้านายไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา จะเรียกตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชายได้ยังไงกัน ทำตัวให้เข้มแข็งและกล้าหาญให้สมกับเป็นลูกผู้ชายหน่อยสิ!”
เมลิน่าที่กำลังหัวเสียที่เห็นเด็กหนุ่มแสดงความอ่อนแอออกมา ทั้งๆที่มีคนต้องการขอความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า ทำให้เด็กหนุ่มซึมไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะถามเมลิน่าขึ้นมา
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงหรอ”
เมลิน่าหันไปมองกลุ่มแก๊งเด็กบูลลี่และหันกลับมามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า
“นายจงใช้ความกล้าของนาย เผชิญหน้ากับเจ้าเด็กพวกนั้นแล้วช่วยปกป้องเด็กผู้โชคร้ายคนนั้นไม่ให้โดนไถ่เงินสะ”
“มันจะดีหรอ ฉันไม่เคยสู้คนมาก่อนเลยนะ 0 0 ”
“ถ้านายเป็นมังกรเพลิงที่อยากจะปกป้องผู้อ่อนแอจริงๆล่ะก็ นายก็ต้องใช้กำลังและความสามารถของนายที่มีแสดงให้พวกนั้นได้เห็น ว่านายไม่ได้อ่อนแอและต้องถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว เพราะงั้นลงมือเลย”
เมลิน่าพูดให้ความมั่นใจกับเด็กหนุ่มให้เขานั้นกล้าที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อความถูกต้องและปกป้องคนที่อ่อนแอเหมือนกับเขา ทำให้เด็กหนุ่มตอนแรกมีท่าทีที่หวาดระแวง เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น
และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองหนึ่งในแก๊งเด็กบูลลี่ก็หันมาเจอกับทั้งสองคนพอดี แต่โชคยังดีที่พวกนั้นจำสเตลร่าไม่ได้เพราะเธออยู่ในสถานะปลอมตัวเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ ทำให้พวกมันเปิดฉากล้อเด็กหนุ่มตัวเอกในทันที
“เห้ย นั่นมันเจอเด็กเนิร์ดที่คนในโรงเรียนลือกันว่ามีสาวมาติดนี่นา”
“แถมเจ้าตัวก็มาด้วยกันด้วยแหะ วันนี้นายอยากจะสู้กับพวกฉันโชว์สาวรึยังไง ฮ่าๆๆ!!”
เด็กหนุ่มที่เห็นว่าตัวเขากำลังโดนล้อในที่สาธารณะและต่อหน้าเมลิน่า เขาก็รู้สึกโกรธและกลัวในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อเขาหันกลับมามองหน้าเมลิน่า เธอก็ยืนกอดอกพยักหน้าให้เขาทำให้เด็กหนุ่มกล้าที่จะตอบโต้กลับไป
“และ…แล้วยังไงล่ะ! ฉันจะเป็นเด็กเนิร์ดแล้วมันไปหนักหัวพวกนายรึยังไง ?! ”
แก๊งเด็กบูลลี่ที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าโต้ตอบกลับถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเริ่มโกรธแล้วเดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มแทน จากนั้นหัวหน้าแก๊งก็กระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มขึ้นมา
“เมื่อกี้แกว่าไงนะ ?! ”
สถานการณ์เริ่มตึงเครียด เมื่อเมลิน่าเห็นว่าเด็กหนุ่มถูกอีกฝ่ายรุกเข้ามาอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว ถึงแม้เธอจะอยากช่วยเด็กหนุ่มแต่ในที่สาธารณะโดยเฉพาะห้างใหญ่ที่มีคนเดินไปมาพลุ้งพล่านแบบนี้ คงไม่ดีแน่หากเธอจะใช้เวทย์มนต์สั่งสอนเด็กพวกนี้ ทำให้เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยืนส่งกำลังใจให้อีกฝ่ายอยู่ห่างๆ
เด็กหนุ่มที่ถูกกระชากคอเสื้อขึ้นมา เขาได้หันไปมองเด็กชายที่นั่งตัวสั่นและจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ทำให้เขารู้สึกว่าเขานั้นจะต้องสู้ให้ชนะเท่านั้น และเขาจะต้องแสดงความกล้าหาญให้เด็กกลุ่มนี้ได้เห็นว่าเขานั้นไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกมันเห็น
“อย่างพวกนายน่ะ ก็เก่งแต่กับคนที่ไม่มีทางสู้นั่นแหละ!! ไอ้พวกกระจอก!!”
เมื่อหัวหน้าแก๊งได้ยินคำด่าจากปากเด็กหนุ่มที่ไม่เคยคิดว่าจะหลุดออกมาจากปาก ก็ทำให้มันโกรธเป็นอย่างมากและง้างหมัดจะต่อยมาที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มเพื่อสั่งสอน แต่เด็กหนุ่มก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดดึงแขนอีกฝ่ายก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีแหว่งเด็กหัวหน้าแก๊งไปกระแทกกับรั้วระเบียงชั้น 4 อย่างแรง
เคร้งงง!!!
ในขณะที่หัวหน้าเด็กแก๊งบูลลี่กำลังเสียอาการ เด็กหนุ่มก็ใช้จังหวะนี้วิ่งเข้าไปง้างหมัดซัดหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงจนอีกฝ่ายกลิ้งนอนหงายกับพื้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตามไปนั่งค่อมบนตัวอีกฝ่ายแล้วรัวหมัดต่อยไปที่หัวหน้าแก๊งเด็กบูลลี่ไม่ยั้ง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ
เด็กหนุ่มรัวหมัดต่อยหัวหน้าแก๊งเด็กบูลลี่จนพอใจ ก่อนที่เขาจะเดินไปส่งมือให้เด็กชายที่โดนรีดไถ่
“ไม่เป็นไรแล้วนะ นายโอเครึเปล่า”
“ข…ขอบคุณนะ…ที่ช่วยฉันเอาไว้…”
เมื่อแก๊งเด็กบูลลี่ที่เป็นลูกน้องเห็นว่าเด็กหนุ่มกล้าต่อยหัวหน้าของพวกมัน พวกนั้นก็รีบพากันวิ่งหนีไปในทันทีปล่อยให้หัวหน้าของพวกมันนอนหน้าช้ำอยู่อย่างงั้นอย่างไม่ใยดี ก่อนที่เมลิน่าจะเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ
“เก่งมากเลยนะ นี่สิถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง”
เด็กหนุ่มที่ถูกเมลิน่าชมก็มีอาการเขินเล็กน้อย
“อ…อ้อ….งั้นหรอ ^//^ ”
“เอาล่ะ เราไปกินไอติมให้สบายใจกันดีกว่า เพื่อเลี้ยงฉลองให้กับความกล้าที่ในตอนนี้นายได้เปลี่ยนจากเด็กขี้แยกลายเป็นเด็กชายผู้กล้าหาญแล้ว ^ ^ ”
หลังจากนั้นเมลิน่าก็จับมือของเด็กหนุ่มก่อนจะเดินจูงมือนำหน้าอีกฝ่ายไปอย่างร่าเริง แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้สึกหวั่นไหวที่อีกฝ่ายสัมผัสมือของเขาอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ จนเขาเริ่มมองเมลิน่ามากกว่าเพื่อนไปแล้ว
.
.
.
.
4 ปีต่อมา…
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมลิน่าก็ยังคงไปมาหาสู่กับเด็กหนุ่มตลอดเรื่อยมา และเด็กหนุ่มก็เริ่มที่จะมีเพื่อนมากขึ้น แก๊งเด็กบูลลี่ที่เคยเข้ามารังแกเขาก็ไม่โผล่หัวมาให้เขาเห็นอีกหลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลาเมื่อวันจบการศึกษามาถึงและทั้งสองจะต้องแยกทางกัน
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะลาจากกัน เด็กหนุ่มที่ในตอนนี้เขาได้โตเป็นวัยรุ่นอายุ 19 ปี เขาก็ได้นัดเมลิน่าให้มาเจอกันที่ห้องเรียน ซึ่งเป็นที่แรกที่ทั้งสองได้พบเจอกัน เพื่อที่เขานั้นจะได้สารภาพความรู้สึกในใจที่เขามีต่อเธอมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ เพราะเขาคิดว่าหากผ่านวันนี้ไปแล้วเขาจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก
ณ ห้องเรียน
“นายเรียกฉันมาให้มาเจอกันที่นี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“เมลิน่า….ที่ฉันเรียกเธอให้มาเจอกันที่นี่ เพราะฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกให้เธอรู้”
“อยากจะบอกอะไรกับฉันงั้นหรอ ? ”
ชายหนุ่มมีท่าทีที่ลังเลเล็กน้อย เพราะหากเขาบอกความรู้สึกออกไป เขาอาจจะต้องเสียเพื่อนไปแต่ถ้าหากโชคดีเมลิน่าก็อาจจะตอบรับความรู้สึกของเขาและอาจจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอด 4 ปีนี้ต้องเสียไป แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะบอกความรู้สึกของเขาออกไปว่า
“เมลิน่า….คือว่าฉัน…อยากจะขอบคุณเธอ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอสอนให้ฉันรู้จักถึงความเข้มแข็ง และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาแทนที่จะหนีไป….อีกทั้งเธอยังเป็นเพื่อนสนิทของฉันไม่กี่คนที่รู้และเข้าใจฉันในทุกๆเรื่อง…แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันก่อตัวขึ้นมาในใจฉันอย่างเงียบๆ และฉันไม่กล้าที่จะพูดออกไป…ซึ่งสิ่งๆนั้นก็คือ…..'ฉันชอบเธอ' ”
เมื่อชายหนุ่มได้สารภาพรักให้เมลิน่ารู้ แทนที่เมลิน่าจะมีอาการตื่นตระหนกหรือทำท่าตกใจ เธอกลับยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆให้กับชายหนุ่มราวกับว่าเธอรู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายหนุ่มนั้นคิดยังไงกับเธอ
“อืมม…ฉันเองก็ชอบนายเหมือนกันนะ”
พูดจบเมลิน่าก็เดินเข้ามาจูบชายหนุ่ม ทำเอาอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าแดงและลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่สุดท้ายเขาก็รับเมลิน่ามาไว้ในอ้อมกอดและปล่อยอารมณ์มันพาไป
ทั้งสองจูบบอกรักกันสองต่อสองภายในห้องเรียนของตึก ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะมีอาการสีหน้าแดงด้วยความเขิิน และมันถึงเวลาที่ทั้งสองจะต้องแยกย้ายเดินไปตามทางของตัวเองแล้ว
“วันนี้เราสองคนต้องลาจากกันแล้วสินะ…”
“อืม…แต่…ถึงแม้เราสองคนจะไม่ได้พบเจอกันอีก แต่สักวันหนึ่งเราทั้งคู่ก็อาจจะได้พบเจอกันใหม่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
“นั่นสินะ…สักวันเราคงได้เจอกันอีก ^///^ ”
และแล้วทั้งคู่ก็จบออกจากโรงเรียนก่อนที่ชายหนุ่มจะเลือกเดินใช้ชีวิตในแบบของตัวเขาต่อไป โดยที่เขาก็ยังมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าและหวังว่าสักวันเขาจะได้พบกับเมลิน่าอีก ส่วนเมลิน่านั้นก็กลับคืนสู่ตัวตนผู้คุมกฏมังกรเหมือนเดิมและกลับมาใช้ชื่อสเตลร่าชื่อที่แท้จริงของเขาเหมือนเดิม
แต่ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของเธอใกล้จะหมดลงเต็มที ทำให้ในตอนนี้เธอไม่อาจจะสามารถใช้พลังเวทย์ใดๆไปกับงานใหญ่ๆได้อีกแล้ว เธอจึงตัดสินใจที่จะปลีกตัวเองออกจากฝูงชนและรอวันที่ชายหนุ่มจะต้องกลับไปเกิดใหม่ที่โลกเดิม
.
.
.
.
.
1 ปีต่อมา…
ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสในเมืองใหญ่ สเตลร่าในชุดคลุมผู้คุมกฏมังกรสีขาวพร้อมคฑาหัวมังกรขาว กำลังแอบจับตาดูชายหนุ่มที่ตอนนี้เขากำลังเดินทางไปซื้อหนังสือการ์ตูนที่เขาชอบเหมือนอย่างเคย และเห็นว่าชายหนุ่มนั้นกำลังซื้อขนมให้กับเด็กสาวและแบ่งอาหารให้กับสุนัขจรจัด เหมือนที่เขาเคยทำที่ผ่านมา
แต่ในวันนี้สเตลร่าตระหนักได้แล้วว่า วันนี้คือวันที่เหมาะสมที่สุดที่เธอนั้นจะต้องทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มจบลงเพื่อเตรียมไปสู่การเกิดใหม่ตามแผนที่สเตลร่าได้รับมอบหมายมาจากเทพธิดาไมอาร์ แต่ลึกๆในใจแล้วเธอเองก็รู้สึกลังเลที่จะต้องจบชีวิตของชายหนุ่ม ด้วยความรู้สึกดีๆที่เธอมีต่อเขาในวันวาน แต่สุดท้ายหน้าที่ก็คือหน้าที่ เธอไม่อาจจะเอาความรู้สึกส่วนตัวมากเทียบกับความสมดุลของโลกที่เธอจากมาได้ สุดท้ายสเตลร่าก็ลงมือจัดฉากล่อความสนใจของชายหนุ่มให้เขาประสบอุบัติเหตุตามแผนที่เธอวางเอาไว้
แอร๊ดดดดด!!! โคร้มมมมม!!!!
ชายหนุ่มประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตามแผนที่สเตลร่าวางเอาไว้ มีรถเจ้าหน้าที่กู้ภัยและคนในระแวกใกล้เคียงต่างมุงดูภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และตอนนี้ดวงจิตของชายหนุ่มก็ถูกส่งกลับไปที่โลกเอเซอร์เชี่ยน ตามแผนการที่สเตลร่าวางเอาไว้
แม้ว่าสเตลร่าจะเสียใจที่เธอนั้นต้องจัดฉากสังหารเด็กหนุ่มที่เธอนั้นรัก แต่เธอก็ไม่อาจจะปล่อยให้เวลามันยื้อไปมากกว่านี้อีกแล้ว ก่อนที่เธอนั้นจะไล่ตามหาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มทั้งหมดเพื่อทำการลบความทรงจำของพวกเขาและสร้างความทรงจำปลอมขึ้นมา ราวกับว่าชายหนุ่มนั้นไม่มีตัวตนมาก่อน และก่อนกลับเธอก็ได้แอบไปเก็บหนังสือการ์ตูนที่ชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้อ่านในโลกนี้ติดตัวไปด้วย เผื่อว่าวันข้างหน้าเธอจะมีโอกาสได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้เขาอ่านในวันที่เขานั้นได้เป็นมังกรเพลิงในตำนานโซเบล
สเตลร่าได้ไปยืนรออยู่ที่จุดแรกที่เธอมาโผล่ที่โลกใบนี้ เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้นั้นมีสิ่งต่างๆมากมายที่เธอไม่อาจหาได้ในโลกใบเดิมที่เธอจากมา การที่เธอได้ทำในสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อนบนโลกนี้มันก็คุ้มค่ากับเวลาที่เธอเสียไป
และในระหว่างที่สเตลร่ากำลังยืนส่งอำลาโลกใบนี้อยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีประตูมิติพร้อมกับก้อนลูกบากศ์สีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเธอ พร้อมกับเวลาที่หยุดลงชั่วขณะและคนที่โผล่ออกมาจากประตูมิตินั้นก็คือ เอเฟนเทียร์ ผู้คุมกฏแห่งพหุจักรวาล ซึ่งในตอนนี้เธอมารับตัวสเตลร่ากลับไปส่งที่โลกเอเซอร์เชี่ยนตามกำหนดการที่ทำกับเทพธิดาไมอาร์ “ได้เวลาที่เจ้าจะต้องกลับแล้ว….เจ้าไม่มีพันธหรือสิ่งใดที่ต้องอยู่โลกใบนี้อีก”
สเตลร่าหยักหน้าเบาๆก่อนที่เอเฟนเทียร์จะยื่นมือมาให้เธอ เพื่อที่จะพาเธอกลับไปที่โลกเอเซอร์เชี่ยนตามเดิม ก่อนที่สเตลร่าจะรับมือเอเฟนเทียร์แล้วเดินเข้าไปในประตูมิตินั้นไปอย่างเงียบๆ
:จบตอนพิเศษ:
ปล. เดิมทีไรท์กะว่าจะลงตอนพิเศษตอนสุดท้ายนี้ในช่วงก่อนสิ้นปี 2023 แต่ก็ไม่เป็นไรเลื่อนมาลงวันที่ 4 ของปี 2024 ก็ได้ แต่ยังไงไรท์ก็ขอกล่าว Happy New Year ปีมังกร 2024 นะคร๊าบบบบ \^w^/ ~~~~!!!
ความคิดเห็น