ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #26 : (:ตอนพิเศษ:) ตอน การเดินทางของสเตลร่า บทที่ 1 (2/3)

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 66


    ในเช้าวันหนึ่งที่อากาศสดใส สเตลร่าได้มาแอบจับตาดูใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองใหญ่ที่ต่างโลก 

    เวลาช่วงหัวค่ำ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองใหญ่

    อุแว๊! อุแว๊!

    เด็กทารกตัวน้อยส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับตื่นขึ้นมาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ก่อนจะมาอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่เหมือนกับเด็กทารกทั่วๆไป สเตลร่าที่แอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆจากบนดาดฟ้าของตึกอยู่ห่างๆเพื่อเฝ้าดูพัฒนาการและการเติบโตของโซเบลในชาติใหม่นี้ตามคำสั่งที่ได้รับมาจากเทพธิดาไมอาร์  

    พอเห็นเป็นแบบนี้แล้วสเตลร่าก็รู้สึกโล่งอกที่ตอนนี้ดวงจิตของโซเบลได้รับการถือกำเนิดใหม่แล้ว หลังจากที่หลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นเธอเจอแต่เรื่องวุ่นๆเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น โดนรถเฉี่ยวชนบ้าง โดนคนกุ้ยข้างถนนเข้ามาหาเรื่องบ้าง โดนขโมยขวดโหลไปบ้าง หรือแม้แต่สะดุดทางเดินจนขวดโหลหลุดจากมือแล้วกลิ้งกระเด็นตกใส่ท้ายรถขนส่งจนต้องรีบไล่ตามไปเก็บ ทำเอาเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอดในโลกที่ไร้ซึ่งเวทย์มนต์ใบนี้ 

    แต่สุดท้ายสเตลร่าก็สามารถนำขวดโหลกลับมาได้และหาวิธีเปิดขวดโหล ก่อนที่ดวงวิญญาณของโซเบลจะลอยมาจุติยังร่างของเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ของผู้หญิงคนหนึ่ง นี่จึงถือว่าเป็นก้าวแรกของความสำเร็จไปอีกขั้นนึงแล้ว “ *เฮ้ออ* ในที่สุดก็หาร่างใหม่จุติได้สักทีนะ กว่าจะเปิดขวดโหลนี้ได้เอาลำบากแทบแย่แน่ะ v v ” สเตลร่านั่งห้อยขาอยู่บนดาดฟ้าอย่างสบายใจ ก่อนที่จะเกิดเรื่องบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้น

    จ๊อกกกก~~

    เสียงท้องร้องของเธอได้ดังขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แสดงให้เห็นว่าสเตลร่านั้นไม่ได้กินอะไรมาเลยทั้งวันนับแต่ตั้งตอนที่เธอมาเยือนที่โลกแห่งนี้ “ท้องร้องสะแล้ว ถ้าอย่างงั้นไปหาของกินรองท้องก่อนดีกว่า” หลังจากนั้นสเตลร่าก็ลุกขึ้นก่อนจะกระโดดลงจากดาดฟ้าโดยใช้เวทย์บินคอยช่วยพยุงให้เธอสามารถร่อนลงพื้นได้อย่างปลอดภัย จากนั้นสเตลร่าก็เดินไปตามถนนหนทางภายในเมืองใหญ่เพื่อมองหาร้านที่คิดว่าเป็นร้านอาหาร จนกระทั่งเธอเดินมาเจอรถพ่วงอาหารฟาสต์ฟูดที่ขายฮอทดอกและอาหารจานด่วนอยู่บนฟุตบาท ซึ่งเธอรู้สึกอยากกินจึงเดินเข้าไปหาเจ้าของร้านที่เป็นชายวัยกลางคน

    “อ่า ว่าไงครับคุณลูกค้า อยากได้เมนูแบบไหนครับ ? ”

    ชายเจ้าของร้านกล่าวต้อนรับอย่างเป็นกันเองตามประสา ก่อนที่สเตลร่าจึงมองไปยังรายการเมนูอาหารจานด่วนที่เขียนด้วยภาษาต่างโลกที่เธออ่านไม่ออก จนเจ้าของร้านเริ่มสงสัยเขาจึงถามสเตลร่าอีกครั้ง

    “คุณลูกค้าครับ เลือกได้รึยังครับว่าจะสั่งอะไรเอ่ย ? ”

    “เออ…..อืม…. [:ภาษาต่างโลก:] ฉันขอแบบอันนี้อันนึง ”

    “ห๋า 0 0 ? ”

    สเตลร่าพูดภาษาคนละภาษากับเจ้าของร้าน ทำเอาเจ้าของร้ายทำหน้างงเพราะฟังภาษาที่สเตลร่าพูดออกมาไม่เข้าใจ และยังรู้สึกแปลกหูสำหรับเขามากๆ 

    สเตลร่าเห็นว่าเจ้าของร้านทำหน้างงเหมือนว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เธอก็ชะงักไปเล็กน้อยและลนลานเพราะไม่รู้จะสื่อสารกับคนต่างโลกนี้ยังไง จนกระทั่งเธอตัดสินใจใช้ภาษามือในการสื่อสารกับเจ้าของร้านแทน โดยภาษามือที่เธอสื่อสารออกมานั้นสื่อในเชิงประโยคว่า ‘ตอนนี้ฉันหิวมาก อยากจะได้อาหารสักมื้อกินประทังชีวิตเป็นการชั่วคราว’ โดยที่เจ้าของร้านที่เห็นว่าสเตลร่าพยายามใช้ภาษามือกับภาษากาย เขาก็พยายามทำความเข้าใจและเริ่มรู้แล้วว่าสเตลร่านั้นต้องการขออาหารจากเขา 

    และโชคดีของสเตลร่าที่เจ้าของร้านได้มอบฮอทดอกและเครื่องดื่มให้กับสเตลร่าไปแบบฟรีๆ เพราะเห็นว่าสเตลร่าน่าจะเป็นคนจรและดูน่าสงสาร ทำให้สุดท้ายสเตลร่าก็ได้ฮอทดอกกับน้ำอัดลมแสนอร่อยที่เธอนั้นไม่คอยกินมาก่อนมากินเอาตัวรอดได้เป็นการชั่วคราว “น้ำนี่มันอะไรกันนะ รสซ่าๆสดชื่นแปลกๆ แต่ก็อร่อยดี” สเตลร่ากินฮอทดอกต่อก่อนจะดูดกินน้ำอัดลมจากในแก้วตามอย่างมีความสุข ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่เฝ้าสังเกตุการณ์โซเบลต่อ

    .

    .

    .

    .

    หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนมาได้ สเตลร่าก็เริ่มตระหนักแล้วว่าเธอควรจะทำการศึกษาระบบโครงสร้างพื้นฐานของโลกนี้เอาไว้ เพราะถ้าหากเธอไม่เรียนรู้และทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมและสังคมของผู้คนของโลกนี้ อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตลำบากเป็นแน่ นั่นจึงทำให้สเตลร่าตัดสินใจเดินทางออกตามหาร้านหนังสือเพื่อที่จะศึกษาเรียนรู้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ ข้อมูลสภาพแวดล้อมของโลก การแต่งกาย ภาษา เชื้อชาติ และอื่นๆอีกมากมายที่มีอยู่บนโลกใบนี้

     โดยเธอใช้เวลาเป็นเดือนๆในการทำความเข้าใจ ศึกษา เรียนรู้ข้อมูลจากหนังสือหลายพันเล่ม จนตอนนี้เธอสามารถเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น รวมถึงพูดภาษาที่คนโลกนี้ใช้สื่อสารกันได้ในระดับหนึ่งแล้ว

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอนั้นยังไม่มีนั่นก็คือ เงินตรา โดยเธอนั้นรู้มาว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกือบทั้งหมดในโลกนี้จำเป็นจะต้องใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่เงินสกุลเอเซอร์เชี่ยนคอยน์ ทำให้สเตลร่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเป็นรายได้เสริมไปพร้อมกับการเฝ้าจับตาดูโซเบลไปด้วย 

    สเตลร่าได้เดินทางมายังโซนการค้าแห่งหนึ่งในเมืองเพื่อหาแรงบันดาลใจและแนวทางการทำอาชีพเสริม โดยคราวนี้เธอเลือกที่จะสวมเสื้อผ้าแบบยุคสมัยใหม่ที่คนของโลกนี้เขาใส่กัน โดยเธอนั้นสวมเสื้อยืดสีขาว สวมเสื้อกันลมสีดำ สวมหมวกแก๊ปสีน้ำเงินมีตัวอักษรปักอยู่บนหมวกว่า ‘Angel’ สวมกางเกงขายาวสีดำ และสวมรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินตามแบบวัยรุ่นเขาใส่กัน สวมคฑาหัวมังกรขาวของเธอนั้นสเตลร่าก็จะเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าเวทย์มนต์ เพื่อให้เธอนั้นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืนกับคนบนโลกนี้

    และด้วยความบังเอิญ จู่ๆ เธอก็ได้ไปพบกับโชว์มายากลของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังแสดงกลให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดู พร้อมกับมีกระป๋องใส่เงินบริจาควางอยู่ด้านหน้าเพื่อให้คนที่เขาชอบใส่เงินเป็นการสนับสนุนการแสดงโชว์ของเขา ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มคนนั้นแม้เขาจะไม่มีเวทย์มนต์ ไม่มีไอเทมใดๆในการเสกสรรค์จากพลังเวทย์กลาง แต่เขากลับสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ จนแม้แต่สเตลร่าเองก็ยังถูกสะกดให้หลงไหลไปกับการแสดงมายากลของเขา ราวกับว่าผู้ชายคนนั้นเขามีเวทย์มนต์จริงๆ

    จนกระทั่งการแสดงโชว์ได้จบลง ผู้คนที่ร่วมดูการแสดงของเขาต่างพากันบริจาคเงินให้กับชายคนนั้นจนกระป๋องรับบริจาคเต็มไปด้วยแบงค์ธนบัตรปึกใหญ่ นั่นจึงทำให้สเตลร่าเกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา

    สเตลร่าเดินเข้าไปหาชายนักมายากลคนนั้น ก่อนที่เธอจะถามเขาขึ้นมาท่ามกลางผู้คนว่า

    “ฉันสนใจการแสดงของนาย สอนฉันหน่อยได้มั้ย”

    “อะไรกันคุณผู้หญิง จู่ๆ เดินเข้ามาขอให้สอนกันตรงๆแบบนี้เลยหรอครับ 0 0 ? ”

    ชายหนุ่มทำหน้าอึ้งๆพร้อมกับเสียงพูดคุยของผู้คนที่อยู่ล้อมรอบดังระงม แต่สเตลร่าก็ยังถามคำเดิม

    “การแสดงของนายมันน่าทึ่งมากๆ ฉันอยากจะทำได้เหมือนนายบ้าง เพราะฉะนั้นนายช่วยสอนฉันแสดงแบบที่นายทำได้รึเปล่า”

    “เอิ่ม…ถ้าจะให้สอนมันก็ได้อยู่หรอกครับ…แต่ตอนนี้ขอผมเก็บของให้เรียบร้อยก่อนนะครับ ^ ^" ”ฃ

     

    เมื่อสเตลร่าเห็นดังนั้น เธอจึงรอปล่อยให้ชายหนุ่มนักมายากลทำการจัดแจงเก็บกวาดสถานที่แสดงโชว์ให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งสองจะไปหาสถานที่ที่สงบๆเพื่อเรียนการเล่นมายากล

    สเตลร่าได้เรียนรู้และวิธีในการเล่นกลจากชายหนุ่มดังกล่าว โดยชายหนุ่มนั้นได้บอกกับเธอว่าหลักการเล่นกลนั้นอย่างแรกจะต้อง ดึงดูดเบี่ยงเบนสายตาของคนดูให้พวกเขาจดจ่อกับสิ่งที่เราต้องการให้พวกเขาเห็น พยายามซ่อนสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ให้พวกเขาเห็น และพยายามทำให้คนดูจับผิดเราไม่ได้ควบคู่ไปกับการใช้จิตวิทยา จนกระทั่งจบการแสดงโชว์อย่างสวยงาม

    เมื่อสเตลร่าได้รู้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ได้ให้เธอลองเล่นกลแบบง่ายๆตั้งแต่ กลเหรียญหาย ของลอยได้ เป็นต้น โดยใช้หลักการง่ายๆ ซึ่งสเตลร่าก็ลองทำตามที่ชายหนุ่มนักมายากลบอกและอธิบายตามขั้นตอน 

    สเตลร่าใช้เวลาไปนานเกือบชั่วโมงในการฝึกเล่นกล ซึ่งเธอรู้สึกว่าการเล่นกลเหล่านี้สามารถทำให้เป็นเรื่องง่ายๆได้หากเธอใช้เวทย์มนต์ของเธอในการแสดง แต่เธอมีจำนวนจำกัดในการใช้เวทย์มนต์ที่โลกนี้ ทำให้เธอต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยความสามารถและความพยายามของตัวเอง เธอถึงจะได้รู้ว่าสิ่งที่เธอพยายามทำมาทั้งหมดนั้นมันมีคุณค่าและมีความหมายมากแค่ไหน 

    และด้วยความสามารถของผู้คุมกฏที่คอยเฝ้ามองสิ่งต่างๆของสเตลร่า มันก็ทำให้สเตลร่าสามารถเรียนวิธีการเล่นกลทุกรูปแบบจากชายหนุ่ม จนในตอนนี้เธอสามารถแสดงโชว์มายากลได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงระดับโลกได้ โดยใช้เวลาไม่ถึงวัน ซึ่งชายหนุ่มนั้นก็รู้สึกอึ้งในความอัจฉริยะของสเตลร่าอย่างมาก ที่เธอนั้นสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไปถึงขนาดนี้ 

    “คุณสเตลร่าเก่งจริงๆเลยนะครับ สามารถเล่นกลได้ช่ำชองได้เร็วขนาดนี้ ผมเองยังใช้เวลาฝึกเป็นปีๆกว่าจะทำได้เท่านี้เลยนะครับ”

    “ของพวกนี้สำหรับฉันแล้วมันง่ายยิ่งกว่าถอนหายใจอีกนะ แต่ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณนายที่ช่วยสอนฉันเล่นมายากลจริงๆ”

    “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ^ ^ ”

    สเตลร่าได้บอกลากับชายหนุ่มนักมายากลผู้เป็นดั่งคุณครูผู้ให้คำชี้แนะ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไป

    .

    .

    .

    .

    8 ปีต่อมา…

    ผ่านมาเกือบสิบปี สเตลร่าก็ได้ใช้ความสามารถในการแสดงมายากลหาเงินควบคู่กับการแบ่งเวลาส่วนหนึ่งตามสังเกตุการณ์โซเบลที่ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าคุณพ่อและคุณแม่ของเขาในชาตินี้จะพากันเดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านนอกชานเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบ ผู้คนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สเตลร่าจึงคิดว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเหมาะในการปลูกฝังให้เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาอย่างโซเบลเรียนรู้และเติบโตเป็นคนที่ดีได้ 

    วันเวลาผ่านพ้นไปหลายปี สเตลร่าก็คอยเฝ้าดูพัฒนาการและการเติบโตของเด็กน้อยอยู่ห่างๆ จนกระทั่งอยู่มาคืนหนึ่งสเตลร่าได้แอบเข้ามาหาโซเบลที่ในตอนนี้เขากำลังนอนหลับอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของเขา 

    แสงจันทร์สีขาวนวลสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านหน้าต่างชั้นสองของตัวบ้านในคืนที่เงียบสงบ โดยภายในห้องของเด็กน้อยนั้นประดับประดาไปด้วยของเล่นแฟนตาซีโลกเวทย์มนต์ หนังสือนิทานเกี่ยวกับมังกร ภาพวาดที่เกี่ยวกับมังกรผู้กล้าวางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น

    แต่ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างทำให้เด็กน้อยที่กำลังหลับอยู่ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการสลึมสลืมตามประสา จนกระทั่งเขาได้พบกับสเตลร่าในชุดนางฟ้าสีขาว สวมหมวกใบกว้างสีขาวขนาดใหญ่สีขาวที่มีสัญลักษณ์ปีกกางเขนสีทอง พร้อมกับออร่าสีขาวเรืองๆที่ด้านหลังดูสง่างามเหมือนเทพธิดาในฝัน

    “พี่สาว…เป็นใครน่ะ 0 0 ”

    “ฉันคือนางฟ้าที่คอยเฝ้ามองดูเธอยังไงล่ะ”

    “นางฟ้าอย่างงั้นหรอ…? ”

    เด็กน้อยทำหน้าอึ้งๆและรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน แต่แท้จริงแล้วตัวเขานั้นกำลังตื่นอยู่ในโลกแห่งความจริง

    สเตลร่าค่อยๆเอื้อมมือไปหาเด็กน้อยที่เป็นร่างเกิดใหม่ของโซเบลอย่างอ่อนโยน ก่อนจะชักชวนให้เด็กน้อยออกไปท่องราตรีด้วยกัน ซึ่งเด็กน้อยเหมือนต้องมนต์สะกดทำให้เขายอมไปกับสเตลร่าแต่โดยดี 

    ทั้งสองได้บินไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง อากาศยามค่ำคืนที่เย็นสบาย ทำให้สมองของเด็กน้อยรู้สึกโล่งปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก สเตลร่าจับมือของเด็กน้อยเอาไว้พร้อมกับใช้เวทย์มนต์ของเธอและเด็กน้อยสามารถบินท่องไปบนท้องฟ้าได้ ราวกับว่าเด็กน้อยโซเบลกำลังอยู่ในความฝันจริงๆ

    “ว้าว~~ ผมบินได้ สนุกจังเลย ^ ^ ”

    “ระวังหน่อยเดี๋ยวเธอจะตกเอานะ”

    สเตลร่าหันมาบอกเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่เห็นว่าเขานั้นกำลังอาการตื่นเต้นและดิ้นไปมาตามประสาเด็ก

    “พี่สาวเป็นนางฟ้าจริงๆด้วยสินะ ถ้าอย่างงั้นพี่สาวใช้พลังวิเศษได้รึเปล่า”

    “พลังวิเศษงั้นหรอ”

    “อือๆ อย่างเช่นเสกสิ่งของในอากาศ หรือไม่ก็เปลี่ยนเนมิตรสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้เหมือนในนิทานเจ้าหญิงอะไรพวกนี้น่ะ”

    สเตลร่าที่ได้ยินเด็กน้อยพูดมาแบบนั้นเธอก็ขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบเด็กน้อยกลับไปว่า

    “พวกเวทย์มนต์ที่เห็นในนิทานพื้นบ้านหรือพวกหนังภาพยนตร์ที่เสกรถม้า เสกคาราวานพวกนั้นฉันทำไม่ได้หรอกนะ”

    “อย่างงั้นหรอ…น่าเสียดายจังเลย”

    เด็กน้อยทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่สเตลร่าก็ได้พูดขึ้นมาว่า

    “แต่ฉันมีบางอย่างที่เธอน่าจะชอบนะ >u0 ”

    สเตลร่าขยิบตาให้เด็กน้อยเหมือนอุบอิ๊บเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจ ทำให้เด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นเริ่มสนใจ ก่อนที่เธอจะร่ายเวทย์สร้างร่างสะท้อนแห่งแสงขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆไม่ว่าจะเป็น นก กวาง เสือ สุนัข แมว หรือสัตว์อื่นๆขึ้นมารายล้อมรอบตัวเด็กน้อย พร้อมกับแสดงให้เห็นสัตว์ในตำนานจากเทพนิยายมากมายไม่ว่าจะเป็น เพกาซัส ยูนิคอร์น กริฟฟอน เป็นต้น ซึ่งสัตว์สะท้อนแห่งแสงที่เกิดจาพลังเวทย์เหล่านี้ดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าพวกมันมีชีวิตจริงๆ

    เด็กน้อยโซเบลรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ราวกับว่าตัวเองอยู่ในโลกเทพนิยายที่เคยได้ยินจากนิทานก่อนนอนที่แม่ของเขาชอบเล่าให้ฟังก่อนนอนทุกๆคืน 

    “ว้าว สวยจังเลย”

    “ยังมีอีกนะ เธอลองมองไปข้างหน้าดูสิ”

    เด็กน้อยมองไปยังทางข้างหน้าที่มีเมฆหมอกบดบังเป็นระยะๆ แต่เมื่อสเตลร่าพาเขาบินผ่านเมฆเหล่านั้นไป เขาก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็นเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นก็คือ…มังกรเพลิงขนาดใหญ่ตัวสีแดง มีเปลวเพลิงลุกโชนทั่วร่างกาย แววตาสีฟ้าประกาย สวมเกราะมังกรผู้พิทักษ์สีทองทั้งตัว มีจิตวิญญาณแห่งธาตุลุกไหม้อยู่กลางหน้าอก และมาพร้อมกับวงแหวนแห่งเพลิงที่ส่องแสงสว่างดุจสุริยันอยู่ที่ด้านหลัง

     ซึ่งนี่คือมังกรเพลิงโซเบล ที่เป็นภาพสะท้อนของเด็กน้อยที่สเตลร่าอยากให้เขาเป็นในอนาคต มังกรเพลิงในตำนานผู้ปกป้อง…มังกรเพลิง…ผู้ที่จะใช้เปลวเพลิงมอบชีวิตและความอบอุ่นให้กับทุกชีวิตที่ขอพึ่งพิง

     

    หลังจากที่สเตลร่าให้เด็กน้อยได้เห็นภาพสะท้อนตัวเขาในอดีตชาติเสร็จแล้ว เธอก็ยังตัดสินใจที่จะไม่บอกความจริงกับสิ่งที่เด็กน้อยเห็นอยู่ตรงหน้า เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนที่สเตลร่าจะได้พาเด็กน้อยมายังป่าหลังภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากนอกตัวเมืองไปไกลพอสมควร ทำให้เด็กน้อยกลัวจะโดนพ่อแม่ดุ จึงเกิดอาการรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย 

    “พี่สาว…เรามาไกลเกินไปรึเปล่า ผมกลัวคุณพ่อกับคุณแม่ดุนะ”

    เด็กน้อยถามด้วยเสียงสั่นๆ 

    “ฉันพาเธอมาดูสิ่งมหัศจรรย์แค่แป๊บเดียว เธอไม่ต้องกลัวว่าจะโดนพ่อแม่ดุหรอก”

    สเตลร่าหันมาตอบเด็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร ทำให้เด็กน้อยคลายความกังวลลงได้บ้าง

    สเตลร่าได้พาเด็กน้อยมายังบึงน้ำกลางป่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบึงน้ำที่สะท้อนดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ ก่อนที่เธอจะให้เด็กน้อยหลับตาลง จนก่อนเธอจะบอกให้เขาลืมตาขึ้นมา

    “เอาล่ะ ลืมตาขึ้นมาได้แล้ว”

    เด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตามคำสั่งของสเตลร่าอย่างช้าๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวมันดูเล็กไปหมด ต้นไม้ที่ควรจะสูงใหญ่กลับหดเล็กเหลือความสูงไม่กี่เมตร อีกทั้งมุมมองของเขาก็อยู่สูงจากพื้นดินซึ่งไม่สิ่งที่ไม่ควรจะเป็นเพราะเขาเป็นเด็กอายุแค่ 8 ขวบไม่น่าจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ป่านอกเมืองยามค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงได้กว้างไกลขนาดนี้ 

    จนเมื่อเด็กน้อยก้มลงมองสำรวจตัวเอง เขาก็ต้องผงะเหมือนพบว่าตอนนี้ร่างกายของเขาได้กลายสภาพเป็นมังกรเพลิงตัวที่เคยเห็นก่อนหน้านั้นไปแล้ว ทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

    “นะ…นี่เกิดอะไรขึ้นกับผม นี่ผมกลายเป็นมังกรงั้นหรอ 0 0 ?! ”

    “ใช่แล้วล่ะ เธอได้กลายเป็นมังกร และไม่ใช่มังกรธรรมดา เป็นมังกรที่มีพลังแห่งเปลวเพลิงที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังที่สุดในโลก”

    จู่ๆ สเตลร่าก็ลอยขึ้นมาโผล่อยู่ตรงหน้าเด็กน้อยในร่างมังกรเพลิง ในท่าเอามือไขว้หลัง

    “ผมน่ะหรอ…ที่เป็นมังกรเพลิงที่มีพลังแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”

    “ใช่แล้วล่ะ เธอมีพลังที่สามารถจะใช้ทำอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ และใครๆต่างก็ยำเกรงในพลังอำนาจของเธอทั้งสิ้น”

    “แสดงว่า! ผมสามารถทำอะไรก็ได้ใช่มั้ย 0u0 ?! ”

    “ใช่”

    “แสดงว่า! ผมสามารถใช้ปีกของผมบินไปรอบโลกก็ได้ใช่มั้ย ?! ”

    “ใช่”

    “แสดงว่า! ทุกคนบนโลกนี้จะยอมผมทุกอย่างเลยใช่มั้ย ?! ”

    “ใช่แล้วล่ะ”

    เมื่อเด็กน้อยได้ยินสเตลร่าตอบกลับมาแบบนั้น เขาก็รู้สึกดีใจมากๆที่ในตอนนี้เขาได้มีโอกาสได้เป็นมังกรอย่างที่เขาเคยฝันเอาไว้ ว่าเขาอยากจะลองเป็นมังกรสักครั้งแม้จะเป็นในความฝันก็ยังดี เพราะเขาอยากท่องโลกและผจญภัยไปในโลกแฟนตาซีที่มีอัศวินและพ่อมดเหมือนในนิทานบ้าง 

    แต่นี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักที่สเตลร่ามาหาเขาในคืนนี้ จุดหมายหลักที่สเตลร่ามาหาเด็กน้อยและทำให้เขากลายเป็นมังกรเพลิงนั้น เพียงแค่เธอนั้นอยากจะถามคำถามบางอย่างจากเขา

    “นี่…ถ้าหากเธอได้เป็นมังกร มีพลังเวทย์มากมายมหาศาล และไม่มีอาวุธใดๆสามารถทำร้ายเธอได้….เธอจะใช้ความสามารถและพลังที่เธอมียังไง”

    คำถามของสเตลร่าดังเข้าไปในหัวของเด็กน้อย ก่อนที่เขาจะประมวลคำตอบอยู่สักพักหนึ่งเพราะเขาในตอนนี้เป็นเพียงแค่เด็ก 8 ชวบเท่านั้น 

    “เอิิ่มม…เออ…..ผมก็คงจะใช้พลังของผม….ไปในทางที่ดีละมั้ง…”

    “เพราะอะไรล่ะ”

    “สาเหตุนั้นก็เพราะ คุณพ่อกับคุณแม่เคยสอนผมเอาไว้ว่า ‘คนเราเมื่อได้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ เราก็ควรจะใช้มันอย่างรับผิดชอบ เราไม่ควรจะใช้อำนาจที่ตนเองได้รับมากดขี่ ข่มเหง คนที่ต่ำต้อยกว่าตัวเอง และเราควรใช้อำนาจนั้นเกื้อกูลผู้อื่นที่มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามอย่างมีเหตุผล และควรจะมีใจแบ่งปันผู้อื่นหากเจอคนที่กำลังลำบาก’ คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่พ่อกับแม่มักสอนผม เพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ”

    เมื่อสเตลร่าได้ยินคำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของเด็กน้อย มันก็ทำให้เธอเข้าใจความคิดของเด็กน้อยรวมถึงทัศนคติของเขาที่มีต่อโลก แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากที่ยังมีความใสซื่อ แต่เธอก็เชื่อว่าความเชื่อเหล่านี้จะเป็นดั่งแสงนำทางให้เขานั้นไม่หลุดออกจากเส้นทางชีวิตของเขา ในวันที่เขาจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า 

    “อย่างงั้นเองหรอ ถ้าอย่างงั้นฉันขอร้องอะไรบางอย่างจะได้รึเปล่า”

    “พี่สาวอยากจะขอร้องอะไรจากผมงั้นหรอ ? ”

    สเตลร่าใช้พลังเวทย์เงาสะท้อนจำแลงของเธอ ทำให้เด็กน้อยกลับมาเป็นมนุษย์ปกติอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปจับมือทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยนแล้วพูดกับเด็กน้อยด้วยความหวังว่า

    “สัญญากับฉันได้มั้ย ว่าหากวันนั้นมาถึง เธอจะเป็นมังกรเพลิงที่ดี ช่วยเหลือผู้คนและปกป้องผู้อื่นด้วยพลังที่เธอมี เธอจะไม่ใช้พลังของเธอไปในเรื่องไม่ดี แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากมากแค่ไหนก็ตาม”

    สเตลร่าส่งสายตาอ้อนวอน ก่อนที่เด็กน้อยจะรู้สึกเห็นใจ เขาจึงตอบตกลงไป

    “ก….ก็ได้…ผมสัญญาว่าผมจะเป็นมังกรเพลิงที่ดี ผมจะใช้มันเพื่อช่วยเหลือคนอื่นและไม่ใช้มันไปรังแกใคร”

    หลังจากที่เด็กน้อยให้คำมั่นสัญญา สเตลร่าก็ได้ขอเกี่ยวก้อยเชิงสัญลักษณ์ว่าเด็กน้อยจะทำตามที่เขาพูดโดยไม่ผิดคำสัญญา

    “สัญญาแล้วนะ ^ ^ ”

    หลังจากที่สิ้นเสียงคำพูดของสเตลร่า จู่ๆ ภายในหัวของเด็กน้อยก็ค่อยๆเลือนลางไป จนกระทั่งเด็กน้อยสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงภายในห้องนอนของเขา ทำให้เขารู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนหน้ามันคือความฝัน 

    แต่เขากลับรู้สึกว่าสัมผัสที่ฝ่ามือและบริเวณนิ้วก้อยเกี่ยวสัญญากับสเตลร่าในความฝันนั้นยังรู้สึกถึงแรงกดอยู่ ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเรื่องเกิดขึ้นนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเขาแค่คิดมากไปเองตามประสา ส่วนทางฝั่งของสเตลร่าในตอนนี้นั้นเธอก็กำลังนั่งยิ้มอยู่บนหลังคาบ้านอีกฝั่งหนึ่งด้วยรู้สึกที่สบายใจมากๆ เพราะเธอเชื่อว่าหลังจากนี้ไปจนเด็กน้อยจะเติบโตเป็นคนที่ดีและมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก่อนที่เธอจะพาเขากลับไปที่โลกเอเซอร์เชี่ยนอีกครั้ง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×