ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #25 : (:ตอนพิเศษ:) ตอน การเดินทางของสเตลร่า บทที่ 1 (1/3)

    • อัปเดตล่าสุด 30 ธ.ค. 66


     

    ย้อนกลับไปเมื่อ 1,000 ปีก่อน

    หลังจากที่ผู้กล้าลูซิสได้สังหารมังกรเพลิงปีศาจจนสิ้นชีพลงแล้วที่เมืองหลวงเดนิส สเตลร่าที่แอบเฝ้ามองดูการต่อสู้ของทั้งสองมาตั้งแต่ต้น ก็รีบโผล่ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อวิ่งไปเก็บเอาดวงจิตวิญญาณแห่งธาตุที่หลุดออกมาจากร่างของโซเบล ท่ามกลางเมืองหลวงเดนิสที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงและขี้เถ้า เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกและซากศพที่ถูกเผาไหม้จนเกรียมเต็มถนนหนทาง 

    ฟุบบ!!!

    ในระหว่างที่สเตลร่ากำลังวิ่งไปเพื่อที่จะเข้าไปคว้าเอาวิญญาณของโซเบลอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีฝูงไวเวิร์นและสัตว์ประหลาดโลกมืดจำนวนมากโผล่เข้ามาขัดขวางเธอเพื่อไม่ให้เธอเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งธาตุของโซเบลได้ “อย่ามาขวางนะ!!” สเตลร่าใช้คฑาหัวมังกรสีขาวของเธอทำการร่ายเวทย์มนต์ขึ้นเพื่อเสกกระสุนเวทย์แสงสีขาวโจมตีใส่ฝูงไวเวิร์นสีดำและสัตว์ประหลาดโลกมืด จนพวกมันตายหมด ก่อนที่สายตาของเธอจะเพ่งมองไปยังเบื้องหน้าและพบว่า ผู้กล้าลูซิสกำลังจะใช้ดาบล่ามังกรสีเงินวาววับของเขาทำลายดวงจิตตัวแทนแห่งธาตุเพลิงให้สิ้นซาก “หยุดนะ 0 0 !!!! ” 

    โคร้มมมม!!!!

    ในขณะที่ผู้กล้าลูซิสกำลังจะลงดาบอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีคลื่นสายลม คลื่นน้ำ และก้อนหินขนาดใหญ่โผล่เข้ามาโจมตีผู้กล้าลูซิสเพื่อขัดขวางไม่ให้เขานั้นทำลายดวงจิตของมังกรเพลิงโซเบลได้สำเร็จ นั่นจึงทำให้ผู้กล้าลูซิสต้องกระโดดลอยถอยออกไปยืนตั้งหลักอยู่บนซากปรักหักพังเพื่อดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

    กลุ่มก้อนพลังเวทย์ทั้ง 3 ธาตุ ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างของมังกรธาตุทั้งสามขึ้นมาอย่างช้าๆ ซึ่งมังกรธาตุในตำนานทั้งสามตนนี้ล้วนมีขนาด ส่วนสูง เฉดสี พลังเวทย์ของตัวเองที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน โดยมังกรธาตุในตำนานตนแรก มังกรธาตุในตำนานตัวแทนแห่งผืนน้ำและท้องทะเล มังกรที่ครอบครองพลังเวทย์มนตราที่เกี่ยวกับธาตุน้ำและของเหลวทั้งหมด 

    มังกรเทพสมุทรในตำนาน เบลโซไดร ‘Belsodri The Sea of Dragon’ โดยมังกรตนนี้มีลักษณะเหมือนมังกรทะเลขนาดใหญ่ เพศเมีย มีครีบเหมือนปลาตรงบริเวณระหว่างนิ้วมือ เขามังกรบนศีษระมีลักษณะเหมือนปะการังที่มีความเรียวแหลมโค้งมนขนาดใหญ่ 2 คู่ และมีเขาขนาดใหญ่อีกจำนวนหนึ่งยิบย่อย มีผังผืดตามข้อต่อรวมถึงปีกขนาดใหญ่ที่มีไว้ใช้ว่ายน้ำมากกว่าใช้บินในอากาศที่ด้านหลัง มีลำตัวยาวปลายหางมีครีบจันทร์เสี้ยวสีเหลืองขนาดใหญ่ คลาน 4 ขาแต่สามารถทรงตัวยืนขึ้น 2 ขาได้ มีเกล็ดสีน้ำเงินและมีลวดลายคลื่นน้ำทะเลสีครามทั่วร่างกาย แววตาสีฟ้าเปล่งประกายเหมือนแสงสาดส่องลงมาใต้ผิวน้ำ ขนาดลำตัวยาว 35 เมตร และมีจิตวิญญาณแห่งธาตุที่มีลักษณะเหมือนหยดน้ำสีฟ้าเรืองๆอยู่กลางหน้าอก

    มังกรตัวต่อมา คือมังกรในตำนานตัวแทนแห่งท้องฟ้าและอากาศ มังกรที่ครอบครองพลังเวทย์มนตราที่เกี่ยวกับสายลมและสายฟ้าทั้งหมด 

    มังกรแห่งท้องนภาอสนีบาตในตำนาน อาร์เบลดอร์ส ‘Arbedos The Legends of Wind Dragon’ โดยมังกรตนนี้มีลักษณะเหมือนมังกรขนาดเล็ก ปราดเปรียว คล่องแคล่ว เพศผู้ เกล็ดตามร่างกายมีลักษณะแหลมเหมือนคลื่นสายฟ้าและแบ่งเป็นชั้นๆซ้อนกันหลายชั้น แววตาสีเขียวประกาย มีปีกขนาดใหญ่ที่ด้านหลัง 3 คู่ ซึ่งปีกแต่ละอันสามารถประกบข้อต่อเข้าหากันให้มีลักษณะเหมือนไอพ่นได้ มีกรงเล็บสีเหลืองที่อุ้งมือและเท้าพร้อมกับไฟฟ้าสถิตย์ มีเขามังกรบนศีษระขนาดใหญ๋มีลักษณะโครงสร้างเป็นสี่เหลี่ยมเปียกปูนชี้ตรงไปที่ด้านหลังสำหรับลู่ลมพร้อมกับมีไฟฟ้าสีเหลืองสถิตย์เป็นระยะ มีความสูงเพียง 25 เมตรซึ่งเป็นมังกรธาตุในตำนานที่มีขนาดเล็กที่สุดในกลุ่ม และมีจิตวิญญาณแห่งธาตุที่มีลักษณะเหมือนกับสายฟ้าฟาดสีเหลืองประกบกันเป็นรูปตัว X อยู่กลางหน้าอก

    และมังกรธาตุในตำนานตนสุดท้าย มังกรในตำนานตัวแทนแห่งธรณีและใต้ผืนพิภพ มังกรที่ครอบครองพลังเวทย์มนตราที่เกี่ยวกับผืนดินและดวงดาว

    มังกรแห่งผืนพิภพในตำนาน เบเซลลิส ‘Becellis Dragon of The Earth’ โดยมังกรตนนี้มีลักษณะร่างกายใหญ่โตดุจภูเขาขนาดย่อมๆ เพศผู้ เกล็ดตามร่างกายมีลักษณะขรุขระเหมือนลาวาที่แข็งตัวและมีสีน้ำตาลเข้มปนดำ แต่ร่างกายภายนอกตั้งแต่หัวจรดหางนั้นถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหินและดินจากยุคบรรพากาลที่ทับลมรวมกันมานับพันล้านปี ทำให้มีหิน แร่ธาตุ รวมถึงหินอุกกาบาตจากนอกโลกปกป้องร่างกายชั้นนอกอีกหลายชั้น มีปีกขนาดใหญ่โตที่สามารถบดบังปราสาทขนาดใหญ่ได้ทั้งหลังและหากได้รับแร่ธาตุพลังเสริมจะสามารถบดบังท้องฟ้าได้ ขาคู่หน้ามีขนาดใหญ่และทรงพลัง มีหางสั้นแต่ปลายหางมีลูกตุ้มที่เคลือบด้วยหินอุกกาบาตสีดำที่ทรงพลัง มีความสูงได้ตั้งแต่ 50 เมตร แต่สามารถขยายใหญ่ได้ถึง 12 กิโลเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเบเซลลิสนั้นกินหินและแร่ธาตุเข้าไปมากแค่ไหน และมีจิตวิญญาณแห่งธาตุที่มีลักษณะเหมือนกับรากไม้แตกแขนงอยู่บริเวณหน้าอก

     

    มังกรธาตุในตำนานทั้ง 3 ได้มารวมตัวกันเพื่อปกป้องดวงวิญญาณของโซเบล เพื่อไม่ให้โลกเอเซอร์เชี่ยนเสียสมดุลไป และเหมือนว่าสเตลร่าจะรู้สึกโล่งอกที่มังกรทั้งสามมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และช่วยกันขัดขวางผู้กล้าลูซิสเอาไว้ได้

    “เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย ? ”

    เบลโซไดรหันมาถามสเตลร่า ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างโล่งอกว่า

    “ไม่เป็นไร โชคดีที่พวกเธอมาได้จังหวะพอดี”

    “ท่านแม่เรียกพวกเราให้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อช่วยกันปกป้องดวงวิญญาณของโซเบล ตอนนี้เจ้าอยากจะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ! ”

    อาร์เบดอร์สบอกกำชับก่อนที่เขาจะหันไปโฟกัสดูท่าทีของผู้กล้าลูซิส ซึ่งในตอนนี้เขามาพร้อมกับกองทัพสัตว์ประหลาโลกมืดที่มาจาก ดาร์คเนส เวิล์ด ดรากูน เพื่อมาจัดการพวกเขาทั้งหมด 

    และแล้วผู้กล้าลูซิสก็ได้ชี้ดาบลงมายังกลุ่มของมังกรธาตุในตำนานทั้ง 3 ตน เพื่อสั่งให้สัตว์ประหลาดและมอนเตอร์โลกมืดทั้งหลายช่วยกันบุกกระหน่ำโจมตีใส่ ทำให้ตอนนี้มังกรธาตุทั้งสามจะต้องร่วมด้วยช่วยกันป้องกันเพื่อซื้อเวลาให้สเตลร่านำดวงวิญญานของโซเบลหนีกลับไปที่เซเลสเทรียให้ได้

    “รีบพาดวงวิญญาณของโซเบลกลับไปหาท่านแม่เร็วเข้า !! ”

    “เข้าใจแล้ว!”

    หลังจากนั้นสเตลร่าก็รีบวิ่งเข้าไปคว้าเอาดวงวิญญาณของโซเบลเข้ามาไว้ในภารชนะวิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บจิตวิญญาณแห่งธาตุโดยเฉพาะ เพราะไม่มีภารชนะใดในโลกสามารถกักกับและทนทานต่อพลังเวทย์อันมหาศาลของจิตวิญญาณแห่งธาตุได้ ก่อนที่สเตลร่าจะรีบร่ายเวทย์บินหนีออกจากเมืองเดนิสไป 

    แต่นั่นก็ไม่ง่ายเพราะผู้กล้าลูซิสก็ได้โผล่เข้ามาจู่โจมสเตลร่าจากทางด้านหลัง ทำให้สเตลร่าต้องพยายามหลบหลีกการโจมตีและปัดป้องการโจมตีของผู้กล้าลูซิสอย่างสุดชีวิต ถึงแม้ว่าในใจเธอนั้นอยากจะจัดการผู้กล้าลูซิสมากแค่ไหนแต่การนำดวงวิญญาณของโซเบลไปให้ถึงมือเทพธิดาไมอาร์นั้นสำคัญยิ่งกว่า 

    สเตลร่าพยายามที่จะบินหนีไปเรื่อยๆเพื่อสลัดอีกฝ่ายให้หลุด แต่ผู้กล้าลูซิสก็ไม่ยอมละลดพยายามบินไล่ตามเธอมาติดๆพร้อมกับยิงพลังมนตราพิฆาตมังกรออกมาจากดาบใส่เธอ ทำให้สเตลร่าเกือบพลาดท่าถูกผู้กล้าลูซิสสังหารไปอีกราย แต่ภายหลังเธอได้ถูกอาร์เบดอร์สที่บินไล่ตามมาสมทบด้วยความเร็วสูง ทำให้เธอรอดงื้อมือจากการโจมตีครั้งล่าสุดของผู้กล้าลูซิสมาได้ 

    เปรี้ยงงงง!!!!

    อาร์เบดอร์สใช้แขนรับเวทย์พิฆาตมังกรของผู้กล้าลูซิสเข้าไปเต็มๆ และด้วยความรุนแรงของมนตราพิฆาตมังกรนี้มันก็ทำให้อาร์เบดอร์สเจ็บปวดสะท้านไปทั่วร่างกายแต่เขาก็ยังพอที่จะทนต่อความเสียหายนี้ได้จนกระทั่งมนตรานั้นหายไป แต่เกล็ดที่บริเวณแขนของเขาก็ถูกเลาะออกจนหมด จนเกิดเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน

    “อาร์เบดอร์ส เป็นอะไรรึเปล่า 0 0 ??! ”

    “*แฮ่กก….แฮ่ก….* ข้าไม่เป็นไร….แค่นี้ข้ายังไหว”

    สีหน้าของอาร์เบดอร์สเหงื่อตกอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขานั้นบาดเจ็บและอ่อนล้าอย่างมากหลังจากโดนมนตราพิฆาตมังกรเข้าไป 

    “ข้าไม่แปลกใจเลย…ว่าทำไมเจ้าโซเบลถึงถูกมนุษย์ผู้นั้นสังหารลงได้ง่ายๆ เวทย์มนตราของมันรุนแรงมากจนถึงขั้นทำให้เกล็ดของข้าหลุดรุยออกไปจนหมดเลย”

    “ภารกิจในครั้งนี้มีเพียงแค่พาดวงวิญญาณของโซเบลส่งไปให้ถึงมือท่านแม่เท่านั้น ถ้าเป็นไปได้พยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับผู้กล้าลูซิสดีกว่า”

    “มันก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแหละ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าน่ะเร็วที่สุดในบรรดามังกรธาตุทั้งหมดเลยนะ เรื่องหลบหลีก การหลอกล่อข้าน่ะถนัดที่สุดอยู่แล้วล่ะ” 

    แล้วอาร์เบดอร์สก็หันมาพยักหน้าให้สเตลร่าเพื่อให้ความมั่นใจแก่เธอ ซึ่งสเตลร่าก็เชื่อมั่นในความสามารถของอาร์เบดอร์สหมดใจ เพราะอาร์เบดอร์สเป็นมังกรที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในโลกบินตามความเร็วของเขาทัน นอกจากมังกรปีศาจบรรพากาลเท่านั้น

    เมื่อทั้งสองตกลงกันเสร็จแล้ว ผู้กล้าลูซิสก็เปิดฉากโจมตีมาอีกรอบโดยคราวนี้เขารวมพลังมนตราพิฆาตมังกรก่อนจะยิงคลื่นพลังเวทย์นั้นออกมาจากดาบล่ามังกร ในรูปแบบสายฟ้าฟาดที่สามารถแตกกระจายกินรัศมีออกไปเป็นวงกว้างได้ อาร์เบดอร์สที่เห็นท่าไม่ดีเขาจึงร่ายเวทย์เสกลมพายุขนาดใหญ่ขึ้นมา 3 ลูก และนำพายุเหล่านั้นมาใช้เป็นกำแพงป้องกันชั่วคราว ก่อนที่สเตลร่าจะใช้โอกาสนี้บินหนีไปให้ไกลที่สุดจากที่นี่ 

    ส่วนอาร์เบดอร์สก็เข้าปะทะกับผู้กล้าลูซิส โดยใช้ทักษะการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จนเกิดเป็นภาพหลอนซ้อนทับหลายๆชั้นหลอกสายตาของผู้กล้าลูซิส ซึ่งผู้กล้าลูซิสนั้นไม่ได้ฝึกมาเพื่อเผชิญหน้ากับมังกรธาตุในตำนานที่เร็วที่สุดในโลกอย่างอาร์เบดอร์ส ทำให้ในตอนนี้อาร์เบดอร์สสามารถบินพุ่งเข้ามาพ่นสายฟ้าโจมตีใส่ผู้กล้าลูซิส พร้อมกับใช้แรงกระแทกจากการพุ่งชนจนทำให้ผู้กล้าลูซิสเสียอาการอย่างหนัก แต่เนื่องจากชุดเกราะมังกรของเขานั้นปกป้องความเสียหายได้เกือบสมบูรณ์แบบ ทำให้การโจมตีของอาร์เบดอร์สนั้นไม่ค่อยส่งผลต่อผู้กล้าลูซิสมากนัก

    จนเมื่อผู้กล้าลูซิสตั้งหลักได้ เขาก็ได้ร่ายเวทย์กาง ‘อาณาเขตบัญญัติเลือดมังกร’ กินอาณาเขตวงกว้าง 500 เมตร โดยมีตัวเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งมีชีวิตเผ่ามังกรตนใดก็ตามที่อยู่ภายในอาณาเขตนี้จะทำให้ความสามารถในการใช้เวทย์มนตรา ทักษะทางด้านร่างกาย การป้องกัน และความเร็วลดลงอย่างมาก ทำให้ในตอนนี้ความเร็วของอาร์เบดอร์สลดลงจากเดิมอย่างมาก จนในตอนนี้เขาไม่สามารถสร้างภาพหลอนเหมือนแต่ก่อนได้ และเมื่ออาร์เบดอร์สไม่สามารถใช้ความเร็วเข้าต่อกรได้ ผู้กล้าลูซิสก็ทำการเปิดฉากโจมตีใส่อาร์เบดอร์สในทันที

    .

    .

    .

    .

    เวลาต่อมา…

    ณ เซเลสเทรีย

    สเตลร่า เบลโซไดร และเบเซลลิส ทั้งสามสามารถเอาชีวิตรอดหนีกลับไปยังเซเลสเทรียที่ประทับของเทพธิดาไมอาร์ได้อย่างปลอดภัย จะมีก็เพียงแค่อาการเหงื่อตกและเหนื่อยล้าจากการต่อสู้เพียงเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้เทพธิดาไมอาร์ก็กำลังรอการมาถึงของทั้งสามอยู่พอดี โดยเฉพาะสเตลร่า

    “กลับมาปลอดภัยดีใช่มั้ย”

    “ค่ะท่านแม่”

    สเตลร่าขานรับ ก่อนที่เธอจะเดินนำขวดภารชนะสวรรค์ที่บรรจุดวงวิญญาณของโซเบลอยู่ภายในมอบให้เทพธิดาไมอาร์ 

    “นี่ค่ะท่านแม่ ดวงวิญญาณแห่งธาตุของโซเบลที่หนูกับคนอื่นๆช่วยกันพานำมันกลับมามอบให้ท่านแม่ค่ะ”

    “ทำได้ดีมากจ้ะ ลูกทั้งสามช่วยแม่เอาไว้ได้เยอะเลย ^ ^ ”

    เทพธิดาไมอาร์รับขวดโหลจากสเตลร่าพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นให้ทั้งสาม 

    “หลังจากนี้ท่านแม่จะทำเช่นไรกับดวงวิญญาณของโซเบลงั้นรึ ? ”

    เบลโซไดรถามด้วยความสงสัย 

    “คงต้องหาร่างกายหยาบให้เขาไปจุติใหม่น่ะ แต่ตอนนี้โลกเอเซอร์เชี่ยนไม่มีที่ใดปลอดภัยที่จะให้เขาได้ฟูมฟักออกมาจากไข่เลย”

    “ *ห่ะ…* ก็เล่นเผาเมืองทำลายล้างอารยธรรมไปเกือบทุกอาณาจักรสะขนาดนั้น ข้าก็เลยไม่แปลกใจที่จะไม่สามารถนำไข่มังกรเพลิงจุติไปซ่อนอยู่บนโลกเอเซอร์เชี่ยนได้ ยิ่งช่วงนี้พวกมังกรปีศาจบรรพกาลกำลังเหิมเกริมจากพลังอำนาจอยู่ด้วย ยิ่งไม่ปลอดภัยเข้าไปใหญ่”

    “ในเมื่อโลกเอเซอร์เชี่ยนในเวลานี้ไม่ปลอดภัย ท่านแม่จะทำยังไงเพื่อฟื้นคืนชีพให้โซเบลล่ะคะ 0 0 ? ”

    เทพธิดาไมอาร์เงียบและจ้องมองไปที่ขวดโหลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกแผนการที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนให้ สเตลร่า เบลโซไดร และ เบเซลลิส ฟังว่า 

    “แม่คิดว่า….แม่จะให้โซเบลไปจุติใหม่ยังโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกเอเซอร์เชี่ยน…” 

    ทั้งสามคนถึงกับตะลึงและงุนงงกับคำพูดของเทพธิดาไมอาร์ ก่อนที่เบลโซไดรจะถามอีกรอบเพื่อความแน่ใจ 

    "เมื่อกี้นี้ ท่านแม่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ 0 0 ? ”

    “อย่างที่แม่พูดไปนั่นแหละ แม่จะส่งดวงวิญญาณของเขาไปเกิดใหม่ยังโลกอื่น หรือถ้าจะให้เรียกง่ายๆก็จักรวาลอื่น”

    “จักรวาลอื่นอย่างงั้นหรอคะ 0 0 ”

    “ถูกต้องแล้วจ้ะ ถ้าอยากจะให้โซเบลเกิดใหม่และอยู่รอดปลอดภัยจากงื้อมือของกลุ่มมังกรเทพตกสวรรค์ล่ะก็…แม่จำเป็นจะต้องส่งเขาไปยังโลกอื่นที่ไม่มีเวทย์มนต์ ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ และไม่มีภัยคุกคามใดๆจากกลุ่มมังกรเทพตกสวรรค์”

    เมื่อทั้งสามรู้แล้วว่าเทพธิดาไมอาร์ต้องการจะทำอะไรต่อ สเตลร่าก็ได้ถามขึ้นมาว่า

    “แล้วท่านแม่จะส่งเขาไปเกิดใหม่ที่โลกอื่นยังไงคะ พวกเราหรือท่านแม่ก็ไม่ได้มีเวทย์มนต์ใดๆที่จะส่งคนข้ามจักรวาลได้นะคะ”

    “เรื่องนั้นลูกไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้พวกเราจะไม่มีพลังแบบนั้น แต่แม่สามารถติดต่อกับคนคนหนึ่งที่สามารถทำแบบนั้นได้”

    ในระหว่างที่สเตลร่า เบลโซไดร และเบเซลลิสกำลังรอฟังคำตอบอย่างจดใจใจจ่ออยู่นั้น อาร์เบดอร์ส ที่เพิ่งกลับมาจากการต่อสู้กับผู้กล้าลูซิส เขาก็กลับมาในสภาพที่ค่อนข้างสะบัดสะบอมพอสมควรและเมื่อเขาเห็นว่าขวดโหลบรรจุวิญญาณถูกส่งถึงมือเทพธิดาไมอาร์เขาก็โล่งใจ

    “อ่า….ขวดโหลยังปลอดภัยดีสินะ…ค่อยโล่งอกไปหน่อย… *แฮ่ก…แฮ่ก..* ”

    “เจ้าไหวอยู่ใช่มั้ยอาร์เบดอร์ส ? ”

    เบลโซไดรถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากเห็นบาดแผลตามร่างกายของอาร์เบดอร์ส ก่อนที่อาร์เบดอร์สจะหันกลับมาตอบว่า

    “ข้ายังไหว…แค่นี้สบายมาก…”

    สเตลร่าสงสัยและเริ่มอยากรู้แล้วว่าคนที่เทพธิดาไมอาร์กล่าวถึงนั้น เขาเป็นใครกันแน่และจะเกิดอะไรขึ้นกับโซเบลหากเขาต้องไปจุติยังร่างใหม่ที่โลกอื่น นั่นคือคำถามที่เธอต้องการคำตอบให้หายสงสัย 

     

    จนกระทั่ง…

    .

    .

    .

    .

    .

    ฟริ้วววว!!!!

    สเตลร่าหลับตาและถูกส่งมายังโลกแห่งหนึ่ง ณ จักรวาลหนึ่งที่ไม่ใช่เอเซอร์เชี่ยน เวิล์ด ซึ่งทันทีที่เธอมาโผล่ที่โลกนี้เธอก็สัมผัสได้ถึงลมอ่อนๆที่พัดโชยมาปะทะร่างกายของเธอ เสียงฟู่ว เสียงอื้ออึงทุ้มต่ำ เสียงคนสัญจรไปมา และเสียงปี๊ดๆดังระงมรอบตัวเธอทั้งจากบนฟ้าและใต้เบื้องล่างของเธอ จนเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเธอก็พบกับภาพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต 

    สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของสเตลร่าในตอนนี้นั่นก็คือ ภาพของเมืองเมืองหนึ่งในต่างโลก พร้อมกับเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า เสียงรถยนต์ที่ขับแล่นไปตามถนน และสเตลร่าก็กำลังยืนอยู่บนรอมถนนนอกชานเมือง อีกทั้งในมือของเธอก็ยังคงจับขวดโหลวิญญาณโซเบลเอาไว้แน่น และด้วยความประหลาดใจนี้เองมันก็ทำให้สเตลร่ารู้สึกแปลกหูแปลกตากับสิ่งที่เธอเห็นอย่างมาก เพราะเธอแทบไม่เชื่อเลยว่าเธอจะมาโผล่ยังโลกอื่นจริงๆ “นี่ฉัน…มาโผล่ที่ต่างโลกแล้วจริงๆอย่างงั้นหรอ 0 0 ” 

    หลังจากนั้นสเตลร่าก็ก้มลงมองขวดโหล พร้อมกับนึกถึงคำกำชับจากเทพธิดาไมอาร์ว่า ‘หลังจากที่เธอเดินทางไปโผล่อีกโลกหนึ่งแล้ว ก็ให้เธอเปิดขวดโหลที่บรรจุดวงวิญญาณของโซเบลออกมา เพื่อปล่อยให้ดวงวิญญาณของเขาล่องลอยไปหาร่างเด็กทารกแรกเกิดที่เหมาะสม และเมื่อดวงวิญญาณหาร่างที่เหมาะสมได้แล้ว สเตลร่าจะต้องคอยติดตาม เฝ้าดูพฤติกรรม และคอยช่วยเหลือโซเบลอยู่ห่างๆไปพร้อมกับเรียนรู้วิถีการชีวิตของผู้คน ณ ต่างโลกไปด้วยเพื่อศึกษาไปด้วยในตัว’

     แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่สเตลร่าต้องพึงระลึกเสมอว่า หลังจากที่เธอไปอยู่ที่ต่างโลกแล้วพลังเวทย์และมนตราใดๆก็ตามที่ได้รับอิทธิมาจากเทพธิดาไมอาร์จะไม่สามารถใช้งานได้ และมีเวทย์มนตราบางอย่างที่สามารถใช้ได้แต่จะสามารถใช้งานมันได้อย่างจำกัด หากสเตลร่าใช้พลังเวทย์กลางของตัวเองจนหมด สเตลร่าก็จะไม่สามารถใช้งานพลังเวทย์ใดๆได้อีกต่อไปและเธอก็จะกลายเป็นแค่คนธรรมดาไปในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้พลังเวทย์อย่างโจ่งแจ้งให้คนที่โลกอื่นเห็นเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง ทำให้สเตลร่าจะต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใช้พลังเวทย์แต่ละครั้งให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นเธอจะได้กลับไปยังโลกเอเซอร์เชี่ยนช้าหรือเร็ว มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสเตลร่าสามารถทำภารกิจของเธอสำเร็จลุล่วงได้เร็วหรือไม่

    เมื่อสเตลร่านึกได้ดังนั้น เธอจึงไม่รอช้ารีบเปิดฝาขวดโหลที่บรรจุดวงวิญญาณของโซเบลให้ดวงวิญญาณนั้นลอยออกไปหาร่างที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นร่างเกิดใหม่ แต่ทว่า สเตลร่าก็ไม่สามารถเปิดฝาขวดโหลนี้ออกมาได้ เนื่องจากตอนที่เธอเก็บดวงวิญญาณเข้ามาใส่ในขวดโหล เธอทำการปิดผนึกฝาขวดอย่างแน่นหนาจนเกินไปด้วยความเร่งรีบ ทำให้เธอต้องออกแรงบิดฝาเพื่อเปิดขวดโหลออกมาให้ได้ “(บ้าจริง เผลอปิดผนึกขวดโหลแน่นไป แบบนี้จะเปิดขวดโหลได้มั้ยเนี่ย > < !!! ) *อ๊ากกกก!!!!* ” หลังจากนั้นสเตลร่าก็ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆในการเปิดขวดโหลซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถปลดปล่อยให้ดวงวิญญาณของโซเบลไปจุติใหม่ได้หรือไม่…

     

    ส่วนทางฝั่งเทพธิดาไมอาร์กับเหล่ามังกรธาตุในตำนานที่เหลืออยู่ 3 ตน ก็จะเฝ้ารอวันที่สเตลร่าทำภารกิจนี้ให้สำเร็จและพาโซเบลในรูปแบบที่ดีกว่าเดิมกลับมา แต่ในระหว่างที่พวกเขารอ เบลโซไดร เบเซลิส และอาร์เบดอร์ส ก็จะขอทำหน้าที่ต่อสู้ยืนหยัดถ่วงเวลาพวกมังกรปีศาจบรรพกาล จนกว่ามังกรเพลิงโซเบลจะกลับมาอีกครั้ง

     

    จบ การเดินทางของสเตลร่า บทที่ 1

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×