ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #24 : ตอนที่: 22 เริ่มสถาปนาอาณาจักรใหม่ (:จบเนื้อเรื่อง Chapter 1:)

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 66


    หลายวันต่อมา 

    หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายที่หมู่บ้านแคลิด ดรากูน และโซเบลก็สามารถพามังกรทั้งสองเผ่าเดินทางมายังวิหารมังกรเพลิงแล้ว พวกเขาก็ไม่รอช้ารีบหาสถานที่เหมาะๆในการตั้งรกรากถิ่นฐานแห่งใหม่ ใกล้ๆกับวิหารมังกรเพลิงเพื่อที่โซเบลนั้นจะได้ดูแลอย่างทั่วถึงและอยู่ในสายตาของเขาตลอด หากมังกรทั้งสองเผ่ามีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจะได้ช่วยเหลือได้สะดวก อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าเห็ดภูติจิ๋วมัชรูมี่ในด้านอาหารและที่อยู่ ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆตลอดหลายวันที่ผ่านมา จนหมู่บ้านมังกรแห่งใหม่เริ่มถูกสร้างขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

    และเช้าของวันนี้เอง โซเบลและสเตลร่าก็กำลังยืนดูภาพเหล่ามังกรขาวและมังกรดำกำลังช่วยกันจัดแจงพื้นที่และแบ่งอาณาเขตที่อยู่อาศัยของตัวเองให้ชัดเจนอยู่หน้าวิหารมังกรเพลิงที่ตั้งอยู่บนที่สูงจากระยะทางที่ไม่ค่อยไกลมากนัก ด้วยความปลาบปลื้มที่มังกรทั้งสองเผ่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นี่โดยไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพราะหลังจากนี้อีกหลายร้อยหลายพันปีข้างหน้า สายเลือดของมังกรทั้งสองเผ่าก็จะหลอมรวมเข้ากันเป็นหนึ่งในที่สุด 

    “*ฟู่ววว*”

    สเตลร่าถอนหายใจขึ้นมาอย่างแปลกๆ ทำให้โซเบลถึงกับหันมาถามด้วยความสงสัย

    “เป็นอะไรไปหรอ ทำไมทำหน้าเหมือนมีเรื่องหนักใจ ? ”

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่ฉันรู้สึกโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็เท่านั้นเอง”

    “เรื่องอะไรงั้นหรอ ? ”

    “ก็ตอนนี้นายช่วยชีวิตเผ่ามังกรดำและเผ่ามังกรขาวให้สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ และนายก็ได้รับการยอมรับจากพวกเขาให้เป็นผู้ปกครองของพวกเขา”

    “มันก็ใช่ แต่…ก็ใช่ว่าฉันจะช่วยมังกรได้ทุกตัวนะ มีมังกรหลายตัวที่ต้องตายจากฝีมือของเอเทลอยู่”

    แล้วโซเบลก็ทำหน้าซึมก่อนที่สเตลร่าจะเข้ามาช่วยปลอบด้วยการเอื้อมมือแตะที่บ่าของเขา

    “นายทำหน้าที่ของนายได้ดีที่สุดแล้ว และเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของนายสะหน่อย เพราะงั้นอย่าคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นความผิดของนายเถอะนะ”

    โซเบลเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นจากคำปลอบโยนของสเตลร่า ทำให้เขาไม่คิดมากอีก

    “ขอบใจนะ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ ^ ^ ”

    หลังจากนั้นโซเบลก็ส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้สเตลร่า ส่วนสเตลร่าก็ส่งยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน 

    และในขณะเดียวกันนี้เองโซเบลก็ได้ทำอะไรบางอย่างกับสเตลร่า โดยที่อีกฝ่ายนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว

    “อ๊ะอ๊ะเอ๊!! โซเบล นี่นายจะทำอะไรเนี่ย 0 0 ?! ”

    โซเบลพุ่งเข้ามาอุ้มสเตลร่าขึ้นมาในอ้อมกอด และดูเหมือนว่าโซเบลตั้งใจจะแกล้งให้เธอตกใจ

    “เดินจากตรงนี้กลับไปที่วิหารมันไกลแถมร่างกายของเธอยังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บไม่หายสนิท เดี๋ยวฉันอุ้มพาเธอไปส่งที่พักของเธอนะ”

    “ไม่ต้องง! หยุดเลยนะ! ทางแค่นี้ฉันเดินกลับไปเองได้! >~< !! ”

    สเตลร่ามีท่าทีขัดขืนเล็กน้อย แต่โซเบลก็ยืนอมยิ้มเพราะตอนนี้สเตลร่าเหมือนเด็กน้อยที่กำลังงอแง ผิดจากภาพลักษณ์เดิมๆที่ดูเป็นพี่เลี้ยงลิบลับ แต่สุดท้ายสเตลร่าก็ต้องยอมให้โซเบลอุ้มเธอกลับไปที่ห้องพักโดยที่มือของเธอเกาะคอเสื้อของโซเบลเอาไว้ตลอดเวลาราวกับว่าเธอเป็นเจ้าหญิงที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายรูปงาม ทำให้เธอเกิดรู้สึกเขินขึ้นมาเล็กน้อย แต่โชคยังดีที่ไม่มีใครเห็น

    “(เจ้ามังกรเพลิงบ้า ทำอะไรไม่คิดจริงๆ v//v" )”

     

    ในเวลาต่อมา 

    ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ…

    ในเวลานี้โซเบลกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อเข้าวังไปพบกับราชาเอ็กซ์โซสที่ 2 เพื่อทวงคำสัญญาในการยกดินแดนให้กับเขา แต่ในขณะเดียวกันนี้เองในระหว่างที่โซเบลกำลังจะออกเดินทางในฐานะนักผจญภัยเดลวาลินอยู่นั้นเอง ไกอัส พร้อมเหล่าคณะมังกรดำอีก 5-6 ตัวก็มารอเขาอยู่ที่ด้านนอกวิหารมังกรเพลิง 

    “พวกนายมาทำอะไรที่นี่น่ะ ? ”

    “ข้าน้อยทราบข่าวจากเรยาว่าที่ภรรยาของข้ามาว่า ท่านโซเบลกำลังจะเดินทางไปยังเมืองหลวงเดนิส พวกข้าน้อยก็เลยอยากจะอารักขาท่านโซเบลพาไปส่งให้ถึงเมืองหลวงน่ะขอรับ”

    โซเบลที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับทำหน้ามึนเล็กน้อย 

    “นี่พวกนายจะไปส่งฉันถึงเมืองหลวงในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ = =" ? ”

    “ทำไมล่ะขอรับ? มีคณะมังกรดำจำนวนหนึ่งกับข้าน้อยติดตามไปด้วยมันปลอดภัยกว่าท่านโซเบลเดินทางไปเพียงผู้เดียวในฐานะนักผจญภัยนะขอรับ 0 0 ? ”

    โซเบลถึงกับกุมขมับก่อนจะตอบไกอัสกลับไปว่า

    “ฉันหมายความว่า พวกนายจะติดตามฉันไปที่เมืองหลวงในขณะที่พวกนายอยู่ในร่างมังกรแบบนี้ไม่ได้ ส่วนเรื่องความปลอดภัยอะไรนั่นฉันไม่ได้ห่วงเรื่องตรงส่วนนั้นอยู่แล้ว”

    เมื่อไกอัสและเหล่าคณะได้ยินดังนั้นก็ผงะเพราะนึกขึ้นได้ว่า หากพวกตนติดตามโซเบลกลับไปที่เมืองหลวงในขณะที่อยู่ในร่างที่แท้จริงที่เป็นมังกรระดับสูง อาจจะทำให้ผู้คนเกิดอาการแตกตื่นได้ 

    “อ้อ!…ถ้าเรื่องนั้นพวกข้าน้อยทราบแล้วขอรับ ถ้าเช่นนั้นพวกข้าน้อยจะจำแลงร่างเป็นร่างมนุษย์ก็แล้วกันขอรับ ^ ^" ”

    หลังจากนั้นไกอัสและเหล่าคณะมังกรดำก็จำแลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อความกลมกลืนในการแฝงตัวในการเดินทาง 

    “เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางกันได้รึยังขอรับ”

    โซเบลพยักหน้าตอบกลับ ก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มออกเดินทางจากวิหารมังกรเพลิงมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเดนิสในทันที โดยพวกเขาจะบินไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงเมืองหลวง และหากพบเจอหมู่บ้าน เมือง หรือปราสาทของมนุษย์ พวกเขาจะใช้ร่างจำแลงในการปลอมตัวเพื่อผ่านพื้นที่โซนนั้นๆ ป้องกันไม่ให้ผู้คนต้องแตกตื่น

    “นายบอกเรยารึยัง ว่านายจะไปเมืองหลวงกับฉันน่ะ”

    “ข้าน้อยบอกนางแล้วขอรับ ว่าข้าน้อยจะไปส่งท่านโซเบลที่เมืองหลวง และฝากให้ฮามัสพี่สาวของข้าดูแลชั่วคราวไปก่อน”

    “อย่างงั้นหรอ สงสัยนายอยากจะให้เรยาลองฝึกใช้ชีวิตอยู่ที่โลกภายนอกบ้างสินะ”

    “ขอรับ ^ ^ ”

    แล้วไกอัสก็หันมายิ้มพยักหน้าให้เดลวาลินอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพูดต่อว่า

    “ข้าเองก็คิดว่า ท่านพี่น่าจะเข้ากับน้องสะใภ้ได้ดีนะขอรับ เพราะดูเหมือนท่านพี่ฮามัสเองก็จะตัวติดนางตั้งแต่ผ่านเรื่องร้ายๆที่แคลิด ดรากูนนะขอรับ”

    “ไหนๆก็จะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ฮามัสเองก็อยากจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนที่บ้านล่ะนะ”

    ไกอัสที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็อึ้งๆไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยจะอยู่ที่บ้านและนานๆทีจะกลับไปหาฮามัส ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้ฮามัสน่าจะได้เรยาว่าที่น้องสะใภ้มาอยู่เป็นเพื่อนแก้เหงา ในระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้านแล้ว

    “นั่นสินะขอรับ แต่ถ้ามีโอกาสข้าอาจจะแวะกลับไปหาท่านพี่และเรยาให้บ่อยขึ้นดีกว่า ไหนๆข้าก็ไม่มีภาระผูกพันอะไรที่ต้องจัดการแล้ว”

    หลังจากนั้นไกอัสและคณะมังกรดำก็พาเดลวาลินบินผ่านเส้นขอบฟ้ามุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเดนิสในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส โดยพวกเขานั้นตระหนักรู้อยู่ว่า หนทางที่พวกเขาต้องเดินไปข้างหน้านั้นยังอีกยาวไกลและอาจจะมีอุปสรรครออยู่ 

    จนกระทั่งพวกเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอเข้ากับสเตลร่าในร่างมังกรกำลังบินดักรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า 

    “สเตลร่า เธอมาทำอะไรตรงนี้น่ะ ? ”

    “พวกนายจะเดินทางไปที่เมืองหลวงสินะ”

    “อืม ฉันจะเดินทางไปพบกับราชาของอาณาจักรนี้เพื่อทวงสัญญาขอดินแดนน่ะ”

    “ฮ่ะๆ ไปในสภาพนี้คงต้องใช้เวลาหลายวัน เดี๋ยวให้ฉันช่วยก็แล้วกันนะ”

    หลังจากนั้นสเตลร่าก็ทำการร่ายเวทย์บางอย่าง ก่อนจะปรากฏเป็นประตูวาร์ปขนาดใหญ่ที่จะพากลุ่มของโซเบลมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงได้ในทันที โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น

    “ตอนนี้ร่างกายของฉันยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ฉันช่วยส่งนายได้แค่นี้นะ”

    “ขอบใจนะสเตลร่า ยังไงเธอก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ อย่าฝืนทำอะไรหักโหมจนกว่าฉันจะกลับมานะ”

    สเตลร่ายิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเปิดทางให้กลุ่มของโซเบลบินเข้าไปในประตูวาร์ป 

    .

    .

    .

    .

    ณ เมืองหลวงเดนิส ปราสาทพระราชวังหลวง

    ภายในเขตพระราชวังหลวงของราชาเอ็กซ์โซสในเวลานี้ กำลังอยู่ในความชลมุนวุ่นวายเนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ราชาเอ็กซ์โซสได้เรียกรวมพลเหล่าขุนนางจากเมืองต่างๆที่อยู่ใต้การปกครองมารวมตัวกันที่ห้องบัลลังก์ เพื่อให้พวกเขาทุกคนได้รับทราบโดยทั่วกันถึงข่าวสำคัญบางอย่างหลังจากที่กลุ่มนักผจญภัยเซอร์ริวได้ส่งข่าวมาแจ้งล่วงหน้าแก่เขา

    ภายในห้องบัลลังก์เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงของเหล่าขุนนางตระกูลชนชั้นสูงที่กำลังพูดคุยพบปะสมาคมกันอย่างอึกทึกตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน ก่อนที่ราชาเอ็กซ์โซสจะเดินขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ของเขาอย่างสงบ พร้อมกับยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ขุนนางเงียบ ก่อนที่เหล่าขุนนางจะทำการคุกเข่าถวายความเคารพต่อประมุขของพวกเขาตามระเบียบ

    “ถวายบังคมฝ่าบาท~ v v ”

    “พวกท่านเชิญตามสบาย”

    ราชาเอ็กซ์โซสผายมือให้เหล่าขุนนางลุกขึ้นยืนและทำตัวตามสบาย

    “เรียนฝ่าบาท พระองค์ทรงให้ท่านอำมาตย์มอบหมายทหารม้าเร็วส่งราชโองการมาให้พวกกระหม่อมเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ ฝ่าบาทมีเรื่องสำคัญสิ่งใดอยากจะบอกพวกกระหม่อมหรือพะยะค่ะ ? ”

    ขุนนางคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นมา 

    “ที่เราเชิญพวกท่านให้เข้ามาเข้าเฝ้าเราในเมืองหลวงเช่นนี้ ก็เพราะเรามีข่าวสำคัญอยากจะแจ้งให้พวกท่านได้ทราบ นั่นคือ ตอนนี้เผ่ามังกรดำและเผ่ามังกรขาวที่กำลังก่อความวุ่นวายทางตะวันออกเฉียงใต้ถูกกำราบลงจนหมดแล้ว”

    เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นก็ต่างกันพาฮือฮาจนเสียงดังระงมไปทั่วห้องบัลลังก์ที่มีขนาดใหญ่โต จนทำให้อำมาตย์ต้องบอกให้พวกเขาอยู่ในความสงบ แต่มันก็อดไม่ได้ที่พวกเขาจะตกใจที่เผ่ามังกรทั้งสองจะถูกกำราบและพวกเขาก็อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นคนสามารถจัดการมังกรระดับสูงได้ทั้งเผ่า

    “เรียนฝ่าบาท ถ้าหากเผ่ามังกรระดับสูงที่สองเผ่านั้นถูกำราบลงจนสิ้นแล้ว แล้วใครกันที่สามารถทำภารกิจฆ่าตัวตายเช่นนี้ได้พะยะค่ะ ? ”

    “กลุ่มนักผจญภัยระดับไม้ที่มีชื่อว่า ฟิวเจอร์ พาร์ท น่ะ และพวกเขาก็เป็นแค่นักผจญญภัยหน้าใหม่อีกด้วย”

    เหล่าขุนนางที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเดิม เพราะภารกิจในการโค่นรังมังกรระดับสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับพวกเขาเลย ต่อให้ใช้นักผจญภัยที่มีความสามารถระดับตราทองคำให้มารวมกลุ่มกันหลักร้อยก็ยากที่จะล้มมังกรระดับสูงได้หมดทั้งเผ่า หรือหากเป็นแม่ทัพอัศวิน ก็ต้องเป็นคนที่มีศาสตร์มนตรากำราบมังกรระดับสูงที่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากกว่า 20 ปี เพื่อจะเข้าใจและใช้งานมนตรากำราบมังกรได้อย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งก็ต้องใช้คนเหล่านี้ไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อยถึงจะต่อสู้กับมังกรระดับสูงได้หลายสิบตัว

    ในระหว่างที่เหล่าขุนนางกำลังพูดคุยกันถึงประเด็นที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ก็ได้มีทหารหน้าประตูวิ่งเข้ามาพร้อมกับรายงานถึงการมาถึงกับกลุ่มนักผจญภัยฟิวเจอร์ พาร์ท ให้ทุกคนในที่นี้รวมถึงราชาทราบ

    “ถวายบังคมฝ่าบาท บัดนี้กลุ่มนักผจญภัยฟิวเจอร์ พาร์ท ได้เดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วพะยะค่ะ และเวลานี้พวกเขากำลังจะเดินทางมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วพะยะค่ะ”

    “อย่างงั้นหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขารีบมาเข้าเฝ้าเราโดยทันที”

    “พะยะค่ะ!”

    หลังจากนั้นทหารเฝ้ายามหน้าประตูก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปในทันที 

     

    เวลาผ่านไปสักพัก กลุ่มนักผจญภัยฟิวเจอร์ พาร์ท ก็เดินทางมาถึงปราสาท โดยมีเซอร์ริวเดินเชิดหน้าอย่างมั่นใจเข้ามาในห้องโถง แต่ก็ทำได้เพียงระยะสั้นๆเพราะเกรงใจเหล่าขุนนางที่นี่เพราะแต่ละคนต่างก็มียศมีศักดิ์สูงส่งกันทั้งนั้น ก่อนที่กลุ่มนักผจญภัยของเซอร์ริวจะเดินเข้ามาคุกเข่าแสดงความเคารพต่อหน้าองค์ราชา

    “ถวายบังคมฝ่าบาท”

    “พวกเธอเชิญตามสบาย”

    เหล่าขุนนางต่างพากันซุบซิบถึงกลุ่มของเซอร์ริว เพราะดูเผินๆแล้วพวกเขายังเป็นนักผจญภัยที่อ่อนประสบการณ์และอ่อนต่อโลกมากๆ ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขานั้นจะสามารถกำราบเผ่ามังกรดำและเผ่ามังกรขาวได้ แต่แล้วราชาเอ็กซ์โซสก็ได้สอบถามรายละเอียดจากกลุ่มของเซอร์ริวในทันที

    “พวกเธอสามารถกำราบเผ่ามังกรดำและเผ่ามังกรขาวได้จริงๆอย่างงั้นหรอ ? ”

    เซอร์ริวทำท่าเหมือนจะตอบคำถามราชา แต่อลันบีก็เข้ามาแทรกกลางอาสาเป็นตัวแทนของกลุ่มแทนเพราะเกรงว่าเขาจะพูดอะไรเสียมารยาทในห้องบัลลังก์ 

    “ถูกต้องแล้วเพคะ กระหม่อมและเหล่าผองเพื่อนนักผจญภัยได้ช่วยกันจัดการมังกรระดับสูงที่อยู่ที่นั่นด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีเพคะ”

    ทุกคนต่างพากันอึ้งรวมถึงราชาเองก็ยังรู้สึกอึ้งเช่นเดียวกัน แต่แล้วราชาเอ็กซ์โซสก็ได้ถามหาหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นสามารถจัดการมังกรที่แคลิดกับสโนวบรอนได้ 

    “ไหนล่ะหลักฐานที่จะทำให้เราและเหล่าขุนนางที่อยู่ที่นี่เชื่อโดยสนิทใจได้ว่า พวกเธอนั้นสามารถจัดการมังกรที่แคลิดกับสโนวบรอนได้จริงๆ และที่กล่าวอ้างมานั้นไม่ใช่การกล่าวเท็จ”

    “ใช่ ถ้าหากพวกเธอเพ็ดทูลเบื้องสูงเป็นการกล่าวเท็จล่ะก็…พวกเธอต้องโทษประหารชีวิตเลยนะ”

    “พวกเรามีหลักฐาน ว่าพวกเรานั้นสามารถทำภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายมาให้พวกเราได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงดูนี่ให้เห็นกันชัดๆ”

    แล้วอลันบีก็หยิบเอาเศษชิ้นส่วนเขามังกรดำของซิฟน็อคขึ้นมาชูเหนือหัว เพื่อแสดงให้ราชาเอ็กซ์โซสและเหล่าขุนนางได้เห็นกันเป็นประจักษ์สายตา ทำเอาพวกเขาอึ้งตะลึงตาค้างเพราะไม่คิดว่ากลุ่มนักผจญภัยฟิวเจอร์ พาร์ท จะเก็บชิ้นส่วนที่หลุดออกมาจากมังกรระดับสูง แถมยังเป็นเขามังกรสภาพดีที่มีมูลค่าสูงในตลาดและเป็นที่ต้องการของเหล่าจอมเวทย์อีกด้วย

    หลังจากนั้นอลันบีก็ได้ส่งต่อชิ้นส่วนเขามังกรดำส่งต่อให้อำมาตย์ ก่อนที่อำมาตย์จะนำเขามังกรดำของซิฟน็อคให้ราชาเอ็กซ์โซสทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากเหล่านักเวทย์กำมะลอที่หลอกสร้างไอเทมสิ่งของหลอกขายให้คนอื่นที่กำลังระบาดในตลาดมืด 

    แต่เมื่อราชาเอ็กซ์โซสได้ลองใช้สายตาตรวจสอบชิ้นส่วนเขามังกรที่ได้รับมาจากกลุ่มของเซอร์ริวอย่างละเอียด ผนวกกับใช้องค์ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากตำราบรรพบุรุษ ทำให้เขาเริ่มจะเชื่อแล้วว่าสิ่งที่กลุ่มนักผจญภัย ฟิวเจอร์ พาร์ท กล่าวอ้างมานั้นเป็นเรื่องจริง และพวกเขาสามารถจัดการมังกรระดับสูงได้ถึงสองเผ่า แม้ลึกๆในใจจะไม่อยากเชื่อก็ตามแต่เขาก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มนักผจญภัยกลุ่มนี้สามารถทำภารกิจที่ตนมอบหมายให้พวกเขาได้สำเร็จลุล่วง 

    “เอาล่ะในเมื่อพวกเธอสามารถทำภารกิจที่เรามอบหมายให้พวกเธอสำเร็จลุล่วง ถ้าเช่นนั้นเราจะตบรางวัลให้ตามสัญญา”

    ในระหว่างที่กลุ่มของเซอร์ริวกำลังเตรียมตัวรับรางวัลก้อนโตจากการทำภารกิจสำเร็จ ราชาเอ็กซ์โซสก็ได้ถามหาเดลวาลินกับสเตลร่าที่ทั้งสองเคยยื่นข้อเสนอเอาไว้ 

    “จริงสิ นักผจญภัยเดลวาลินกับหญิงสาวที่มากับเขาตอนนี้สองคนนั้นเขาไปไหนแล้วงั้นหรอ ? ”

    “เรียนฝ่าบาท ก่อนหน้าที่พวกกระหม่อมจะเดินทางกลับหลังจากเสร็จภารกิจ เดลวาลินเขาบอกว่ามีธุระบางอย่างที่ต้องไปสะสางให้เสร็จก่อนแล้วจะตามมาทีหลังเพคะ”

    “อย่างงั้นหรอ”

    ในระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ก็มีทหารคนเดิมวิ่งเข้ามารายงานเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา โดยเขาได้รายงานว่าตอนนี้เดลวาลินได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว นั่นจึงทำให้กลุ่มของเซอร์ริวดีใจมากที่ตอนนี้เดลวาลินน่าจะสะสางปัญหาลุล่วงแล้ว ส่วนราชาเอ็กซ์โซสก็ตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของเดลวาลิน

    จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เดลวาลินก็ได้เดินทางมาถึงปราสาทและเข้าพบกับราชาเอ็กซ์โซสพร้อมกับกลุ่มคณะผู้ติดตามของไกอัสที่จำแลงอยู่ในร่างมนุษย์ ซึ่งทุกคนสวมชุดคลุมสีดำและแต่งกายโทนสีดำแดงทั้งหมด

    “โอ้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะมาในเวลาแบบนี้นะ นักผจญภัยเดลวาลิน”

    “พอดีผมเพิ่งสะสางปัญหาทางบ้านเสร็จเร็วก็เลยรีบเดินทางมาที่นี่เพื่อมาทวงสัญญา”

    พูดจบเดลวาลินพร้อมกลุ่มไกอัสก็หันมามองกลุ่มของเซอร์ริวก่อนจะยิ้มพยักหน้าทักทายอีกฝ่ายเงียบๆ 

    หลังจากนั้นเดลวาลินก็ได้ให้ไกอัสนำสมุดภาพเวทย์มนต์ที่ใช้บันทึกภาพสถานที่ต่างๆไปมอบให้ราชาเอ็กซ์โซสดู ซึ่งมันก็คือภาพสถานที่ตั้งของแคลิด ดรากูน กับ สโนวบรอน และราชาก็ได้ใช้เวทย์มนต์ฉายภาพที่เห็นให้เหล่าขุนนางได้เห็นพร้อมกัน

    ซึ่งตอนนี้สถานที่ทั้งสองแห่งก็ได้ถูกทำลายจนราบและไม่หลงเหลือมังกรเลยแม้แต่ตัวเดียว ทำให้ราชาเอ็กซ์โซสดเริ่มมั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แต่ในระหว่างนั้นเองไกอัสที่มองราชาเอ็กซ์โซสด้วยความสงสัย เขาก็ได้แอบกระซิบถามข้างหูเดลวาลินว่า

    "ท่านโซเบลขอรับ มนุษย์ผู้นี้คือราชาของพวกมนุษย์ที่ปกครองดินแดนแห่งนี้หรือ?"

    "ใช่ และเขาก็เป็นคนออกคำสั่งให้พวกฉันไปจัดการพวกนายด้วย"

    "อย่างงั้นหรือขอรับ แต่ดูทรงแล้วราชาผู้นี้ก็ไม่ได้มีอะไรดีเด่นไปกว่าพวกมนุษย์ธรรมดาเลยนะขอรับ ถ้าให้จับดาบมาสู้กับพวกข้าน้อยยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำละมั้งขอรับ"

    เดลวาลินไม่ตอบอะไรนอกจากถอนหายใจฟังคพกระแนะกระแหนจากไกอัสเงียบๆ

    "อื้มมม....ถึงมันจะดูเชื่อได้ยาก แต่ในเมื่อเธอสามารถกำจัดมังกรที่อยู่แคลิดได้ เรื่องยกที่ดินให้กับเธอก็ต้องยอมทำตามที่ตกลงกันเอาไว้"

    หลังจากนั้นราชาเอ็กซ์โซสก็ได้ลุกขึัน้พื่อเตรียมประกาศแย่งดินแดนให้กับเดลวาลินและให้ขุนนางทุกคนรับทราบโดยทั่วกันโดนที่ตัวราชาเองนั้นรู้ดีว่า หากเขาประกาศเรื่องนี้ออกไปอาจจะทำให้เหล่าขุนนางในอาณาจักรเกิดความไม่พอใจและอาจสร้างความแตกตื่นกับประชาชนชาวเซซิลล่าร์ไดเ แต่กษัตริย์ลูซิเนียที่เป็นทายาทสืบเชื้อสายผู้กล้าในตำนานนั้นก็ไม่สามารถที่จะคืนคำได้ เขาจึงกางแขนออกไปข้างหน้าเพื่อเตรียมประกาศให้ข้าราชบริพารทั้งหลายทราบกันทั่วกัน

    โดยราชาเอ็กซ์โซสได้ประกาศว่า 'หลังจากนี้เขาจะยกพื้นที่ส่วนหนึ่งในอาณาจักรให้กับเดลวาลินเป็นผู้ปกครอง และให้อำนาจการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดใหักับเดลวาลินโดยสมบูรณ์ ทำให้ในตอนนี้เดลวาลินมีพื้นที่ในการปกครองเป็นของตัวเองรอบๆเขตวิหารมังกรเพลิงมากถึง 500 กิโลเมตร' เป็นต้นไป

     แม้ว่าฝ่ายขุนนางจะพากันคัดค้านและรู้สึกไม่เห็นด้วยที่ราชาจะแบ่งแยกดินแดนที่ผู้กล้าลูซิสรวบรวมเป็นปึกแผ่นให้กับคนนอกที่ไม่รู้ที่มาอย่างเดลวาลิน แต่สัญญาของกษัตริย์ก็ย่อมเป็นสัญญา เขาไม่อาจจะบิดเบือนคำสัตย์ที่ให้ไว้ได้ เพราะหากราชานั้นไร้สัจจะก็เท่ากับว่าทำให้เชื่อเสียงของราชวงค์ลูซิเนียต้องหม่นหมอง

    นั่นจึงทำให้สุดท้ายเหล่าขุนนางก็ต้องจำยอมรับการตัดสินใจของราชาเอ็กซ์โซส และหันเป้าเพ่งเล็งตั้งข้อครหาเดลวาลินแทนที่เป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง แต่สำหรับเดลวาลินนั้นสิ่งที่เขาทำไปมันสำคัญยิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมของอาณาจักรนี้อาณาจักรเดียวเสียอีก ส่วนไกอัสที่เห็นว่าเจ้านายของเขากำลังถูกซุบซิบนินทาว่าร้าย เขาก็ถึงกับกำหมัดเพราะยอมไม่ได้จึงคิดจะเข้าไปสั่งสอนพวกขุนนางเหล่านั้น แต่ทว่าเดลวาลินก็ได้ห้ามเอาไว้พร้อมกับพูดว่า

    "ไม่ต้องไปฟังเสียงไก่เสียงกาพวกนั้นหรอก แค่เราบรรลุเป้าหมายได้ก็เป็นพอแล้ว

    ไกอัสหันมามองหน้าเดลวาลินและหันไปมองพวกขุนนางที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะพยายามระงับความโกรธเอาไว้

    “ *เฮ้อออ...* เข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยจะละเว้นชีวิตพวกมันสักครั้งคงไม่เป็นไร v v ” 

    หลังจานั้นทุกคนก็ได้เดินออกมาจากปราสาท และเดินทางไปยังร้านอาหารเรดควีนเจ้าเดิมเพื่อเลี้ยงฉลอง

     

    ณ ร้านอาหารเรดควีน 

    “ยินดีต้อนรับสู่ร้านเรดควีนค่าาา~~ ^ ^ ”

    เอลเดนกับไอริสพนักงานเอลฟ์น่ารักได้เข้ามากล่าวต้อนรับกลุ่มของเดลวาลินอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่เอลเดนจะเดินเข้ามากอดแขนเดลวาลินอย่างสนิทสนม 

    “คุณเดลวาลินหายไปนานเลยนะคะ รู้มั้ยว่าเราสองคนคิดถึงคุณเดลวาลินมากๆเลยนะคะ ^ ^ ”

    “ใช่ ฉันกับเอลเดนคิดถึงคุณเดลวาลินมากๆเลยนะคะ ไม่รู้ว่าคุณเดลวาลินออกไปทำภารกิจนักผจญภัยจะต้องเจอกับอะไรบ้าง”

    สาวเอลฟ์ทั้งสองเข้ามากอดแขนเดลวาลินคนละข้างและพยายามแข่งกันอ้อนเดลวาลินเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย จนทั้งสองเริ่มทะเลาะกัน

    “ไอริส เธอยังมีงานเสิร์ฟและงานหลังร้านอยู่ไม่ใช่หรอ”

    “อะไรกัน จู่ๆ มาโยนงานให้กันแบบนี้เลยหรอ งานพวกนั้นมันต้องเป็นเธอจัดการไม่ใช่รึไง?”

    แล้วสองเพื่อนซี้ก็ทะเลาะกันเพราะต่างฝ่ายต่างอยากได้เดลวาลินไป จนคนที่เหลือในกลุ่มรู้สึกเอือม ยกเว้นไกอัสและคนติดตามที่ดูเหมือนจะชื่นชมที่เดลวาลินสามารถใช้เสนห์มัดใจเอลฟ์สาวน่ารักได้ถึงสองคน แต่ดูเหมือนเดลวาลินจะไม่ได้คิดอย่างนั้น

    “เอาล่ะๆทั้งสองคน ไม่ต้องทะเลาะกันหรอกนะฉันเองก็คิดถึงเธอทั้งสองคนนั่นแหละ ฉันกลับมาเห็นเธอสองคนยังสบายดีฉันก็ดีใจแล้วล่ะ ^ ^" ”

    “แต่ฉันคิดถึงคุณเดลวาลินมากๆเลยนะคะ ฉันนอนไม่หลับเกืบทุกคืนเลยถ้าไม่มีคุณเดลวาลินอยู่ด้วย”

    เมื่อเอลเดนพูดประโยคนี้ขึ้นมา ทุกคนในกลุ่มเซอร์ริวก็หันไปจ้องมองเดลวาลินด้วยสายตาแปลกๆโดยเฉพาะลอร่ากับอลันบีที่ดูเหมือนจะแอบหึงนิดๆ

    “โอ้โห ท่านเดลวาลินสุดยอดไปเลยขอรับ ^ ^ ” 

    “ (มันใช่สถานการณ์ที่ต้องมาชมกันมั้ยเนี่ยไกอัส = =* ?! ) ไม่มีอะไรหรอกน่าทุกคน เรื่องเมื้อกี้เอลเดนเขาหมายถึงเขาไม่มีคนอยู่คุยเป็นเพื่อน เขาก็เลยคิดมากจนนอนไม่หลับก็แค่นั้นเอง ^ ^" ”

    “จริงหรอคะ ไม่ใช่ว่าแอบไปกุ๊กกิ๊กกันตอนที่พวกเราไม่อยู่นะคะ - - ? ”

    “จริงๆ ฉันกับเอลเดนเราสองคนไม่ได้มีอะไรจริงๆ เราสองคนคบกันเป็นแค่เพื่อนใช่มั้ย”

    แล้วเดลวาลินก็หันมาหาเอลเดน ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะงอนนิดๆแต่ก็ต้องยอมตอบตกลงไปตามนั้น

    และแล้วทุกคนก็ได้นั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารของเรดควีน โดยมีเซอร์ริวเป็นคนเลี้ยงอาหารทุกคนในร้านเนื่องจากวันนี้เขามีรวย ทำให้ลูกค้าทุกคนในร้านได้กินอาหารกันอย่างอิ่มหน่ำสำราญอีกทั้งเซอร์ริวยังเลี้ยงอาหารให้กดับกลุ่มไกอัส ในฐานะที่ไกอัสนั้นช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้

     “ถ้าอย่างงั้นพวกข้าไม่เกรงใจล่ะนะ” 

    หลังจากนั้นกลุ่มของไกอัสก็กินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างตะกละตะกลามทันที ราวกับว่าพวกเขานั้นไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว 

    “นั่นกินหรือสหวาปามล่ะนั่น 0 0 ”

    เซอร์ริวนั่งตะลึงอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งพร้อมกับมองกลุ่มของไกอัสที่กินอาหารบนโต๊ะจนหมดภายในเวลาไม่กี่นาที 

    “แปลกใจจริงๆเลยนะที่นายเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงเร็วกว่าที่คิด”

    อลันบีถามเดลวาลินด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทานอาหารบนโต๊ะไปด้วย

    “พอดีสเตลร่าช่วยเปิดเส้นทางลัดให้ฉันน่ะ เลยเดินทางมาที่เมืองหลวงได้เร็ว”

    “งั้นหรอ”

    หลังจากที่อลันบีได้รู้คำตอบเธอก็กลับไปทานอาหารของตัวเองต่อ ก่อนที่ลอร่าที่นั่งอยู่ข้างๆจะถามขึ้นมาว่า

    “แล้วคุณสเตลร่าเขาไปไหนหรอคะ ไม่ได้มากับคุณเดลวาลินหรอ ? ”

    “สเตลร่าเขาเหนื่อยจากการเดินทางน่ะ เลยขอนอนพักเอาแรงสักหน่อยน่ะ”

    “งั้นหรอคะ สงสัยคุณสเตลร่าจะทำงานหนักมากเลยสินะ ^ ^ ”

    เดลวาลินมองดูใบหน้าที่ยิิ้มแย้มและอ่อนโยนของลอร่า เขาก็ยิ้มพยักหน้าตอบกลับเธออย่างอบอุ่น 

    “ลอร่า ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะขอเธอหน่อยน่ะ”

    “อะไรหรอคะ ? ”

    เดลวาลินได้เข้าไปกระซิบข้างหูลอร่า ก่อนที่จะบอกในสิ่งที่เขาต้องการ

    “ฉันอยากให้เธอกลับไปที่วิหารมังกรเพลิงพร้อมกับฉันจะได้รึเปล่า…?”

    “เอ๊ะ ? ”

    “คุยอะไรกันสองคนนี้ กระซิบกระซาบอะไรกันอยู่หรอ 0 0 ? ”

    เซอร์ถามหลังจากเห็นท่าทีแปลกๆของทั้งสองคน

    “ไม่มีอะไร แค่ฉันอยากจะพาลอร่าไปเที่ยวสักหน่อยน่ะ ไหนๆพวกเราก็เพิ่งจะทำเควสที่ไม่มีนักผจญภัยคนไหนกล้าทำได้สำเร็จน่ะ”

    “อ้อ นายสองคนอยากจะไปเที่ยวเลี้ยงฉลองกันตามลำพังสองต่อสองงั้นหรอ”

    เดลวาลินกับลอร่าพยักหน้าเป็นการตอบตกลง ก่อนที่เซอร์ริวจะไม่ถามอะไรอีก 

    จนเวลาล่วงเลยผ่านไป เดลวาลินกับลอร่า พร้อมกับกลุ่มของไกอัสก็เดินออกมาจากร้านเรดควีน โดนมีเอลเดนกับไอริสมาส่งถึงหน้าร้าน

    “คุณเดลวาลินจะไปแล้วหรอคะ”

    “อื้ม ฉันมีเรื่องที่ช่วยคนของฉันสะสางให้เสร็จน่ะ”

    เมื่อสองสาวได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็มีอาการซึมที่ต้องจากเดลวาลินไปอีกแล้ว แต่เขาก็เข้ามาจับไหล่สองสาวโดยบอกว่า 

    “เธอสองคนไม่ต้องเศร้าไปหรอกน่า ฉันก็แค่กลับไปทำธุระที่ยังค้างคาที่บ้านให้เสร็จ เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว ^ ^ ”

    “คุณเดลวาลินพูดจริงหรอคะ”

    “อย่าโกหกเราสองคนนะคะ”

    เดลวาลินยิ้มพยักหน้าให้กับเอลฟ์ทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เอลเดนและไอริสจะโผเข้ากอดเขาจากคนละทาง

    “เราสองคนจะรอคุณเดลวาลินที่บ้านพักของคุณเรดควีนนะคะ คุณเดลวาลินสามารถไปหาเราสองคนที่นั่นได้ทุกเมื่อเลยนะคะ v v ”

    เดลวาลินผงะไปเล็กน้อยแต่ก็รับกอดจากทั้งสองคนเอาไว้โดยไม่ได้รังเกียจหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ก่อนที่เอลฟ์สาวทั้งสองจะปิดท้ายด้วยการจุ๊บแก้มเขาจากสองทิศทาง ทำเอาลอร่าและกลุ่มของไกอัสรวมถึงเดลวาลินถึงกับตะลึงไปพักหนึ่ง

    .

    .

    .

    .

    หลายวันผ่านไป 

    ณ วิหารมังกรเพลิง สุดขอบทางตอนใต้ของอาณาจักรเซซิลล่าร์

    หลังจากที่เดลวาลินและผองเพื่อนเสร็จธุระที่เมืองหลวงแล้ว เดลวาลินก็ได้เดินทางกลับมาที่วิหารมังกรเพลิงเพื่อที่จะร่วมเป็นสักขีพยานในงานพิธีรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าเผ่าของไกอัสในตอนกลางวัน รวมถึงงานพิธีแต่งงานระหว่างไกอัสกับเรยาควบคู่กันที่ดำเนินการในตอนกลางคืน โดยเขาก็ได้รับเชิญให้เป็นแขกคนสำคัญภายในงาน โดยมีลอร่าเป็นตัวแทนกลุ่มของเซอร์ริวมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย จนเมื่อพิธีการมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ไกอัสและเรยาก็ได้เดินทางมาหาเดลวาลินในร่างมังกรเพลิงโซเบลที่วิหารมังกรเพลิง เพื่อให้โซเบลนั้นกล่าวอวยพรให้กับทั้งสอง

    “ขอให้ทั้งสองอยู่ครองคู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลายนะ”

    ไกอัสและเรยาก้มหับคำนับแสดงคำขอบคุณ ก่อนที่ไกอัสจะร้องขออะไรบางอย่างจากโซเบล

    “ท่านโซเบลขอรับ ข้าน้อยมีเรื่องบางอย่างอยากจะร้องขอสักหน่อยจะได้มั้ยขอรับ”

    “อะไรงั้นหรอ ? ”

    “ข้าน้อยอยากจะเป็นมังกรอารักขาคอยทำหน้าที่เป็นมังกรผู้พิทักษ์ให้แก่ท่านโซเบลอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นท่านโซเบลโปรดมอบพลังเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านให้ข้าน้อยไกอัสผู้นี้จะได้หรือไม่ขอรับ”

    โซเบลอึ้งไปสักพักหนึ่งเพราะเขาไม่รู้มาก่อนว่าตัวเขานั้นสามารถแบ่งพลังธาตุของตัวเองให้กับคนอื่นเพื่อเสริมพลังได้ ก่อนที่เขาจะตั้งสติและยอมทำตามที่ไกอัสขอ โดยโซเบลนั้นได้หลับตารวมพลังสมาธิให้มั่นก่อนที่จิตวิญญาณแห่งธาตุที่อยู่กึ่งกลางหน้าอกจะส่องแสงสว่างขึ้นมา 

    จนกระทั่งมีกระจุกเปลวขนาดเล็กลอยออกมาจากแกนกลางดังกล่าว ก่อนจะลอยไปสถิตย์อยู่ที่หน้าผากของไกอัส ทำให้เกิดเป็นตราสัญลักษณ์มังกรผู้พิทักษ์มังกรเพลิงสีแดง เปล่งแสงเรืองๆดุจเพลิงชั่วขณะ ทำให้ไกอัสสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขานั้นมันร้อนไปทั่วทั้งร่าง พร้อมกับพลังเวทย์กลางที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

    “(พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้มัน….อย่าบอกนะว่านี่คือเศษเสี้ยวพลังเวทย์ที่ท่านโซเบลมอบให้แก่เราอย่างงั้นรึ 0 0 )”

    ร่างกายของไกอัสมีเปลวเพลิงลุกทั่วทั้งตัวก่อนที่จะปรากฏเป็นเกราะสีแดงขอบทองขึ้นทั้วทั้งร่างกายของไกอัส โดยเริ่มตั้งแต่เกราะหัวไล่ไปจรดหางที่ค่อยๆถูกประกอบเข้ากับร่างของไกอัสอีกทั้งยังมาพร้อมกับคมดาบหางมังกร์ผู้พิทักษ์ที่ติดอยู่กับปลอกแขนสีเหลืองดุจเพลิงอาทิตย์ด้านขวา จนในที่สุดไกอัสในตอนนี้มีสภาพเหมือนมังกรใส่เกราะหนักสีแดงเพลิงทั่วทั้งร่างกาย และมีอาวุธเป็นดาบพับติดปลอกแขนขนาดใหญ่ ทำให้ดูเท่ มีสง่า ราศีของมังกรตำแหน่งผู้พิทักษ์มังกรเพลิงในตำนานสมชื่อ 

     

    ไกอัส มังกรดำผู้พิทักษ์แห่งโซเบล ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว…

     

    “ต่อจากนี้ไป ฉันขอแต่งตั้งนายให้มาเป็นมังกรผู้พิทักษ์มือขวาของฉัน และจงอยู่รับใช้เพื่อปกป้องวิหารมังกรเพลิงพร้อมกับบริวารของฉันนับแต่นี้เป็นต้นไป”

    “ขอบคุณท่านโซเบลจริงๆขอรับ ที่มอบพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านให้แก่ข้าน้อยผู้นี้ ข้าน้อยไกอัสผู้นี้จะถวายชีวิตและอุทิศตนเพื่อวิหารมังกรเพลิงและตัวท่านโซเบลตลอดไปขอรับ v v ”

    ไกอัสคำนับแสดงคำขอบคุณโซเบลยกใหญ่ ก่อนที่เรยาที่ยืนอยู่ข้างๆจะกล่าวแสดงความยินดีกับไกอัสสามีของเธอว่า

    “ขอแสดงความยินดีด้วยนะเจ้าคะ ที่ท่านไกอัสได้เป็นมังกรผู้พิทักษ์เพื่อที่จะอยู่ปรนนับิตรับใช้ท่านโซเบลตามที่ท่านตั้งใจไว้ ต่อจากนี้ไปท่านก็พยายามทำหน้าที่ของท่านในฐานะผู้พิทักษ์มังกรเพลิงให้เต็มที่นะเจ้าคะ ^ ^ ”

    “ขอบใจเจ้ามากนะที่เจ้าให้กำลังใจข้า แต่ถึงอย่างนั้นข้าเองก็ต้องทำหน้าที่ปกครองดูแลมังกรทุกตัวในเผ่าในฐานะหัวหน้าเผ่าร่วมกับเจ้าด้วย โดยเฉพาะในฐานะสามีที่ดีที่ต้องดูแลเจ้าที่เป็นภรรยา”

    เรยาที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกเขินขึ้นมาในทันทีที่ไกอัสนั้นพูดจาอ่อนหวานให้เธอ แต่โซเบลก็เข้ามาขัดสะก่อน

    “เอาล่ะๆ ในเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกนายสองคนก็กลับไปจู๋จี๋กันต่อที่บ้านเถอะนะ = = ”

    “อ๊ะ! ข้าน้อยต้องขอประทานโทษท่านโซเบลด้วยจริงๆขอรับ พอดีอารมณ์มันพาไปน่ะขอรับ แหะๆๆ ^ ^" ”

    หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง ไกอัสกับเรยาก็กลับไปสานภารกิจกันต่อที่บ้าน จนเหลือแค่โซเบลตามลำพังคนเดียวในวิหารมังกรเพลิง

    ด้วยความรู้สึกโล่งอกเขาจึงเดินไปยังเชิงผาหน้าวิหารมังกรเพลิง ก่อนจะหงายหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกยินดีกับตัวเอง จนกระทั่งลอร่าได้เดินเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง

    "ดาวบนท้องฟ้าสวยดีนะคะ คุณโซเบลคิดอย่างงั้นมั้ยคะ ? "

    “อื้ม สวยมาก…แถมเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะ”

    “ต่อจากนี้ไป คุณโซเบลก็ต้องทำหน้าที่ปกครองดูแลเหล่ามังกรและภูติเห็ดมัชรูมี่ในฐานะมังกรเพลิงในตำนานแล้วสินะคะ”

    “อืม ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ”

    “แล้วหลังจากนี้ คุณโซเบลจะกลับไปเป็นนักผจญภัยอีกอยู่รึเปล่าคะ ? ”

    โซเบลยืนคิดไปอยู่ครู่่หนึ่งเพราะเขาไม่รู้จะให้คำตอบยังไงกับลอร่า เพราะตอนนี้เองเขานั้นก็ห่วงหน้าผวงหลังพอสมควร

    “ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่าตอนนี้ฉันจะกลับไปเป็นนักผจญภัยแล้วร่วมออกผจญภัยไปพร้อมกับพวกของเธอได้อีกรึเปล่า เพราะตอนนี้ฉันเริ่มตระหนักได้ว่า ฉันมีบางสิ่งที่ต้องปกป้องดูแลอยู่ที่นี่”

    เมื่อลอร่าได้ยินโซเบลตอบกลับมาแบบนั้นเธอก็มีสีหน้าเศร้าเล็กน้อยเนื่องจากรู้สึกเสียดาย

    “อย่างงั้นหรอคะ คุณโซเบลก็มีสิ่งที่ต้องแบกรับและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะมังกรเพลิงในตำนานอยู่สินะคะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็เข้าใจค่ะ v v ”

    โซเบลที่เห็นลอร่ายืนก้มหน้าทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เขาจึงรีบเข้าไปโอบกอดเธอเพื่อปลอบโยนเหมือนที่ผ่านๆมาอีกครั้ง

    “อย่าร้องไห้สิลอร่า ถึงฉันจะตอบแบบนั้นก็ใช่ว่าฉันจะล้มหายตายจากไปสะหน่อย ฉันก็แค่ยังหาโอกาสที่จะกลับไปเป็นนักผจญภัยไม่ได้ในช่วงนี้ก็เท่านั้นเอง ^ ^ ”

    “จริงหรอคะ คุณโซเบลไม่ได้คิดที่จะเลิกเป็นนักผจญภัยงั้นหรอคะ 0 0 ”

    “แน่นอน ฉันยังอยากที่จะออกผจญภัยท่องโลกกว้างไปพร้อมกับพวกเซอร์ริวพร้อมกับเธออยู่นะ แต่จนกว่าวันนั้นจะมาถึงเธอและคนอื่นๆจะต้องพยายามฝึกฝนตัวเองและทำตามความฝันของตัวเองให้ได้นะ”

    เมื่อโซเบลพูดปลอบลอร่ามาแบบนั้น มันก็เปรียบเสมือนเป็นคำสัญญาที่โซเบลให้ไว้กับลอร่า นั่นจึงทำให้ลอร่ากระโดดจุ๊บแก้มโซเบลไปหนึ่งที ทำเอาโซเบลถึงกับผงะเล็กน้อย

    “ลอร่า เมื่อกี้เธอทำอะไรน่ะ 0//0 ? ”

    “นี่ถือว่าเป็นคำสัญญานะคะ ว่าคุณโซเบลจะกลับมาหาพวกเราอีกครั้งและร่วมออกผจญภัยไปด้วยกัน ^//^ ”

    ลอร่ามีท่าทีเขอะเขินเช่นเดียวกัน ก่อนที่โซเบลจะยิ้มมุมปากและเตรียมไปส่งลอร่าที่จุดวาร์ปเพื่อพากลับเมือง

    “ฝากบอกทุกคนด้วยนะ~”

    โซเบลโบกมือพร้อมกับกล่าวอำลาให้กับลอร่า ก่อนที่ลอร่าจะโบกมือให้เขาแล้วเดินเข้าไปยังแกนวาร์ปเพื่อเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง โดยทั้งสองก็หวังว่าสักวันจะได้พบกันใหม่

    และในเวลาเดียวกันนี้เองสเตลร่าในชุดนอนสีขาวตัวเดียว ก็เดินกอดอกเข้ามาหาเขาก่อนจะพูดว่า

    “บอกลากลุ่มฟิวเจอร์ พาร์ท แล้วงั้นหรอ ? ”

    “อืม เพราะฉันคิดว่าฉันอยากจะเปลี่ยนแปลงแนวทางอะไรนิดหน่อย”

    “เปลี่ยนแปลงแนวทางงั้นหรอ ยังไง? ”

    “ฉันคิดว่าถ้าเกิดเราจะช่วยคน ถ้าเราบริสุทธิ์ใจจริงๆเราก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนว่าฉันนั้นเป็นใคร”

    สเตลร่าเหมือนจะรู้ได้ในทันทีว่าโซเบลนั้นกำลังจะสื่อถึงอะไร เขานั้นต้องการจะเปิดเผยตัวตนต่อคนทั้งโลกว่ามังกรเพลิงโซเบลนั้นกลับมาแล้ว ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนที่ไม่หวังดีได้โดยเฉพาะมังกรแห่งความมืดบรรพกาลที่จ้องจะเล่นงานตัวเขาอยู่ แต่โซเบลก็ยืนยันว่าเขาจะทำเช่นนั้นเพราะหากเขาขยายอาณาจักรออกไปให้กว้างใหญ่ ยังไงคนอื่นก็ต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร สู้แสดงตัวตนตั้งแต่เนิ่นๆเลยจะดีกว่าเพราะอย่างน้อยเขาก็จะสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆเหมือนเหตุการณ์หมู่บ้านสโนวบรอนอีก

    “นายแน่ใจแล้วหรอว่าจะทำแบบนี้น่ะ ? ”

    “แน่สิ ฉันคิดมาดีแล้วว่าจะทำแบบนี้”

    “แต่นายอาจจะโดนเพ่งเล็งได้นะ และบางทีคนที่ได้รับผลกระทบอาจจะไม่ได้มีแค่ตัวนาย คนอื่นๆรอบข้างนายก็อาจจะโดนลูกหลงไปด้วยนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากจะมีใครมาทำร้ายคนของฉัน ฉันนี่แหละจะปกป้องพวกเขาเอง เพราะฉันคือมังกรเพลิงในตำนานที่กำเนิดจากจิตวิญญาณธาตุแห่งเพลิงยังไงล่ะ”

    สเตลร่าที่เห็นโซเบลมีความมั่นใจขนาดนี้ เธอถึงกับต้องยอมใจเพราะเธอเองก็ไม่สามารถห้ามอะไรเขาได้ หากโซเบลนั้นต้องการจะทำแบบนั้น

    “ *เฮ้ออ..* เอาที่นายสบายใจก็แล้วกัน vov  ”

    แล้วสเตลร่าก็หันหลังกลับเพื่อที่จะกลับไปเข้านอนตามเดิม 

    .

    .

    .

    .

    ในเวลาต่อมา…

    เวลาเช้าตรู่ของวันหนึ่ง

    ไกอัสพร้อมมังกรดำนักรบจำนวนหนึ่งที่สวมชุดเกราะยูนิฟอร์มมังกรเพลิงสีแดงก็ได้เดินเข้ามาภายในวิหารมังกรเพลิงเพื่อมาตามโซเบลให้ออกไปประกาศสถาปนาดินแดนแถบนี้อย่างเป็นทางการและมังกรทุกตัวก็รอฟังคำแถลงการณ์จากเขาอยู่ด้านล่างเนินวิหารมังกรเพลิงอยู่เป็นจำนวนมาก 

    “ท่านโซเบลขอรับ ตอนนี้มังกรทั้งหลายมารอกันที่ด้านหน้าเนินวิหารมังกรเพลิงแล้วขอรับ”

    “อืม เดี๋ยวฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

    โซเบลที่นอนอยู่บนบัลลังก์ค่อยๆลุกขึ้น ก่อนจะเดินตามกลุ่มของไกอัสออกด้านนอกวิหาร เพื่อไปพบปะกับเหล่าบรรดามังกรดำ มังกรขาว และเหล่าภูติเห็ดมัชรูมี่ที่ทยอยพากันมาทั้งหมู่บ้าน เพราะตอนนี้พวกเขาจะได้กลายเป็นประชากรของอาณาจักรของโซเบลแล้ว ซึ่งในวันนี้โซเบลจะประกาศสถาปนาดินแดนของเขาให้ทั่วโลกเอเซอร์เชี่ยนได้รู้จัก 

    โดยเขาได้ประกาศให้มังกรทั้งหลายและภูติเห็ดทุกตนทราบว่า ต่อจากนี้ไปดินแดนแห่งนี้จะมีชื่อเรียกว่า 

    ‘อาณาจักรมังกรเพลิง โซเบลลิส’

     โดยมีตัวเขาเป็น

     ‘ราชามังกรเพลิงในตำนานโซเบล

    เป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ ทำให้มังกรและเห็ดมัชรูมี่ทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงเฮอย่างดีใจที่พวกเขานั้นมีผู้นำที่แข็งแกร่งอย่างโซเบลมาปกครองดูแลพวกเขาให้ปลอดภัย อีกทั้งโซเบลยังประกาศอีกว่าหากมีกลุ่มคนจากโลกภายนอกมาขอความช่วยเหลือ ก็ให้พวกเขาเหล่านั้นได้เข้ามาพักพิงในอาณาจักรของเขาได้ และอนุญาติให้อาศัยอยู่ที่นี่ได้หากพวกเขาต้องการ 

    และโซเบลก็ได้มอบหมายงานด้านกองกำลังป้องกันและการปกป้องประเทศให้ไกอัสเป็นคนดูแล พร้อมกับแต่งตั้งให้ไกอัสเป็นมังกรแม่ทัพสูงสุดในการบัญชาการ ส่วนเรื่องงานกิจการภายในไม่ว่าจะเป็นการคลัง เศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาการและอื่นๆก็มอบหมายให้ สเตลร่า เรยา ฮามัส แรนแซค และหัวหน้าเผ่าเห็ดมัชรูมี่เป็นคนดูแล แต่จะให้ทั้ง 5 คนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะหาคนที่เหมาะสมมารับหน้าที่เหล่านี้ต่อไป

     

    และแล้วอาณาจักรของโซเบลมังกรเพลิงในตำนานก็ได้ถูกสถาปนาขึ้น ก่อนที่โซเบลจะส่งมังกรบริวารของเขาเดินทางไปยังอาณาจักรต่างๆเพื่อไปแจ้งข่าวให้แก่อาณาจักรต่างๆรอบข้างได้รับรู้ถึงการถือกำเนิดอาณาจักรใหม่ขึ้นมา โดยให้มังกรตัวแทนเหล่านั้นเดินทางไปในฐานะทูตและต้องแสดงท่าทีเป็นมิตรไมตรีต่ออาณาจักรเหล่านั้น ซึ่งราชาหรือผู้นำของอาณาจักรเหล่านั้นจะมีท่าทีอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นเรื่องในอนาคต 

    เทพธิดาไมอาร์ที่เฝ้ารอคอยอยู่บนเซเลสเทรีย เธอก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างที่กำลังบอกถึงบางสิ่งที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้ มันคือสายธารสีแดงที่พาดผ่านท้องฟ้าเหนือเซเลสเทรียมุ่งทะยานผ่านฟากฟ้าไปยังท้องฟ้าอันไกลโพ้น ซึ่งหมายความว่ายุคสมัยแห่งการฟื้นฟูกำลังจะมาถึง หลังจากผ่านยุคสงครามแห่งไฟมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นปลายทางที่รอโซเบลอยู่นั้นก็ยังมีความมืดมิดกำลังรอเขาอยู่ และเขาจะต้องผ่านไปให้ได้

     

    :จบ Chapter 1:

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ดาร์กเนส เวิลด์ ดรากูน 

    ณ ห้องมืดใต้ดินแห่งหนึ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกลงไปใต้พื้นโลก เอเทล หนึ่งในกลุ่มมังกรปีศาจบรรพากาล ได้เดินทางกลับมายังห้องลึกลับแห่งนี้ เพื่อมาขอฟื้นฟูพลังจากวัตถุชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกับไข่มังกรขนาดใหญ่ ตั้งเด่นอยู่ใจกลางห้องพร้อมกับปลดปล่อยออร่าสีดำมหาศาลออกมาตลอดเวลา ซึ่งไข่ใบนี้ก็คือ ไข่ที่มังกรเทพปีศาจเซฟิลอสจำศีลอยู่ภายในเพื่อคอยเก็บรวบรวมพลังงานด้านลบจากสิ่งมีชีวิตต่างๆมาเป็นของตัวเอง 

    แต่ในตอนนี้เซฟิลอสยังอยู่ในสภาวะจำศีลและกักเก็บพลังงานเพื่อรอวันปลดปล่อยในวันที่โลกเอเซอร์เชี่ยนจะถูกพิพากษา "ท่านเซฟิลอสเจ้าคะ….ได้โปรดมอบพลังให้กับข้าเอเทลผู้นี้ด้วยเถิด….ข้าต้องการพลังที่มากกว่านี้…เพื่อที่ข้าจะได้บดขยี้หนึ่งในมังกรธาตุในตำนานอย่างโซเบลให้สิ้น เพื่อทำลายสิ่งเสมือนของเทพธิดาไมอาร์ด้วยเถิด…"

    เอเทลเอื้อมมือไปสัมผัสที่เปลือกไข่มังกรเทพปีศาจที่แข็งและขรุขระ ก่อนที่พลังความมืดอันมหาศาลจะไหลผ่านเข้าไปในตัวของเอเทล จนทำให้ในตอนนี้ร่างกายของเอเทลที่สบัดสะบอมจากการต่อสู้กับโซเบลในครั้งก่อน ค่อยๆฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่กี่วินาที เอเทลก็ฟื้นสภาพกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง “เอาล่ะมังกรเพลิงโซเบลเอ๋ย คราวนี้จะเป็นยกที่สองระหว่างข้ากับเจ้าล่ะนะ…”

    พูดจบเอเทลก็เดินไปหยุดอยู่ที่บ่อน้ำแห่งความมืดที่สามารถดูในสิ่งที่อยากเห็นได้บนโลก ก่อนที่ผิวน้ำในบ่อน้ำจะค่อยๆแสดงภาพอาณาจักรของโซเบลและเหล่าบรรดามังกรทั้งหลายกำลังทำกิจวัตรประจำวันของตนอย่างมีความสุขให้เอเทลได้เห็น “มาดูซิว่า เจ้าจะทำเช่นไรหากพวกมังกรหรือคนที่เจ้ารักจะต้องตายไปต่อหน้าต่อตาเจ้าด้วยน้ำมือข้า….*ฮึฮึฮึ…ฮ่าๆๆ!!!!* ” แล้วเอเทลก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งและชั่วร้าย ท่ามกลางความมืดมิดในปราสาทที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายนานาชนิด

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ปล. ในที่สุดนิยายเรื่อง Sobel The Flame of Dragon ก็จบเนื้อเรื่อง Chpater 1 เป็นที่เรียบร้อย และนี่จะเป็นตอนสุดท้ายของปี 2023 ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่เข้ามาอ่านและส่งกำลังใจให้ไรท์ตลอดมา ถึงแม้เนื้อเรื่องช่วงแรกจะยังไม่ค่อยมีอะไร แต่หลังจากนี้ไปเนื้อหามันเริ่มอัพสเกลใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ และไรท์ขอสัญญาว่าจะแต่งเรื่องนี้ให้จบ แต่ขอบอกเลยว่ากว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้เล่นเอาเหนื่อยใช่ย่อย เพราะไรท์มีเวลามาแต่งแค่ช่วงตอนค่ำๆเท่านั้น 

    และเพื่อเป็นการส่งท้ายปีนี้ ไรท์จะมีตอนพิเศษเพิ่มมา 1 ตอน เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นะคับ ;) 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×