ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sobel The Flame of Dragon: เกิดใหม่เป็นมังกรเพลิงในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ 20: สัญญานแห่งลางร้ายจากความมืด

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 66


    ไม่กี่วันต่อมา

    หลังจากที่กลุ่มของเดลวาลินส่งสารเจรจาขอสงบศึกกับเผ่ามังกรขาวจนภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดีแล้ว พวกเขาก็ได้เดินทางกลับมาที่เผ่ามังกรดำที่หมู่บ้านแคลิด ดรากูน พร้อมกับฝูงมังกรขาวทั้งหมดเพื่อนำข่าวดีไปบอกเกรย์ออลรวมถึงมังกรดำทุกตัวในเผ่าว่าสงครามนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และถึงเวลาที่พวกเขานั้นจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กันเสียทีโดยมีโซเบลเป็นคนดูแลมังกรทั้งสองเผ่าในฐานะผู้พึ่งพิง

    และในเวลาเดียวกันนี้เองเกรย์ออลและเหล่ามังกรรองอาวุโสตนอื่นๆที่ได้รับการแจ้งข่าวล่วงหน้าจากไกอัส พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตามารอคอยการกลับมาของไกอัสและกลุ่มของเดลวาลิน โดยมีมังกรดำทุกตัวในเผ่ามารอฟังข่าวดีจนในที่สุดพวกเขาก็สังเกตุเห็นไกอัสบินนำฝูงมังกรขาวนับพันมายังหมู่บ้าน พร้อมกับเรยาที่มาในชุดคลุมสีขาวปกปิดมิดชิดบินขนาบข้างเข้ามาติดๆ 

    การยกโขยงครั้งใหญ่ของมังกรขาวในครั้งนี้ได้สร้างความแตกตื่นให้กับมังกรดำบางตนที่ไม่รู้ข่าวมาก่อน พวกเขาคิดว่าหมู่บ้านของพวกตนกำลังจะถูกโจมตีขนานใหญ่ขึ้น

    “พวกมังกรขาวยกทัพมาบุกโจมตีพวกเราแล้วงั้นรึ 0 0 ?! ”

     เหล่ามังกรดำเริ่มเกิดอาการวิตกกังวล แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อไกอัสนั้นได้บินลงจอดที่พื้นก่อนจะประกาศให้มังกรดำที่กำลังเกิดอาการตกใจได้ทราบกันทั่วกันว่า 

    “อย่าตื่นตระหนกไป ไม่มีใครโจมตีใครทั้งนั้นแหละ”

    “อะไรนะ ? ”

    มังกรดำ A พูดท่ามกลางความสงสัยของมังกรดำหลายๆตน

    “ข้ากับกลุ่มคณะทูตตัวแทนท่านเดลวาลิน ได้ทำการเข้าพบกับหัวหน้าเผ่ามังกรขาวและได้ทำเรื่องข้อตกลงสนธิสัญญาสงบศึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นสงครามระหว่างเผ่ามังกรดำและเผ่ามังกรขาวถือเป็นอันยุติลงแล้ว~!!!”

    หลังจากสิ้นเสียงประกาศจากไกอัสแล้ว เหล่ามังกรดำก็พากันเงียบกริบเหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อหูตัวเองในสิ่งที่พวกเขาได้ยิน แต่เมื่อพวกเขาทำความเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงเฮด้วยความดีใจกันยกใหญ่ จนเสียงเฮนั้นดังกระหึ่มไปทั่วภูเขา จนแม้แต่ฝูงมังกรขาวที่บินรออยู่ด้านนอกยังได้ยินเสียงแห่งความปลื้มปริติยินดีนี้ได้อย่างชัดเจน

    “ดูเหมือน ไกอัสจะบอกข่าวดีให้มังกรดำทุกตัวในเผ่ารู้แล้วสินะ”

    แรนแซคพูดขึ้นมาลอยๆจากสถานการณ์ที่เห็นก่อนที่จะมีมังกรขาวตัวอื่นๆที่บินอยู่ใกล้ๆพูดขึ้นมาว่า

    “พวกนั้นคงขยาดกับสงครามเต็มทีละมั้งขอรับ แถมดูจากสภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ด้วย”

    “แต่มันก็ดีสำหรับพวกเขาแล้ว ถ้าพวกนั้นยังยึดมั่นในศักดิ์ศรีว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่นต่อไป ก็น่าจะต้องล่มสลายตายจนหมดทั้งเผ่านั่นแหละ”

     

    ตัดภาพกลับมาที่เผ่ามังกรดำ 

    หลังจากที่ไกอัสได้แจ้งข่าวดีให้กับมังกรดำทุกตัวในเผ่า เกรย์ออลและรองผู้อาวุโสอีกจำนวนหนึ่งก็ได้เข้ามาพูดคุยกับเดลวาลินและไกอัสด้วยความปลื้มปริติ หลังจากที่ทั้งสองพาเผ่ามังกรดำรอดพ้นวิกฤตสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มาได้

    “ขอบใจเจ้าทั้งสองจริงๆเลยนะ….*แค่ก แค่ก* เท่านี้….สงครามระหว่างมังกรทั้งสองเผ่าก็สิ้นสุดลงเสียที…หลังจากนี้…ข้าก็จะได้สละตำแหน่งให้กับมังกรดำตนต่อไปที่ข้าไว้ใจเสียที”

    เหล่ามังกรรองผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเกรย์ออล แต่ก่อนหน้านั้นไกอัสมีเรื่องติดใจบางอย่างที่เขาต้องบอกให้เกรย์ออลและรองผู้อาวุโสทุกตนได้รู้

    “ท่านผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะรายงานให้ท่านทราบ รวมถึงพวกท่านด้วย”

    “เจ้ามีอะไรงั้นรึไกอัส ? ”

    รองผู้อาวุโส A ถาม ก่อนที่ไกอัสจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านสโนวบรอน์ ดรากูน ให้เกรย์ออลกับบรรดารองผู้อาวุโสฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่ซิฟน็อคคิดจะก่อปฏิวัติยึดอำนาจภายในเผ่า นั่นจึงสร้างความตกใจให้กับเกรย์ออลและเหล่าบรรดามังกรดำรองผู้อาวุโสอย่างมาก 

    “อะไรกัน! นี่เจ้าซิฟน็อคคิดจะยึดอำนาจพวกเราอย่างงั้นรึ ?! ”

    “ช่างเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจที่สุด ถึงพวกเราจะยึดมั่นในเกียรติยศและศักดิ์ศรี แต่การเข่นฆ่าพวกเดียวกันในเผ่าถือว่าเป็นเรื่องที่ต่ำทรามจนให้อภัยไม่ได้ !! ”

    บรรดารองผู้อาวุโสต่างพากันประนามการกระทำของซิฟน็อคกันยกใหญ่ โดยที่เกรย์ออลนั้นก็ยืนฟังพวกเขาอย่างเงียบๆ และดูเหมือนว่าตัวเลือกของเขาจะชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่เหมาะสมจะมารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าเผ่ามังกรดำยุคต่อไปก็คือ ไกอัส นั่นเอง 

    “*เฮ้อออ…..* ในเมื่อ….สถานการณ์มันออกมาเป็นเช่นนี้ล่ะก็…ข้าก็คงมีตัวเลือกเพียงตัวเลือกเดียวแล้วล่ะนะ…”

    พูดจบ เกรย์ออลก็ทำท่าทำทางผ่านการส่ายหางส่งสัญญาณอะไรบางอย่างไปยังเหล่ามังกรรองอาวุโส ก่อนที่พวกเขาจะอึ้งๆไปสักพักแล้วรีบพยักหน้ารับรู้อะไรบางอย่าง จากนั้นรองอาวุโสคนสนิทก็ได้ไปได้ของบางอย่างมาจากตำหนักตามคำสั่งของเกรย์ออลในทันที

    และในเวลาเดียวกันนี้เอง เกรย์ออลก็สังเกตุเห็นมังกรตัวหนึ่งที่มีผ้าสีขาวพันรอบตัว ปกปิดใบหน้ามิดชิด แต่ก็สามารถสังเกตุเห็นปีกและหางสีขาวได้อย่างชัดเจน ทำให้เดาได้ว่าเป็นมังกรขาวและก่อนหน้านั้นมังกรตัวนี้ก็บินมาพร้อมกับไกอัส ด้วยความสงสัยเกรย์ออลจึงได้ถามไกอัสขึ้นมา

    “ไกอัส…มอนเตอร์ที่มีผ้าพันรอบกายเป็นดักแด้เช่นนั้นคืออะไรงั้นรึ…”

    “อ้อ ข้าต้องอภัยอย่างยิ่งที่ไม่ได้แนะนำท่านผู้นั้นให้ท่านผู้อาวุโสได้รู้จัก มังกรตนที่ยืนอยู่ด้านหลังข้านั่น ก็คือ…”

    ยังไม่ทันที่ไกอัสจะได้พูดจบประโยค จู่ๆ มังกรขาวตัวนั้นก็เดินแทรกเข้ามาและพูดตัดบทเสียก่อน

    “ยินดีที่ได้พบกันนะเจ้าคะ ข้าเรยา ไวท์ ดราก้อน เป็นหัวหน้าเผ่ามังกรขาวเจ้าค่ะ”

    เรยาเดินเข้ามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับคำนับให้กับเกรย์ออลและบรรดามังกรรองอาวุโสของเผ่ามังกรดำอย่างสุภาพ อ่อนช้อย พร้อมกับเปิดหน้าให้ทุกคนได้เห็นพร้อมกัน ทำเอาเกรย์ออลและมังกรตัวอื่นๆต่างพากันตะลึงไปตามๆกัน เพราะไม่พวกเขาไม่คิดเลยว่าหัวหน้าเผ่ามังกรขาวจะเป็นผู้หญิง ก่อนที่ทุกคนจะพากันไปคุยที่ตำหนักมังกรเฒ่า

    ส่วนมังกรขาวตัวอื่นๆที่ติดตามไกอัสมาจากถิ่นที่อยู่เดิมก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเผ่ามังกรดำ และพวกเขาก็เริ่มพูดคุยทำความคุ้นเคยซึ่งกันและกัน นับว่าเป็นก้าวแรกในการอาศัยอยู่ร่วมกันก็ว่าได้

     

    ณ ตำหนักมังกรเฒ่าเกรย์ออล

    “ที่นางเอาผ้าพันรอบกายเช่นนี้มันมีเหตุผลจำเป็นอยู่น่ะขอรับ คือว่าร่างมีผิวพรรณที่ค่อนข้างบอบบาง อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมโลกภายนอกอย่างมาก อีกทั้งนางไม่เคยได้ออกไปพบกับผู้คนมานานหลายสิบปีอาจจะทำให้นางดูแปลกๆไปบ้าง แต่ขออย่าให้พวกท่านใส่ใจเลยนะขอรับ ^ ^" ”

    “อย่างงั้นหรอหรอกรึ”

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หัวหน้าเผ่ามังกรขาวจะเป็นผู้หญิง  0 0 ”

    “*แค่ก แค่ก…* เจ้าคือเรยาหัวหน้าเผ่ามังกรขาวอย่างงั้นสินะ…ถ้าเช่นนั้นเจ้าและมังกรบริวารของเจ้า…จะยอมยกโทษให้กับเผ่าของพวกข้าที่เคยทำเรื่องไม่ได้เอาไว้กับเผ่าของเจ้าหรือไม่…”

    “เรื่องในอดีตที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของคนในยุคอดีตก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการสะสางปัญหากันเอาเอง แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นมังกรรุ่นใหม่ที่แม้จะผ่านสงครามมา แต่พวกเราก็ไม่เคยมีความแค้นต่อกันส่วนตัวมาก่อน เพราะฉะนั้นข้ากับคนของข้ายอมยกโทษให้กับเผ่าของพวกท่านเจ้าค่ะ v v ”

    “โอ้…เจ้าช่างเป็นมังกรขาวที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีจริงๆ…*แค่ก แค่ก แค่ก*”

    “ท่านผู้อาวุโส ข้ากับนางตัดสินใจร่วมกันไว้แล้วตอนที่อยู่เผ่ามังกรขาวว่า หลังจากที่สงครามยุติลง เราสองคนจะแต่งงานกันเพื่อเริ่มก้าวแรกในการสานสัมพันธ์กันระหว่างเผ่ามังกรขาวกับเผ่ามังกรดำขอรับ ^///^ ”

    เมื่อไกอัสพูดถึงเรื่องแต่งงานและแจ้งข่าวนี้ให้กับเกรย์ออลฟัง เรยาที่ยืนอยู่ด้วยก็มีอาการหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขิน แต่เกรย์ออลนั้นก็ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความปลาบปลื้มยินดี

    “โอ้….นี่เจ้าจะแต่งงานกับนางอย่างงั้นรึ…”

    ไกอัสและเรยาทั่งสองหน้าแดงก้มหนัาหลบตาสายด้วยความเขินจนตัวแทบบิด ก่อนที่ไกอัสกับเรยาจะตอบสั้นๆพร้อมกันว่า

    “ขอรับ/ค่ะ… v////v ”

    เมื่อเกรย์ออลได้ยินคำตอบชัดเจนจากทั้งสอง เขาก็ยิ้มพยักหน้าเบาๆพร้อมกับความหวังในใจ 

    “ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะสละตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้กับไกอัสขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าตนใหม่ และจะจัดงานแต่งงานให้กับเจ้าทั้งสอง…”

    “ข้าต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสด้วยจริงๆขอรับ”

    “ไม่หรอกๆ….*แค่ก แค่ก* ไหนๆเจ้าก็ต่อสู้เพื่อปกป้องเผ่าของพวกเรามามากโขแล้ว…ก่อนจะสละตำแหน่งให้ข้าได้ทำคุณประโยชน์ให้กับเจ้าเป็นการส่งท้ายเถอะนะ…”

    เมื่อไกอัสได้รับความกรุณาจากเกรย์ออล เขาถึงกับคลานคำนับแสดงคำขอบคุณต่อเกรย์ออลอย่างสุดซึ้งก่อนที่เรยาจะทำตาม 

    “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่งขอรับ ที่กรุณาต่อตัวข้าและเรยามากถึงเพียงนี้ ข้ากับเรยาจะไม่ลืมความกรุณาของท่านในครั้งนี้อย่างแน่นอนขอรับ v v ”

    “ไม่เป็นไร…ข้าแค่อยากทำสิ่งดีๆเป็นครั้งสุดท้ายให้กับมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่า..ก่อนที่ชีวิตของข้าจะสิ้นลมหายใจก็เท่านั้นเอง…”

    แล้วเกรย์ออลก็เงยหน้ามองขึ้นด้านบนเหมือนว่าเขานั้นปลงกับชีวิตที่ยืนยาวมาหลายพันปีนี้เต็มทีแล้ว 

    และในเวลาเดียวกันนี้เอง รองผู้อาวุโสที่ได้รับคำสั่งให้ไปเอาของก่อนหน้าก็มาึง และสิ่งที่เกรย์ออลสั่งให้รองผู้อาวุโสคนสนิทนำมาให้ไกอัสนั่นก็คือ 'ตราประทับมังกรผู้ปกครอง' ซึ่งมีลักษณะเป็นเหรียญตราแกะสลักหินสีดำสนิทซึ่งสลักมาจากแร่หินโบราณที่เกิดจากภูเขาไฟในอดีตกาล ซึ่งแร่หินสีดำนี้เก็บสะสมความร้อนใต้โลกเอาไว้ภายในและสามารถปลดปล่อยความร้อนอย่างยิ่งยวดเมื่อทำการกดทับกับวัตถุใดๆก็ตาม 

    ไกอัสรู้ได้ในทันทีว่า ตัวเขานั้นจะต้องเข้าพิธีสลักตราประทับมังกรผู้ปกครองอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงให้มังกรดำทุกตนในเผ่าได้รู้ว่า หลังจากนี้เขาจะกลายเป็นหัวหน้าเผ่ามังกรดำตนใหม่และจะขึ้นตำแหน่งมาแทนที่เกรย์ออลที่อายุมากแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะรับการเข้าพิธีแล้วแต่ไม่ใช่วันนี้

    “วันนี้อะไรหลายๆอย่างยังไม่พร้อม…เอาไว้อีกประมาณวันสองวัน เจ้าค่อยมาเข้าร่วมพิธีตราประทับก็แล้วกันนะ…”

    “เข้าใจแล้วขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้ากับเรยาขอตัวก่อน”

    หลังจากนั้นไกอัสกับเรยาก็ขอแยกตัวจากเกรย์ออล ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกมาจากตำหนักและได้หยุดคุยกันสักครู่

    “อีกไม่นาน…เราสองคนก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วนะ”

    “ข้ารอวันที่ท่านจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่ามังกรดำคนต่อไปอยู่นะเจ้าคะ และเมื่อถึงตอนนั้นเราสองคนก็จะได้เป็นสามีภรรยาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันปกครองมังกรทั้งสองเผ่าร่วมกัน ^ ^ ”

    “อืมม จากนี้ไปมังกรทั้งสองเผ่าถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ^ ^ ”

    แล้วไกอัสกับเรยาก็เอาปลายจมูกแตะจมูกของกันและกันอย่างเคลิบเคลิ้มตามประสาคนรัก ก่อนที่ไกอัสจะขอแยกตัวจากเรยาเพื่อไปพบกับเดลวาลินเจ้านายของเขาต่อ

     

    ในเวลาต่อมาไม่นานนัก

    ไกอัสได้บินไปหาเดลวาลินที่ตอนนี้เขากำลังยืนคุยอยู่กับกลุ่มของเซอร์ริว เพื่อเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงเดนิส เพื่อสะสางภารกิจของพวกเขาให้เสร็จ

    “ท่านเดลวาลินขอรับ”

    “อ้าว นายมาแล้วหรอไกอัส”

    เดลวาลินหันไปมองไกอัสที่มาจากทางด้านหลัง ก่อนที่เขาจะจำแลงร่างเป็นมนุษย์แล้ววิ่งมาหา

    “ท่านเดลวาลินจะกลับแล้วหรือขอรับ ไม่อยู่รอข้าเข้าพิธีแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเผ่าก่อนหรือขอรับ ? ”

    “ที่จริงพวกฉันก็อยากจะอยู่จนถึงวันที่นายถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเผ่าอยู่หรอก แต่ตอนนี้หน้าที่ของพวกฉันในการช่วยเหลือเผ่าของพวกนายก็สิ้นสุดลงแล้ว ฉันกับคนอื่นๆจึงจะต้องกลับไปเมืองหลวงเดนิสเพื่อรายงานภารกิจนักผจญภัยน่ะ”

    “อ้อ อย่างงั้นเองหรือขอรับ แต่ข้าจำได้ว่า…ภารกิจของพวกเซอร์ริวคือการกำจัดมังกรทุกตัวที่อยู่แถบนี้ไม่ใช่หรือขอรับ ? ”

    “ก็ช่างหัวราชานั่นสิ แค่พวกนายมีชีวิตที่ดีและปลอดภัยอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่น ก็ถือว่าพวกฉันบรรลุเป้าหมายแล้ว \vuv/ ”

    เดลวาลินหยักไหล่เหมือนไม่แยแสว่าราชาเอ็กซ์โซสจะคิดยังไงหลังจากนี้ แต่เหมือนไกอัสจะมีอารมณ์ขันไปกับเขาด้วย

    “ท่านเดลวาลินนี่ช่างเป็นคนที่น่าขันจริงๆเลยนะขอรับ”

    เดลวาลินและคนอื่นหัวเราะอย่างมีอารมณ์ขัน 

    “แต่ถึงยังไง ข้าก็อยากให้ท่านเดลวาลินอยู่ร่วมเป็นแขกพิเศษคนสำคัญในงานพิธีจริงๆนะขอรับ ทั้งงานแต่งตั้งข้าเป็นหัวหน้าเผ่า และก็งานแต่งงานของข้ากับเรยาด้วยขอรับ”

    “ห๊ะ? นี่นายจะแต่งงานงั้นหรอ 0 0 ? ”

    เซอร์ริวพูดตัดบทขึ้นมาด้วยความตกใจ รวมถึงคนอื่นๆเองก็อึ้งไปตามๆกัน

    “อืม ข้ารู้สึกว่านางมีชะตาต้องใจข้าเหลือเกิน ข้าเลยขอนางแต่งงานสะเลย”

    “ตั้งแต่ตอนไหน ได้ยังไงกันเนี่ย ฉันไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”

    เซอร์ริวรู้สึกสับสนและรับสถานการณ์ที่มันปุบปับนี้ไม่ทัน แต่เดลวาลินกับลอร่าที่รู้ข่าวว่าไกอัสจะแต่งงานทั้งสองก็ได้พูดแสดงความยินดีให้ไกอัสอย่างพร้อมหน้ากัน

    “ยินดีด้วยนะคะคุณไกอัส ขอให้ชีวิตคู่หลังจากแต่งงานพบแต่ความสุขร่วมกับคนรักทั้งในตอนนี้และตลอดไปนะคะ ^ ^ ”

    “ขอบใจเจ้ามากนะ คำอวยพรของเจ้ามีความหมายกับข้าจริงๆ”

    “อันที่จริงแันก็ไม่รู้ว่าจะอวยพรให้นายด้วยคำว่าอะไรดี แต่ขอให้นายรักภรรยาของนายให้มากๆและดูแลเขาให้ดีๆไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขก็แล้วกันนะ”

    “โอ้…ขอบคุณท่านเดลวาลินจริงๆขอรับ ข้าสัญญาว่าข้าจะดูแลว่าที่ภรรยาของข้าเป็นอย่างดีในฐานะสามีที่ดีของนาง”

    หลังจากที่ทั้งสองอวยพรให้กับไกอัสแล้ว เซอร์ริวก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าไกอัสนั้นจะแต่งงานกับใคร ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาจะแต่งงานกับเรยาที่เป็นหัวหน้าเผ่ามังกรขาว ทำให้ทุกคนในกลุ่มรับรู้กันอย่างพร้อมเพียงกัน

    “อย่างงี้นี่เอง นายจะแต่งงานกับมังกรสาวที่เป็นหัวหน้าเผ่างั้นสินะ v~v ”

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้นนะ แต่แล้วมันจะทำไมหรอ ? ”

    อลันบีถามเซอร์ริวขึ้นมา

    “ไม่มีอะไรหรอก แต่อิจฉาาาา~!!!! > <”

    ไกอัสหัวเราะขบขันให้กับเซอร์ริวที่กำลังอิจฉาตนอย่างสนุกสนาน แต่ยังไงก็ตามเดลวาลินก็ไม่ลืมที่จะสั่งกำชับเขาถึงเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

    “นายจะแต่งงานและได้เป็นหัวหน้าเผ่าก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าอย่างงั้นฉันจะอยู่ที่นี่อีกสักพักเพื่อร่วมเป็นแขกให้กับงานสำคัญของนายก็แล้วกัน

    “โอ้!!! ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ!!!”

    ไกอัสถึงกับคุกเข่าคำนับแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ก่อนที่เดลวาลินจะประคองให้เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

    “อ้าว แสดงว่านายจะไม่กลับไปพร้อมกับพวกเรางั้นหรอ 0 0 ?”

    อลันบีท้วงขึ้นมา ก่อนที่เดลวาลินจะตอบกลับมาว่า

    “ไหนๆเขาก็เป็นลูกน้องของฉัน เจ้านายไม่อยู่ร่วมงานมงคลมันก็ถูกจะเสียน้ำใจไปหน่อย แต่พวกนายไม่ต้องห่วง กลับไปที่เมืองหลวงแล้วรายงานเรื่องภารกิจให้ราชาเข้าทราบเถอะ”

    “แล้วนายจะให้พวกเราบอกกับราชาเอ็กซ์โซสยังไงล่ะ ในเมื่อมังกรทุกตัวก็ยังอยู่สุขสบายดี แถมก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปยืนยันเลยว่าพวกเราทำภารกิจนี้สำเร็จ”

    ในระหว่างที่อลันบีกำลังขอคำแนะนำอยู่นั้น จู่ๆ เซอร์ริวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนที่เขาจะหยิบเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าหลัง

    “แล้วถ้าเป็นเจ้านี่จะใช้เป็นหลักฐานได้รึเปล่า ? ”

    ทุกคนหันไปมองที่เซอร์ริว และสิ่งที่เขากำลังถืออยู่ในมือนั่นก็คือ เศษชิ้นส่วนเขามังกรดำ ของซิฟน็อค ที่เขาแอบไปเก็บรวบรวมมาตอนอยู่ที่หมู่บ้านสโนวบรอน ดรากูน

    “นั่นมัน เศษเขามังกรดำของซิฟน็อคอย่างงั้นรึ ? ”

    “ช่ายยย ฉันแอบไปเก็บและรวบรวมมาน่ะ เห็นว่าเขามังกรดำมีราคาสูงในตลาดด้วย”

    “ถ้าเจ้าคิดว่าจะนำเศษชิ้นส่วนนี้ไปเป็นหลักฐานรายงานกษัตริย์ของพวกเจ้าล่ะก็ พวกเจ้าก็สามารถทำได้ เพราะชิ้นส่วนที่หลุดออกมาจากร่างกายมังกรระดับสูงมักมีพลังเวทย์มังกรแฝงอยู่ภายใน บางทีหากราชาของพวกเจ้านำมันไปตรวจสอบ พวกเขาก็อาจจะเชื่อได้ว่าพวกเจ้านั้นทำภารกิจของพวกเจ้าสำเร็จแล้วจริงๆ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ คราวนี้พวกเราก็มีหลักฐานไปยืนยันให้กับราชาแล้ว ขอบใจมากนะสำหรับคำชี้แนะ”

    อลันบีพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความหวัง

    “งั้นพวกนายก็รีบเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงเข้าเฝ้าราชาก็แล้วกัน ส่วนฉันจะอยู่ที่นี่สักพัก"

    “เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างงั้นพวกเราจะล่วงหน้าไปก่อนแล้วกัน”

    “แล้วไว้เจอกันที่เมืองหลวงนะคะคุณเดลวาลิน ^ ^ ”

    หลังจากนั้นกลุ่มนักผจญภัยเซอร์ริวก็แยกทางกับเดลวาลิน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงเดนิส โดยมีเดลวาลินกับไกอัสยืนโบกมือส่งทิ้งท้าย จนกระทั่งพวกนั้นขี่กริฟฟอนลับสายตาไป

    “พวกเขาไปแล้วสินะขอรับ”

    “อืม แต่ยังไงก็ตาม…หลังจากที่นายทำธุระอะไรต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันขอให้นายและเผ่ามังกรขาวทุกตัวรีบอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังแถบตอนใต้ของอาณาจักรเซซิลล่าร์ ที่นั่นมีวิหารมังกรเพลิงของฉันตั้งอยู่ และแถบนั้นมีป่าไม้และภูเขามากมายให้พวกนายไปตั้งรกรากแห่งใหม่ได้กว้างขวางมากๆ แถมยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์น่าจะทำให้พวกนายหมดห่วงเรื่องอาหารอีกด้วย”

    “โอ้ ขอบคุณท่านเดลวาลินด้วยจริงๆขอรับที่แนะนำสถานที่อยู่ใหม่ให้กับพวกเรา ข้าขอขอบคุณท่านแทนมังกรทุกตัวในเผ่าจริงๆขอรับ v v ”

    “ว่าแต่….สเตลร่าหายไปไหนอีกแล้วล่ะเนี่ย”

    “อ้าว ท่านสเตลร่าไม่ได้อยู่กับท่านเดลวาลินหรือขอรับ ? ”

    “ไม่นะ ตั้งแต่ก่อนเดินทางออกจากหมู่บ้านสโนวบรอน ดรากูนไม่กี่วัน ก็ไม่เห็นหน้าอีกเลย ไม่รู้เจ้าตัวเขาติดธุระอะไรอีกรึเปล่า”

    “แล้วท่านเดลวาลินไม่คิดจะตามหาท่านสเตลร่าเลยหรือขอรับ ? ”

    “ไม่หรอก เจ้าตัวเขาก็เป็นแบบนี้แหละ ชอชผลุบๆโผล่ๆอยากมาก็มาอยากไปก็ไปแบบนี้แหละ”

    เดลวาลินหยักไหล่ทำเป็นไม่สนใจว่าสเตลร่าจะหายไปไหนเพราะเขาชินกับเรื่องที่เกิดขึ้นแบบนี้แล้ว

    .

    .

    .

    .

    ตัดภาพมายังสเตลร่า 

    ณ ป่าลึกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน แคลิด ดรากูน สเตลร่าแอบแยกตัวออกมาจากกลุ่มของเดลวาลินเพื่อมาสำรวจร่องรอยอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล หลังจากที่เธอนั้นสัมผัสได้ถึงแหล่งพลังความมืดที่ชั่วร้ายที่คุ้นเคย เบาะแสที่เธอได้มานั้นเธอได้รับจากปฏิกิริยานำทางของไม้เท้าหัวมังกรขาวของเธอ ซึ่งมันได้นำทางเธอมายังถ้ำแห่งหนึ่งในป่าลึกที่ค่อนข้างทึบ มีแสงแดดส่องถึงพื้นไม่ค่อยทั่วถึง แถมอากาศก็ดูวังเวิงชอบกล แต่สำหรับเธอแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มาจากศัตรูที่เก่าแก่ที่ไม่ได้เจอกันนาน 

    สเตลร่าเดินสำรวจไปตามทางจนมาหยุดยืนอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำ ก่อนที่ไม้เท้าหัวมังกรของเธอจะส่องแสงสว่างถี่เหมือนว่าตรวจจับพลังเวทย์แห่งความมืดที่ชั่วร้ายมากๆได้ในระยะใกล้ “ชักไม่ค่อยดีสะแล้วสิ แบบนี้มันอันตรายเกินไปแล้ว” สเตลร่าพึมพำบ่นกับตัวเองและรับรู้อันตรายได้ด้วยสัญชาตญาน ก่อนที่ในเวลาต่อมาเธอจะได้ยินเสียงใครบางคนเดินไปเดินมาหลังพุ่มไม้ภายในป่าที่ดูมืดครึม และมีหมอกหนาลงอย่างน่าประหลาด

    “นั่นใครน่ะ! โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

    แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!

    เสียงแหวกหญ้าดังขึ้นรอบตัวสเตลร่าอย่างน่าขนลุก ก่อนที่จะมีเสียงผู้หญิงพูดดังขึ้นมา

    “ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอผู้คุมกฏมังกรที่นี่ด้วย น่าสงสัยจริงๆเลยว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่….”

    “(เสียงนี่มัน…อย่าบอกนะว่า…!)”

    สเตลร่าจำน้ำเสียงของเจ้าของเสียงปริศนานี้ได้ ก่อนที่เธอจะตั้งท่าเตรียมรับศึกหนักที่กำลังจะมาถึง แต่ดูเหมือนเจ้าของเสียงนั้นจะตอบกลับมาเชิงเย้ยหยัน

    “อู้วว…เจ้าคิดจะสู้อย่างงั้นรึ น่าสนใจดีนี่…ข้าชักอยากรู้แล้วสิว่าผู้คุมกฏมังกรที่คอยทำหน้าที่ดูแลเหล่ามังกรธาตุในตำนานจะมีน้ำยาสักแค่ไหน ฮ่าๆๆ”

    “เลิกซ่อนตัว แล้วโผล่หัวออกมาซะ ฉันรู้นะว่าแกเป็นใคร”

    ทันทีที่สิ้นเสียงท้าของสเตลร่า ก็ได้ปรากฏร่างเงาสีดำที่มืดมิดที่สุดโผล่เข้ามากระซิบหูที่ด้านหลังของสเตลร่า ซึ่งร่างเงานั้นมีลักษณะเหมือนกับมังกรบรรพกาล 

    “อย่างเจ้าน่ะ เอาชนะข้าไม่ได้หรอก รู้เอาไว้เสียด้วย…”

    สเตลร่าที่สัมผัสได้ถึงอันตรายและเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู เธอจึงรีบหันหลังกลับไปพร้อมกับกวาดไม้เท้าไปยังต้นตอของเสียง แต่ปรากฏว่าเธอก็ฟาดใครไม่โดนนอกจากอากาศที่ว่างเปล่า

    แต่ห่างออกไปจากสายตาไม่กี่เมตร เธอก็สังเกตุเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดผ้ารัดรูปสีดำเปิดไหล่ กระโปรงขายาวเปิดขา ทาลิปสติกสีดำ ขนตางอน ผมยาวปลายม้วนสีดำเงา ตาขาวเป็นสีดำ และนัตย์ตาดำเป็นสีม่วงเข้ม หน้าตาสละสวยดูเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ ส่วนสูง 190 ซม และมีตราสัญลักษณ์มังกรแห่งความมืดบริเวณกึ่งกลางหน้าอก กำลังยืนกอดอกและจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาสีม่วงเข้มของสัตว์เลื้อยคลานที่น่าขนลุก

    “เป็นเธอจริงๆด้วยสินะ เอเทล!!”

    สเตลร่าจ้องมองไปที่เอเทลในร่างหญิงสาวเซ็กซี่ด้วยท่าทางที่ดุดันจริงจังขั้นสุดเตรียมพร้อมตลอดเวลา

    “แหม๋~ ไม่ได้พบกันตั้งนานเจ้ากลับทักทายข้าด้วยท่าทางแบบนั้นน่ะหรือ? ไม่เร้าใจเอาเสียเลยนะ”

    “พวกมังกรตกสวรรค์ที่เข้าสู่ด้านมืด มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องญาติดีด้วยมิทราบ ?! ”

    “นั่นสินะ”

    เอเทลม้วนปลายผมของตัวเองเล่นและทำเป็นเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำตัวตามสบาย ผิดกับสเตลร่าที่ยืนตัวเกร็ง เหงื่อไหล่ไปตามใบหน้าเนื่องจากเกิดสภาวะกดดันอย่างเห็นได้ชัด

    “เธอมาอยู่ที่นี่ต้องการอะไร…!”

    “ต้องการอะไรอย่างงั้นหรอ? ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ เหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพราะข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์บางอย่างที่มันคับคล้ายคับคลากับคลื่นพลังจิตวิญญาณแห่งธาตุของมังกรเพลิงในตำนานโซเบลยังไงล่ะ”

    “(หรือว่า…พวกมังกรแห่งความมืดมันจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าโซเบลฟื้นคืนชีพกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว)”

    “เจ้าบอกข้ามา ว่าเจ้าโซเบลมันอยู่ที่ไหน”

    “ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ และเธอก็จะไม่ได้อะไรจากที่นี่ทั้งนั้น!!”

    “ไม่รู้เรื่องอย่างงั้นหรือ ผู้คุมกฏมังกรที่ได้รับภารกิจจากเทพธิดาไมอาร์ให้คอยสอดส่อง ติดตามดูพฤติกรรมของพวกมังกรธาตุในตำนานอย่างใกล้ชิดจะบอกว่าไม่รู้เรื่องได้อย่างงั้นหรอ? อย่ามาโกหกข้าสะให้ยากหน่อยเลย!!”

    สเตลร่ารู้สึกจุกในอกแปลกๆที่เอเทลนั้นจับโกหกของเธอได้ จนเธอนั้นเริ่มเครียดหนักกว่าเดิม

    “บอกข้ามาดีกว่า ว่าเจ้าโซเบลมันอยู่ที่นี่ใช่มั้ย!?”

    “ถ้าใช่แล้วมันจะทำไมล่ะ?!”

    สเตลร่าตะคอกเสียงตอบกลับไป

    “ถ้าเจ้าโซเบลมันอยู่แถวนี้ล่ะก็ ข้าก็จะฆ่ามันด้วยมือของข้าเองยังไงล่ะ!!”

    เอเทลแสยะยิ้ม เบิกตาโพลงลุกวาว ก่อนจะปลดปล่อยพลังเวทย์แห่งความมืดมหาศาลออกไปรอบข้าง จนทำให้ป่าบริเวณโดยรอบเหี่ยวเฉา และแห้งตายอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้างพร้อมกับกลายร่างคืนเป็นมังกรแห่งความมืด เกล็ดสีดำ นัตย์ตาสีม่วงเข้มเรืองแสงดุน่ากลัว มีปีกขนาดใหญ่พร้อมกับลายสายฟ้าสีแดงแตกไปทั่วแผงผังผืด สูง 40 เมตร มีกรงเล็บสายฟ้าที่แหลมคมสีดำเงาที่อุ้งมือ มาพร้อมกับคลื่นสายฟ้าสีแดงที่โหมกระหน่ำผ่าฟาดลงมาที่พื้นรอบด้านอย่างน่าเกรงขามและทรงพลัง อีกทั้งยังก่อให้เกิดฝูงมังกรชั้นต่ำสีดำที่เป็นลูกสมุนขึ้นมาจากผิวดินอีกด้วย ทำให้สเตลร่าต้องเตรียมร่ายเวทย์เพื่อรับมือศึกหนัก

    “ไม่มีทางสะหรอก! ฉันไม่มียอมให้เธอทำอะไรเจ้าหมอนั่นเด็ดขาด!!”

    “อย่างเจ้าน่ะ สู้พลังของข้าไม่ได้หรอก จะให้เทียบกับเศษเสี้ยวพลังของข้าที่ได้รับพลังมาจากท่านเซฟิลอสก็ยังห่างไกลอีกพันล้านปี”

    สิ่งที่เอเทลพูดอีกก็ถูกอีก เพราะพลังของสเตลร่านั้นไม่อาจจะเทียบเคียงกับอดีตมังกรเทพตกสวรรค์อย่างเอเทลได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเธอจะเกิดเป็นจากพลังของเทพธิดาไมอาร์ แต่พลังที่เธอได้รับมามันก็เป็นเพียงพลังเศษเสี้ยวของพลังทั้งหมดที่เทพธิดาไมอาร์พึงจะมีได้หลังจากสร้างมังกรธาตุรุ่นใหม่ และตอนนี้เธอคงลำบากแน่ๆหากต้องประมือกับเอเทลมังกรแห่งความมืด มือขวาคนสนิทของมังกรเทพปีศาจในตำนานเซฟิลอสเพียงลำพังด้วยพลังทั้งหมดที่เธอมี

    “ถึงฉันจะสู้เธอไม่ได้ แต่ฉันก็จะขอสู้สุดใจด้วยพลังทั้งหมดที่ฉันได้รับมาจากท่านแม่เพื่อปกป้องโซเบลเอง!”

    หลังจากนั้นสเตลร่าก็ยกไม้เท้าขึ้นมาพร้อมกับร่ายเวทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ผู้พิทักษ์เพื่อเตรียมเข้าต่อสู้กับเอเทล แต่ทว่า…

    “หึ! เจ้าน่ะไม่คู่ควรต้องถึงมือข้าให้เปลืองแรงเสียด้วยซ้ำ อย่างเจ้ามันต้องเจอลูกน้องของข้าต่างหากมันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”

    เมื่อเอเทลพูดจบสเตลร่าก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างบางอย่างที่ซ่อนกายอยู่ภายในถ้ำ 

    สเตลร่าค่อยๆหันหลันกลับไปมองที่ปากถ้ำ ก่อนที่จะมีร่างๆหนึ่งที่คุ้นเคยค่อยๆเดินออกมาจากภายในถ้ำที่มืดมิด ซึ่งสิ่งที่สเตลร่าเห็นจากสายตาของเธอในเวลานี้นั่นก็คือ ซิฟน็อคกับลูกสมุนของมันซึ่งในตอนนี้พวกเขาถูกพลังความมืดของเอเทลล้างสมองและตกเป็นทาสของเอเทลจนกลายเป็นมังกรแห่งความมืดไปเสียแล้ว 

    “นี่มัน… 0 0 !!!”

    “เอาล่ะเด็กๆ สั่งสอนเจ้ามังกรสวรรค์ตัวน้อยตัวนี้ที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าให้มันรู้สำนึกทีซิ๊”

    โฮร่กกกกก!!!!

    ซิฟน็อคและมังกรดำลูกสมุนแผดเสียงคำรามดังกึกก้อง พร้อมกับปลดปล่อยพลังเวทย์แห่งความมืดที่อัดแน่นอย่างเต็มเปี่ยมออกมา จนทำให้สเตลร่าต้องพยายามฝืนคลื่นลมกรรโชกและแรงกดดันมหาศาลนี้ให้ได้ และในตอนนี้เองดูเหมือนว่าสเตลร่าจะต้องการความช่วยเหลือจากโซเบลอย่างเร่งด่วนเสียแล้ว 

     

    และในเวลาเดียวกันนี้เองที่หมู่บ้านแคลิด ดรากูน 

    “ไกอัสเขาหายไปไหนขอรับ”

    “เห็นเขาบอกว่าจะไปช่วยพวกมังกรตัวอื่นจัดเตรียมสถานที่น่ะ พอดีช่วงนี้ต้องรีบทำผลงานก่อนจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าน่ะ”

    “รีบสร้างความดีความชอบเพื่อชนะใจคนในเผ่าอย่างงั้นสินะขอรับ ก็สมกับเป็นมังกรนักรบอย่างเขาจริงๆล่ะนะ”

    “หลังจากนี้ไปนายจะเอายังไงต่อกับชีวิตล่ะ”

    “ข้ารึ 0 0  ? ”

    “สงครามจบแล้ว มังกรนักรบอย่างพวกนายก็ไม่ต้องออกไปสู้รบอีก”

    “อืมม….ถึงแม้สงครามจะจบลงก็จริง แต่ถึงยังไงมังกรนักรบอย่างพวกข้าเองก็ยังมีหน้าที่ปกป้องทุกชีวิตในเผ่าอยู่ดี เพราะงั้นข้าเลยคิดว่าหลังจากนี้ข้าน่าจะคอยอยู่ช่วยเหลืองานกิจการต่างๆภายในเผ่ากับหัวหน้าเผ่าล่ะนะ”

    “งั้นหรอ”

    ในขณะที่เดลวาลินกำลังยืนมองดูเหล่ามังกรกำลังจัดแจง ตกแต่งสถานที่เพื่อเตรียมจัดงานสำคัญเพื่อต้อนรับหัวหน้าเผ่าคนใหม่กับแรนแซคอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกร้อนลุ่มกลางหน้าอกขึ้นมาอย่างกระทันหันราวกับว่าเป็นสัญญานเตือนอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น 

    “ท่านโซเบล เป็นอะไรไปน่ะขอรับ 0 0 ?! ”

    "*อึกก….อักกก….!!!!* อะไรเนี่ย…ความรู้สึกแน่นในอกนี่มันคืออะไร…. > < !!! "

    แรนแซคที่ยืนอยู่ข้างๆรีบเข้ามาดูอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งเดลวาลินได้ผลักตัวแรนแซคออกไปก่อนที่เขากลายร่างเป็นมังกรเพลิงอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้มังกรทุกตัวที่อยู่ในหมู่บ้านต่างพากันตกใจยกใหญ่ 

    และในเวลาเดียวกันนี้เองเอเทลก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์จิตวิญญาณแห่งธาตุของโซเบลได้อย่างชัดเจน เธอจึงหันเป้าหมายมายังตำหแน่งที่ตั้งหมู่บ้านแคลิด ดรากูนในทันที และปล่อยให้ซิฟน็อคกับลูกน้องจัดการสเตลร่าแทน 

    “ดูเหมือนว่าข้าจะเจอตัวเป้าหมายของข้าแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรให้ข้าต้องเสวนาด้วยอีก”

    “เดี๋ยวก่อนสิ หยุดเดี๋ยวนะ!!”

    พูดไม่ทันขาดคำ เอเทลก็ได้กระพือปีกพุ่งทะยานบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นพลังความมืดสายฟ้าสีแดงที่ทรงพลัง ก่อนจะบินมุ่งหน้าลงไปทางใต้อันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านมังกรดำ ส่วนสเตลร่าก็ต้องรับมือกับซิฟน็อคและเหล่าลูกน้องที่มีมากถึงสิบตัวเพียงลำพัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×